ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

130)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
===============================================
 
 
 
      ...ถึงไกรจะรู้จักกับอนาสตาเซียมานาน หรืออย่างน้อยก็ร่วมเป็นร่วมตายกันมานานจนเรียกได้ว่าเป็นสหายที่สนิทกันได้อย่างเต็มปาก และยังเคยเจ็บตัวเพราะเธอมาก็หลายครั้ง...แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่ไกรถูกอนาสตาเซียกดดันด้วยจิตสังหารระดับหมายเอาชีวิต!...
 
       ' นี่ไม่เรียกว่าโกรธ...แต่เป็นโกรธโคตรๆแล้วล่ะมั้งเนี่ย '  ไกรที่พึงได้โอกาสหันมาสบตาของหญิงสาวตรงๆคิดได้ทันที...สายตาของหญิงสาวทำเอาเขาหนาวไปถึงกระดูกเลย
 
       ' ท่านพ่อไกร '
 
       ' ไม่ต้อง ไม่สิ อย่าออกมาเลยนะ...เดี๋ยวเรื่องจะยุ่งขึ้นไปใหญ่ '  ไกรรีบร้องห้ามลูกแก้วลูกขวัญที่สื่อสารกับเขาในใจทันที เพราะลูกแก้วและลูกขวัญซึ่งเวลานี้เป็นกุมารีในอาณัติของเขาตอบสนองต่อจิตสังหารที่คุกคามเขาเช่นนี้และเตรียมการจะโต้ตอบจิตสังหารนั้นโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งแบบนั้นได้วินาศสันตะโรยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ
 
       " แหม เจ้านี่หาเรื่องใส่ตัวได้ตลอดจริงๆว่ะ ไกร "  
 
         เสียงหัวเราะของชายหนุ่มผู้มักคุ้นกับไกรอีกคนที่ดังขึ้นจากด้านหลังของอนาสตาเซียช่วยให้บรรยากาศที่ตึงเครียดจนแทบหายใจไม่ออกนี้ผ่อนคลายลงไปบ้าง ซึ่งไกรก็เลิกคิ้วและหันไปมองผู้ท่ติดตามมาช้าๆ
 
       " โห มากันครบเลยนะ "
 
         ผู้ที่ติดตามหลังอนาสตาเซียคือเหล่ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตซึ่งเมื่อร่วมกับอนาสตาเซียแล้วนับได้ว่าเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของหมู่บ้าน นำดดยอนาสตาเซีย ตามมาด้วยสิงห์ที่เอามือไพล่หลังพลางยิ้มเผล่ และศกุนตลาที่อยู่ในชุดสีดำสนิทดั้งเดิมและปล่อยผมสยายยาวเช่นเดิมเหมือนที่เคยพบกันครั้งแรก รวมถึงอเทตยาในชุดธรรมดาที่ตามมาอย่างห่างๆข้างหลังด้วย ซึ่งทำให้ไกรยิ้มเล็กน้อยทันที ซึ่งสิงห์ก็แยกเขี้ยวยิ้มตอบกลับมา
 
       " เจ้านี่หาเรื่องยุ่งได้ตลอดเวลาจริงๆว่ะ ไกร "
 
       " เจ้าก็รู้จักข้าดีนี่ "
 
       " งานนี้ไม่กินหมูอย่างที่ผ่านๆมาแล้วนะ "
 
       " เออ ข้ารู้น่า " 
 
         สิงห์หัวเราะเบาๆให้กับคำพูดโต้ตอบอย่างเท่าทันของไกร ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นชายหนุ่มตี๋หน้าขาวที่ยืนอยู่ข้างๆสิน ซึ่งตี๋หน้าขาวที่ว่าก็คือหลวงพรหมเสนาก็จ้องเขม็งมาที่สิงห์อยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ทำให้สิงห์ขมวดคิ้ววูบ ก่อนจะค่อยๆย่างสามขุมเดินเข้าหาพร้อมกับที่ทั้งคู่ปล่อยกลิ่นอายแปลกๆออกมาราวกับเพื่อข่มกัน จนกระทั้งเมื่อถึงจุดสุดท้าย หน้าและดวงตาของทั้งสิงห์และหลวงพรหมเสนาก็แทบจะห่างกันไม่ถึงคืบแล้ว
 
       ' เฮ่ยๆ หวังว่าคงจะไม่ด้วบกันหรอกนะ '  ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เวลา แต่ไกรก็ยังเหลือบไปมองทั้งคู่และอดคิดเล็กน้อยไม่ได้ เพราะมาจะฮาแบบผิดกาลเทศะสุดๆเลย...แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักท่าทางแบบนี้...มันเหมือนท่าทางของนักมวยหรือนัก MMA ยื่นพองตัวเพื่อข่มกันไม่มีผิด
 
      ...ก่อนที่ใครจะทันพูดอะไรเพื่อลดบรรยากาศมาคุนี้ อยู่ๆสิงห์ก็ฉีกเสื้อแพรของตัวเองแคว่ก จนเหลือแค่ท่อนบนเปลือยๆ ที่อุดมไปด้วยกล้ามเป็นมัดๆ และที่คอห้อยไว้ด้วยสร้อยประคำเขี้ยวงาของสัตว์เดรัจฉานต่างๆซึ่งเป็นเสมือน ไม้ตาย ของสิงห์ ก่อนที่สิงห์จะหันหลังให้เพื่อโชว์รอยสักอัคระและลวดลายไสยเวทย์อาถรรพ์พร้อมกับเบ่งกล้ามหลังจนร่างพองขึ้นอีกโดยเจตนาโอ้อวดให้หลวงพรหมเสนาเห็นชัดๆ
 
         ในขณะที่หลวงพรหมเสนาชาวจีนก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะเขาก็รีบถอดเสื้อของตนออกจนเผยให้เห็นผิวขาวๆที่สักพรืดเต็มไปด้วยอัคระเขมรและลวดลายของสัตว์พิศดารต่างๆที่ถูกสักไว้แน่นเอี๊ยดทั้งหน้าหลังจนลามมาถึงลูกกระเดือก ก่อนจะเกร็งกล้ามพองตัวใส่สิงห์อย่างไม่ยอมแพ้กันเลย
 
       ' เอ่อ พวกแกเป็นอึ่งอ่างกันรึไงฟะ! '  ไกรอยากจะเล่นมุกออกไปใจจะขาด แต่ต่อให้ไม่นับว่าเขายังคงถูกนาสตาเซียจ้องอยู่เหมือนงูจ้องเหยื่อแล้ว บรรยากาศรอบๆอึ่งอ่างยักษ์สองตัวนี่ก็ไม่เอ้ออำนวยให้เล่นมุกชวนฮานี่จริงๆ
 
         แต่ก่อนที่บรรยากาศกลิ่นอายอาถรรพ์ของจอมขมังเวทย์ทั้งสองจะกดดันทุกคนให้อึดอัดไปมากกว่านี้ ทั้งคู่ก็ลดท่าทีแข็งกร้าวที่พยายามข่่มกันและกันลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะยกมือขึ้นจับกันและยิ้มยิงฟันกว้างให้กันและกันทันที
 
       " ช่างเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ข้าทาบไม่ติดจริงๆขอรับ ท่าน? "
 
       " สิงห์ขอรับ...ช่างเป็นรอยสักที่งดงามไร้ที่ติ ทั้งยังมีแรงต้านที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ท่าน? "
 
       " หลวงพรหมเสนาขอรับ ข้ามีวัยวุฒิและวิชาอ่อนกว่าท่าน เรียกข้าว่าน้องก็ได้ จากนี้ไปคงต้องขอความกรุณาจากท่านพี่ในหลายๆเรื่องนะขอรับ "
 
       " โอ้ น้องพรหมเสนาของพี่! "
 
       " โอ้ พี่สิงห์! "
 
       " สนิทกันง่ายเกินไปแล้วเฟ้ย! "  คราวนี้ทั้งไกรและท่านสินต่างก็อดใจไม่ไหวจนต้องตะโกนลั่นออกมาทั้งคู่ให้กับการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างลูกผู้ชายที่โคตรจะแปลกสุดๆเช่นนี้
 
         สำหรับคนอื่นอาจจะดูแปลกไปบ้าง แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในสายจอมขมังเวทย์หรือสายไสยเวทย์แบบเดียวกันกับสิงห์หรือหลวงพรหมเสนาจะไม่แปลกใจเลย เพราะทั้งคู่มีกฎหลายอย่างที่ยึดถือไว้ และกฎเหล็กสำคัญของผู้ที่ยังต้องการดำรงความศักดิ์สิทธิ์ของพลังอาถรรพ์ของตัวเอง นั่นคือความเคารพต่อผู้ที่อยู่ในสายเดียวกัน...ผู้ซึ่งนับกันว่าเป็นพี่เป็นน้องนั่นเอง...
 
       " เรื่องของข้าจบแล้ว งานต่อไปก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้วล่ะเฟ้ย ไอ้ไกร "  สิงห์ที่ยังคงจับมือกระชับวิถีลูกผู้ชายกับหลวงพรหมเสนาอยู่แยกเขี้ยวยิ้มพลางชี้ไปที่อนาสตาเซียที่ยืนรอท่าอยู่ แถมยังคงวางมืออยู่ในโกร่งดาบนาคราชเช่นเดิมอีกต่างหาก ทำให้ไกรหลับตาลงพลางแอบถอนหายใจเฮือก
 
       " ไม่ลืมจริงๆเหรอเนี่ย "
 
       " อย่า...คิดเล่นตลกกับข้า ไกร "
 
         ไกรเหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและผายมือเป็นเชิงว่าเชิญให้หญิงสาวไปสนทนากับเขาตามลำพัง ซึ่งอนาสตาเซียก็เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย แต่เธอก็เดินตามชายหนุ่มขึ้นไปบนเรือนแต่โดยดี ในขณะที่อเทตยาแม้ว่าจะเงียบลงไปอย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังมีท่าทางเหมือนอยากจะตามขึ้นไปด้วย...เว้นแต่ว่าศกุนตลาจับไหล่บางเธอพร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงปรามไว้ ทำให้หญิงสาวชาวมอญได้แต่มองตามไปเท่านั้น
 
         ไกรเดินนำหญิงสาวที่ยังคงส่งสายตากดดันมาที่หลังของเขาไปถึงศาลาท่าน้ำ ซึ่งก็มีพวกนางรับใช้กุลีกุจอเอาเบาะมาปูและนำกาน้ำชาใหม่มาวางให้ ซึ่งไกรก็ยิ้มพลางพูดขอบคุณเล็กน้อย ในขณะที่พวกสาวรับใช้ก็เริ่มชินกับคำขอบคุณชวนเข้าใจผิดของผู้เป็นนายของเธอแล้วก็ยิ้มพลางค้อมหัวและถอยออกไป ปล่อยให้ไกรอยู่กับอนาสตาเซียตามลำพัง
 
       " ชาหน่อยไหม? "
 
       " เลิกถ่วงเวลาเสียที ไกร...ความอดทนของข้าน้อยลงทุกทีแล้วนะ "  อนาสตาเซียพูดเรียบๆ จนไกรถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะรินชาให้ตัวเองและพูดขึ้นช้าๆว่า
 
       " ถึงเจ้าจะทำยังไงข้าก็ต้องขอบอกว่าข้าคงไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ นาสตี้ "
 
       " หน้าตาข้าเหมือนกับสตรีตัวน้อยๆที่ต้องการ หรือมีความสุขที่จะให้เจ้าปกป้องรึอย่างไร? "  
       " เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่ต้องการจะให้เจ้าอยู่เพื่อปกป้องท่านผู้เฒ่าและอโยธยาเท่านั้น เจ้าเองก็คงจะยังไม่ไว้ใจยัยดาราหรือกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่อาจจะสร้างความบรรลัยเหมือนคราวก่อน "
 
       " พวกมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตก็ยังมีอีกเป็นสิบๆคน แถมยังว่างงานจนเริ่มบ่นกันแล้วด้วย "
 
       " แต่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกเขา...ไม่เชื่อใจพวกเขาเท่ากับที่เชื่อใจเธอน่ะ "
 
         คำพูดของชายหนุ่มที่เสมองไปทางอื่นโดยไม่มองหน้าเธอเพราะกระดากใจในคำพูดของตัวเอง ทำให้อนาสตาเซียชะงักกึก แต่เธอก็พอจะเข้าใจสิ่งที่ไกรต้องการแล้วล่ะ
  
       " แปลว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะให้ข้าอยู่ที่นี่สินะ? "
 
       " อืม ขอรบกวนด้วยนะ "
 
       " มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ไกร "
 
       " เอ๋? "
 
         ถึงแม้ว่าอนาสตาเซียจะปล่อยออกจากโกร่งดาบนาคราชแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีแรงกดดันที่ลดลงเลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยอมนั่งลงและยกจอกชาที่ไกรรินไว้ให้ขึ้นมาดื่มแต่โดยดีก่อนจะพูดเบาๆว่า
 
       " ตอนพูดว่าจะไปช่วยออกญาเพชรบุรีก็ทำพูดดีเสียเต็มประดา แต่ถึงเวลาก็มาทำสำออยขอให้คนนู้นคนนี้ช่วย ...จะบ้าก็ให้มันบันยะบันยังเสียหน่อยเถอะนะ! "
 
       " เฮ้อ...ฮ่ะๆ ก็นั่นสินะ "  ไกรเสหัวเราะกลบเกลื่อน แต่หญิงสาวไม่หัวเราะด้วย...เธอใช้ดวงตากลมโตสีฟ้าจรัสจ้องมองลึก...ราวกับจะจ้องมองเข้าไปในจิตใจของไกร ก่อนที่เธอจะพูดเป็นเชิงถามเรียบๆว่า
 
       " ไกร...เหตุใดเจ้าถึงจำจะต้องช่วยออกญาเพชรบุรีเรืองถึงขนาดนั้นกัน? "
 
       " เอ๋? ...ก็มันก็เป็น common sense หมายถึงสามัญสำนึกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? "
 
       " อย่าแกล้งไขสือกับข้า ไกร...ทั้งคำตอบของเจ้าก็เป็นคำตอบในอุดมคติตามที่สอนๆกันมา...ไม่ได้มาจากใจจริงเอาเสียเลย "  อนาสตาเซียไม่ยอมให้ไกรหนี ซึ่งไกรก็พอจะเดาได้อยู่แล้วจากความหลักแหลมของเธอจนเขาต้องหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เขาจะตั้งท่าพูดอย่างซีเรียสจริงจังอีกครั้ง
 
       " นี่ นาสตี้...พวกเราอยู่ที่อโยธยานี่มาหลายเดือนแล้วนะ "
 
       " หืม? ก็ดีแล้วไม่ใช่รึอย่างไร ข้าว่าเจ้าก็ดูมีความสุขดีนี่ "
 
       " ถ้าเป็นเหตุการณ์ปรกติล่ะก็ใช่ แต่เจ้าก็รู้นี่ว่าไม่ใช่คนปรกติ...ข้าถูกอะไรบางอย่างส่งกลับมาอย่างไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ...และไอ้พลังที่ว่านั่นก็ยังอยู่ในร่างของข้าเวลานี้อีก... "  ไกรพูดพลางลูบหน้าอกตัวเองอันเป็นจุดที่อนาสตาเซียใช้ดาบแทงเข้ามาเต็มๆอย่างเหม่อลอย ก่อนจะพูดต่อช้าๆว่า
 
       " ...ข้าไม่ควรจะผูกพันกับอะไรหรือใครทั้งสิ้น...ข้าไม่อยากจะเป็นคนที่ทำให้เหตุการณ์ที่ข้ารู้จักเปลี่ยนไปมากไปกว่านี้...มากไปกว่านี้อีกแล้ว "
 
       " เจ้า? "
 
       " ข้าคิดว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้าย...แล้วข้าจะถอนตัวจากอโยธยา กลับหมู่บ้านและเก็บตัวเงียบแล้วล่ะ "  ไกรพูดตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่สุด...เด็ดขาดจนกระทั่งหญิงสาวผงะไปเล็กน้อย เพราะมันแปลว่าไกรตัดสินใจจะเลิกเป็นทุกๆฐานะในอโยธยาที่เขามีอยู่ในเวลานี้แล้ว...แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ดีแล้ว
 
       " ข้าเข้าใจเหตุผลของเจ้าแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ใช่ลูกน้องของเจ้า ไม่ใช่หมาน้อยของเจ้าที่จะกระดิกหางเซื่องๆ ยอมทำตามคำสั่งเจ้าแต่โดยดี นอกจากมือสังหารแล้วข้าก็ยังเป็นนักดาบนะ ไกร...นักดาบอย่างพวกเรามีกฎที่เรียกว่าความเท่าเทียมอยู่...และนี่ไม่เรียกว่าความเท่าเทียม หักลบกลบหนี้แล้วยังเข้าเนื้ออยู่ดี...คำขอร้องของเจ้ามันต้องมีการแลกเปลี่ยนตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ "
 
       " สมน้ำสมเนื้อ? "
 
       " นี่ไม่เหมือนกับเหตุกบฏเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมน แล้วคราวนี้เจ้ากับข้าก็ไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรด้วย ถ้าไม่ใช่คนดีจนเกินไป เจ้าก็เป็นคนโง่จนเกินไปแล้วล่ะ...แล้วก็เลิกพูดด้วยคำตอบตามอุดมคติด้วย เพราะมันน่าสะอิดสะเอียนเกินไปแล้ว...และการดำรงอยู่ของข้ามันก็ทำให้ข้าสับสนสิ้นดีเลย "
 
         ไกรรินชาใส่จอกในมือของอนาสตาเซียพร้อมกับสบตาแธอและตอบกลับไปเบาๆว่า
 
       " ...การดำรงอยู่ของเจ้าสำหรับข้าก็คือการอยู่ข้างๆและคอยประคับประคองข้า และข้าขอขอบคุณเจ้าในจุดนี้มากๆ "
 
       " หึ! ความสัมพันธ์อย่างประนีประนอมที่เคลือบด้วยคำโกหกที่แสนหวานชื่นเช่นเคย...แต่ แบบนี้ข้าไม่เอาแล้วล่ะ ไกร...ไอ้การดำเนินชีวิตอยู่ข้างๆเจ้าแบบสถานการณ์พาไปน่ะพอแค่นี้เถอะ "  อนาสตาเซียเทชาจากจอกลงใส่แม่น้ำ ก่อนจะคว่ำจอกจาลงซึ่งแปลว่าเธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ทำให้ไกรนิ่งไป...เขานิ่งไปนาน...จนกระทั่งในที่สุดชายหนุ่มจะถอนหายใจเฮือกและเริ่มต้นพูดช้าๆว่า
 
       " อย่าว่าแต่เธอเลย...แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร...จนกระทั่งมาเจอกับเธอนี่แหละ "
 
       " เจ้า... "
 
       " นอกจากมือสังหารแล้ว เธอเรียกตัวเองว่า นักดาบ ใช่ไหม? "
 
       " ... "
 
       " ถ้าเธอเป็นนักดาบ...ข้าก็จะเป็น ดาบ ...ถึงมันจะเป็นแค่เศษโลหะบางๆ แต่ถ้าหากอยู่ในมือของผู้ที่ใช้เป็นล่ะก็ มันจะกลายเป็นศาสตราชั้นหนึ่งได้ไม่ยาก...ตั้งแต่ที่โลกที่ข้าจากมา หรือมาอยู่ที่โลกแห่งนี้ ข้าไม่มีเป้าหมายของตัวเองเลย...หากข้าไม่ถูกพลังอะไรบางอย่างส่งย้อนกลับมาเจอกับเธอ เจอกับพวกเธอทั้งหมด ชีวิตข้าก็คงจบลงแค่เศษโลหะไร้ค่าที่อยู่ผิดที่ผิดทาง...เพราะมีแต่นักดาบเท่านั้นที่จะทำให้ดาบอย่างข้าเปล่งประกายขึ้นมาได้... "
 
       " ดาบ? คำเปรียบเปรยที่น่าประหลาดที่สุด...แต่เอาเถอะ ข้าจะยอมเล่นด้วยก็ได้ ถ้าหากเจ้าเป็นดาบจริงๆ เจ้าคืดาบแบบไหนกันล่ะ?...ดาบอาทมาท ดาบด้ามยาว ดาบเซเบอร์...หรือ...แค่ดาบบาสตาร์ดธรรมดาๆ "
 
       " หึๆ เปล่า...ดาบเงินต่างหาก...ดาบเงินลงอาคมชั้นหนึ่ง...ดาบไร้พ่ายราคาแพงที่หากใช้ได้ถูกจังหวะก็จะสามารถล้มได้แม้แต่อสุรกายอาถรรพ์ที่น่าหวาดกลัว แต่ถ้าหากใช้ผิดจังหวะสุดท้ายดาบก็จะถูกอสุรกายตัวนั้นเหมือบเอาง่ายๆ...ชีวิตข้าเป็นดาบที่ไร้เจ้าของ ไร้ซึ่งจุดม่งหมายจนกระทั่งมาเจอกับเจ้า มาเจอกับพวกเจ้าทั้งหมด... "
 
       " ไกร... "
 
         ไกรลุกขึ้นพลางจับมือของหญิงสาวช้าๆ จับเพื่อมองดูแหวนทองคำขาวที่หัวแหวนมรกตยังคงปรากฏรอยร้าวอยู่ของตัวเขาเอง ก่อนจะยิ้มช้าๆ
 
       " นี่อย่างไรล่ะ สถานะของเราทั้งคู่...นาสตี้...หลังจากจบงานนี้ ข้าคิดว่าข้าคงไม่เหลือสิ่งใดที่ข้าจะต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว...หลังจากนี้ข้าคือดาบของเจ้า และเจ้าก็คือนักดาบผู้กุมข้า "
 
       " ... "
 
       " ...หนทางจากนี้ต่อไป ชีวิตข้าขอมอบให้เจ้า...จะให้ดาบกวัดแกว่งไปในทิศทางใด...ขอให้นักดาบเช่นเจ้าเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน "
 
         อนาสตาเซียสบสายตาของเธอกับสายตาอันแน่วแน่ของไกรนิ่ง ก่อนที่เธอจะลุกและเดินออกไปจากศาลาริมน้ำแห่งนี้โดยที่ไม่ยอมหันหลังกลับมามองไกรอีก...ปล่อยให้ไกรนั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาริมน้ำต่อไป
 
      ...แต่หญิงสาวก็ไม่ได้เดินไปทางไหนไกล เธอยืนหลบมุมอยู่ที่เสาเรือนประจำตำแหน่งของไกรที่ลับมุมจากศาลาริมน้ำมาเพียงเล็กน้อย พร้อมกับกุมตำแหน่งหัวใจของตัวเองที่เต้นไม่เป็นส่ำราวกับย่ำกลอง ดวงหน้าที่เคยเฉยเมยแม้แต่ตอนงมือปลิดชีวิตเป้าหมายเวลานี้กลับขึ้นสีแดงเรื่อราวกับกลีบกุหลาบ พร้อมกับที่หญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นจนหัวพิงกับเสาเรือน พร้อมกับที่เธอจะครางออกมาด้วยน้ำเสียงเบาปานกระซิบว่า
 
       " ขี้โกงจริงๆ โธ่เอ้ย... "
 
 
 
 
.................................................
 
 
 
 
      ...เวลา ๓ วันผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครพูดถึง หรือมีเวลาพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกต่อไป เพราะการเตรียมการมันควรจะต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนด้วยซ้ำ ทำให้แม้จะเป็นภารกิจลับ แต่ในวันสุดท้ายคือวันนี้ ที่บริเวณบ้านของไกรในเวลานี้ก็เต็มไปด้วยอาวุธยุโธปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงม้าศึกอีกนับร้อยๆตัวออกญาเฒ่าผู้เป็นจางวางแห่งกรมพระอัศวราชพามาให้กับกองทหารของเขาทุกคนได้เลือกอย่างจุใจ ชนิดราวกับเรายกสนามม้ามาไว้ที่หน้าบ้านท่านก็ไม่ปาน (ไกรสังเกตว่าสีหมอกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่เห็นอาณาเขตบ้านของมันกลายเป็นโรงเลี้ยงม้าไป ถึงเขาจะแอบเห็นว่าสีหมอกแอบเหล่ม้าเทศสาวๆที่ตามมาแคสด้วยหลายๆตัวก็ตามที) ...ซึ่งทั้งท่านผู้เฒ่าทั้งท่านบุนนาคก็ให้เหตุผลว่า สงครามกองโจร ของไกรต้องการการเคลื่อนที่ที่รวดเร็วเพื่อลดการเสียเลือดเสียเนื้อและเพิ่มโอกาสการปะทะแบบสายฟ้าแล่บ และไม่ต้องห่วงเรื่องขี่ม้าไม่ได้ เพราะทุกคนขี่ม้าเชิงกลยุทธ์ได้อย่างคล่องแคล่วมาตั้งแต่แรกแล้ว...ไม่เหมือนไอ้คนที่เกือบตกม้าตายแบบไกรแน่ๆ...
 
       " ก็พูดจาหารือกันตามปรกติ ไหงรู้สึกเหมือนโดนด่าซึ่งหน้าไงก็ไม่รู้แฮะ "  ไกรได้แต่โคลงหัวพร้อมกับครางออกมาเบาๆ 
 
         ถึงจะบอกว่าเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหา แถมปัญหาก็เกิดแบบเดิมแบบที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า...คือเกิดกับคนที่เป็นที่รองรับปัญหาตลอดศก อย่าง ท่านไกร นั่นเอง...
 
       " ท ท่านไกรเจ้าคะ ท ท่านไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ "  เสียงขอร้องปนเสียงสะอื้นของบรรดาสาวใช้ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ลามไปถึงสาวใหญ่มากๆ ที่ร้องครวญครางกอดแข้งกอดขาเขาราวกับจะเป็นจะตายจนโจงกระเบนสีเข้มของไกรเปื้อนทั้งน้ำตาทั้งน้ำมูกจนชุ่มไปหมด แถมส่วนรอบนอกก็ยังมีเหล่าคนใช้ชายฉกรรจ์และชายเลยวัยฉกรรจ์ผิวมันเลื่อมหุ่นล่ำบึกที่เริ่มเบะปากตาแดงๆรอเข้ามาขอร้องไกรอีกเป็นสิบๆ จนทำให้ไกรต้องรีบร้องห้ามทุกคนทันที
 
       " อ เอ่อ พวกเจ้าใจเย็นๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก่อนนะ...ถ ถือว่าข้าขอร้องล่ะ "
 
       " ฮ ฮึก ง แงงง! "
 
       " ม ไม่ช่วยเลยซักนิด พ พอเถอะ ข้ายังผูกโจงกระเบนไม่แน่น เดี๋ยวหลุดขึ้นมามีหวังอุจาดเละ...ท ท่านผู้เฒ่า ช่วยด้วยยย! "
 
         จากการสอบถามหลังจากปลอบให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ลงได้ ไกรก็ถึงพึ่งได้โอกาสสอบถามเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงมีท่าทีเช่นนั้น ซี่งก็ได้ความว่าพวกเธอ (รวมถึงพวกเขา) กลัวว่าหากไกรจากไป พวกเธอจะไร้ผู้เป็นนายและถูกส่งกลับไปที่เดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเธอกลัวอย่างที่สุด...เพราะสำหรับผู้ที่เป็นทาสและถูกซื้อขายมาตลอด ไกรถือเป็นนายที่ดีที่สุด ทั้งไม่เคยดุด่าว่ากล่าว สุภาพกับทุกๆคนไม่ว่าจะมีอายุเยอะกว่าหรือน้อยกว่า (จนแรกๆพวกเธอคิดว่าไกรจะซื้อพวกเธอมาเป็นเมียกลางทาสี หรือทาสที่ผู้ชายไถ่ตัวเพื่อมาเป็นนางน้อยๆด้วยซ้ำไป) ทั้งยังแปลกกว่าผู้เป็นนายระดับสูงทุกคนที่พวกเธอเป็นทาสแท้ๆแต่ก็ยังอุตส่าห์จ่ายเบี้ยหวัดค่าจ้างให้ทุกเดือนโดยหวังจะให้พวกเธอไถ่ตัวจากการเป็นทาสได้...นายท่านที่ดีแบบนี้พวกเธอหาทั้งชาติก็คงไม่โชคดีราวกับปาฏิหาริย์เช่นนี้ซ้ำสองแน่ๆ
 
       " ม ไม่ต้องห่วงนะ พวกเจ้า...เรื่องนี้ข้าก็คุยกับท่านผู้เฒ่า รวมถึงท่านออกญาจักรีแล้ว...ถึงข้าจะต้องลาออกจากราชการแต่ก็ออกไปเพื่อทำภารกิจลับ ทำให้ไม่มีราชโองการคำสั่งเวนคืนเรือนหรือไพร่ทาสของข้า พวกเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่ได้เช่นเดิมนั่นแหละ "  ไกรพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แต่กลับไม่ทำให้ทุกคนหยุดร้องไห้เลย แถมแม่เฒ่าแถวหน้าๆยังร้องหนักกว่าเดิมเสียอีก
 
       " ต แต่ถ้าหากท่านไกรตาย ทรัพย์สมบัติต่างๆของนายท่านจะถูกเวนเข้าหลวงหมด ท ทำให้พวกข้าที่ถือเป็นทรัพย์สมบัติของท่าน--- "
 
       " คนเขาจะไปรบ อย่าพึ่งแช่งกันสิเฟ้ย! "  ไกรโวยออกมาลั่น
 
       " เห้อ ทุกคน ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นไปหรอกนะ "  ท่านผู้เฒ่าที่ทีแรกว่าจะยืนมองเฉยๆรู้แล้วว่าถ้าหากเขาไม่ช่วย มีหวังไอ้คนที่เก่งเรื่องถนอมน้ำใจสาวอย่างไกรคงได้พูดกับยัยพวกทาสทั้งหลายของเขาจนหมดวันแน่ๆ จึงกอดอกและพูดขึ้นช้าๆ จนไกรหันไปพร้อมกับส่งสายตาสำนึกบุญคุณอย่างสุดซึ้งทันที
 
       " ท ท่านผู้เฒ่า "
 
       " ในพระอัยการหลวงภาคมรดกบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ว่าผู้ที่ได้รับบำเหน็จประกอบคุณงามความดี ๑ ใน ๕ ประการจะไม่ต้องแบ่งภาคมรดกเข้าให้กับภาคหลวง และไอ้ไกรมันเอาสมัครพรรคพวกอาสาสู้ศึกก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นต่อให้ไอ้เจ้านี่ตายตกไปพวกเจ้าก็ไม่มีทางถูกริบเข้าหลวงแน่นอน สบายใจได้ "
 
       " ม ไม่ได้ช่วยเลยซักนิดนี่หว่าขอรับ! "
 
       " ง แงงงงง! "  คนรับใช้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหรือสาว เด็กหรือแก่เริ่มต้งท่าร้องไห้จ้าราวกับเด็กๆอีกรอบ ในขณะที่ไกรหันไปโวยท่านผู้เฒ่าลั่นบ้าน
 
 
      ...พวกคนรับใช้ในเรือนของไกรไม่ใช่ปัญหาเดียวที่ไกรต้องเผชิญ เพราะหลังจากที่เขาเคลียร์และปลอบจนยัยพวกนั้นสงบสติอารมณ์ลงได้ ปัญหาใหม่ก็มาเยือนไกรทันที
 
       " นี่ๆ ไกร ได้ข่าวว่าเจ้าจะไปเที่ยวเล่นชมการศึกที่ราชบุรีใช่ไหม? "  เสียงแปดหลอดของเด็กหนุ่มคู่แฝดชาวตะวันตกผู้เป็นนักประดิษฐ์นามกระฉ่อน(ในเรื่องวินาศสันตะโร)แห่งหมู่บ้านยุคันตวาตที่ร้องออกมาจนไกรต้องอุดหู ทำให้ไกรเลิกคิ้วและพยักหน้าเบาๆอย่างยอมรับตามความจริง
 
       " ก็...ถึงจะไม่ใช่เที่ยวเล่น และเป้าหมายก็ไม่ใช่ที่ราชบุรีด้วย แต่ก็ประมาณเจ้าว่านั่นแหละ ทำไมเหรอ? "
 
       " ให้พวกข้าไปด้วยเถอะนะ "
 
       " อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร ...จะบ้าเรอะ! ไม่ได้เฟ้ยยยย! "
 
       " เอ๋? "  เด็กหนุ่มสองคนหันมาทำตาแป๋วใส่จนไกรกุมขมับ พอดีกับที่ยูกิโอะซังที่อยู่ในชุดยูกาตะเดินขึ้นมาบนเรือนเพื่อหาอะไรกินตามกิจวัตรประจำวันของเธอพอดี ไกรจึงหันไปบอกนักตีศาสตราสาวชาวอาทิตย์อุทัยผู้เป็นเสมือนผู้ปกครองของเด็กหนุ่มสองคนทันที
 
       " ยูกิโอะซัง! มาก็ดีแล้ว ช่วยพูดอะไรหน่อยสิ! "
 
         แต่คำพูดเชิงฟ้องของไกรกลับทำให้ยูกิโอะที่เดินมาสมทบหน้าแดงระเรื่อขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นหน้าสีแดงแป้ดจนน่ากลัวจะเป็นลมแทน จนกระทั่งไกรต้องเรียกชื่อหญิงสาวอย่างหวาดระแวงอีกครั้ง หญิงสาวจึงรู้สึกตัวและบิดไปบิดมาราวกับสาวแรกรุ่นพึ่งแตกเนื้อสาวพึ่งมีความรักไม่มีผิดพร้อมกับพูดเบาๆว่า
 
       " เอ๋? ไปชมสงครามเหรอ? ดีจริงๆเลยน้า เด็กผู้ชายเนี่ย...นึกถึงสมัยก่อนที่ตามท่านพ่อไปดูกองทัพรุกปราสาทไดเมียวจริงๆ ไปดีมาดีน้า โคลบี้ ออลลี่ "
 
         ไกรอ้าปากพะงาบๆราวกับปลาทองที่ขาดอากาศหายใจอย่างคาดไม่ถึงว่าจะเจอลูกนี้ ในขณะที่โคลัมบัสและออเรลลาน่าที่ก็หน้าขึ้นสีชมพูน้อยๆยังชูกำปั้นเพื่อแสดงสัญลักษณ์แห่งผู้ชนะโดยสมบูรณ์
 
       " ง ไหงเป็นงี้ไปได้ล่ะฟะ! "
 
       " เอะอะอะไรกัน? มีเรื่องอะไรกันอีกล่ะวะ ไอ้ไกร "  ท่านผู้เฒ่าที่พึ่งเดินไปหยิบกาแฟมาเข้ามาสมทบพร้อมกับถามเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย ในขณะที่เมื่อเห็น ไกรก็รีบโผไปหาท่านผู้เฒ่าพร้อมกับเล่าให้ฟังทันที
 
       " เอ๋? ยูกิโอะ นี่ท่านก็อนุญาตเด็กสองคนนี้เหรอ? "  ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าจะสงสัยเรื่องที่เขาถามมากกว่าเรื่องที่โคลบี้และออลลี่จะตามไกรไปด้วยเสียอีก แต่ยูกิโอะก็บิดซ้ายบิดขวาพลางพูดตอบกลับมาเบาๆว่า
 
       " ก ก็แหม...ก็มันน่าจะถึงเวลาที่เด็กสองคนจะได้เห็นโลกกว้างบ้างแล้วนี่ ...ล ล แล้วเมื่อคืนก่อน ท ทั้งโคลบี้และออลลี่ก็แสดงให้เห็นถึง ความเป็นชายชาตรี แบบถึงพริกถึงขิงให้ ข เค้าเห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วนี่...แค่ไปเที่ยวเล่นแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก คิกๆๆๆ "
 
       ' ดูจากท่าทางแล้ว ไอ้พวกนี้คงติดสินบนด้วยร่างกายไปแล้วสินะ '  ทั้งไกรและท่านผู้เฒ่าคิดในใจตรงกันอย่างหมดคำบรรยายและหมดความนับถือไปเลย ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะถอนหายใจเฮือกพลางหันมาตบไหล่ไกรเบาๆ
 
       " ถ้าเช่นนั้นก็ฝากเด็กสองคนนี่ด้วยก็แล้วกันนะ ไกร "
 
       " ท ท่านผู้เฒ่า แม้แต่ท่านเองก็?! "
 
       " ช...ช่วยไม่ได้นี่หว่า ยูกิโอะน่ะขนาดข้ากับดาบฟ้าฟื้นที่ปลดผนึกเต็มที่ยังเอาไม่ลงเลยนะ แถมถ้าเกิดขัดใจแม่นางมีหวังได้วินาศสันตะโรกันหมดแหงๆเพราะแม่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น "  ท่านผู้เฒ่าครางเบาๆอย่างหวาดระแวง ในขณะที่ไกรรีบกระซิบตอบกลับไปทันที
 
       " ล แล้วโคลบี้กับออลลี่ล่ะขอรับ? "
 
       " เรื่องเด็กสองคนนี่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงจะไม่ใช่มือสังหารแต่ข้าก็สอนให้ทุกคนเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆได้ แล้วเด็กสองคนนี่ก็เคยเห็นแต่โลกในอุดมคติที่อ่านเจอในหนังสือต่างๆ ให้เด็กพวกนี้ไปเจอกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายของจริงเสียบ้างคงขี้คร้านจะร้องขอกลับมาเองนั่นแหละ...ถึงเวลานั้นคอยให้คนพามาส่งที่อโยธยานี่ก็ได้...เอาแบบนี้ก็แล้วกันนะ "
 
         ไกรเหลือบมองท่านผู้เฒ่าเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกและตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยไปเพราะคงจะแก้ไขอะไรไม่ได้แน่แล้ว แต่เขาก่อที่เขาจะได้ทันพูดอะไร ยูกิโอะก็ย่องเข้ามาใกล้ๆก่อนจะกระชากคอไกรด้วยแรงผิดมนุษย์จนไกรแทบตัวลอย ก่อนจะกระชากจนหน้าไกรแทบจะติดกับหน้าของหญิงสาว พร้อมกับที่หญิงสาวกัดฟันกระซิบออกมาด้วยจิตสังหารอันบ้าคลั่งที่สุด
 
       " ไกร! ฝากเด็กสองคนนี้ด้วยนะ... "
 
       " อ เอ่อ "
 
       " ถ้าหากเด็กสองคนนี่มีรอยแผลเพียงแค่รอยแมวข่วน...ข้าจะเอาจูชิโยซามุของข้า ข่วน เจ้าเช่นกัน...แต่จะข่วนให้เป็นพันๆชิ้นเลย!...คอยดูสิ! เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วหรือไม่?! "
 
       " จ แจ่มแจ้งแแดงแจ๋เลยขอรับ ยูกิโอะซัง "
 
       " ถือว่ารับรองแล้วนะ! "
 
       " ข ขอรับ "
 
       ' ...ขนาดยังไม่ทันได้ออกเดินทางก็มีเรื่อง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ได้ถึงขนาดนี้แล้ว...จะรอดไหมฟะเนี่ย ตู '  ไกรนั่งคอตกพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างเริ่มห่อเหี่ยวและหมดกำลังใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทางเลย
 
      ...แต่ในทางกลับกัน คนที่ท่านผู้เฒ่าคิดว่าควรจะเป็นปัญหามากที่สุด เพราะได้รับคำสั่งและคำขอร้องจากไกรให้ประจำการอยู่ที่นี่แทนที่จะได้ตามไปด้วยอย่างอนาสตาเซียกลับไมได้สร้างปัญหากับไกรแม้แต่นิดเดียว...แต่กลับให้ความช่วยเหลือไกรทุกอย่างเท่าที่เธอทำได้ อย่างเช่นเรื่องอาวุธยาวหรือเกราะม้า เธอก็ยังออกหน้าไปช่วยพูดกับยูกิโอะให้ตั้งแต่วันแรกแถมยังรบเร้าจนยูกิโอะยอมลงมือตีชุดเกราะใหม่ให้ไกรเพื่อตัดรำคาญในที่สุด แถมยังช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยในวังแทนเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหาก จนท่านผู้เฒ่าถึงกับแปลกใจเลยทีเดียว
 
       " ไปร่ายมนต์อะไรใส่ลูกสาวข้าอีกล่ะเนี่ย? "  ท่านผู้เฒ่าอดถามเบาๆอย่างสงสัยไม่ได้ จนไกรถึงกับต้องจุ๊ปากลั่น
 
       " ไม่ได้ร่ายอะไรทั้งนั้นแหละเฟ้ยขอรับ! แค่พูดคุยกันตามประสาอย่างที่ข้าคิดจากใจจริงเท่านั้นแหละ "
 
       " แล้วไอ้ใจจริงของเจ้านี่มันแบบไหนกันล่ะ? "  
 
       " อ เอ่อ...เรื่องนั้น--- "  ไกรอึกอั่กท่ามกลางสายตาจับผิดของท่านผู้เฒ่า ก่อนที่เขาจะโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องสนใจอะไร ซึ่งทานผู้เฒ่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่พอจะไม่ถามอะไรและปล่อยเลยตามเลยไป
 
      ...ส่วนสิงห์ ศกุนตลา และอเทตยาไม่ใช่พวกที่สร้างปัญหาอยู่แล้ว...อเทตยาน่ะไม่ต้องพูดถึง ศกุนตลาก็เงียบๆแบบไปไหนไปกันและท่องไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ส่วนสิงห์...นอกจากเรื่องที่มันสนิทกับหลวงราชเสนาที่เป็นสหายรุ่นน้องของท่านสินกันอย่างรวดเร็วแถมคุยกันถูกคอราวกับรู้จักกันมาแต่ชาติฟางก่อนแล้ว มันก็เป็นคนง่ายๆแบบถึงไหนถึงกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
 
         แต่ถึงอย่างนั้น จำนวนของมือสังหารที่ลดลงไปหนึ่งคนคือการตัดอนาสตาเซียทิ้งก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของไกรผู้ที่เขารู้สึกเหมือนเป็นลูกชายแท้ๆ เพราะไกรแสดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอแล้วว่าหาเรื่องเสี่ยงไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ไม่เว้นจนเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ...แถมในทางกลับกัน เขาก็เหลือมือสังหารที่เป็นมือเท้าในกรุงเพียงแค่คนเดียวคืออนาสตาเซีย (ยูกิโอะนี่ตัดทิ้งแบบตัดหางปล่อยวัดไปได้เลย) ทำให้หากบรรลัยกัลป์เกิดเล่นตุกติกขึ้นมาเขาคงลำบากแน่ๆ...ทางแก้ปัญหาง่ายๆก็คือ เรียกมือสังหารจากหมู่บ้านมาสมทบซัก ๒ คน โดยให้ไปกับไกรเพื่อดูแลมันคนนึง และอยู่เป็นคู่ปรึกษาการงานกับท่านผู้เฒ่าอีกคนนึงนั่นเอง...
 
       " ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า ข้าก็ไม่ขัดหรอกนะขอรับ เพราะสำหรับข้าแล้วมือสังหารของท่านทุกคนถือเป็นกำลังที่ไม่อาจดูแคลนได้ ได้มาเพิ่มอีกซักคนก็ทำให้ข้าเบาใจขึ้นเยอะ และอีกคนที่อยู่กับท่านผู้เฒ่าก็ทำให้ข้าเบาใจขึ้นด้วย ว่าแต่จะเอาใครมาเพิ่มเหรอขอรับ? "  ไกรพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มพลางพูดต่อเบาๆ
 
       " ข้าจะให้เมืองที่เป็นมือสังหารอาวุโสและมีควมคิดความอ่านมากที่สุดอยู่กับข้าที่นี่ เผื่อว่ามีเหตุเภทภัยอันใดจะได้มีคู่คิดปรึกษากัน...ส่วนเจ้าข้าจะให้คนที่มีความสามารถในด้านแทรกซึมและสืบข่าวไปด้วย เจ้าก็มักคุ้นกับนางนี่...ยัยอุษาอย่างไรล่ะ "
 
       " เอ๋? อุษาเหรอ? "  ไกรครางออกมาเบาๆพลางทำหน้าปุเลี่ยนๆจนท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้วถามอย่างงงๆว่า
 
       " ทำไม? เจ้าไปล่วงเกินอะไรนางจนนางเกลียดขี้หน้าอย่างนั้นเหรอ? "
 
       " ไม่ได้ล่วงได้เกินอะไรเฟ้ย! ไหงถามเหมือนกับยัยอเทตยาถามตอนยัยอุษากลับหมู่บ้านเลยฟะเนี่ย "
 
       " ก็มันอดถามไม่ได้นี่นา แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ยัยนั่่นแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกน่า "  ท่านผู้เฒ่าพูดเพื่อสร้างความสบายใจ จนไกรถอนหายใจเฮือกอย่างไม่อาจจะว่าอะไรได้
 
       " ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ " 
 
       " เอ้อ...แล้วก็ค่ำๆนี้ท่านบุนนาคบอกว่าจะเอาของขวัญวันออกศึกครั้งแรกของเจ้ามาฝากน่ะ ไปรอรับที่ท่าเรือด้วยล่ะ "  ท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนเรื่องพูดจนไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็เห็นว่าเวลานี้ก็เริ่มมืดแล้ว เขาเลยลุกจากเรือนและเดินไปรอที่ศาลาท่าน้ำ โดยมีท่านผู้เฒ่าที่ดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ว่างงานแบบสุดลุกตามมาด้วย
 
       " เออ แล้วท่านบุนนาคพูดรึเปล่าขอรับว่าไอ้ของขวัญที่ว่านี่มันอะไรล่ะขอรับ? "  ไกรอดถามอย่างสงสัยปนตื่นเต้นนิดๆไม่ได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ แต่พอได้ยินว่าเป็นของขวัญ ไม่ว่ามากหรือน้อยก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ
 
       " ไม่รู้ว่ะ ท่านออกญากลาโหมแกก็ออกจะเกินๆหน่อยๆ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังถูกชะตากับเจ้าเป็นพิเศษ เผลอๆแกอาจจะยก หน่วยคชสีห์ดำ อันเป็นหน่วยทหารที่เก่งที่สุดในมือของท่านให้เจ้าทั้งกองร้อยก็ได้ ใครจะไปรู้ "  ท่านผู้เฒ่าพูดพลางกลั้วหัวเราะอย่างติดตลก ซึ่งไกรก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแค่พูดเล่น...ต่อให้ถูกชะตาแค่ไหนก็คงไม่มีใครยกกองกำลังที่ดีที่สุดในมือให้คนอื่นเช่นที่พูดแน่ๆ
 
       " เฮ้อ แล้วไหงต้องส่งมาทางท่าน้ำด้วยนะ เฮ้อ ไหงรอบๆตัวข้ามีแต่คนแปลกๆน้อ "
 
       " ทำพูดดี เอ็งนั่นแหละตัวประหลาดสุดๆเลยเฟ้ย! "  ท่านผู้เฒ่าหันไปโวยลั่นศาลาท่าน้ำ ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกันอย่างผ่อนคลายทันที
 
       " อ๊ะ มานั่นแล้วกระมัง...ฮ เฮ้ยๆ "  ท่านผู้เฒ่าที่สายตาค่อนข้างยาวกว่าไกรหรี่ตาพร้อมกับพูดเบาๆเมื่อเห็นแสงไฟแว้บๆที่ลอยมาตามสายน้ำ แต่พอแสงไฟนั้นค่อยๆใกล้เข้ามา ท่านผู้ฒ่าก็ถึงกับอุทานออกมาเบาๆทันที
 
       " หืม? อะไรเหรอ? ท่านผู้เฒ่า...ฮ เฮ้ยๆๆๆ "
 
      ...ของขวัญของท่านออกญาพระกลาโหมบุนนาคที่ท่านผู้เฒ่าว่าไม่ใช่กองทหารใดๆจริงๆ...
 
         แต่เป็นเรือ! 
 
         เรือพร้อมกับฝีพายหลายสิบคนที่นั่งพายอยู่อย่างพร้อมเพรียงอยู่บนเรือที่มีตัวลำเรือที่แคบและเพรียวยิ่งกว่าเรือไชยที่ว่ากันว่า รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม เสียอีก...รูปทรงเรือที่เล็กแหลมคมราวกับลูกธนูทำให้เรือสามารถลดแรงเสียดทานของผืนน้ำและพุ่งทะยานไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด...ทั้งตัวลำเรือก็ไม่ได้ปิดทองเหรือแกะสลักประดับประดาอะไร แต่กลับทาสีด้วยลายพรางจนแทบจะกลืนไปกับสีของน้ำและความมืดมิดในยามค่ำคืน ซึงสีดังกล่าวก็ทาพรางไปถึงปืนใหญ่น้อย ๕-๖ กระบอกที่ตั้งเป็นจังการาวกับปืนคอว์ในยุคสมัยปัจจุบันไม่มีผิด ในขณะที่เรือไม่ได้ใช้นายท้ายเพื่อบังคับ แต่ใช้ระบบพังงาและหางเสือแทนราวกับเรือสำเภาเดินสมุทรขนาดใหญ่เพื่อการควบคุมทิศทางที่ละเอียดอ่อนและสมบูรณ์แบบที่สุด โดยที่ส่วนพังงาอันเป็นพวงมาลัยบังคับอยู่กลางลำเรือและถูกคุมโดยชายหนุ่มรูปร่างดีหน้าตาหล่อเหลาคนนึง ในขณะที่เจ้าของของขวัญอย่างออกญามหาเสนาฯบุนนาค เจ้ากรมพระสมุหกลาโหม นั่งราวกับเป็นแม่ย่านางอยู่่ที่หัวเรือพร้อมกับยิ้มร่าและโบกมือทักทายมาแต่ไกล...
 
       " โอ้! ท่านไกร ข้าเอาของขวัญมาส่งแล้วขอรับ! "
 
 
       " ข...ของขวัญบ้าอะไรฟะเนี่ยยยย! "
 
 
 
 
...............................................
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา