ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.79K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

135)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

==============================================

 

 

 

     ...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ย้อนกลับมาที่เขตพระราชฐานชั้นใน พระบรมมหาราชวัง...กรุงอโยธยา...

 

     ...ถึงแม้ว่าในเวลานี้หน่วยคเณศร์เสียงาจะเหลือเพียงแค่นามเปล่าๆไปแล้ว หลังจากที่ไกรหรือเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี รวมถึงคนอื่นๆในหน่วยถูกให้ออกจากราชการไปแล้ว (จากงานใหญ่ที่ต้องทำกันอย่างเป็นความลับ เพื่อความแนบเนียนและความชอบธรรมในตัวตนของไกรเอง) ...แต่สำหรับหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงารุ่นก่อตั้งอย่างอนาสตาเซีย กลับอยู่ในฐานะที่ได้รับการยกเว้น เพราะเธอยังคงดำรงตำแหน่งคุณท้าวจ่าโขลนพิเศษผู้ดูแลเขตพระราชฐานชั่นในต่อโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่เพราะคำสั่งของไกรอย่างเดียว แต่เพราะคำขอร้องของเหล่าจ่าโขลน นางกำนัล รวมไปถึงเจ้านายฝ่ายในพระองค์อื่นๆอีกจำนวนไม่น้อยอีกด้วยที่ไม่ต้องการให้เธอละทิ้งหน้าที่อันสำคัญที่สุดเช่นนี้...เพราะมือสังหารระดับสูงที่ผันตัวมาเป็นผู้รักษาความปลอดภัยเช่นเธอมีฝีไม้ลายมือและความคิดอ่านเหนือกว่าทุกๆคน ทั้งฝ่ายเดียวกันและฝ่ายผู้ไม่หวังดีเสมอ ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตพระราชฐานชั้นในนี้อย่างมาก และแน่นอนว่าถึงจะเต็มไปด้วยคนที่ชื่นชมเธอ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีใครอิจฉาริษยา หรือหมั่นอกหมั่นไส้ในฐานะพิเศษของ ฝรั่งแขนลาย อย่างเธอ...แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนต่างก็ยังเกรงใจเธอ และก็ยะงคงเกรงใจเธอแม้ว่าเวลานี้จะไม่มีชื่อของ หน่วยคเณศร์เสียงา ต่อท้ายชื่ออยู่แล้วก็ตาม... 

 

      ...อาจจะเป็นเพราะไม่ว่าจะรักหรือชัง ทุกคนในฝ่ายในต่างก็รู้เช่นเห็นชาติในฝีมือของเธอ ที่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่บุรุษแห่งหน่วยคเณศร์เสียงาได้อย่างไม่ด้อยกว่ากันมาแล้ว...และรู้แน่แล้วว่าไม่มีใครเลยที่เชื่อว่ามีคุณสมบัติมากพอจะทดสอบเธอได้...

 

     ...แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้เป็นเรื่องที่แน่นอน แต่ทุกอย่างก็ยังมีข้อยกเว้นเสมอ...

 

      " เฮ้อ "  ในที่สุด หลังจากเดินตรวจตราตามแนวกำแพงมาได้ประมาณครึ่งนึงของหน้าที่ประจำวัน อนาสตาเซียก็หยุดเดินพร้อมกับหลับตาลงและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...ร่างสูงโปร่งอย่างชาวตะวันตกของหญิงสาวยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับขุนเขาที่ไม่มีวันถูกโค่นล้ม...ก่อนที่ชั่วอึดใจใหญ่ๆต่อมา หญิงสาวก็พูดออกมาดังๆโดยไม่หันหลังกลับไปมองว่า

 

      " เจ้าจะต้องตามข้าไปถึงไหนถึงจะสาแก่ใจเจ้ากัน? "

 

      " ... "

 

        ถึงแม้ว่าสิ่งเดียวที่ตอบอนาสตาเซียกลับมาจะเป็นเพียงความเงียบงันที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นอย่างค่ำคืนปรกติในฤดูเหมันต์ แต่อนาสตาเซียก็ยังคงถอนหายใจเฮือกออกมาอีกครั้ง

 

      " ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใครหรือต้องการอะไร แต่ก่อนอื่นข้าต้องขอชมว่าเจ้าซ่อนได้ดี และฉลาดที่ไม่รีบกระโตกกระตากออกมาเพราะข้าอาจจะเพียงแค่หยั่งเชิงเฉยๆ...แต่ต้องขอติว่าตั้งแต่แรกเริ่มที่เจ้าแอบสะกดรอยข้าตั้งแต่ข้าเข้ามาในเขตกำแพง เจ้าพลาดในการกลบเกลื่อนกลิ่นอาย ๓ ครา เผลอเรอเข้าใกล้ข้ามากเกินไปจนข้าจับจิตคุกคามเล็กๆของเจ้าได้ ๓ ครา ไม่นับที่เจ้าใจเต้นระส่ำตลอดเวลาที่เจ้าสะกดรอย คนอื่นอาจจะไม่ได้ยินแต่ข้ามันพวกหูผี ซึ่งหัวใจของเจ้าบ่งบอกว่าเจ้าได้รับการฝึกมาดีแต่ไร้ซึ่งประสบการณ์...ระดับของเจ้ามันไม่ถึงขั้นจะเล่นงานข้าได้หรอก...เอาล่ะ หลังจากที่ข้าสาธยายแจกแจงทั้งหมดแล้ว เจ้าจะออกมาได้รึยัง?...อย่าบังคับให้ข้าต้องชักดาบออกมาเลย! "

 

        สิ้นคำขู่ที่ไม่ควรมีผู้ใดจะกล้าอาจหาญลองดี ที่ด้านหลังของเธอไกลออกไปประมาณ ๕-๖ วาก็ปรากฏเสียง แซ่ก! เบาๆ ก่อนที่ร่างเล็กบางของสตรีนางนึงที่อยู่ภายใต้ชุดเครื่องทรงอันสูงศักดิ์ก้าวเท้าอย่างแช่มช้ามายืนอย่างมีสง่งอยู่บนเส้นทางถนนอิฐแดงเส้นทางเดียวกับอนาสตาเซียโดยเจตนาที่จะเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

 

        ดวงหน้า...หรือดวงพักตร์ที่แม้จะปรากฏผ่านแสงจากไต้ที่ริบหรี่จนเห็นได้เพียงรำไรและเลือนลางแต่กลับแจ่มชัดออกมาจากความทรงจำของตัวอนาสตาเซียเอง และความมืดก็ไม่อาจจะปิดบังประกายแห่งสิทธิอำนาจที่แแผ่ซ่านออกมาจากร่างเล็กบางนี้ได้...ดวงพักตร์และประกายที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดที่สุด

 

      ...ดวงพักตร์...ที่แม้จะอ่อนชันษากว่า แต่ก็มีประพิมพ์ประพายคล้ายกับดวงพักตร์ของเจ้าจอมมารดาคนสำคัญผู้ล่วงลับ...เจ้าจอมมารดาเพ็ง ท่านหญิงแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ผู้พี่อย่างที่สุดราวกับมาจากพิมพ์เดียวกัน!

 

      " เจ้า? "

 

      " เรามีสายพระโลหิตกึ่งหนึ่งของสมเด็จพระราชบิดาไหลเวียนอยู่...จงใช้ราชาศัพท์ "  คำพูดหรือดำรัสของสตรีน้อยที่น่าจะมีชันษาน้อยกว่าอนาสตาเซียอย่างน้อยก็ประมาณ ๒ ปีถึงแม้จะเต็มไปด้วยศักดิ์และสิทธิ์อันชอบธรรม แต่ก็ทำได้แค่ทำให้อนาสตาเซียที่มีตบะค่อนข้างแก่กล้าและไม่ใช่คนพื้นเพอโยธยามาตั้งแต่แรงขมวดคิ้ววูบ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามและไม่อยากจะทำให้เรื่องบานปลาย เธอจึงตัดสินใจคุกเข่าลงข้างนึงก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่เรียบๆว่า

 

      " น้อมคารวะ...พระองค์เจ้าหญิงสตันสรินทร์เทวี "

 

        ใช่แล้ว...ต่อให้ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ก็เดาได้ไม่ยากเย็นเลย...พระนางคงมิใช่ผู้ใด แต่เป็นพระองค์เจ้าหญิงคนสำคัญ ธิดาองค์โตในสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาคนพี่คนสำคัญ เจ้าจอมมารดาเพ็ง ผู้ลั่่วงลับนั่นเอง 

 

      " ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้น "

 

      " ขอบพระทัย "

 

      " และจงเตรียมตัว "

 

      " เพคะ? "

 

        วูบ!

 

        อย่างไม่ยอมหยุดรอให้อนาสตาเซียถามซ้ำหรือได้ตั้งตัวใดๆทั้งสิ้น พระองค์เจ้าหญิงองค์สำคัญก็กระชากดาบคู่อันเรียวงามที่ซ่อนอยู่ออกมาจนใบดาบสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นสีเงินยวงสว่างวาบ พร้อมกับที่พระองค์ย่อพระวรกายลงและดีดพรวดด้วยความเร็วที่น่าตกใจสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่ไม่ควรแม้แต่จะได้ดำเนินด้วยพระองค์เองบ่อยๆด้วยซ้ำ เพียงพริบตาเดียวพระองค์ก็มาอยู่ประชิดตัวของอนาสตาเซียพร้อมกับจิตคุกคามที่แผ่พุ่งแทบเป็นสาย ดวงเนตรเป็นประกายเจิดจ้าแข่งกับประกกายดาบที่วาดราวกับสายฟ้าแล่บ!

 

        พรึ่บ!

 

        แต่เพียงเสี้ยวองคุลีก่อนที่ใบดาบอันเล็กแคบและเงาวับในหัตถ์ทั้งสองจะได้สัมผัสคอระหงส์ของอนาสตาเซีย ดาบทั้งสองเล่มก็หยุดลงอย่างกะทันหันจนทั้งคู่อยู่ในสภาพที่เจ้านายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงพาดดาบอยู่บนคอของหญิงสาวสายเลือดตะวันตก ในขณะที่มือสังหารสาวไม่ได้เปลี่ยนท่าทีใดๆเลย...อนาสตาเซียยืนนิ่งโดยที่ไม่แม้แต่คิดจะเอื้อมมือไปแตะ นาคราช ที่อยู่ในฝักดาบข้างสะโพกของเธอเลยแม้แต่น้อย...หญิงสาวเพียงแค่ยืนนิ่ง ด้วยดวงตาที่สงบและไม่สะทกสะท้าน

 

        นิ่ง...ราวกับภูผาที่ไม่มีวันทลาย!

 

        แต่กลับเป็นพระองค์เจ้าหญิงสตันสรินทร์ที่เป็นฝ่ายต้องเปลี่ยนสรพระพักตร์จากขาวซีดกลายเป็นแดงเข้ม พร้อมกับบิดเบี้ยวอย่างขัดพระทัยทีสุดจนพระองค์ต้องกระชากพระสุรเสียงดำรัสถามออกมาห้วนๆทันที

 

      " เหตุใดจึงไม่ชักดาบ! "

 

      " เพราะไม่จำเป็นแต่อย่างใดน่ะสิเจ้าคะ "  อนาสตาเซียมองสบดวงเนตรของสตรีสำคัญที่สูงเพียงแค่คางของเธอด้วยน้ำเสียงสบายๆโดยไม่รู้สึกกดดันกับดาบสองเล่มที่พาดอยู่ตรงคอของเธอเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เมื่อได้ยินชัดๆ องค์หญิงตรงหน้าก็ถึงกับกัดทนต์กรอด

 

      " คิดว่าเราจะไม่กล้าลงดาบเช่นนั้นหรือ! "

 

      " หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องคิด...พระองค์เป็นผู้บอกหม่อมฉันเอง "

 

      " อะไรนะ?! "

 

      " ยกเว้นแต่พระองค์ไม่ดำรัสออกมาเท่านั้น พระองค์ทรงบอกหม่อมฉันด้วยทุกอย่าง ทั้งจิตคุกคามที่ไม่มั่นคงและไม่ได้พัฒนาถึงขั้นเป็นจิตสังหาร ทั้งหัวใจที่เต้นระส่ำจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก ทั้งมือที่ไม่สามารถหยุดอาการสั่นที่กำลังจะเริ่มออกอาการจนไม่อาจจะประคองปลายดาบให้นิ่งได้อีกต่อไป... "  ทันทีที่อนาสตาเซียพูดถึงตอนนี้ ปลายดาบของพระองค์เจ้าหญิงตรงหน้าก็ค่อยๆสั่นขึ้นจากที่เคยสงบนิ่งที่สุดชนิดแทบจะเป็นไปตามคำพูดของมือสังหารสาวทุกประการ จนกระทั่งอนาสตาเซียต้องใช้มือเบี่ยงปลายดาบออกเพราะอาการสันอย่างควบคุมไม่อยู่นั้นอาจจะทำให้คอเธอถูกบาดโดยไม่จำเป็นได้...เธออธิบายได้อย่างหมดจด อย่างผู้เจนจบ ชนิดที่ไม่อาจจะเถียงออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

 

        คราวนี้เจ้าหญิงสตันสรินทร์กลับยินยอมให้ปลายดาบทั้งสองถูกเหวี่ยงออกแต่โดยดี อาจเป็นเพราะพระองค์แทบจะไม่เหลือแรงประคองดาบที่แม้ว่าจะถูกสร้างมาให้เบากว่าปรกติแต่การถือไว้สองเล่มพร้อมกันก็ยังคงหนักเกินกำลังของพระองค์อยู่ดีแล้ว ในขณะที่ดวงเนตรกลมโตนั้นส่องแสงเป็นประกายอย่างเจ็บแค้นพระทัยในความอ่อนแอของพระองค์เอง

 

     ...แต่เพียงชั่วกึ่งอึดใจต่อมาดวงเนตรอันเผยให้เห็นถึงความเจ็บพระทัยนั้นจะสูญสลายหายไป ในขณะที่เจ้าหญิงองค์สำคัญจะกลับคืนสู่บุคลิกภาพอันสูงส่งและเต็มไปด้วยศักดิ์และสิทธิ์อีกครั้งพร้อมกับที่พระองค์ยืดพระวรกายขึ้นจนทำให้อนาสตาเซียนึกถึงเจ้าจอมเพ็งที่เธอเคยพบในเวลาอันสั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่เจ้าหญิงสตันสรินทร์ระบายปัสสาสะออกมาช้าๆ ก่อนที่พระองค์จะเก็บพระแสงดาบพร้อมกับดำรัสออกมาเรียบๆว่า

 

      " เรามิได้หวั่นไหว หรือไร้ซึ่งความกล้า "

 

      " อ้อ? "

 

      " เรามิได้แก้ตัว และไม่จำเป็นต้องทำ...เพียงแต่เจ้ามิใช่เป้าหมายของเรา เหตุผลก็แค่นี้ "

 

      " ? "

 

        คราวนี้เจ้าหญิงเมินพระพักตร์ก่อนจะหันพระวรกายกลับและดำเนินออกไปราวกับไม่เคยมีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย...ก่อนที่พระองค์จะหยุดดำเนินเล็กน้อยพร้อมกับดำรัสออกมาช้าๆโดยไม่หันกลับมามองว่า

 

      " ผู้ที่สมควรตายน่ะ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น! "

 

        ในชั่วพริบตานั้น จิตคุกคามที่หลงเหลือเพียงอ่อนๆและไม่ควรจะมีพิษภัยอะไรอีกกลับแปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหารที่เข้มข้นจนแม้แต่คนอย่างอนาสตาเซียยังถึงกับสะดุ้งและแทบจะเอามือไปแตะด้ามดาบตามสัญชาตญาณ แต่แล้วจิตสังหารนั้นก็สลายหายไปอีกครั้งราวกับไม่เคยมีอยู่ พร้อมกับที่องค์หญิงสตันสรินทร์จะดำเนินห่างออกไปช้าๆ ทิ้งให้อนาสตาเซียที่ยืนกลืนน้ำลายอย่างพยายามรักษาความเยือกเย็นไว้ตามลำพัง...

 

      ' ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ว่า...เจ้าอาจจะกำลังถูกหมายหัว ด้วยสตรีที่เจ็บแค้นและอาฆาตมาดร้ายไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานในภาวะลำบากเลยก็เป็นได้นะ...ไกร '

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

     ...เช้ามืดในวันต่อมา...ณ จุดอันเป็นค่ายพักแรมของกองทัพแห่งภูติพราย...

 

     ...ถึงจะอยู่ในต่างสถานที่ และปรกติวิสัยแล้วก็ไม่ใช่คนที่ตื่นเช้าอะไรนัก...แต่วันนี้ไกรกลับตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืดชนิดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากเหลี่ยมขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะเรื่องหนักใจหลายอย่างที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวอย่างนี้ และมันทำให้เขารู้สึกตื่นไม่ค่อยเต็มตาจนไม่แจ่มใสอย่างที่ควรจะเป็นอีกต่างหาก...ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆอยู่ ๒-๓ รอบก่อนที่เขาจะค่อยๆยกท่อนแขนและท่อนขาที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อของสิงห์ที่นอนกอดก่ายอย่างอยู่ไม่สุขออกไปจากกาย ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้สิงห์และคนอื่นๆตื่น จนกระทั่งเขาสามารถยืนได้เต็มตัว ชายหนุ่มจึงสะบัดหัวและเอามือคลึงใบหูด้านที่ถูกสิงห์กรนใส่ตลอดทั้งคืนเล็กน้อยพร้อมกับครางออกมาเบาๆ

 

      " คิดผิดแหงๆเลยตู "  ไกรนึกถึงเรื่องที่เขาปฏิเสธที่จะกลับไปนอนคนเดียวที่เดิมแล้วยอมมานอนรวมกันกับสิงห์ เพราะเมื่อมาคิดใหม่เอาตอนนี้เขาก็ค่อนข้างเชื่อว่าแม้แต่คนอย่างอเทตยาก็คงไม่น่าจะมุดผ้าห่มเขาซ้ำสองแน่...แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้เขาคิดได้เมื่อคืน เขาก็ยังไม่กล้าลองเสี่ยงเดิมพันเท่าไหร่อยู่ดี

 

        ชายหนุ่มถอยห่างออกมาก่อนจะใช้เวลาเล็กน้อยในการจัดแต่งทรงผมและเสื้อแสงของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะค่อยๆย่องผ่านเหล่าชายฉกรรจ์คนอื่นๆที่บางคนยังคงนอนกอดไหเหล้ากรนคร่อกๆอยู่โดยที่ทุกคนไม่ได้รู้สึกตัวเลย แม้กระทั่งเวรยาม ๓ คนในเวรสุดท้ายที่ตอนนี้กำลังนั่งสัปหงกจนหัวแทบจะทิ่มลงกองไฟที่เหลือเพียงแค่ถ่านแดงๆเรื่อๆแล้วจนทำให้ไกรที่เป็นหัวหน้ากองกำลังโดยตรงถึงกับต้องกุมขมับ

 

     ...ถ้าไม่ใช่เขาเก่งเรื่องการปิดบังตัวตนขึ้นจนถึงขั้นลบจิตไปเลยอย่างอเทตยาแล้วล่ะก็...การวางเวรยามนี่ก็หละหลวมจนเขาถึงกับต้องเป็นกังวลเลยทีเดียว...

 

      " คงต้องคุยเรื่องนี้กับท่านสินซักรอบ "  ไกรนัดหมายกำหนดการล่วงหน้าไว้ในใจอย่างหมายมั่น แต่เวลานี้เขาก็ปล่อยให้หลับไปก่อนพร้อมกับย่องผ่านออกมา แต่พอมาถึงด้านที่สิงห์บอกว่าเป็นเวรยามวงนอกเขาถึงกับต้องชะงักกึกพร้อมกับมือเย็นตีนเย็นวูบทันที เพราะเพียงเขาลับเหลี่ยมต้มไม้ใหญ่มาเท่านั้น สายตาเขาก็เหลือบไปชนกับเสือโคร่งตัวเท่าลูกม้าที่เวลานี้นอนหมอบซ่อนอยู่ในเงาพุ่มไม้ใหญ่ที่ด้วยลายอันพรางสายตามันทำให้เขาแทบจะสังเกตไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่ทันทีที่ไกรเหลือบไปเห็น เจ้าป่าแห่งสุวรรณภูมิตัวนั้นก็เหมือนจะจับสัมผัสของไกรได้ในเวลาพร้อมๆกัน เพราะมันก็ลืมดวงตาอันกลมโตสีเหลืองอ่อนหรี่ขึ้นพร้อมกับครางออกมาต่ำๆเป็นเชิงเตือนทันที

 

        วูบ!

 

        เสียงครางนั้นไม่ได้มาเพียงแค่เสียงแต่มาพร้อมกับจิตคุกคามที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าผู้บุกรุกไม่ควรจะขยับตัวและมันพร้อมจะลงมือจริงๆไม่ได้ล้อเล่น...แต่ก่อนที่เหตุการณ์แย่ๆจะเกิดขึ้น ไกรก็ระลึกได้ว่าเสือโคร่งตัวเท่าลูกม้าตรงหน้าไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่คือมายา เสือสมิงพี่ใหญ่ใต้อาณัติของสิงห์นั่นเอง นั่นทำให้เขาค่อยๆระบายลมหายใจออกทางจมูกจากที่แทบลืมวิธืหายใจ ก่อนจะกระซิบออกมาเบาๆว่า

 

      " ข้าเอง...มายา "

 

        ทันทีที่ได้ยินเสียงและเห็นหน้าชัดๆ มายาก็จำได้ว่าเป็นไกร เธอจึงกระพริบตาปริบๆอย่างงงงวย ในขณะที่ไกรเองก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากซึ่งเป็นสัญญลักษณ์สากลว่าให้เงียบไว้ มายาในร่างเสือสมิงจึงโคลงหัวเล็กน้อยก่อนจะหลบตาลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ไกรที่ต้องเอามือลูบแขนตัวเองเพื่อหยุดอการขนลุกซู่ๆ ผ่านไปช้าๆ

 

      " เฮ้อ...มิน่าล่ะ ไอ้สิงห์ถึงได้วางใจนัก...ขนาดเราว่าปิดกั้นจิตเก่งขึ้นแล้วแท้ๆยังไม่รอด ถ้าเป็นคนแปลกปลอมมีหวังถูกจับได้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วมั้งเนี่ย "

 

     ...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลังจากที่ไกรเดินออกไปได้เพียงพักเดียว สิงห์ที่เห็นชัดๆว่านอนกรนคร่อกๆก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างกะทันหันพร้อมกับบิดตัวอย่างเมื่อยขบจนกระดูกลั่นเกรียว ในขณะที่คนอื่นๆที่นอนอยู่ไม่ห่างนักอย่างหลวงยกกระบัตรสินและหลวงพรหมเสนาต่างก็ลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับมองไปทางที่ไกรเดินออกไปและสีหน้าเคร่งลง อันแสดงให้เห็นว่าทั้ง ๓ คนต่างก็รู้สึกตัวกันทั้งหมดที่ไกรเดินออกไปจากที่พักแรม...เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร คุณหลวงสายเลือดจีนผู้มากับท่านสินก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆว่า

 

      " เอ่อ...ปล่อยไปเช่นนี้จะดีหรือขอรับ? "

 

      " หืม? "

 

      " ก็ท่านเจ้าพระยา หมายถึงท่านไกรอย่างไรขอรับ...ถึงจะบอกว่าเราอยู่ในเขตของอโยธยาแต่เวลานี้ก็อยู่ในสถานการณ์ศึก เขาอาจจะไปปะทะกับกองทหารลาดตระเวนพม่าตามลำพังเอาได้ "

 

      " ไกรมันไม่ได้โง่นะ มันรู้หรอกว่ามันควรจะไปถึงขนาดไหนจึงอยู่ในเขตปลอดภัย แล้วอีกอย่าง ระดับของมันตอนนี้ที่มียัยลูกแก้วลูกขวัญคอยคุ้มกันอยู่ด้วย ขืนตามไปก็มีหวังถูกมันจับได้เปล่าๆ ปล่อยมันไปก่อนน่ะดีแล้ว "  สิงห์พูดเรื่อยๆพลางอ้าปากหาวหวอดๆ แต่ก็ไม่ได้หลวงพรหมเสนาเป็นห่วงน้อยลงเลย เขาหันกลับมาหารุ่นพี่ผู้มีศักดิ์เหนือกว่าอย่างสินพร้อมกับขอคำอธิบายเพิ่มเติม แต่สินเองก็ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ

 

      " เราตามไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก หลวงพรหมเสนา "

 

      " แต่ว่า "

 

      " ปล่อยเขาไปซักพักเถอะนะ "

 

      " เป็นเช่นนี้จะดีหรือขอรับ...เขาเป็นหัวหน้า คนเป็นหัวหน้าไม่ควรแสดงด้านอ่อนแอให้ผู้ใต้บัญชาเห็น เมื่อวานก็ครานึงแล้ว มาวันนี้อีก "  หลวงพรหมเสนาร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งเมื่อได้ฟัง ทั้งไกรและสิงห์ก็หันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกันทันที

 

      " ฮ่ะๆ เจ้าพูดเช่นนี้เพราะเจ้ายังไม่รู้จักเขาดี...ไม่สิ ข้าเองก็เคยคิดเช่นเจ้า คิดมากกว่าเจ้าด้วยซ้ำไป "  หลวงยกกระบัตรสินสารภาพออกมาตามตรง ซึ่งสิงห์ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับอธิบายต่อว่า

 

      " เจ้าแค่ไม่คุ้นเคย หลวงพรหมเสนา...ไกรมันไม่ใช่ทหาร หรือข้าราชการโดยกำเนิด มันไม่ได้มีหน้าที่เพียงรับคำสั่งแล้วปฏิบัติตามโดยไร้ข้อกังขา...มันคิด และเวลานี้มันกำลังรู้สึกสับสนในความคิดของตนเอง...คนแบบนี้แหละที่น่ากังวล เพราะหลังจากที่มันคิดได้และหายสับสน มันจะเป็นไปได้เพียงสองทางเท่านั้น คือไกรคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี่มันผิดและไม่อาจจะยอมรับได้ นั่นจะกลายเป็นปัญหาทันที เพราะหัวเด็ดตีนขาดมันจะไม่ยอมทำสิ่งที่มันคิดว่าผิด...ดีไม่ดีจะมาขัดขวางพวกเจ้าและทัพนี่ด้วยซ้ำ "

 

      " บ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ! "  หลวงพรหมเสนาอุทานออกมาเบาๆอย่างตกใจ แต่สินกลับตอบรับด้วยการหัวเราะออกมาเบาๆเช่นกัน

 

      " แต่ในทางกลับกัน ถ้าท่านไกรตัดสินใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เวลานั้นแหละเจ้าเอ๋ย...เขาจะทำทุกอย่างเพื่อบรรลุผล และข้าบอกได้เลยว่าแผนการแต่ละอย่างของเขามันช่างน่าตื่นตาตื่นใจทุกครั้ง...และแน่นอนว่าพวกเราไม่มีวันคาดคิดถึงความบ้าของเขาได้แน่ๆ "

 

      " มันไม่สุ่มเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือขอรับเนี่ย?! "

 

      " นี่ไม่เรียกว่าสุ่มเสี่ยงหรอก แต่เรียกว่าเป็นการพนัน เป็นการเดิมพันชนิดเอาบ้านเอาเมืองกันเลยล่ะเกลอเอ๋ย! ฮ่าๆๆๆ "  คราวนี้สิงห์ยิงฟันตอบกลับพร้อมกับหัวเราะร่วน ในขณะที่สินเองก็ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่สุด

 

      " คิดว่าอีกไม่นานแล้วล่ะ สิงห์ หน้าเต๋าที่ถูกเขย่ากำลังจะเปิดออกมาแล้ว จะได้หรือเสียก็วัดกันคราวนี้แหละ! "

 

      " ห...ให้นรกสาปสิ...อย่าว่าแต่ท่านไกรเลย...แม้แต่พวกท่านเองก็น่ากลัวพอกันนั่นแหละ...ค คิดผิดแน่ๆเลยตูที่ขอตามมา...น นี่มันแหล่งรวมคนจิตผิดปรกติชัดๆ! "

 

 

        ในขณะเดียวกัน กลับมาทางฝั่งของไกร ชายหนุ่มเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายโดยปล่อยให้บรรยากาศอันหนาวเย็นและเงียบสงบไหลผ่านร่างกายไปอย่างช้าๆ เพื่อชำระล้างจิตใจอันหนักอึ้งของเขา...จนกระทั่งเขาเดินมาถึงแนวชายป่าอีกด้านหนึ่ง พร้อมๆกับที่ฟ้าที่ดำมืดค่อยๆเริ่มสางและสว่างไสวขึ้นอย่างช้าๆ...เมื่อถึงตรงนี้ สายตาอันแหลมคมของเขาก็เหลือบไปเห็นร่ม...หรือจะพูดให้ถูกคือกลดสีมอๆที่ถูกปักอยู่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทั่ว โดยที่ภายในกลดนี้มีพระภิกษุที่น่าจะเป็นพระธุดงค์ที่อยู่ในจีวรสีเข้มเก่าๆ นั่งขัดสมาธิในลักษณะเข้าฌาณกรรมฐานหันหลังให้กับทิศทางที่ไกรโผล่มาอยู่ จนทำให้ไกรไม่สามารถมองเห็นหรือสังเกตลักษณะหน้าตาของพระภิกษุรูปนี้ได้เลย...แต่ถึงอย่างนั้นสีย้อมฝาดและรัศมีบางอย่างที่ส่องเป็นประกายอันน่าเลื่อมใสศรัทธาที่สุด...น่าเลื่อมใสศรัทธา จนกระทั่งไกรที่ยังคงอยู่ด้านหลังค่อยๆก้มลงคุกเข่าและยกมือประนม ก่อนจะกราบลงบนพื้นดินอย่างช้าๆแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ จบโดยกริยาที่เงียบสงบโดยไม่มีเสียงกระโตกกระตากใดๆเพราะกลัวว่าจะทำให้พระท่านหลุดจากสมาธิ...แต่พอเขาลุกขึ้นและเตรียมจะจากไปเท่านั้น พระธุดงค์ที่เห็นอยู่ชัดๆจากด้านหลังว่ากำลังนั่งกรรมฐานอยู่นั้นก็ค่อยๆพูดออกมาอย่างแช่มช้าทว่าชัดเจนที่สุดว่า

 

      " โยม... "

 

      " ... "

 

      " โยม...ทำไมถึงกราบพระจากทางด้านหลังล่ะ? "

 

        คำถามที่ถามโดยประสงค์คำตอบทำให้ไกรที่หันหลังและเตรียมจะเดินออกไปชะงักกึก ชายหนุ่มดวงตาหรุบต่ำอ่อนแสงลงและนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปโดยไม่ยอมหันไปมองเบาๆว่า

 

      " พระคุณเจ้า...ข้ากับพระคุณเจ้านั้นอยู่คนละโลกกัน...เดินในเส้นทางที่ต่างกัน พระคุณเจ้านั้นดำเนินอยู่ในเส้นทางที่สะอาดแล้ว ละแล้ว อยู่เหนือบาปและกิเลสทั้งปวง...ในขณะที่ข้านั้นอยู่ในเส้นทางที่ดำมืด มือข้าถูกย้อมเปื้อนไปด้วยเลือดและชีวิตของผู้คน และหนทางข้างหน้าล้วนมีแต่ดำมืดมากขึ้นไปอีก...ข้าไม่ต้องการให้พระคุณเจ้าเห็นข้าเพราะมันจะทำให้รัศมีที่ไร้ซึ่งบาปแล้วของพระคุณเจ้าต้องมัวหมองเสียเปล่าๆ...หากพระคุณเจ้าไม่ว่า ข้าขอกราบลา "  ไกรพูดพลางตัดบทเรียบๆก่อนจะก้าวเท้าหมายจะเดินจากไป แต่พระธุดงค์รูปนั้นกลับพูดขึ้นอีกอย่างแช่มช้าโดยไม่หันกลับมามองเช่นกันว่า

 

      " โยมไม่สมควรดูหมิ่นตนเองเช่นนั้น...โยมพูดราวกับโยมพึ่งสังหารผู้คนแล้วเอาดาบมาล้างโลหิตเช่นนั้น "

 

      " ข้ามิได้สังหารผู้ใดด้วยน้ำมือของตนเองโดยตรงก็จริง แต่มีหลายสิบ...ไม่สิ รวมแล้วอาจจะเป็นร้อยชีวิตแล้ว ที่ต้องมาตกตาย เพียงเพราะสิ่งที่ข้าทำโดยข้าเชื่อว่าข้าทำลงไปเพื่อความถูกต้อง...จนเวลานี้...ข้า...ไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่าสิ่งที่ข้าคิดว่าถูกต้อง จริงๆแล้วมันถูกต้องจริงๆหรือไม่ "

 

      " โยม...เป็นโจรผู้ร้ายเช่นนั้นหรือ? "

 

        ไกรที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปช้าๆอีกครั้งว่า

 

      " ถ้าจะให้พูดให้ใกล้เคียงที่สุด ข้าคงจะเป็น ทหาร ล่ะมั้งขอรับ "

 

      " ถ้าเช่นนั้นโยมก็กำลังจะจะออกไปสู้ศึกสงคราม? แล้วโยมกลับกลัวในการสังหารเช่นนั้นหรือ? ทั้งที่ฝั่งตรงข้ามเองก็ต้องการจะสังหารโยมเช่นกันนะ "

 

      " มันไม่เกี่ยวหรอกพระคุณเจ้าว่าเขาหมายจะสังหารเราหรือไม่...จิตใจของข้าต่างหากที่เป็นปัญหา...ข้าเกิดมาในสถานที่ที่มีความเคารพในชีวิตของมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม...หากข้ายังคงเดินในเส้นทางสายนี้ ข้าไม่มีวันพ้นจากบาป พ้นจากการตกนรกหมกไหม้ได้เลย...มันทำให้ข้ารู้สึกรังเกียจ...ข้ารู้สึกรังเกียจตัวเองในเวลานี้เป็นที่สุด! "  ไกรครางออกมาพร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวในขณะที่มือกำแน่นจนเล็บแทบจะจิกลงไปในเนื้อ เมื่อเขาหวนนึกว่าเขาเองนี่แหละที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้หลายต่อหลายคน ทั้ง เหล่าคนของบรรลัยกัลป์ เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ปิ่น เจ้าจอมมารดาเพ็ง เจ้าจอมมารดาแมน ลูกสมุนคนอื่นๆ...ไปจนถึงเหล่าข้าทาสบริวารของพระยาอนุชิตชาญไชยเจ้ากรมพระตำรวจที่ต้องตายเพราะแผนการของเขา ...หรือที่สดๆร้อนๆคือทหารพม่ากว่าครึ่งร้อยที่ถูกคำสั่งของไกรำให้ละลายหายไปจนไม่เหลือผู้ใดรอดกลับไปเลย...ถึงแม้ว่าทั้งหมดจะไม่ใช่มี่ชายหนุ่มลงมือโดยตรงแต่เขาไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบและบาปสำหรับการตายของทุกๆคนได้เลยแม้แต่น้อย

 

        แต่ระหว่างที่ไกรกำลังนิ่งไปอย่างรู้สึกเกลียดในการกระทำของตัวเองอยู่ใน พระภิกษุผู้ยังคงนั่งนิ่งราวกับพระปฏิมานั้นก็ตอบกลับมาอย่างแช่มช้าอีกครั้ง

 

      " โยม...โปรดนั่งลง แล้วฟังอาตมาเล่านิทานสั้นๆสักเรื่องนึงได้หรือไม่? "

 

      " ขอรับ? "  ไกรทวนคำอย่างงงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำตามที่พระท่านบอกด้วยกันนั่งคุกเข่าลงอย่างช้าๆ ส่วนพระธุดงค์ปริศนารูปนี้ก็ค่อยๆเล่านิทานที่ท่านว่าช้าๆ

 

      " ...ในอดีตเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศแห่งกรุงอโยธยาทรงหลังทักษิโณทก ประกาศต่อเทพยาดาฟ้าดิน ว่าพระองค์จะไม่ขอเป็นสุวรรณปฐพีเดียวกับหงสาวดี พระองค์และเหล่าทหารใต้อาณัติทั้งปวงต่างรู้ดีว่าการสงครามแลการเข่นข้าล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...ในเวลานั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งผู้สังกัดอยู่ในกองทหารอาทมาททัพหน้ารู้สึกเช่นกับโยม ว่าเขาไม่อยากจะต้องล้างผลาญชีวิตผู้ใดเลย แต่คำบัญชาของเจ้าเหนือหัวล้วนเป็นประกาศิต หากเขาไม่อยากถูกตราหน้าว่าหนีทัพ หรือต้องอาญาจนถูกประหาร เขาก็จำต้องสังหาร...แต่ทุกการสังหารของเขา ทุกศึกสมรภูมิของเขา นักรบผู้นี้รำลึกเสมอว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อสนองตัณหาอันบ้าคลั่ง สนองความคิดฝ่ายต่ำ ความสนุกสนาน ความบ้าเลือดของตัวเอง...แต่ทำเพื่อบ้านเมือง ทำเพื่อลูกเมีย ทำเพื่อคนข้างหลัง เขาทำเพื่อให้อโยธยาดำรงอยู่โดยไม่ตกอยู่ใต้ศเวตฉัตรของท้าวต่างเมือง...ในขณะที่หลังจบในทุกๆศึก เขาก็มักจะขอษมาและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับด้วยน้ำมือของเขาอย่างเสมอ...การกระทำของเขามักถูกสหายผู้อยู่ในทัพเดียวกันหัวเราะเยาะและดูหมิ่นเกลียดชังเพราะทำราวกับเอาใจออกห่างไปรู้สึกสงสารเวทนาข้าศึกที่พวกสหายเหล่านั้นคิดว่าสมควรตายอยู่เป็นนิจ... "

 

      " ... "  ไกรยังคงนั่งนิ่งและตั้งใจฟังอย่างไม่อาจจะคาดเดาสิ่งที่พระธุดงค์รูปนี้จะสื่อถึงเขาได้ และปล่อยให้พระธุดงค์ปริศนารูปนี้เล่าต่อว่า

 

      " ...แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามวัฏสงสารอันเป็นสัจธรรมของโลก ในที่สุดทัพอาทมาทที่นักรบผู้นี้สังกัดอยู่ก็ถูกทัพพม่าตีพ่าย เขาและสหายนักรบทั้งหลายไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ทุกคนต่างก็ตกตายและถูกพระยามัจจุราชนำวิญญาณไปเพื่อตัดสินถูกผิด ตัดสินในบาปที่ได้กระทำไว้ "

 

      " ให้ข้าเดาตอนจบนะขอรับ...พระคุณเจ้าจะบอกว่านักรบหนุ่มผู้นั้นไม่ถูกตัดสินในบาปที่ฆ่าสังหารเหล่าทหารพม่า และเขาได้ขึ้นสวรรค์ด้วยผลบุญของเขาที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างนั้นสินะขอรับ? "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างจับทางได้พร้อมกับถอนหายใจเฮือก แต่พระธุดงค์รูปนั้นกลับหัวเราะตอบกลับมาเบาๆในการคาดเดาของไกรทันที

 

      " ฮ่ะๆ ผิดแล้ว โยม...พระยามัจจุราชตัดสินโทษทัณฑ์ตามกรรมที่เขาได้ก่อไว้ กรรมที่เป็นมหันต์โทษในการล้างผลาญชีวิต เขา รวมไปถึงวิญญาณทหารที่ตายดวงอื่นๆถูกส่งลงไปในสัญชีวมหานรก นรกภูมิกระทะทองแดงอันร้อนแรงไปด้วยไฟนรกทันที...สาสมกับบาปที่เขาได้ก่อไว้ "

 

      " อ อ้าว?! "  คราวนี้ไกรร้องออกมาเบาๆเพราะเรื่องดันมาหักมุมเอาดื้อๆทั้งๆที่พุทธนิทานส่วนใหญ่ล้วนต้องจบแบบที่เขาคาดไว้แท้ๆ แต่เขาพึ่งรู้ตัวว่านิทานเรื่องนี้ยังไม่จบเมื่อรูปท่านเล่าต่ออย่างแช่มช้าอีกครั้งว่า

 

      " แต่เมื่อวิญญาณตกลงถึงกระทะทองแดงอันเต็มไปด้วยน้ำมันเดือดและไฟนรกที่พร้อมจะเผาผลาญไปถึงแก่นวิญญาณ น้ำเดือดแลไฟนรกเหล่านั้นกลับทำให้วิญญาณของนักรบหนุ่มผู้นั้นรู้สึกเพียงอุ่นๆเท่านั้น ไม่ถึงกับแสบร้อนมากมาย...ในขณะที่วิญญาณสหายศึกบางดวงเมื่อตกลงถึงกระทะทองแดงกลับถูกน้ำมันเดือดและไฟนรกเผาผลาญจนหลอมละลายและร้องเจ็บปวดทรมานอย่างน่าเวทนา บางดวงต้องสลายไปอย่างทุกขเวทและฟื้นขึ้นมารับผลกรรมทรมานต่อวนเวียนไปอย่างไม่หยุดหย่อน บ้างก็ถูกสัตว์นรกกัดกินจนวิญญาณวิ่นแหว่งแต่ไม่อาจสลายไปได้ ได้แต่อยู่อย่างทรมานเช่นนั้น...ในขณะที่วิญญาณที่ถูกตัดสินโทษในสัญชีพมหานรกแห่งนี้บางดวงกลับมีดอกบัวงามมารองรับไว้จนไม่ต้องลงมาถึงกระทะทองแดงเลยด้วยซ้ำ...ทั้งที่วิญญาณทุกดวงในสัญชีพมหานรกต่างก็ถูกส่งลงมาด้วยบาปเดียวกัน คือล้างผลาญชีวิตผู้คน...แต่โยมรู้ไหมว่าทำไมทุกดวงได้รับโทษทัณฑ์ไม่เท่ากัน? "

 

      " ... "

 

      " ...เพราะวิญญาณบางดวงทำบาปเพราะจำเป็น ทำบาปโดยระลึกถึงบาป ทำบาปเพราะหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ บาปนั้นมีโทษทัณฑ์เท่ากัน แต่มีน้ำหนักของความผิดบาปไม่เท่ากันหรอกนะโยม...ก็อย่างที่คำเขากล่าวกันนั่นแหละ ว่า สวรรค์ล้วนอยู่ในอก นรกล้วนอยู่ในใจ ...ผิดบาปหรือไม่ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจดี...หากมิใช่อรหันต์ผู้ละแล้วด้วยรูป รส กลิ่น เสียงทั้งปวง มันก็ไม่มีหรอกนะโยม การกระทำที่ไม่มีกรรมผูกติดต่อไปน่ะ...และก็ไม่มีผู้ใดตัดสินโยมได้หรอกว่าสิ่งที่โยมทำมันจำเป็นหรือไม่ มันหลีกเลี่ยงได้หรือไม่... "

 

      " พระคุณเจ้า... "

 

      " สิ่งที่โยมได้กระทำ...สวรรค์(ความคิดฝ่ายสูง)และนรก(ความคิดฝ่ายต่ำ)ที่อยู่ภายในจิตใจของโยมผู้เดียวเท่านั้น ที่จะตัดสินตัวโยมเอง "

 

 

 

 

 

 ...................................................

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา