ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.58K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
136)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ==============================================
...กว่าที่ไกรจะได้กลับมาึที่พักแรมของเขา หรืออีกนัยหนึ่งคือที่พักแรมของกองทัพแห่งภูตพรายก็ปาเข้าไปเป็นเวลาสายโด่ง เพราะไกรเองก็อยู่สนทนาธรรมกับรูปท่านต่ออย่างติดลม แม้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหรือรู้จักมักจี่กับพระธุดงค์รูปนั้นมาก่อนเลยก็ตาม แต่เพราะอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ทำให้เขารู้สึกถูกชะตากัรูปท่านเป็นพิเศษและอยู่สนทนากันจนลืมเวลาไปเลย...จนกระทั่งไกรเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมากและเขาก็สบายใจมากขึ้นเป็นกองแล้ว บวกกับเกรงว่าจะทำให้รูปท่านเสียเวลากรรมฐาน เขาจึงต้องตัดสินใจกราบลาพระธุดงค์ปริศนารูปนี้กลับมา...
แต่พอมาถึงค่ายพัก ไกรก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ทุกคนเริ่มแบ่งหน้าที่การงานกันทำแล้ว ทั้งหุงหาอาหาร(โดยมีอเทตยาเป็นแม่ครัวใหญ่อย่างที่คาดไว้) กำหนดจัดวางเวรยามใหม่ รวมถึหลายๆคนที่เริ่มสวมเกราะโซ่ถักเพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกลาดระเวนกันแล้ว เนื่องจากเพราะไกรเป็นผู้วางลำดับสายบัญชาการไว้แล้วอย่างชัดเจนที่สุดว่าให้ท่านหลวงยกกระบัตร สิน ว่าให้ทำหน้าที่ออกคำสั่งในระดับเทียบเท่านายทัพอย่างเขได้เลย ในกรณีที่เขาไม่อาจจะบัญชาการได้ ซึ่งด้วยความที่พื้นนิสัยของท่านสินเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำให้ไกรแทบไม่ต้องออกคำสั่งเองเลยด้วยซ้ำ...หรือถ้าให้พูดอย่างไม่รักษาน้ำใจกัน...ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาอยู่เพื่อรักษาขวัญกำลังใจของกองทัพล่ะก็ ทัพเล็กๆที่มีกำลังร้อยกว่านายนี่ไม่จำเป็นต้องมีเขาอยู่เลยด้วยซ้ำ
" เฮ้อ...ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีวุ้ย " ไกรส่ายหัวพร้อมกับครางออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นสิงห์ที่เวลานี้นั่งแหมะพุ้ยข้วเข้าฝีมือของอเทตยาอยู่เต็มปากเขาจึงเดินเข้าไปหา และเมื่อสิงห์เหลือบมาเห็นก็วางข้าวที่อยู่ในมือลงก่อนจะคว้าดาบสดายุที่อยู่ในฝักและวางพิงรากไม้อยู่และโยนมาให้ไกร ซึ่งเจ้าของดาบก็ไวพอจะรับไว้ได้ก่อนที่ดาบจะตกพื้น สิงห์จึงหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับยิงฟันพูดว่า
" คราวหน้าคราวหลัง้าจะออกจกอาณาเขตค่ายพัก อย่างน้อยก็ควรจะเอาดาบประจำกายติดตัวไปด้วยสิ...เล่นเดินออกไปดื้อๆเช่นนี้มันทำให้ทุกคนเป็นห่วงนะ "
" แปลว่าตื่นอยู่ตลอด แต่กรนเอาเชิงสินะ " ไกรชักดาบออกมาพ้นฝักเล็กน้อยเพื่อตรวจดูเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ซึ่งสิงห์ก็หัวเราะเบาๆ
" คิดมากเรื่องข้าก็ปวดกบาลตัวเองเสียเปล่าๆ ว่าแต่...สีหน้าดีขึ้นนะ เจ้าน่ะ... "
" หืม? "
" ประมาณไม่ใช่หน้าแห้งเป็นศพเดินได้อยางเมื่อวานอย่างไรล่ะ "
" ฟังแล้วงงๆ ต้องโกรธไหมฟะเนี่ย "
" ฮ่าๆๆๆ ใช้ได้ๆ แปลว่าไปเจออะไรดีๆมาสินะ " สิงห์พูดอย่างรู้ทัน ซึ่่งไกรก็หัวเราะเบาๆตอบกลับทันที
" เอาเป็นว่าข้าขอโทษที่ทำตัวงี่เง่า จะพยายามไม่ทำอีก...อ้อ แล้วข้าวที่กินๆอยู่เนี่ย ช่วยจัดสำรับใหญ่ห่อให้ซักชุดนึงได้ไหม? คือ ข้าอยากจะเอาไปถวายเป็นภัตตาหารให้พระน่ะ "
" พระ? " สิงห์เอียงคอทวนคำอย่างงงๆ ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างเข้าใจทันที " ...อ้อ พระธุดงค์สินะ...ไปนานเสียจนนึกว่าโดนเสือขบหัวไปเสียแล้ว ที่แท้ก็ไปเจอพระธุดงค์มานี่เอง "
" เออๆ ต้องขอบคุณรูปท่านอย่างแรงเลยล่ะ...เอ้า มัวเฉยอยู่อีก ไปเตรียมข้าวสิฟะ ข้าจะได้นำไปถวายท่านซะที "
แต่อยู่ๆท่านหลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตากที่มีหน้าที่เป็นรองแม่ทัพที่อยู่ในชุดรัดกุมแต่ไม่ถึงกับสวมเกราะรบก็แทรกวงสนทนานี้เข้ามาอย่างเร่งรีบก่อนจะพูดแทรกออกมาเรียบๆด้วยกระแสเสียงที่ค่อนข้างตึงเครียดว่า
" เห็นทีท่านคงจะเอาข้าวไปถวายพระด้วยตนเองไม่ได้เสียแล้วขอรับ ท่านไกร "
" เอ๋? เดี๋ยวๆ ช้าไว้ก่อน ท่านสิน ค่อยๆหายใจ แล้วบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น "
" เรือเวนไตยขอรับ...เรือเวนไตยและลูกเรือ รวมถึงพระเชียงเงิน และสัมภาระของพวกเรามาสมทบแล้วขอรับ เมื่อสักครู่นี่เอง "
" เรือเวนไตย? อ๋อ " ไกรทำหน้านึกได้ว่ากองทัพเล็กๆของเขาไม่ได้มีแค่กองทหารม้าเคลื่อนที่เร็วเท่านั้น แต่ยังมีเรือไชยติดปืนจังกาที่สร้างด้วยวิทยาการล่าสุดอย่างผ่าเหล่าอยู่ด้วยอีก ๑ ลำ ซึ่งมันควรจะมาสมทบแล้วตั้งแต่เมื่อคืนตามกำหนดการ แต่ก็คลาดเคลื่อน และเขาเองในคืนก่อนก็มีเรื่องให้ปวดกระโหลกมากเกินกว่าจะนึกได้ พอมานึกได้เอาเดี๋ยวนี้เขาจึงเอียงคอพร้อมกับถามเบาๆว่า
" ก็หาข้าวให้กินสิ? พวกนั้นล่าช้าเพราะสัมภาระหนักหรือ? "
" หามิได้ขอรับ " สินที่ยังหน้าเครียดไม่เลิกพูดพร้อมกับกลืนน้ำลายฝืดๆ " ...จากที่ข้าสอบถาม พวกมันล่องเรือตามมาตั้งแต่เมื่อค่ำคืนก่อนตามกำหนดการ แล้วกลับไปปะทะเข้ากับกองทหารพม่ากลุ่มใหญ่ที่น่าจะเป็นกองลาดตระเวนอีกกองเข้าให้ "
" ปะทะ? " ไกรทวนคำเสียงสูงปรี๊ด " ...เดี๋ยวสิ! ได้ไงกันล่ะ! ก็เรือเวนไตยล่องมาตอนกลางคืน ไอ้เรือที่พรางตัวซะเนียนขนาดนั้นไม่สมควรจะถูกใครเจอนี่ แล้วไอ้คำว่าปะทะนี่ก็แปลว่าเข้าขั้นตะลุมบอนเลยไม่ช่รึไง! "
" ข้าก็ไม่รู้หรอกนะขอรับว่าตะลุมบอนถึงขั้นไหน...ต แต่ว่า ผลของการปะทะ... "
" ผลของการปะทะ? " ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับหน้าซีดเผือด เพราะถึงจะบอกว่าพวกเขาเองก็พึ่งจะตะลุมบอนมาเหมือนกัน แต่สถานการณ์ต่างกันมากเพราะเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบที่สุด ไม่ใช่สถานการณ์เสมอๆอย่างกระชั้นชิดแบบเรือเวนไตย จนกระทั่งเขารู้สึกเป็นห่วงทุกคนรวมถึงโคลัมบัสและออลเรลาน่าที่เขาฝากให้โดยสารมากับเรือด้วยทันที และทำให้เขากลัวคำตอบของสินที่กำลังจะพูดออกมาอย่างมาก...แต่สินกลับถอนหายใจเฮือกและพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดไม่แพ้กัน
" ผ ผลของการปะทะ...กองทัพลาดตระเวนพม่ากว่าร้อยนาย...เหลือรอดตายกลับไปในหลักไม่กี่สิบนายเท่านั้น ในขณะที่พรรคพวกของเราบนเรือเวนไตย ไม่มีผู้ใดเลือดตกยางออกเลยแม้แต่คนเดียว...พวกเราเสียไปแค่กระสุนปืนใหญ่และดินดำจำนวนนึงเท่านั้นขอรับ! "
" โห! สุดยอดไปเลยไม่ใช่รึอย่างไร! " สิงห์ที่ยังคงนั่งหัวโด่ฟังอยู่ถึงกับร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เพราะผลงานของพวกเรือเวนไตยคราวนี้เข้าขั้นสุดยอดไม่แพ้พวกเขาที่ละลยกองลาดตระเวนไปกองนึงเช่นกันเลย แต่ในทางกลับกัน ไกร สิน รวมถึงอุษาที่เดินเข้ามาฟังในตอนทายด้วยพอดีถึงกับหน้าซีดเผือดจนแทบจะเหมือนกระดาษ พร้อมกับที่ไกรครางออกมาเบาๆทันที
" ไม่ดีแล้ว...แบบนี้ แย่สุดๆเลย! "
" อ้าว? "
................................................
...ครู่ต่อมา เมื่อไกรและสินรวมถึงอุษาซึ่งถือว่าเป็นสามหัวเสธฯของกองทัพมาถึงที่ริมคลองอันเป็นที่จอดเรือเวนไตย พวกเขาก็เห็นว่าเหล่ากองทัพภูติพรายคนอื่นๆี่ไม่ได้มีเวรไปลาดตระเวน ต่างก็พากันมารวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับพระเชียงเงินซึ่งเป็นผู้คุมปืนใหญ่และผู้ที่ยศใหญ่ที่สุดในเรือเวนไตย รวมถึงผู้ประจำเรือเวนไตยคนอื่นๆจนเสียงแข่งกันอย่างเซ็งแซ่ราวกับนกกระจอกแตกรัง ซึ่งแปลว่าข่าวของเรือเวนไตยได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ซึ่งเมื่อทุกคนเห็นไกร พวกเขาต่างก็กรูกันเข้ามาโดยหมายจะบอกข่าวดีนี้ซ้ำอีก แต่พอเข้ามาในรัศมีและเห็นสีหน้าของไกรรวมถึงคนอื่นๆชัดๆ พวกเขาก็กล้ำกลืนเอาความยินดีปรีดาลงพุงไปเสียสิ้น...
...เพราะใบหน้าของไกร สิน และอุษาที่อยูในฐานะของ ๓ เสนาธิการแห่กองทัพภูติพรายเวลานี้ไม่ได้มีเาของความยินดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับมีแต่ความตึงเครียดที่แผ่รัศมีออกมาจนทุกคนถึงกับสัมผัสได้ รังสีแผ่งความกดดันนี้แผ่ใส่ทุกคนจนทหารทุกนายที่อยู่ใต้บัญชาของเขาหลีกทางให้ทันที ไกรที่เวลานี้พกดาบสดายุมาด้วยก้าวเท้าอย่างมั่นคงผ่านทางที่ถูกแหวกให้จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้าพระเชียงเงินหนุ่มที่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของหลวงยกกระบัตรสิน ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้ พระเชียงเงินแก่พรรษาพอจะรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมานี้ถึงกับหน้าเสียวูบก่อนจะเลือกที่จะสงบปากสงบคำทันที ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไรก็ตามที...ผิดกับโคลบี้และออลลี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆและสนิทกับไกรมากกว่า รวมถึงไม่รู้จักไอ้แรงกดดันที่ไกรแผ่ออกมาและไม่เคยอ่านสถานการณ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย พวกคู่แฝดตรงรี่มาหาไกรพร้อมกับยิ้มร่าทันที
" นี่ๆๆๆๆ ไกร ฟังข้านะๆ เจ้ารู้ไหมว่าพระเชียงเงิน กับ พระยาเดโชฯท้ายน้ำ ...เอ่อ ไม่สิๆ ตอนนี้โดนลดระดับเหลือแค่หลวงท้ายน้ำฯที่ชื่อว่า เกียน นั่น รวมถึงคนบนเรือเวนไตยทุกคนนี่สุดยอดไปเลย ขนาดพวกเราปะพม่าในระยะกระชั้นชิดสุดๆแบบเห็นหน้ากันชัดๆแท้ๆ แต่พริบตาเดียวพวกนี้เปลี่ยนเรือให้กลายเป็นปราการลอยน้ำที่หนาจนปืนไฟกับธนูของพวกพม่ายิงไม่เข้าเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่พระเชียงเงินจะคุมปืนใหญ่จังก้ายิงสวนกลับไปจนพม่าถึงกัแตกเป็นแถบๆชนิดแม่นราวกับจับวาง ส่วนหลวงท้ายน้ำที่ชื่อเกียนนั่นก็บังคับเรือได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งๆที่เรือเร่งเต็มฝีพายจนเร็วราวกับสายลมแท้ๆแต่กลับไม่ชนฝั่งเลย ทางก็ไม่ใช่ตรงๆ แต่แคบและคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อยเชียวนะ ทุกคนต่าเก่งเป็นบ้าเป็นหลังเลย...เสียดายจริงๆที่พวกพม่าแตกพ่ายล่าถอยหนีตายไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นพระเชียงเงินได้บัญชาการปืนใหญ่น้อยกวาดพวกมันหมดไปแล้วแน่ๆเลย! " ยิงโคลัมบัสและออเรลลาน่าแหกปากพูดโอ้อวดมากเท่าไหร่ ทั้งไกร สิน และอุษาต่างก็หน้าเคร่งลงกันเรื่อยๆ ในขณะที่พระเชียงเงินรวมถึงฝีพายของเรือเวนไตยคนอื่นๆที่พอจะอ่านสถานการณ์ตรงหน้าออกต่างก็ยืนเรียงแถวหน้าซีดเผือดลงเรื่อยๆเช่นกัน จนกระทั่งๆหลายๆคนอยากจะพุ่งเข้ามาเอาหมัดยัดปากไอ้คู่แฝดช่างพูดนี่เสีย ชนิดที่ถ้าไม่ติดว่าท่านไกรเป็นผู้ฝากฝังเด็กฝรั่งแขนลายสองคนนี่ไว้คงได้มีรายการยำใหญ่ข้อหาฆ้องปากแตกไปแล้วแน่ๆ
ทันทีที่โคลบี้และออลลี่พูดจบ ไกรที่นิ่งมาตลอดก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แต่กลับไม่ได้ผ่อนกระแสกดดันที่แผ่ออกมาเลยแม้แต่น้อย...เขาฝืนยิ้มให้กับเด็กแฝดทั้งสองโดยไม่ได้ว่าอะไรเพราะทั้งสองคนไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรในเรือเวนไตย เป็นแค่ผู้โดยสารเท่านั้น...ก่อนจะเบนสายตาอันคมกริบสาดใส่คนบนเรือเวนไตยคนอื่นๆ ซึ่งต่างก็รีบหลบสายตาอย่างวัวสนหลังหวะ ก่อนที่สายตานั้นจะกลับไปหาไอ้คนที่ควรรับผิดชอบจากระดับยศและสายบัญชาการอย่างพระเชียงเงินวูบ ทำเอาพระเชียงเงินที่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ด้วยท่าที่สำนกผิดถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อกและเพิ่มระดับความเกรงอกเกรงใจอดีตเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีผู้นี้ขึ้นไปอีกหลายขั้น...ไกรเดินมาหยุดตรงหน้าพระเชียงเงินพร้อมกับถามเรียบๆว่า
" รอดไปเท่าไหร่? "
" ข ขอรับ? "
" ข้าถามว่าพวกพม่าที่รอดไปได้น่ะ รอดไปได้กี่คน? "
' ท ทั้งๆที่ตอนก่อนออกเดินทางยังรู้สึกว่าเป็นคนคุยง่ายเลยแท้ๆ แต่พอมาเจอตรงๆเช่นนี้ ท ทำไมพึ่งรู้สึกว่าคนๆนี้ร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้กันนะ ตูหนอตู ' พระเชียงเงนคิดในใจอย่างเหงื่อตกก่อนจะเงียบไปอย่างไม่อาจจะตอบได้โดยปัจจุบันทันด่วน จนกระทั่งไกรถามซ้ำอีกเป็นครั้งที่สาม เขาจึงสามารถง้างปากตัวเองให้ตอบกลับไปได้ว่า
" ก กะคะเนได้ประมาณ ๑๐ กว่าๆขอรับ " พระเชียงเงินพยายามลดจำนวนจากที่เขารู้สึกว่าน่าจะเหลือรอดไปประมาณ ๒๐ กว่าเหลือ ๑๐ กว่าโดยหวังจะขอผ่อนโทษลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไกรกลับไม่มีปฏิกริยาอย่างอื่นนอกจากถามออกมาเรียบๆอีกครั้งว่า
" แล้วไอ้สิบที่ว่าเนี่ย...เป็นระดับนายทหาร---หมายถึงระดับนายทัพชั้นสั่งการกี่คน? "
" อ เอ่อ ม...ไม่เกิน ๒ คนขอรับ " พระเชียงเงินตอบพลางหลับตาปี๋ เพราะเมื่อกี๊เขาดันเหลือบไปมองดาบสดายุสีเงินวาที่ท่านไกรพกมาด้วย แถมดาบที่ถูกตีจากโลหะชั้นสูงนั่นก็ดันเหมือนจะส่องประกายอันไม่น่าไว้วางใจตอบกลับมาด้วยจนทำให้เขาจินตนาการเตลิดไป แถมยังเตลิดไปในทางซวยเสียเกือบ ๙ ส่วนอีกต่างหาก...แต่เมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการแล้ว ไกรกลับไม่ได้ว่าอะไรอีก เขาหันไปหาสินและอุษาที่ยืนอย่างเก็บอารมณ์อยู่ด้านหลังพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดที่สุดว่า
" คิดว่าไง? ชั้นสั่งการ ๒ นาย "
" หนักหนาสาหัสทีเดียวล่ะขอรับ " สินที่หน้าเคร่งไม่ต่างจากไกรตอบกลับมาแทบจะในทันที ซึ่งอุษาที่วิเคราะห์สถานการณ์อยู่ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
" รอดไปได้คนเดียวยังพอทำเนาอยูหรอก แตนี่รอดไปได้ถึง ๒ ...พวกมันไม่เชื่อและคิดว่าพวกมันตาฝาดแน่ "
" เราเหลือเวลาอีกประมาณเท่าไหร่? "
สินและอุษามองหน้ากันราวกับจะปรึกษากันในใจชั่วครู่ ก่อนที่หลวงยกกระบัตรหนุ่มที่เป็นสายทหารโดยตรงและรู้จักระเบียบทัพดีจะลูบคางพลางพูดช้าๆว่า
" จากข้อมูลที่ข้าทราบ พวกเรือเวนไตยปะทะกับพม่าเมื่อปลายยาม ๒ (ประมาณเที่ยงคืน) และขาไม่คิดว่าพวกมันแตกพ่ายแต่มีคำสั่งถอยมากกว่า พวกมันไม่น่าจะเตลิดหนีแตกไปไกลแต่คงรวมตัวกันได้ในเวลาไม่นาน ป่านนี้น่าจะกลับไปถึงทัพหน้าของพวกมันแล้ว...แต่กว่าที่พวกมันจะสอบสวนไต่ความกันเสร็จก็น่าจะถึงดึกดื่นและคงจะแจ้งทัพหลวงในวันรุ่งหรือไม่กี่วันต่อจากนี้...ถ้า...้าโชคเข้าข้าง เราน่าจะยังพอเหลือเวลาอีกอย่างมากสุดประมาณ ๑ อาทิตย์ ...แต่ว่า ถ้าโชคร้าย... " สินกลืนน้ำลายฝืดๆ อย่าไม่อาจจะพูดต่อได้ ในขะที่ผู้ที่พูดต่อจนจบปะโยคกลับเป็นอุษาที่พูดเรียบๆว่า
" ไม่เกิน ๔ วันหรอก...หรือดีไม่ดีอาจจะเหลือไม่ถึง ๓ วันด้วยซ้ำ...ทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญาคงจะรับรู้ และจัดกองทัพออกมาล่าพวกเจ้า อ้อ...หมายถึงพวกเราเป็นแน่ "
" เฮ้อ...อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด...เลวร้ายโคตรๆ " ไกรครางออกมาเบาๆพลางเกาหัวแกรกๆ ซึ่งพอเขาเงียบไปอย่างใช้ความคิดก็เปิดโอกาสให้สินที่กัดฟันกรอดพร้อมกับหันขวับไปมองคนของเรือเวนไตยรวมถึงพระเชียงเงินที่เป็นสหายรุ่นน้องผู้อยู่ใต้สายบังคับบัญชาผู้บัดนี้จับกลุ่มยืนหงอยอยู่ด้วยสายตาววโรจน์จนน่ากลัว เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจอันชอบธรรมจนทุกคนที่เผลอสบตาต่างพากันสะดุ้งเฮือกอย่างเกรงกลัว สินเบิกตากว้างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแสดงเจตนาตำหนิอย่างรุนแรงแก่ทุกคนว่า
" ยังไม่รู้อีกหรือว่าพวกเจ้าทำผิดอะไร! ...ลองตรองดูเสียซักนิดสิ! พวกเจ้ารูหรือไม่ว่าพวกเจ้าทำการใดลงไป!...พวกเรามิได้มีฐานะหรืออยู่ในฐานะของกองทัพอย่างเป็นทางการที่มีพร้อมทั้งเสบียงและกองหนุนเรือนหมื่นนะ...พวกเราอยู่ในฐานะกองโจร! พวกเราตัดขาดจากการช่วยเหลือของทุกๆฝ่าย มันหมายความว่าการปิดบังตัวตนของพวกเราทั้งหมดคือเรื่องที่สำคญที่สุด! พวกเจ้าคิดก่อนหรือไม่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อต้อเผชิญหน้ากับกองทัพเรือนหมื่นเรือนพันที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยหมายจะล่าหัวพวกเราโดยเฉพาะ โดยที่เรามีเพียงหนึ่งร้อยและเรือหนึ่งลำ โดยไร้ซึ่งกองหนุนใดๆ...ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้มี ๔ เศียร ๘ กรก็มีหวังถูกแยกสังขารสิ้นเป็นแน่!...ฮ ฮึ่ม! พ พวกเจ้านี่มัน!--- "
ก่อนที่สินจะได้ทันพูดตัดสินลงโทษอะไรพวกเขาเหล่านั้น ไกรก็ขัดจังหวะด้วยการแต่บ่าของสินเบาๆ เมื่อหลวงยกกระบัตรหนุ่มหันไปมอง ไกรก็ฝืนยิ้มพลางพูดช้าๆว่า
" พอเถอะ ท่านสิน...เรื่องมันแล้วไปแล้วน่ะ "
" หา? " สินถึงกับทวนคำเบาๆอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเองทันที เพราะงานนี้คนที่ควรจะเป็นเดือดเป็นแค้นที่สุดน่าจะเป็นไกร ไม่ใช่เขาด้วยซ้ำ...แต่ไกรยิมเล็กน้อยอีกครั้งก่อนจะเกาหัวอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ในที่สุดชายหนุ่มจะตัดสินใจเรียกเรียก ๒ กุมารีผูแหกกฎที่เวลานี้อยู่ภายใต้การปกครองของไกรออกมาเบาๆว่า
" ลูกแก้ว ลูกขวัญ "
" เจ้าคะ? "
สิ้นเสียงของไกร กุมารีน้อยทั้งสองตนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่มผู้เป็น พ่อ ของพวกเธอ ในสภาพที่ค่อนข้างเสถียรจนแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับที่พวกเธอเคยอยู่กับท่านเรืองเลยด้วยซ้ำ ซึ่งน่าแปลกมากสำหรับผู้ที่ไม่ใช่สายไสยเวทย์โดยตรงอย่างไกร...การปรากฎอย่างกะทันหันของเด็กทั้งสองทำให้ทหารที่ล้อมอยู่หลายๆคนแตกฮือกระจายออกอย่างตกใจ แม้ว่าจะมีหลายคนที่ขยับเข้ามามองกุมารีทั้งสองอย่างสนใจบ้าง แต่เวลานี้ไกรไม่มีเวลาไปสนใจ เพราะการอัญเชิญกุมารีทั้งสองออกมาเป็นตัวเป็นตนนั้นกินพลังของเขาทุกๆวินาที เขาจึงกอดอกพร้อมกับสั่งเด็กสองตนตรงหน้าทันทีว่า
" พวกเจ้าสองคน ไปตามพวกที่ออกไปลาดตระเวน รวมถึงคนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ให้กลับมาให้หมด เราต้องประชุมวางแผนการกันใหม่ทั้งหมด และข้าต้องการพูดกับทุกคนโดยตรง จะได้ไม่มีใครทำอะไรผิดพลาดอีก "
ถึงไกรจะสั่งโดยไม่ได้มีเจตนาจะว่าใคร แต่คำว่า ผิดพลาด ที่เขาพูดในตอนท้ายก็ทำให้พระเชียงเงินรวมถึงคนของเรือเวนไตยเกือบทุกคนสะดุ้งโหยง เพราะราวกับไกรเอาชนักมาแทงหลังพวกเขาอีกอันทั้งๆที่มีอยู่แล้วอันนึงยังไงยังงั้น ...ในขณะที่เมื่อฟังคำสั่งจบ เด็กหญิงผมสั้นผิวสีแทนอย่างลูกแก้วก็เอียงคอทำตาโตพร้อมกับพูดเตือนเบาๆว่า
" ยิ่งตัวตนขอพวกเราอยู่ห่างจากท่านพ่อมากเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งกินแรงท่านพ่อมากขึ้นเท่านั้น ท่านพ่อใช้ให้ผู้อื่นไปแทนไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ? "
" ข้าต้องการความรวดเร็วและแน่นอน ลูกแก้ว พวกเธอสองคนน่าจะรู้ตำแหน่งของพวกเราได้โดยไม่จำเป็นต้องสาวรอยอะไรใช่ไหมล่ะ ...ไม่ต้องห่วงร่างกายข้าหรอกน่า ข้ารู้ขีดจำกัดของร่างกายตัวเองดี "
เมื่อเห็นว่าท่านพ่อของพวกเธอไม่เปลี่ยนความตั้งใจแน่ ลูกขวัญที่เป็นเด็กหญิงลูกคุณหนูผมยาวก็หันไปหาลูกแก้วพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่ลูกแก้วเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่เธอจะสลายหายกลายเป็นควันอันเบาบางไป ทิ้งให้ไกรจ้องมองลูกขวัญที่ยังอยู่พร้อมกับเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า
" ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่งของท่านพ่อนะเจ้าคะ แต่ข้าน่ะต่างจากลูกแก้ว ยัยนั่นเป็นสายจู่โจมที่ไปในระยะไกลๆได้โดยไม่กินแรงท่านพ่อมากนัก แตข้าเป็นสายป้องกันที่คอยปกป้องท่านพ่อ ขืนข้าไปกับยัยลูกแก้วพร้อมกันทั้งคู่ ระดับท่านพ่อเวลานี้น่ะคงจะล้มทั้งยืนแน่ๆเลย "
" เจ้านี่มัน--- "
" แหม คนที่รู้จักร่างกายของท่านพ่ออย่างทุกซอกทุกมุมดีน่ะไม่ใช่ท่านพ่อซะหน่อย แต่เป็นพวกเราต่างหากล่ะเจ้าคะ " ลูกขวัญหย่อนระเบิดพร้อมด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเจ้าเล่ห์และชวนให้เข้าใจผิดแบบสุดๆจนทุกคนที่ยืนล้อมอยู่หันมามองไกรด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก(มีสายตาของคนเดียวที่อ่านออกอย่างง่ายๆ คืออุษาที่มองเขาด้วยสายตาราวกับมองสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุดในปฐพีพร้อมกับถอยห่างไปช้าๆ) ชนิดที่ไกรต้องรีบโบกมือไล่ให้ยัยลูกขวัญสลายหายไปก่อนจะหย่อนระเบิดลูกอื่นๆตามมา ก่อนจะเกาหัวพร้อมกับครางออกมาเบาๆ
" เฮ้อ...เอาเหอะ อยากทำอะไรก็ทำก็แล้วกัน "
" ท่านไกร มีแผนแล้วหรือขอรับ? " สินที่ไม่ค่อยสนปัญหาเล็กๆน้อยๆของไกรและสนการณ์สำคัญตรงหน้าขยับเข้าใกล้พร้อมกับถามอย่างสนอกสนใจ เพราะไกรเคยแสดงให้เห็นแล้วว่ามักจะมีแผนการเด็ดมาช่วยชีวิตในเวลาที่เหมาะสมเชนเวลาแบบนี้อยู่เสมอ แต่ไกรฝืนยิ้มให้กับสหายตรหน้าพร้อมกับโคลงหัวดิกๆ
" เอ่อ...ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าแผนได้ไหมนะ...ไม่สิ ถ้าเทียบกับมาตรฐานของท่าน มีหวังท่านคงพูดว่า แบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! เลยล่ะ แถมถ้าพูดให้ฟังก่อนมีหวังท่านได้หาว่าข้าบ้าอีกแน่ๆ เพราะงั้นอดใจรอซักหน่อยนะ ไว้คนพร้อมๆกันข้าจะได้พูดทีเดียวเลย จะได้โดนด่าว่า ไอ้บ้า ทีเดียวเลยไง "
" ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะบ้าหรอกนะไกร เพราะเจ้าก็บ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว...ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำอะไรบ้าบิ่นอย่างโง่ๆ อย่างที่เจ้าเคยทำมาตลอดมากกว่า เจ้าโง่! " ผู้ที่ขัดทะลุกลางปล้องขึ้นมาไม่ใชใครที่ไหน แต่เป็นมือฉมังปืนสาวอย่างศกุนตลาที่พึ่งจะตามมาสมทบแถมยังพูดขัดเสียไม่มีชิ้นดีจนแม้แต่หญิงสาวที่มีคดีติดตัวรอเวลาชำระความอยู่อย่างอเทตยายงถึงกับต้องเบือนหน้าและปิดปากหัวเราะคิกคัก ผิดกับสินที่ชักสีหน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าหญิงสาวล้ำเส้นโดยขาดความยำเกรงไกรเกินไป แต่ก็ว่าอะไรได้ไม่ถนดนักเพราะเธอเป็นสหายของไกรที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว...ในขณะที่เจ้าตัวอย่างไกรหันกลับไปมองหญิงาวด้วยแววตาปลาตาย ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างโรคจิตพรอกับพูดเบาๆว่า
" เฮ่ยๆ เจ้าดูหน้าข้าสิ! "
" พอเลย...ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้วล่ะไกร แค่นี้ก็พิสูจน์คำพูดของข้าได้มากเกินพอแล้ว " แม้แต่ศกุนตลาที่ว่าหน้ามึนโคตรๆแล้วยังถึงกับครางออกมาอย่างสุดจะเอือมระอาจนทำให้ไกรหัวเราะเบาๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น
" เอาน่าๆ ไว้พวกเจ้าฟังแผนข้าให้จบก่อน ไม่แน่พวกเจ้าอาจจะชอบมนแบบสุดๆเลยก็ได้นะ เชื่อสิ "
สินที่เห็นแววตาที่เจิดจ้าของไกรก็ถอนหายใจเฮือกอย่างเบาใจลงเล็กน้อย และรู้สึกดีใจที่เขาได้ไกรคนเดิมกลับมาในเวลาที่ประจวบเหมาะพอดิบพอดี ก่อนที่ครู่หนึ่งเขาจะเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกขึ้นได้พร้อมกัหันไปหาพระเชียงเงินและพวกเรือเวนไตยพร้อมกับถามเบาๆว่า
" เออ เมื่อครู่ข้าก็โมโหจนลืมถาม..แล้วไอ้ตัวที่ควรจะโดนด่าพร้อมๆกับพวกเจ้าอย่างไอ้ต้นหนคุมพังงาเรือที่ได้ยินเลาๆว่าคือพระยาเดโชฯท้ายน้ำที่ชื่อเกียนนี่ มันไปอยู่ไหนเสียล่ะ? "
คำถามที่ถามอย่างไม่ค่อยใส่ใจอะไรนักของสินกลับทำให้พวกพระเชียเงินที่หน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อยพราะรู้สึกว่าตัวเองรอดตายแล้ว กลับไปหน้าซีดเผือดเป็นกระดาษอีกรอบ ราวกับว่าสินถามคำถามที่ไม่ควรจะถามเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ในที่สุด พระเชียงเงินจะค่อยๆง้างปากของตัวเองให้พูดขึ้นได้อย่างยากลำบากที่สุดว่า
" ท่านสิน ท่านไกร...ข้าเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกนะขอรับเพราะข้าเองก็เป็นคนผิดเช่นกัน...ต แต่ว่า...เรื่องทั้งหมดนี่มีไอ้หลวงท้ายน้ำชาวมอญที่ชื่อว่าเกียนนี่แหละ เป็นปฐมเหตุล่ะ! "
............................................
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...มือสังหารและผู้ใช้สัตว์สมิงหนุ่มนามว่าสิงห์ที่ถูกไกรไหว้วานแกมบังคับให้เอาข้าวปลาอาหารมาถวายแก่พระธุดงค์รูปสำคัญที่ช่วยเคาะกะโหลกหนาๆของไกร เตือนสติให้มันตาสว่างมากขึ้น เวลานี้กำลังหันซ้ายหันขวาอยู่อย่างหงุดหงิดที่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นจุดสังเกตสำคัญที่ไกรบอกไว้ว่าเป็นสถานที่ที่พระธุดงค์รูปสำคัญรูปนั้นปักกลดอยู่...หลังจากหันรีหันขวางไปมาอีกพักนึง ในที่สุดเขาก็ต้องยกมือขึ้นเกาหัวอย่างหงุดหงิด เพราะเขเชื่อว่าเขาเองก็ไม่ได้หลง แต่ที่นี่ดันไม่มีแม้แต่เงาของกลดหรือเงาของพระภิกษุที่ว่านั่นเลยแม้แต่นิดเดียว
" เอ...อะไรฟะ! ก็ที่นี่มันที่ๆไกรบอกชัดๆแต่ไม่เห็นมีใครเลย...ไม่อยากจะถามหรอกนะ แต่แน่ใจนะว่าเจ้านำทางมาถูกน่ะ ราตรี " สิงห์หันไปถามหญิงสาว หรือจะพูดให้ถูกคือเสือสมิงสาวที่อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีผิวสีเข้มรูปร่างหน้าตาไร้ที่ติคนนึงอย่างไม่ค่อยศรัทธา ในขณะที่เมื่อได้ยิน ราตรีก็หันดวงตาสีเหลืองอ่อนที่ไร้แววมามองเจ้านายของเธอด้วยแววตาปลาตายสุดๆพร้อมกับพูดตอบกลับมาเรียบๆ
" เสือดำอย่างข้ามีฝีมือการตามรอยที่แม้แต่ยัยมายายังยอมแพ้ ท่านพูดเช่นนี้ข้าโกรธนะเจ้าคะ "
" เออๆๆ ก็มันอดสงสัยไม่ได้นี่หว่า ถ้าถูกจริงก็ต้องเจอแล้วสิ...เฮ้อ คนเป็นร้อยไฉนมันถึงได้เจาะจงสั่งให้ข้าเป็นคนมาฟะเนี่ย ไม่เข้าใจจริงๆ " สิงห์เจตนาแค่บ่นอย่างหงุดหงิด แต่ราตรีกลับพาซื่อและหันมาตอบเบาๆว่า
" คงเพราะท่านไกรเคยบอกว่าท่านสิงห์มันพวกที่ฟังแผนการแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และไม่เคยทำตามแผนเลยซักรอบ เพราะฉะนั้นท่านจะอยู่ฟังแผนหรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกันหรอก...กระมั้งเจ้าคะ? "
" แค่บ่นเฉยๆ ไม่ได้อยากได้คำตอบเฟ้ย! ปัดโธ่! ...เอ...รึว่าไม่มีพระ-แพระอะไรแต่แรกแล้ว ส่วนไอ้ไกรมันแค่ตาฝาดหรือหลอนไปเองกัน " สิงห์หันไปโวยก่อนจะครางออกมาอยางครุ่นคิด แต่ราตรีที่หูผีจนจับกระแสหางเสียงของเสียงครางนั่น เธอจึงพูดเบาๆว่า
" ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ "
" หา? "
ราตรีทรุดลงไปยืน ๔ ขาราวกับสัตว์ร้ายพร้อมกับใช้จมูกโด่งๆร่อนสูดหากลิ่นแปลกปลอมที่ปะปนและแฝงอยู่ในอากาศราวกับฉลามสูดกลิ่นคาวเลือด ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและปัดเศษผงคลีที่เปราะแขนขาออกพร้อมกับพูดเบาๆว่า
" ที่นี่มีกลื่นของท่านไกรอยู่...กลิ่นหอมหวานเฉพาะที่ไม่อาจจะเลียนแบบได้ แล้วก็รอยฝุ่นนี่...ท่านไกรน่าจะนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้...ส่วนนี่ก็รอยลู่ของหญ้ากับรอยหลุมที่ถูกกลบราวกับปิดร่องรอย ตรงนี้คือรอยของการปูเสื่อกับรอยปักร่มหรือกลดแน่ๆ... " ราตรีชี้ให้ดูร่องรอยต่างๆพร้อมกับสัญนิษฐานได้อย่างถูกต้องราวกับตาเห็น เสือสมิงสาวตนนี้แสดงให้เจ้านายเธอเห็นว่าฝีมือการสาวรอยและอนุมานการณ์จากร่องรอยของเธอเป็นของจริงแท้แน่นอน แต่ถึงตรงนี้เธอกลับขมวดคิ้ววูบพร้อมกับครางออกมาอย่างไม่เข้าใจ
" แต่ว่า...กลิ่นของพระรูปนั้นน่ะสิเจ้าคะ "
" หืม? ทำไม?...เจ้าจะบอกว่าจมูกมดที่ไวกว่าผีของเจ้ายังไม่สามารถกระสากลิ่นของพระรูปนั้นได้อย่างนั้นหรือ? ฮ่ะๆ แปลว่าพระรูปนั้นเป็นผีสางจริงๆอยางนั้นสินะ " สิงห์พูดพลางกลั้วหัวเราะอย่างติดตลก แต่คราวนี้ราตรีกลับไม่ได้ร่วมหัวเราะด้วย...เสือสมิงสาวหันสายตาไร้แววสีเหลืองอ่อนกลับมาหานายของเธอนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดอย่างช้าๆว่า
" กลิ่นอายของพระภิกษุธุดงค์รูปนั้นมีตัวตนเจ้าค่ะ...แต่ว่า...ตัวตนของกลิ่นอายนั่นกลับดำรงอยู่อย่างเลือนรางที่สุด จนถ้าหากว่าไม่ใช่จมูกของเสือสมิงของข้าล่ะก็คงจะไม่มีทางกระสากลิ่นเช่นนี้ได้เลยแน่ๆ เป็นการดำรงอยู่ที่ราวกับภูติผีแต่มิใช่ภูติผี...คนจำพวกที่มีกลิ่นอายอันเลือนรางเช่นนี้ได้มีไม่กี่คนเท่านั้น และไม่กี่คนที่ข้ารู้จัก ก็คือท่านศกุนตลา...อเทตยา และนังดารา อย่างไรล่ะเจ้าคะ "
คำพูดที่ไร้ซึ่งแววขอความล้อเล่นชวนหัวโดยสิ้นเชิงของราตรีทำให้สิงห์ที่ยังเกาหัวแกรกๆอยู่ชะงักกึก ก่อนที่พริบตาเดียวผู้ใช้สัตว์สมิงหนุ่มจะชักกฤชสีเงินวาวของตนที่พกมาด้วยออกมาพร้อมกับมองด้วยสายตาแข็งกร้าวไปรอบๆและปลดปล่อยจิตสังหารอันน่าขนลุกออกมาวูบ!
" กลิ่นอาย...ของจารชน! "
ราตรีหลับตาลงพร้อมกับร่อนจมูกไปบนอากาศอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆเมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้จมูกผิดเพี้ยนแน่ๆ...ตอนนี้เธอทำได้เพียงครางออกมาอย่างแผ่วเบาเท่านั้นว่า
" ข้าไม่รู้หรอกนะเจ้าคะว่าท่านไกรได้มาพบหรือมาสนทนากับผู้ใด...แต่ผู้ที่นั่งอยู่ภายใต้ร่มกลดผู้นี้...นั่งวางท่าสั่งสอนท่านไกรจนเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้...ต้องมิใช่ภิกษุธุดงค์ธรรมดาๆอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ! "
" "
" "
" "
" "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ