ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

137)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

==============================================

 

 

 

      ...ไกลออกไป บนเนินเขาสูง...สูง จนพ้นจากระยะของความสามารถในกรรับรู้หรือสัมผัสของทั้งสิงห์และราตรี...ชายปริศนารูปร่างสันทัดที่อยู่ใต้ผ้าคลุมยาวที่คลุมตั้งแต่หัวจนกรอมข้อเท้าจนไม่อาจจะคาดคะเนอายุหรือรูปร่างหน้าตาได้เลย ชายผู้นี้ค่อยๆยกมืององุ้มจนคล้ายกับกรงเล็บเหยี่ยวที่ถือไว้ด้วยกล้องส่องทางไกลชั้นดีขึ้น ก่อนจะใช้ดวงตาจ้องมองผ่านกล้องที่มีกำลังขยายสูงจ้องมองไปยังสิงห์และเสือสมิงสาวใต้อาณัติของเขา...ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าสิงห์มีท่าทีระวังภัยพร้อมกับมองไปรอบๆยิ่งทำให้เขาถงกับทึ่งในความสามารถจนต้องคราออกมาเบาๆทันที

 

       " ถูกจับได้แล้ว...พวกเขารู้ตัวเสียแล้ววาข้ามิใช่ภิกษุธุดงค์ธรรมดาๆ...เฮ้อ พลาดไปจริงๆ นึกไม่ถึงว่าขนาดปิดบังกลิ่นอายถึงขนาดนั้นยังถูกกระสากลิ่นได้อีก...ปิศาจชัดๆ "

 

       " ท่านทำให้ตนเองอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง "  เสียงของหญิงสาวใต้ผ้าคลุมอีกคนที่อยู่ด้านหลังชายผู้นี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ ซึ่งเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มก็หัวเราะในลำคอเบาๆอย่างยอรับพร้อมกับโคลงหัว

 

       " นั่นสินะ ถ้ารู้เช่นนี้ข้าไม่ต้องปิดบังกลิ่นอายเสียเลยก็ดี "

 

       " หรือไม่...ทานก็ไม่ต้องปรากฏตัวเพื่อสั่งสอนเขาเลยก็ยังได้...การกระทำของท่านมันหาประโยชน์อะไรแก่พวกเรามิได้เลย "  หญิงสาวปริศนาที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นเรียบๆที่ยังคงเต็มไปด้วยกระแสของความไม่เห็นด้วยจนทำให้บุรุษใต้ผ้าคลุมหัวเราะออกมาแห้งๆ

 

       " ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้แต่แรก แต่...ข้าว่าที่ขาทำนี่มันก็เป็นการจำเป็นนะ "

 

       " ผู้มีนามว่าไกรผู้นั้นคิดตื้นเกินไป คิดเล็กคิดน้อยเกินไป...เขาจำเป็นต้องรอให้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าเช่นท่านสั่งสอนและกระตุ้นเสียก่อน จึงจะลงมือทำการใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยวแน่นอนได้...คนเช่นนี้เป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้คน...เป็นผู้นำมิได้หรอก "  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงฉายแววไม่พอใจ แต่ชายหนุ่มที่ยังคงถือกล้องส่องทางไกลอยู่หัวเราะอย่างไม่ถือสาอีกครั้ง

 

       " เจ้าคิดว่าเจ้าเหนือกว่าเขาเช่นนั้นหรือ? "

 

         คำถามที่เจตนาลองดีของชายหน่มทำให้หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังขมวดคิ้ว จิตคุกคามที่ถูกเก็บงำไว้แผ่ออกมาวูบจนน่าขนลุก แต่เพียงชั่วขณะเดียวจิตคุกคามนั่นก็ถูกเก็บงำไปอีกครั้งพร้อมกับที่หญิงสาวถอนหายใจเฮือก

 

       " ข้า...เชื่อในสายตาอันยาวไกลของท่าน...หากท่านเชื่อว่าเขามีค่าพอ...ข้าก็จะไม่ขัดท่านอีก "

 

       " หึๆ ตอบได้สมเป็นเจ้าเช่นเดิม...ช่วยรับฟังคำพูดของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนเช่นข้าเสียหน่อยเถอะนะ...พวกเราทุกตัวคนต่างก็มีจุดอ่อนด้อยในวัยหนุ่มฉกรรจ์ด้วยกันทั้งนั้น...ความริษยา...ความหวาดกลัว...ความขลาดเขลา... "  เขาหันกลับมาเหลือบมองสตรีที่อยู่ด้านหลังเล็กน้อยด้วยสายตาวาววับ ก่อนจะต่อประโยคสุดท้ายช้าๆว่า

 

       " ...แม้กระทั่ง...ความถือดี... "

 

         หญิงสาวปริศนาจ้องตอบดวงตาวาววับนั้นอย่างไม่เกรงกลัว...ก่อนที่ในที่สุด เธอจะหลับตาลงก่อนอย่างยอมแพ้พร้อมกับผ่อนลมหายใจและครางออกมาเบาๆว่า

 

       " ดูท่าท่านจะมีความสุขเสียจริงนะ...ท่านผู้เฒ่าแห่งบรรลัยกัลป์! "

 

 

 

.........................................

 

 

 

      ...เช้ามืด...ในอีก ๒ วันต่อมา... ณ กองทัพอาทมาท(กองทัพหน่วยกล้าตาย) ของทัพหน้าแห่งพระเจ้าอลองพญา ที่ถูกคำสั่งของแม่ทัพมังฆ้อนรธาผู้เป็นแมทัพแห่งทัพหน้า ส่งมาเตรียมพร้อมวางค่าย ไม่ไกลจากเขตเมืองราชบุรีอันเป็นสมรภูมิต่อไปมากนัก...

 

      ...กองทัพอาทมาทอันเป็นเสมือนกองทัพหน้าของกองทัพหน้าอีกทีนี้ไม่เหมือนกองทหารลาดตระเวนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทหารม้าเกราะเบาเคลือนที่เร็ว แต่กองทัพนี้ถูกจัดสรรให้เตรียมพร้อมและเน้นการรับมือการปะทะและการเข้าสงครามเต็มรูปแบบ ทำให้นอกจากกองทหารม้าเคลื่อนที่เร็วที่ถูกฝึกมาอย่างดีกว่า ๑๐๐ นายแล้ว ทัพนี้ยังประกอบด้วยทหารเลว(ทหารที่ถูกเกณฑ์มา)อีกกว่า ๒๐๐ คน ไม่นับรวมทหารอาสาที่คุมปืนยาวและปืนใหญ่ติดล้อเกวียนชนิดใช้ม้าลากอีกกว่า ๑๐ กระบอกจนเมื่อรวมแล้ว กองทัพที่มีจำนวนมากกว่า ๓๐๐ นายที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์อันมีอำนาจสังหารพรั่่งพร้อมนี้มีแสนยานุภาพที่ไม่อาจจะดูแคลนได้เลยแม้แต่น้อย...

 

      ...แต่ในเวลาย่ำรุ่งของวันนี้...แสนยานุภาพอันไม่อาจจะถูกดูแคลนได้นี้ กำลังจะถูกทดสอบ...ด้วยกองทัพที่ไม่ใช่มนุษย์...

 

      ...กองทัพ...ของภูติผีปิศาจ...

 

       " ฟ ฟู่...หนาวริยำ ไม่นึกว่าที่นี่จะหนาวขนาดนี้ "  เสียงครางของทหารยามคนหนึ่งที่นั่งล้อมกองไฟที่ถูกจุดอย่างโชติช่วงหนึ่งในหลายสิบกอง ทำให้หลายๆคนที่นั่งอยู่ด้วยพยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย ซึ่งหากมองดีๆ กองไฟหลายสิบกองนั้นถูกล้อมรอบด้วยทหารเวรยามที่ถูกวางไว้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า ๕๐ นาย ทั้งๆที่นี่เป็นเวรของยาม ๔ อันเป็นยามสุดท้ายซึ่งควรจะหละหลวมที่สุดแล้วแท้ๆ ...แสดงให้เห็นถึงความรัดกุมที่สุด แม้ว่ากับศัตรูที่พวกเขาคิดว่าสมควรถูกดูแคลน แต่ในถิ่นของศัตรู แม้สมควรถูกดูแคลนแค่ไหน แต่ศัตรูก็คือศัตรูอยู่ดี...ความรัดกุมของนายทัพที่ควบคุมทัพอาทมาทกว่า ๓๐๐ นี้อยู่ในระดับเจนศึกสงครามเลยทีเดียว...

 

      ...แต่ในเวลาที่ก่อนฟ้าจะสางนี้...กองทัพเจนศึกที่ไม่อาจถูกดูแคลน...กำลังจะถูกท้าทาย!...

 

         วูบ!

 

         ทามกลางกระแสของลมหนาวที่หนาวจนเสียดแทงเข้ากระดูก อยู่ๆ สายลมนั้นก็หอบเอาจิตสังหารอันหนาวเยือกที่เสียดแทงผิวหนังยิ่งกว่ามาด้วย จิตสังหารอันเย็นเยียบทว่าบ้าคลั่งนี้ทำให้เหล่าเวรยามทั้ง ๕๐ นายที่นั่งล้อมรอบกองไฟอยู่ถึงกับต้องลุกพรึ่บขึ้นพร้อมกัน...คนที่มีสัมผัสที่ไวหน่อยถึงกับชักดาบออกมาตั้งท่าระวังภัยทันที

 

       " ผ ผู้บุกรุก!? "

 

       " ทัพจากราชบุรีรึ?! "

 

       " ห ให้เตรียมปืนใหญ่เลยไหม?! "

 

       " ประเดี๋ยว! เงียบก่อน! "  ก่อนที่ความสับสนและความโกลาหลจะบังเกิด ชายวัยกลางคนในชุดเกราะที่แตกต่างจากคนอื่นอันแสดงให้เห็นถึงชั้นบัญชาการระดับแม่ทัพก็ยกมือขึ้นสูงพร้อมกับตวาดเสียงกึกก้อง อำนาจและบารมีในน้ำเสียงนั้นทำให้เหล่าทหารที่กำลังจะแตกตื่นกระเจิดกระเจิงให้สงบลงได้อย่างชะงัดนัก ก่อนที่แม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นจะหรี่ตาลลงเพื่อเขม้นมองไปยังแถบแนวชายป่าอันยังคงมืดมิดตรงหน้า โดยแจตนาจะแสวงหาที่มาของจิตสังหารอันหนาวเยือกนั้น

 

        เพียงขั่วอึดใจเดียว คำตอบของข้อสงสัยของเขาก็ปรากฏขึ้น และปรากฏขึ้นในรูปของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมคลุมทัพด้วยผ้าสีขาวตุ่นๆขาดๆที่คลุมตั้งแต่หัวยันเท้าจนไม่อาจจะเห็นใบหน้าใต้ผ้าผืนนั้นได้อย่างชัดเจน...ชายปริศนาที่โผล่มาเพียงผู้เดียวผู้นี้เดินโซซัดโซเซออกมาพ้นแนวชายป่า พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ร่างนั้นจะแผ่กลินอายอาถรรพ์อันไม่ธรรมดาออกมา จนกระทั่งผู้ที่ยืนล้ำหน้าอยู่แทบทุกคนต้องก้าวถอยหลังอย่างไม่อาจจะควบคุมได้ทันที

 

       " น...นายท่าน! "

 

       " เออ ข้ารู้...ผ้าสีขาวนั่น...ผ้าห่อศพ! "  ถึงแม้ผู้เป็นแม่ทัพจะเก็บอาการได้ดีในฐานะของหัวหน้ากองทัพ แต่ในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนนึง ใจเขาก็ยังอดสั่นสะท้านอย่างหนาวเยือกไม่ได้อยู่ดี

 

       ' คนปรกติสามัญที่อุตริเอาผ้าดิบห่อศพมาคลุมหัวน่ะไม่มีหรอก...จะมีก็แต่พวกบ้าใบ้เสียจริตเท่านั้น...แต่ว่า...คนบ้าใบ้ประเภทไหนกัน ที่สามารถครอบครองจิตสังหารอันอาถรรพ์ถึงระดับนี้ได้! '

 

         เขาคิดในใจเล็กน้อยอย่างขบปัญหาข้อนี้ไม่แตก แต่ในฐานะนายทัพ เขาจำเป็นต้องออกคำสั่งก่อนที่ทหารเวรยามและทหารคนอื่นๆที่เริ่มตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอะโวยวายจะระส่ำระสายไปมากกว่านี้...เขาก้าวล้ำหน้าออกไปเพื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารนั่นพร้อมกับตวาดลั่่น

 

       " เราคือทัพแห่งพระเจ้าอลองพญาอันเกรียงไกร...ผู้บุกรุกจงแจ้งนามและจุดประสงค์ของเจ้าออกมา! "

 

      ...เงียบ...

 

       " ข้าจะขอพูดอกีครั้ง!--- "

 

      ...ก็ยังเงียบอีก...แม้ว่านายทัพพม่าจะตวาดถามไปอีกเป็นครั้งที่ ๒ หรือครั้งที่ ๓ ...แต่ก็ยงไร้ซึ่งคำตอบใดๆ ชายใต้ผ้าคลุมห่อศพนั่นก็ยังคงเดินลากเท้าโซเซใกล้เข้ามาอย่างเชื่องช้า...จนกระทั่งนายทัพพม่าเห็นว่าอยู่ในระยะที่ทำให้ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง เขาจึงยกมือขึ้นพร้อมกับกัดฟันกระซิบเรียบๆกับหารใต้อาณัติของตนว่า

 

       " พลธนู...ขึ้นสาย! "

 

         วูบ!

 

       " ยิง! "

 

         พรึ่บ!

 

         สิ้นเสียงคำสั่ง ธนูยาวกว่า ๕-๖ ดอกก็พุ่งพรึ่บราวกับอสรพิษ พุ่งเข้าหมายฉกผู้ล้ำเส้นตรงหน้า และเพราะเป้านั้นไม่ใช่เป้าที่เล็กหรือเคลื่อนไหวรวดเร็วอะไรนัก ทำให้ลูกธนูทั้งหมดเข้าเป้าอย่างถนัดถนี่ จนบุรุษใต้ผ้าห่อศพนั้นสะเทือนไปทั้งร่าง ก่อนจะทรุดลงโดยไม่มีเสียงร้องซักแอะ

 

       " นายท่าน "

 

       " อืม...คงจะเป็นแค่คนบ้าใบ้ธรรมดาๆจริงๆ "  หลังจากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เขาก็ส่ายหน้าช้าๆเมื่อรู้ว่าตัวเองคิดมากจนเกินไป ก่อนจะโคลงหัวและพูดขึ้นช้าๆอีกครั้งว่า   " ...อโหสิกรรมให้พวกข้าด้วยก็แล้วกันนะ นี่คือสงคราม...ฆ่าผิดคนก็ยังดีกว่าปล่อยคนที่สมควรตายรอดไปได้ จนกระทั่งมาเกิดปัญหาภายหลัง "

 

         เขาเอ่ยขออโหสิกรรมอย่างง่ายๆ พร้อมกับทำท่าจะทรุดลงนั่งตามเดิม โดยปล่อยให้ลูกน้องเดินไปเพื่อจะจัดการกับศพให้เรียบร้อย แต่ก้นของเขายังไม่ได้ทันหย่อนถึงขอนไม้ดีเลยด้วยซ้ำ จิตสังหารอาถรรพ์อันเย็นเยียบที่ควรจะสลายหายไปแล้วกลับปะทุขึ้นอีกครั้ง และเป็นการปะทุอย่างรุนแรงที่สุดราวกับน้ำป่าที่ไหลหลาก พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ใต้ผ้าคลุมศพที่ควรจะสิ้นชีีพไปแล้วกลับผงาดลุกขึ้นพร้อมเงยหน้าตวาดอย่างกัมปนาทกึกก้องไปทั่วทั้งลานจนทะท้านสะเทือนไปทั้งกองทัพ!

 

       " โฮกกกก!!! "

 

         ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ผ้าคลุมหอศพที่ห่อปิดบังใบหน้านั้นก็เลื่อนหลุดออก เผยให้เห็นใบหน้า...ใบหน้าที่ราวกับจะสาปเวลาให้หยุดนิ่งไปเสี้ยววินาทีและสาปทุกคนให้แทบจะกลายเป็นหินไปเสียสิ้น! ...เพราะมันไม่ใช่ใบหน้าของมนุษย์! แต่เป็นรูปลักษณ์ของอสุรกายเขี้ยวโง้งยาวเฟ้ยโผล่พ้นปาก ดวงตาสีแดงก่ำลุกวาวราวกับแสงไต้ที่ปูดโปนถลนออกมานอกเบ้าที่ไร้ซึ่งแววของชีวิตใดๆทั้งสิ้น ใบหน้าที่ปูดโปนอัปลักษณ์ถูกย้อมครึ่งแถบด้วยสีแดงก่ำราวกับสีโลหิต เมื่อรวมกับผ้าห่อศพที่เลื่อนลงมาคลุมไหล่และกลิ่นอายอาถรรพ์ที่เข้มข้นจนแทบจะเห็นเป็นสายออกมาจากร่าง มันทำให้ร่างๆนี้ในสายตาของทุกคนที่มองมา รู้สึกว่าไม่ต่างอะไรจากผีร้ายอันน่าขนพองสยองเกล้าที่หลุดออกมาจากนรกชั้นที่ลึกที่สุดไม่มีผิดเพี้ยน!

 

       " ว เหวอ! นายท่าน!! "

 

       " ย อย่าพึ่งแตกตื่น! ...พ พลธนูเตรียมขึ้นสายอีกรอบ! "  ท่ามกลางสถานการณ์ที่เริ่มจะคุมไม่อยู่ของจริง นายทัพผู้นี้ยังแสดงให้เห็นถึงความนิ่งในการรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเขาพยายามออกคำสั่งตอบโต้อย่างรัดกุมทั้งยังเหมาะสมอีก แม้ว่าจิตสังหารนั้นจะส่งผลกระทบกับเขาไม่ต่างจากทุกคนก็ตามที แต่แล้วสถานการณ์อันไม่อาจคาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้มันยกระดับสถานการณ์ที่คับขันอยู่แล้วให้วิกฤติจนไม่อาจจะควบคุมได้อีกต่อไป!

 

         ปุ้ง! 

 

         แสงไฟสีส้มที่อยู่ๆก็สว่างวาบขึ้นในพริบตา ทั้งๆที่ยังคงเป็นเวลาเช้ามืดที่ดวอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงขึ้นมาเลยแท้ๆ...แสงสีส้มที่สว่างวาบนั้นแทบจะย้อมท้องฟ้าให้แดงฉานราวกับสีของโลหิตที่ปกคลุมท้องฟ้าในคืนวิปริตอันบิดเบี้ยวนี้!

 

         โฮก! 

 

         อ๊ากกก!

 

         แทบจะพร้อมๆกับการระเบิดของแสงสีส้มบนท้องฟ้า เสียงคำรามของเหล่าสัตว์ร้ายที่คำรามขึ้นจากทางทิศอุดร(ทิศเหนือ) พร้อมกับเสียงการปะทะและเสียงคนร้องอุทานเป็นภาษาถิ่นอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้น ก่อนจะมีผู้ที่มีตำแหน่งรองจากแม่ทัพตะโกนรายงานดังลั่นว่า

 

       " ย...แย่แล้วขอรับ! ค่ายเราที่ทิศอุดรถูกเสือยักษ์ที่ฟังแทงไม่เข้าบุกเข้ามา พวกมันฆ่าพวกเราล้มตายเป็นอันมากแล้วขอรับ! "

 

       " อะไรนะ?! "

 

         โครม! 

 

         เสียงแปลกปลอมที่ดังขึ้นอีกเป็นคำรบสองคือเสียงของดาบหรืออาวุธยาวพร้อมกับม้าที่มีจำนวนประมาณกองทัพย่อยๆที่ดังขึ้นจากทิศบูรพา(ตะวันออก) ...คราวนี้ไม่มีผู้ใดมารายงานอีกต่อไปเพราะทุกคนไม่เหลือกะจิตกะใจมารายงานได้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น แม่ทัพผู้นี้ก็ยังชูมือขึ้นพร้อมกับตวาดสั่งการดังลั่นอีกครั้ง

 

       " เตรียมปืนใหญ่! ตั้งแถวปืนคาบศิลาเตรียมตอบโต้ ส่วนคนอื่นๆ ใช้อาวุธระยะประชิด เข้าประ--- "

 

         แต่แล้วการสั่งการของเขาก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้งนึง แต่คราวนี้การขัดจังหวะมาในรูปแบบของเสียงอันแปลกประหลาดที่สุด...เสียงครางหวีดหวิวฝ่าอากาศอันบาดหูที่สุด...

 

      ...เสียง...ที่น่าหวาดกลัวที่สุดในการสงคราม...

 

         หวืออออออ!

 

       " ฉ ฉิบหายแล้ว! ส เสียงปืนใหญ่!! "

 

         ตูมมมมม!!

 

         ท่ามกลางมิคสัญญียุคที่กำลังอุบัติขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่และไม่อาจจะหยุดยั้งได้อีกต่อไป ชายหนุ่มใต้ใบหน้าของอสุรกายเขี้ยวโง้งยาวที่หากสามารถสังเกตดีๆได้ จะเห็นได้ว่ามันคือหน้ากากที่ถูกทำขึ้นได้อย่างค่อนข้างปราณีตจนไม่อาจแยกออกได้เลยจากที่ไกลๆ...ชายหนุ่มผู้นั้นบีบข้อนิ้วตัวเองดังกร๊อบๆพร้อมกับแสยะยิ้มและครางออกมาเบาๆว่า

 

       " ข้าชอบว่ะ แผนของเอ็งครานี้มันเด็ดดวงดีเสียจริง ไอ้บ้าไกร...ฮ่าๆ คราวนี้ตูได้ทำแต้มนำยัยศกุนตลาไปไกลโขแน่ๆ! "

 

 

 

 

..............................................

 

 

 

 

      ...ไกลออกไป... ณ ลำคลองสายเล็กๆที่คดเคี้ยวราวกับงู ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนป่าอันดำมืดและรกชัฏที่สุด...

 

 

       " ปืนใหญ่น้อยทุกกระบอกบรรจุกระสุนใหม่! เรือเวนไตยเร่งเต็มฝีพาย! เราจะให้ันจับตำแหน่งการยิงของเราไม่ได้! รอคำสั่งจากข้า!! "  ผู้ที่สั่งการในฐานะผู้มีอำนาจบนเรือเวนไตยที่พุ่งฉิวลำนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระเชียงเงิน ขุนนางหนุ่มที่เวลานี้ถูกคำสั่งอย่างเป็นทางการใหม่ของไกรมอบหมายให้มาคุมปืนใหญ่น้อยทั้ง ๖ กระบอกในฐานะปืนใหญ่สนับสนุน ซึ่งเขาก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเขาเล็งและยิงปืนใหญ่น้อยได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ทั้งๆที่ปืนตั้งอยู่บนเรือที่แล่นไปไวราวกับสายลมพัดแท้ๆ...แต่พอชายหนุ่มสั่งการด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจเสร็จสิ้น เวลานี้เขาก็หันหน้ากลับมาหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนจากเดิมชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า เพราะเขาพูดด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆว่า

 

       " อ เอ่อ...ถึงไหนแล้วนะ ศ ศกุนตลา "

 

         ชิ้ง!! 

 

         คำถมที่ค่อนข้างอ่อนน้อมและสุภาพทั้งรูปแบบประโยคและน้ำเสียงกลับไม่เข้าหูของมือสังหารสาวแสนสวยที่เวลานี้เอากระบะทรายมาวางอยู่บนตักตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพราะทันทีที่สิ้นเสียง ระเบิดที่กำลังหาที่ลงอยู่ก็พุ่งลงมาตกใส่หัวของพระเชียงเงินทันที เพราะศกุนตลาตวัดสายตาอันคมกริบสาดใส่ชายหนุ่มผู้รับเคราะห์ตรงหน้า แถมพ่วงมาด้วยจิตคุกคามอันน่าขนลุกที่สุด ก่อนที่เธอจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ที่สุดว่า

 

       " พระ...เชียง...เงิน... ท่าน ก็น่าจะรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่สมควรมาอยู่ที่นี่...บนเรือลำนี้! "  คำพูดที่แช่มช้าและเน้นหนักทุกตัวอักษร และยังผสมกล่นอายของความกดดันที่ทำให้คนธรรมดาขวัญหนีดีฝ่อเอาง่ายๆทำเอาออกพระหนุ่มถึกับต้องหลุดเสียงครางออกมาเบาๆอย่างน่าสงสารที่สุด

 

      ...หลังจากเรื่องที่เขาและเรือเวนไตยได้กระทำจนทำให้อดีตเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือท่านไกรต้องเปลี่ยนแผนการใหม่ที่วางไว้ล่วงหน้าทั้งหมด และการประชุมใหญ่ครั้งนั้น พระเชียงเงินผู้ที่เคยออกตัวว่าเขาค่อนข้างมีฝีมือในการยิงปืนใหญ่ก็ได้รับคำสั่งให้มาประจำการอยู่บนเรือเวนไตยตามเดิมโดยที่เขามีอำนาจสิทธิ์ขาดในการยิงปืนใหญ่น้อยทั้ง ๖ กระบอกบนเรือโดยจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการจู่โจมในครั้งนี้ และครั้งต่อๆไป...แต่ต่างจากคราวกอนตรงที่คราวนี้ท่านไกรฝากให้ คนขอท่าน ขึ้นมาอยู่บนเรือด้วยอีก ๑ คน ซึ่งท่านพระเชียงเงินที่เวลานั้นมีชนักปักติดกลางหลังอยู่ในข้อหาที่เกิอบจะทำให้กองทัพแห่งภูติพรายฉิบหายวายป่วงกันทั้งหมดก็รีบตกปากยอมรับคำสั่งนั้นทันที...ก่อนที่เขาพึ่งจะรู้ตัวว่าเขาพึ่งได้รับสตรีที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกขึ้นมาบนเรือเสียแล้ว

 

      ...ศกุนตลา...สตรีที่น่าจะมีเชื้อสายทางฝั่งพม่า ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากพวกกองทัพภูติพรายที่เห็นมากับตา ว่านางผู้นี้ยิงปืนได้อย่างแม่นยำราวกับผีจับยัด และนอกเหนือจากความฉมังปืนแล้ว...นางยังมีความสามารถอันน่าแปลกประหลาดที่สุด ด้วยการที่นางสามารถรับรู้ถึงเหตุการณ์ในระยะที่ไกลเกินกว่าระยะสายตาได้อย่างถูกต้องราวกับตาเห็น นั่นทำให้ท่านไกรคิดว่าน่าจะเป็นความสามารถที่เหมาะสมกันระหว่างผู้ชี้เป้ากับผู้ยิงปืนใหญ่ จึงทำให้เขาจัดการแบบนี้ และในฐานะนายทัพสูงสุด ทำให้ศกุนตลาไม่อาจจะคัดค้านอะไรได้ถนัดนัก...กรรมจึงตกมาใส่หัวของพระเชียงเงินผู้นี้แทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

 

       " ศ ศกุนตลา...เจ้ากำลังทำให้ทุกคนบนเรือกลัว และทำให้เรือเราช้าลงนะ "  พระเชียงเงินพยายามอธิบาย แต่งานนี้ดูเหมือนเขาจะเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟมากกว่า เพราะแรงกดดันที่ข้นหนักอยู่แล้วเวลานี้กลับยิ่งหนักขึ้นไปอีก พร้อมกับที่หญิงสาวตรงหน้าเบิกตาด้านที่ไม่ได้ถูกปิดบังด้วยหน้ากากยักษ์แสยะยิ้มใส่ออกพระหนุ่มตรงหน้าจนเขารู้สึกเหมือนถูกตาปูดโปนของนกอัปมงคลอย่างนกแสกจ้องมองพร้อมกับที่เธอจะพูดอย่างช้าๆอีกครั้ง

 

       " ข้า...ไม่ได้พยายามทำให้ใครกลัว! "

 

       ' ไม่พยายามบ้าอะไรล่ะฟะ! แบบนี้เป็นใครก็ขี้หดตดหายเฟ้ย! '  พระเชียงเงินได้แต่เถียงกลับไปในใจอย่างไม่อาจหาญพอจะพูดออกมา ก่อนที่เขาจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า

 

       " อ เอ่อ...จะโกรธหรือจะเล่นงานใคร เอาไว้ให้เสร็จคราวนี้ก่อนดีกว่า ...ว เวลานี้ท่านสิน หลวงพรหมเสนา ท่านสิงห์ รวมถึงพี่น้องเราคนอื่นๆกำลังรอปืนใหญ่น้อยที่เป็นกำลังเสริมจากทางของพวกเราอยู่นะ "  คราวนี้เขาพยายามยกเหตุผลเข้าสู้ ซึ่งก็ได้ผล เพราะเหตุผลที่มีน้ำหนักนั่นทำให้ศกุนตลาสงบลงได้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าะยังคงฉายแววไม่พอใจอยู่วิบวับแต่หญิงสาวก็ก้มลงขีดเขียนอะไรบางอย่างบนกระบะทรายซึ่งถ้าสังเกตดีๆ ทรายเปียกในกระบะถูกขีดเขียนเป็นสัญลักษณ์ของแแผนที่ทางยุทธศาสตร์ของทัพอาทมาทพม่าอยางละเอียด ก่อนที่เธอจะชี้ให้ดูพร้อมกับหลบตาและพูดอย่างแช่มช้าว่า

 

       " สิงห์กับยัยสามสาว มายา ชีวา และราตรีรวมกลุ่มกันได้แล้วและกำลังปะทะเข้าขั้นตะลุมบอน คงจะช่วยอะไรไม่ได้...แต่ทางทัพม้าของหลวงยกกระบัตรสินและหลวงพรหมเสนากำลังถูกธนูและปืนคาบศิลายิงกดดันอยู่จนเคลื่อนกำลังต่อไม่ได้ อีกทั้งที่ใจกลางค่ายของพวกมัน พวกพลปืนใหญ่กำลังกู้ปืนใหญ่ที่เรายิงไปขึ้นมาใหม่...อืม ถ้าหากพวกมันกู้ปืนใหญ่ให้กลับมายิงได้ ต่อให้เป็นพวกสายคงกระพันชาตรีอย่างสิงห์หรือหลวงพรหมเสนาก็คงจะย่ำแย่เหมือนกัน "

 

       " แน่แท้แก่ใจแล้วนะขอรับ? "  พระเชียงเงินหลุดปากถามออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะต้องรีบเบือนหน้าหนีทันที เพราะหญิงสาวตรงหน้าเบือนสายตาที่เยียบเย็นปานสายตาของอสรพิษมามองวูบ...สารภาพอย่างไม่อายเลยว่าเขากลัวสายตาของสตรีนางนี้ยิ่งกว่ากลัวปืนพม่าเสียอีก จนเขาต้องรีบถามต่อทันทีว่า

 

       " ถ ถ้าเช่นนั้นคงต้องรีบจัดการพลแม่นปืนกับพวกที่กำลังกู้ปืนใหญ่...เวลนี้เราอยู่ตรงไหนของลำคลองกัน? "

 

         ทั้งๆที่เรือยังคงแล่นไปอย่างรวดเร็วในความมืดมิด แต่ศกุนตลาก็ยังชี้ไปที่จุดๆหนึ่งบนรอยขีดที่ถูกสมมุติว่าเป็นลำคลองที่เรือแล่นอยู่ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งคราวนี้พระเชียงเงินไม่สอบทานเพื่อให้แน่ใจอีก เพราะเขาถามต่อทันที

 

       " ถ้าปืนใหญ่กับพลปืนของพวกมันยังอยู่ที่เดิม ถ้าเช่นนั้น แรงลม? "

 

       " อาคเนย์(ตะวันออกเฉียงใต้) ไปพายัพ(ตะวันตกเฉียงเหนือ) ลมปานกลาง " 

 

         เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมากพอ พระเชียงเงินก็หันกลับไปสั่งการพวกคนคุมปืนใหญ่ที่เตรียมรอท่าอยู่ด้วยเสียงดังชัดเจนที่สุดว่า

 

       " ปืนใหญ่น้อยกระบอก ๑ ถึง ๓ หันซ้าย ๓ ส่วน เงย ๒ ใน ๓...ปืนใหญ่น้อย ๔ ๕ ๖ ซ้ายกึ่งส่วน มุมเดิม...ยิง! "

 

         ตูม!

 

         ท่ามกลางเสียงกัมปนาทของปืนใหญ่น้อยที่ถูกยิงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจนเรือเอียงวูบไปแถบนึง ก่อนจะกลับมาต้งลำตรงได้ในเวลาอันรวดเร็ว...ศกุนตลาตั้งท่ารับกัมปนาทของเสียงปปืนใหญ่ด้วยท่าทีสงบโดยเพียงแค่ยกมือปิดหูด้านนึงเท่านั้นโดยไม่ชักสีหน้าใดๆเลยแม้แต่น้อย...เธอเอียงคอก่อนจะหยังเสียงถามโดยประสงค์จะลองเชิงเรียบๆว่า

 

       " คิดว่าจะยิงถูกไหม? พระเชียงเงิน "

 

       " ถามเช่นนี้มันก็เป็นการดูถูกข้าเหมือนกันนะ ศกุนตลา "  พระเชียงเงินตอบกลับเรียบๆอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร ซึ่งหญิงสาวก็หัวเราะในลำคอเบาๆเล็กน้อย ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆว่า

 

       " ถ้าไม่นับว่าข้าหมดโอกาสจับปืนโดยสมบูรณ์ ที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้าย...ถ้าไม่ติดเสียว่า--- "

 

       " ถ้าไม่ติดว่า? "  พระเชียงเงินทวนคำเบาๆ ก่อนที่คำตอบจะตอบคำถามด้วยตัวมันเอง ด้วยเสียงของผู้เป็นต้นหนบังคับเรือ...ชายหนุ่มตาลึกโหลที่น่าตาจัดว่าหล่อเหลาคนนึงซึ่งในอดีตเคยอยู่ในราชการในตำแหน่งถึง ออกญาศรีราชเดโชไชยท้ายน้ำ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าฝ่ายซ้าย แต่เพราะไปทำเหตุการณ์งามหน้าที่ไกรบอกว่าเพราะเอาเรือลำนี้ไปชนเข้ากับเรือพระที่นั่งจนหวิดล่มมาแล้ว จนถูกทำโทษอย่างปราณีด้วยการลดขั้นลงเหลือหมื่นท้ายน้ำแทน ที่เวลานี้กำลังจับพังงาที่กลางเรือใกล้ๆกับพวกเขาพร้อมกับแหกปากระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

 

       " ก๊ากกกก! ฮ่าๆๆๆๆ แล่นฉิวไปเลยแม่เวนไตยสุดที่รักของพี่!  ว่าเว้ย! ที่นี่ไม่มีเรือให้ชนเลยเฟ้ย! ขัดใจเสียจริ๊ง! ...ก๊ากกก! แล่นเร็วขนาดนี้มีปีกตูคงบินไปแล้ว!! "

 

       " ฆ่ามัน...ต้องฆ่ามันเท่านั้น! "  ศกุนตลาที่เวลานี้ทนฟังมาจนกระทั่งความอดทนที่มีน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสิ้้นสุดลงและชักปืนสับนกเล็กๆที่แอบซ่อนมาด้วยออกมา แถมจิตสังหารที่เล็ดรอดออกมาก็อยู่ในระดับเอาจริงจนพระเชียงเงินต้องรีบกระโดดมาเอามือกดปืนนั้นไว้กับลำเรือพร้อมกับร้องห้ามเสียงหลง

 

       " เฮ้ยๆๆๆ! ย อย่าเชียวนะ! ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ไอ้บ้าที่เมาปลิ้นนั่นก็เคยเป็นถึงออกญานาหมื่นระดับเดียวกับท่านไกรเชียวนะ! "

 

       " จะใหญ่มาจากไหน ข ข้าก็ไม่สน...แม้แต่เจ้าพระยาข้ายังเคยยิงคว่ำมาแล้ว! ม มันกล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร! ม มันบังอาจ--- "  ท่าทางของศกุนตลาที่โกรธจนเกือบจะสติเสียอยู่รอมร่อจนน่ากลัวทำให้พระเชียงเงินเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับทวนคำอย่างงงๆว่า

 

       " พูดเช่นนั้น? "

 

       " ก็เวนไตยเป็นพญาครุฑเพศผู้แท้ๆ ต แต่มันกลับพูดว่า แม่เวนไตย...ย หยามกันชัดๆ เช่นนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว! "

 

       " ว่าอะไรนะ! นี่เจ้าโกรธมันเพราะเรื่องนี้เรอะ?!...ฮ เฮ้ย! ถามจริงๆเถอะ นอกจากข้าแล้วบนเรือลำนี้มีใครที่มันปรกติบ้างไหมฟะเนี่ย!! "  

 

         บนเรือที่แล่นผ่านคลองอันคดเคี้ยว เร็วราวสายลมพัด...พระเชียงเงินได้แต่แหกปากตะโกนโหยหวนอย่างน่าสงสารที่สุดแต่เพียงผู้เดียว...

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

      ...เหนือความโกลาหลของกลียุคขอทัพอาทมาทแห่งพระเจ้าอลองพญาอันเกรียงไกร... ณ ยอดผาตัดซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถมองเห็นสถานการณ์การรบได้อย่างชัดเจนที่สุด แม้ว่าจะอยู่ภายใต้แสงของดวงจันทร์เพราะพระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงก็ตาม...ไกรที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะสีดำสนิทและนั่งอยู่บนหลังของสีหมอก...ม้าสีขาวหม่นที่สวมทับไว้ด้วยชุดเกราะสดำที่ตัดกันอย่างสวยงามที่สุด...ชายผู้รับผิดชอบแผนการรบในครั้งนี้กำลังใชกล้องสองทางไกลกำลังขยายสูงที่สุดเท่าที่เขามีส่องไปยังกลางทัพพม่าที่กำลังระส่ำระสาย ก่อนที่ปืนใหญ่ในระลอกที่ ๒ ที่แม่นยำราวกับจับวางจากเรือเวนไตยจะพุ่งลงใส่ปืนใหญ่กว่า ๑๐ กระบอกที่พวกทหารพม่าพยายามจะกู้ให้กลบมาใช้การได้อีกครั้งเต็มๆ...และถึงแม้ว่าจะถูกยิงมาจากปืนใหญ่น้อยเพียง ๓ กระบอก แต่กระสุนที่บรรจุนั้นไม่ใช่กระสุนลูกตันที่เอาไว้ใช้ทำลายสิ่งก่อสร้าง แต่เป็นกระสุนสมัยใหม่อย่างกระสุนลูกแตก จึงทำให้มันมีอำนาจสังหารทุกสรรพชีวิตเต็มเปี่ยม ...เหล่าชายฉกรรจ์ที่กรูกันหมายกู้ปืนใหญ่ให้กลับมาใช้ได้ถูกสะเก็ดกระสุนที่แตกออกสังหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วง และพลิกเอาเศษหินเศษกรวดขึ้นมาและพุ่งกระจายไม่ต่างอะไรจากม่านกระสุนจนไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาจัดการกู้อาวุธหนักอย่างปืนใหญ่ติดล้อเกวียนได้อีก...และด้วยกำลังขยายของกล้องส่องทางไกลที่คุณภาพดีที่สุด มันทำให้เขาเห็นเศษเลือดเนื้อที่กระเซ็นไปทั่วด้วยอำนาจของปืนใหญ่น้อยนั้นอย่างใกล้ชิดแม้ว่าจะอยู่ไกลจากสมรภูมิเดือดนั่นถึงเพียงนี้ก็ตามที...

 

      ...ชั่วครู่หนึ่งที่ผ่านไปราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์...ไกรก็ค่อยๆถอนสายตาออกจากกล้องส่องทางไกลโลหะของเขา ก่อนจะหลับตาลงและพูดออกมาอย่างแช่มช้าเบาบางที่สุด...

 

       " ตอนอ่านหนังสือประวัติเมื่อก่อนก็เคยสงสัยตะหงิดๆอยู่หรอกว่าตอนนั้นเขาจะรู้สึกยังไง...เวลานี้ผมเข้าใจแล้ว ...เข้าใจความรู้สึกนั้นอยางแจ่มแจ้งที่สุดเลยด้วย... "

 

       " ...Now.. I am become Death, the Destroyer of Worlds. (บัดนี้ข้าพเจ้าได้กลายเป็นยมฑูต(ความตาย)...ผู้ทำลายล้างโลก --- คำพูดในบั้นปลายของขีวิตของ เจ. โรเบิร์ต ออฟเฟ่นไฮเมอร์ -- หัวหน้าโครงการแมนฮัตตัน บิดาแห่งระเบิดนิวเคลียร์) "

 

 

 

 

 ....................................................

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา