ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
131)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น...สิ้นสุด ๓ วันที่ไกรกำหนดไว้...
...ที่หน้าบ้านของไกรในเวลานี้ถูกตั้งไว้ด้วยปะรำพิธีที่สร้างขึ้นอย่างลวกๆ ล้อมรอบด้วยสายสิญจน์สีขาวหม่นและพระพุทธรูปทองเหลืองปางมารวิชัยลักษณะงามที่เคยอยู่บนเรือนของไกรแต่ถูกอัญเชิญลงมาสู่ปะรำพิธี ในขณะที่ตรงกลางลานปะรำพิธีถูกตั้งไว้ด้วยกาบกล้วยขนาดใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว...กาบกล้วยที่มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีกระดาษที่เขียนนามว่า อลองพญา สอดใส่ไว้...
" ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี ใกล้จะถึงตาเจ้าแล้ว " ระหว่างที่ไกรกำลังมองสิงห์และหลวงพรหมเสนาชาวจีนนั่งสวดบริกรรมคาถาอะไรบางอย่างอย่างเต็มไปด้วยสมาธิชั้นสูง ท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ข้างๆก็สะกิดไกรเพื่อเตือนให้ไกรทำสิ่งที่เขานัดแนะกันไว้แต่แรก ซึ่งไกรก็เลิกคิ้วก่อนจะเอียงคอกระซิบตอบถามเบาๆทันที
" ข้าไม่ใช่เจ้าพระยาแล้วขอรับ ถูกไล่ออกไปแล้วเมื่อกี๊นี้เอง "
" ฮ่าๆๆ เออ นั่นสินะ ขอโทษทีๆ "
" ต้องเป็นข้าจริงๆเหรอขอรับ "
" อันที่จริงแล้ว พิธีตัดไม้ข่มนาม จะต้องใช้พระแสงดาบฝักทองของพ่ออยู่หัวและเป็นพิธีสำคัญ แต่งานเจ้ามันเป็นงานลับทำให้พ่ออยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกท่านมาร่วมงานไม่ได้ ก็คงต้องแก้ขัดไปด้วยการให้ดาบของนายทัพและนายทัพเป็นผู้ตัดไม้เอง "
" แล้วมันจะศักดิ์สิทธิ์เหรอขอรับ? "
" ไม่รู้ว่ะ ก็ที่ข้าจำได้ทั้งไทยทั้งพม่า หรือทัพอื่นๆที่รบกันมันก็ใช้พิธีตัดไม้ข่มนามกันทั้งคู่ ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงก็ควรจะแพ้กันทั้งคู่สิ ใช่ไหม? " ท่านผู้เฒ่าหันกลับมาพูดหน้าตายจนทำให้ไกรเอียงวูบ แทบโวยออกมาลั่น
" ท ท่านผู้เฒ่า! "
" แต่มันก็ให้ผลในทางสร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพฮึกเหิมสุดขีดและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่สุด ดูสิ " ท่านผู้เฒ่าชี้ให้ไกรเห็นเหล่าทหารแห่งกองทัพภูติพรายของเขา (รู้สึกทุกคนจะชอบชื่อนี้ไปแล้ว) ที่เวลานี้นั่งประนมมืออยู่รอบๆปะรำพิธีด้วยสมาธิและความแน่วแน่ระดับสูงสุด รวมไปถึงฝีพายและต้นเรือแห่งเรือ เวนไตย อีก ๓๐ กว่านายที่เป็นของขวัญของท่านบุนนาคและได้กลายมาเป็นกองทัพภูติพรายของเขาเรียบร้อยแล้ว
" ไปๆมาๆรู้สึกว่าคนมันจะเพิ่มขึ้น แถมมีหวังได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอานคตอีกแหงๆเลย " ไกรบ่นราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจน่านผู้เฒ่าหลุดขำพรื่ดออกมา ก่อนจะตบไหล่เขาพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้ไกรเข้าร่วมพิธีได้แล้ว ก่อนที่จะเลยฤกษ์ยามไป
ไม่มีเหตุผลให้อิดออดหรือถ่วงเวลาอีก ไกรลุกขึ้นจากตั่งไม้ของตัวเองช้าๆ ก่อนจะชักดาบสดายุสีเงินวาวออกมาจากฝัก ในขณะที่สิงห์ที่ยังคงประนมมืออยู่ในส่วนปะรำพิธีอยู่ลืมตาและเหลือบมามองไกรที่เดินเข้าไปกลางพิธีพร้อมกับเอ่ยเตือนเบาๆว่า
" ฟันฉับเดียวให้ขาดสะพายแล่ง แล้วหันกลับมา อย่ามองที่หยวกอีกเป็นอันขาด "
" เข้าใจแล้วขอรับท่าน " ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะย่างสามขุมและรำดาบอย่างที่เขาเคยฝึกมาแบบงูๆปลาๆเข้าไปหาหยวกกล้วงที่มีพระนามของพระเจ้าอลองพญาสอดอยู่ภายในด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ จิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมากระจายไปทั่วจนทุกคนกลืนน้ำลายเอื้อก ก่อนที่เขาจะจับดาบมั่นพร้อมกับฟันฉับ!
พรึ่บ!
ด้วยความคมที่ราวกับมีดโกนของดาบสดายุ หยวกกล้วยตรงหน้าถูกตัดขาดเรียบกริบราวกับเนยที่ถูกหั่นด้วยมีดร้อนๆ ก่อนที่ไกรจะเก็บดาบเข้าสู่ฝักและหันหลังกลับโดยไม่มองไปที่หยวกกล้วยอีก ทามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมสุดขีดของเหล่าทหารแห่งทัพแห่งภูติพรายทุกผู้ทุกคนที่ดังกระหึ่ม
" แบบนี้จะเรียกว่าไปเป็นการลับได้เหรอเนี่ย เล่นเอิกเกริกกันซะอย่างนี้ อย่าว่าแต่พวกอุปนิกขิตของพม่าเลย...แม้แต่เด็กอมมือยังรู้เลยว่าเราจะจัดทัพไปเล่นศึกน่ะ " หลวงยกกระบัตรเมืองตากหนุ่มที่ยืยอยู่ในฐานะรองนายทัพผู้มีอำนาจสั่งการเทียบเท่ากับไกรครางออกมาเบาๆ ในขณะที่พระเชียงเงินที่ยืนข้างๆหัวเราะเบาๆทันที
" ฮ่ะๆ นั่นสินะขอรับ "
" ว่าแต่เจ้าเถอะ แน่ใจนะว่าจะไปอยู่ที่เรือ เวนไตย จริงๆน่ะ " สินหันกลับมาถามชายหนุ่มผู้อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันแต่อยู่ในฐานะสหายผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าเล็กน้อยอย่างสงสัย เพราะหลังจากที่เมื่อคืนที่ไกรเรียกพวกเขาไปดูเรือไชยติดปืนใหญ่น้อยรูปร่างแปลกๆแถมยังทาสีเสียน่ากลัวอย่างเรือเวนไตยอันเป็นของขวัญที่ท่านออกญามหาเสนาฯบุนนาคมอบให้เป็นกำลังเสริมของทัพแห่งภูติพรายของไกร พระเชียงเงินดูท่าทีจะสนอกสนใจปืนใหญ่น้อยที่ตั้งจังกาอยู่บนตัวเรือเป็นพิเศษ แถมยังรบเร้าขออนุญาตทั้งไกรและสินไปประจำการอยู่ที่เรือเวนไตยเสียอีกจนทั้งไกรและสินต่างก็งงไปด้วยกันทั้งคู่
" ถึงข้าจะยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นเช่นไร แต่ที่เรือจะเป็นที่ๆข้าจะสามารถทำประโยชน์ให้แก่ทัพได้ ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ท่านสิน ข้าจะเป็นกำลังให้ท่านได้แน่ "
" ข้าเป็นคนของให้ทั้งเจ้าทั้งหลวงพรหมเสนามาด้วย ข้าสิต้องขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าลำบาก " สินหันไปยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่จะค้อมหัวเล็กน้อยเมื่อไกรเดินมาสมทบซึ่งไกรก็พยักหน้าให้กับทั้งสองคนทันที
" พร้อมแล้วนะ? "
" ขอรับ "
" ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ "
ไกรพูดอย่างง่ายๆพลางเดินไปขึ้นม้าสีหมอกของเขาที่คนรับใช้จับไว้ให้ ซึ่งเวลานี้สีหมอกประดับด้วยเกราะสีดำเต็มยศตัดกับสีขาวหม่นอันเป็นสีขนจนดูน่าเกรงขามขึ้น ในขณะที่ส่วนตะโพกมีซองใส่โตมรหรือหอกสั้นสำหรับขว้างอยู่ข้างละ ๓ ด้ามและซองใส่อาวุธยาวที่อนาสตาเซียไปขอร้องให้ยูกิโอะตีขึ้นมาให้ใหม่ซึ่งไกรก็ได้มันมาเอาตอนวินาทีสุดท้ายก่อนออกเดินทางพอดี ทำให้เขายังไม่ได้เปิดดูเลยด้วยซ้ำว่าไอ้อาวุธยาวที่ว่านี่มันคืออะไรกันแน่ ซึ่งเมื่อเห็นว่าไกรขึ้นม้าแล้ว ทั้งสินและคนของเขา ...มือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตที่ถูกสั่งให้ตามมาด้วยเพื่อพาไกรกลับมาแบบเป็นชิ้นเดียว รวมไปถึงเหล่าทหารแห่งกองทัพภูติพรายทุกคนก็พากันขึ้นม้าที่พวกเขาเลือกมาทั้งหมด ซึ่งหากสังเกตุดีๆ ทุกคนมีเพียงแค่อาวุธประจำกายและชุดเกราะที่ถูกทาให้เป็นสีดำสนิทเท่านั้น ในขณะที่สัมภาระและของใช้ต่างๆถูกผนึกไว้กับวัวซึ่งเทียมเกวียนและถูกส่งเดินล่วงหน้าไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว...และไม่ค้องถามว่าไม่กลัวว่ากองสัมภาระนั้นจะถูกปล้นหรือ เพราะคนที่ถูกส่งไปอารักขาสัมภาระคือสามสาวเสือสมิงสุดโหดอย่างชีวา มายา และราตรี...ถึงจะบอกว่ามีแค่ ๓ สาว แต่ไอ้สามสาวนี่เคยร่วมกับสิงห์ตะลุยฝ่ากองทัพนับพันมาเป็นร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทำให้โจรสิ้นคิดที่โชคร้ายพอจะปล้นสัมภาระของพวกเขามีหวังถูกแยกธาตุเป็นชิ้นๆแน่
ในขณะที่ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการศึกอย่างดินดำ กระสุนปืน กล้องเก็บเสียง(ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของคู่แฝดนักประดิษฐ์) อาวุธ และชุดเกราะสำรองถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนาในเรือเวนไตยและจะเดินทางตามมาในเวลากลางคืน (แน่ล่ะสิ เรือที่ถูกทาสีลายพรางจนกลืนกับผืนน้ำและความมืดในยามค่ำคืนคงจะเตะตาโคตรๆจนไปไหนมาไหนในเมืองไม่ได้ในตอนกลางวันแน่ๆ)
" แล้วตกลงเรือเวนไตยนี่มันไปอย่างไรมาอย่างไรกันแน่หรือขอรับ? " สินอดถามเบาๆอย่างสงสัยไมได้ ซึ่งไกรก็หัวเราะพร้อมกับยักไหล่เบาๆทันที
" สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ประมาณว่าเป็นเรือลำใหม่ถอดด้ามน่ะ ใช้หลักการการบังคับเดียวกับเรือสำเภาเดินสมุทร แต่ใช้การขับเคลื่อนด้วยฝีพาย ๑๕ คู่เท่ากับเรือไชยหรือเรือกิ่งปรกติ พลปืน ๖ นายเพื่อคุมปืนใหญ่น้อย ...มีนายท้าย ไม่สิ ต้องพูดว่าเป็นต้นเรือบังคับพังงา ๑ นาย ...ไม่มีคนกระทุ้งเสาให้จังหวะเพราะเป็นเรือภารกิจ...อันที่จริงเรือลำนี้เคยถูกนำเข้าไปรวมอยู่ในกองเรือริ้วกระบวนอยู่ครั้งนึง แต่ต้นเรือท่าว่าจะเมาหรืออะไรนี่แหละเลยเอาหัวเรือไปชนกับเรือพระที่นั่งจนหวิดได้ถูกตัดหัวเสียบประจานยกลำ...เลยถูกถอดออกจากริ้วกระบวน "
" เป็นประวัติเรือที่โคตรน่ากลัวเลย " ทั้งสินและพระเชียงเงินครางออกมาเบาๆ เพราะนี่ไม่อาจเรียกว่าเกียรติประวัติได้ด้วยซ้ำ เพราะปรกติแล้วเรือที่ประวัติงามหน้าขนาดนี้ควรกลายเป็นดุ้นฟืนไปแล้ว...จนพวกเขาอดคิดไม่ได้ว่าตกลงทานออกญามหาเสนาฯบุนนาคเพียงแค่หาที่ทิ้งขยะรึเปล่า
" มองในแง่ดี มีคนเยอะก็ดีกว่ามีคนน้อย แถมเรายังมีปืนใหญ่น้อยคอยช่วยเป็นกำลังหนุนอีก...ปัญหาอยู่ที่ว่าจะยิงยังไงให้ไม่โดนหัวพวกเดียวกันเองนี่แหละ " ไกรครางออกมาเบาๆอย่างหนักใจ แต่พระเชียงเงินหันมาพร้อมกับรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า
" อย่าห่วงเลยขอรับ...ถึงข้าจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายแต่เรื่องปืนใหญ่น้อยนี่ข้าก็เชื่อว่าไม่แพ้ผู้ใดแน่นอน "
ไกรเหลือบมองพระเชียงเงิน ก่อนจะเหลือบมองสินเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพลางพยักหน้าขอบคุณเบาๆอย่างเชื่อใจและหมดห่วงทันที
" ถ้าเช่นนั้นเราควรจะไปเริ่มต้นกันที่ตรงไหนดี ท่านรองนายทัพ ท่านเสนาธิการ " ชายหนุ่มพูอย่างติดตลก ในขณะที่สินกางแผนที่ออกมาพร้อมกับครางเบาๆอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ในที่สุดเขาจะชี้ไปตรงที่กาญจนบุรีอย่างตัดสินใจ
" เมื่อ ๓ วันก่อนมีพระราชโองการจากพ่ออยู่หัวให้เทครัวกาญจนบุรีมารั้งที่อโยธยาหมดแล้ว ในขณะที่นาข้าวที่เก็บเกี่ยวไม่ทันก็ถูกเผาทิ้งเรียบไปหมดแล้ว...ที่นั่นไม่เหลืออะไรให้เรากังวลอีกต่อไป ทำให้ที่นั่นเหมาะที่เราจะหยุดและวางแผนขั้นต่อไปกัน ถ้าจะเอาให้ชัดเจนก็คือตรงนี้ ที่เป็นส่วนคาบเกี่ยวระหว่างเมืองกาญจนบุรีและราชบุรี...ถ้าเราออกกันตั้งแต่เช้ามืดที่นี่และเร่งม้าเต็มฝีเท้าก็คงจะไปถึงที่นี่ราวค่ำๆพอดี "
' เฮ้อ ถ้าเป็นสมัยเราแค่จากพระนครศรีอยุธยาไปกาญจนบุรีก็แค่ผ่านทางสุพรรณประมาณ ๑๕๐ กิโล...ขับรถไม่เกิน ๒ ชั่วโมงตรึ่งเท่านั้นแท้ๆ แต่พอเป็นสมัยนี้ต้องขี่ม้ากันยาวเป็นวันๆเลยวุ้ย ' ไกรโคลงหัวพลางคิดในใจเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้าอย่างเห็นดีด้วยพร้อมกับพูดเป็นเชิงเปรยเบาๆว่า
" รู้แล้วใช่ไหมว่าผู้ใดบัญชาการทัพที่ราชบุรี? "
" ฮ่ะๆ ขอรับ ออกญารัตนาธิเบศน์ "
" ข้ากับเจ้าพระยาทุกท่านรวมถึงพ่ออยู่หัวกะกันไว้ว่าประมาณ ๑ อาทิตย์ แปลว่าคงอีกไม่เกิน ๓-๔ นี้แน่ๆ และถึงจะพูดอย่างขี้โม้ไปบ้าง แต่ข้าว่าข้ารู้จักพระเจ้าอลองพญาดี พระองค์เป็นกษัตริย์ักรบ คงจะมองข้ามช็อต---หมายถึงมองเหตุการณ์ล่วงหน้าเกินราชบุรีไปแล้วแนๆ เพราะฉะนั้นดีไม่ดีเราอาจจะเจอพวกกองทัพหน้าที่มาดูลาดเลาก็ได้ " ไกรพูดเบาๆอย่างครุ่นคิด ซึ่งสินก็กระพริบตาปริบๆก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย
" ถ้าเช่นนั้นข้าจะสั่งให้ทุกคนระวังตัวไว้ล่ะกันนะขอรับ "
" อืม ฝากด้วยนะ ท่านสิน "
ไกรพยักหน้าช้าๆ...ถึงจะบอกว่าเขาอยู่ในฐานะนายทัพ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่มีความรู้ความสามารถในด้านกลยุทธ์การศึกหรือพิชัยสงครามอะไรเลย ทำให้ชายหนุ่มไม่อยากจะเผลอปล่อยไก่สั่งอะไรไม่เข้าท่าออกไป หน้าที่ในการสั่งการต่างๆทั่วไปจึงตกอยู่ที่หลวงยกกระบัตรเมืองตากแทนแทบทั้งหมด
" หึๆ แบบนี้จะดีเหรอวะ ไกร? " หลังจากที่สินควบม้านำไปเพื่อกำกับคนในทัพ สินที่เวลานี้ขี่ม้าพยศตัวพ่วงพีสีดำสนิทที่นามว่านิลผยอง (ตัวเดียวกับที่พยศนรกแตกที่กรมม้าต้นและเป็นตัวเดียวที่ทนกลิ่นอายอาถรรพ์ของสิงห์ได้) จะเทียบม้าเข้ามาใกล้ๆและฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัยจนไกรขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเฮือก เพราะเขาฉลาดพอจะรู้ถึงคำยุแหย่ของไอ้หน้าทะเล้นข้างๆดี
" ข้าไม่มีความสามารถพอจะสั่งการกองทัพหรอก จริงๆแล้วนี่มันโคตรจะเหนือกำหนดการที่ข้าวางไว้แบบสุดๆเลยล่ะ ทีแรกกะว่าจะไปกันไม่กี่คนแล้วรีบเข้ารีบออกแท้ๆ แต่งานนี้มันเลยไปไกลเลย "
" น่าสนุกดีเนอะ "
" สนุกกับผีน่ะสิ! "
" ฮ่าๆๆ เอาน่าๆ พวกข้าก็อยู่เฉยๆมาตั้งนานแล้ว น่าเบื่อจะตายโหง มีอะไรสนุกๆแบบนี้บ้างก็ดีแล้วนี่ "
ไกรถอนหายใจเฮือกอย่างขี้เกียจจะเถียงอะไร เพราะเถียงกับไอ้คนที่เป็นมาโซคิสม์ที่ชอบความเจ็บปวดอ่อนๆและอยากเจ็บตัวตลอดอย่างไอ้บ้านี่ไปก็เท่านั้น ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องที่เป็นการเป็นงานช้าๆว่า
" อเทตยากับศกุนตลาล่ะ? "
" ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เห็นว่าจะไปรับอุษาที่จะมาสมทบ และไม่ต้องห่วงเรื่องสถานะของพวกเธอหรอกนะ เพราะยัยพวกนั้นคัดคนที่มีฝีมือในด้านการยิงธนูหน้าไม้กับปืนยาวไปเกือบ ๓๐ คนเข้าสังกัดตัวเองเพื่อเป็นพลยิงไกลสนับสนุนเรียบร้อยแล้ว "
" เฮ้อ...ทั้งๆที่เป็นกองทัพของตัวเองแท้ๆ แต่ทำไมรู้สึกว่าตูแค่นั่งๆนอนๆเฉยๆ ในขณะที่คนอื่นแบ่งงานและปฏิบัติหน้าที่กันอย่างแข็งขันกันทุกคน...รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ชะมัดเลย " ไกรครางออกมาเบาๆจากใจจริง เพราะตั้งแต่ ๓ วันก่อนแล้ว เขาเอาแต่นั่งๆนอนๆและพูดคุยปรึกษากับทานผู้เฒ่าและท่านครุฑกับท่านบุนนาค กับแก้ปัญหาในเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆเลย
" เฮ่ย อย่าพึ่งถอนหายใจว่ะ ปัญหามาอีกเรื่องแล้ว "
" หา? " ไกรทวนคำเล็กน้อยอย่างงงๆ แต่สิงห์แสยะยิ้มพร้อมกับพยักเพยิดไปที่เงาไม้ใหญ่ข้างทางระหว่างที่เขากำลังขี่มากันเพื่อจะออกจากกำแพงพระนคร แต่เมื่อสังเกตชัดๆเขาก็เห็นร่างเงาของหญิงสาวบนหลังม้าตัวพ่วงพี...หญิงสาวที่เขารู้จักมักจี่เป็นอย่างดี
" นาสตี้? " ไกรรีบเร่งม้าเพื่อไปหาหญิงสาวที่ดักรอเขาอยู่อย่างสงสัย ในขณะที่อนาสตาเซียยิ้มเล็กน้อยทักทายทันที
" จะไปแล้วสินะ ไกร "
" อืม "
" อย่าทำอะไรเกินตัวล่ะ อย่าหาเรื่องให้เจ็บตัว ทำอะไรคิดหน้าคิดหลังก่อน ถนอมตัวไว้ นึกถึงร่างกายตัวเองในระยะยาวด้วย "
" ฮ่ะๆ ขอรับๆ คุณแม่ " ไกรรับคำพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ ในขณะที่อนาสตาเซียจ้องหน้าชายหนุ่มนิ่ง ก่อนจะพูดช้าๆว่า
" คงไม่ลืมสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าหรอกนะ? อย่าชิงตัดช่องน้อยหนีตายไปง่ายๆเสียล่ะ "
" นี่ตกลงห่วงข้าจากใจจริงใช่ไหมเนี่ย? " ไกรเอียงคอถามเบาๆ จนอนาสตาเซียหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เธอจะพยักหน้าช้าๆ
" อันที่จริงข้าก็สองจิตสองใจนะว่าจะให้เจ้าดีรึเปล่า...แต่เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว "
" เอ๋? "
หญิงสาวไม่พูดอะไรต่อ เธอเพียงแค่ยื่นห่อผ้าสีแดงเล็กมาให้ไกร ก่อนจะพูดเบาๆว่า
" ของขวัญอำลา และกำลังใจจากสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรของเจ้าอย่างไรล่ะ...พระองค์ไม่อาจจะเสด็จมาด้วยพระองค์เองได้ จึงต้องลำบากฝากข้ามานี่อย่างไรล่ะ "
" อ เอาจริงดิ? " ไกรทวนคำอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเอง ซึ่งอนาสตาเซียก็หรี่ตามองเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก แต่หญิงสาวก็ยังยิ้มได้เพื่อส่งไกร ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้งพร้อมกับตบไหล่ไกรเบาๆ
" ...ข้าอาจจะพูดซ้ำหลายครั้ง แต่ว่า...ไปดีมาดีนะ กลับมาให้ได้นะ ...ไกร "
...เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็บังคับม้าสีหมอกให้กลับมารวมกลุ่มและเดินไปข้างๆมือสังหารหนุ่มอย่างสิงห์ช้าๆด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ในขณะที่เมื่อเห็นสิงห์ก็หัวเราะลั่นทันที
" ได้กำลังใจมาตรึมเลยสินะ? "
" อย่าแซวน่า " ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะผ่อนม้าลงเล็กน้อยและใช้มือทั้งสองข้างแกะห่อผ้าสีแดงที่อนาสตาเซียบอกว่าเป็น ขวัญกำลังใจ ที่องคหญิงของเขามอยให้อย่างอยากรู้อยากเห็นสุดๆ ก่อนที่เขาจะชะงักกึกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าชัดๆ
...ผ้าสไบผืนบางเบาที่มีกลินหอมเจอจางผืนหนึ่ง พระธำมรงค์ประดับทับทิมวงน้อยวงหนึ่ง และดอกรักสีขาวบริสุทธิ์ช่อหนึ่ง...
ไม่มีจดหมาย ไม่มีรูปภาพ ไม่มีคำอำลา มีแค่หนึ่งสไบ หนึ่งแหวนและหนึ่งดอกไม้ที่เด็ดมาจากต้น...แต่สำหรับ ขวัญกำลังใจ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ไกรยิ้มออกมาได้ด้วยขวัญกำลังใจที่เต็มเปี่ยมแล้ว
" อ้า สำหรับคนว่างงานแล้ว เจ้าเป็นคนว่างงานที่โชคดีจนน่าอิจฉาเลยว่ะ ไกร "
" ไอ้คนว่างงานตัวจริงอย่างแกน่ะเงียบไปเลยเฟ้ย! "
..........................................................
...หลังจากนั้นพวกกองทัพที่ประกอบด้วยทหารม้าเพียงแค่ร้อยกว่าคนก็เดินทางอย่างเงียบๆโดยที่สินเลือกเส้นทางได้อย่างฉลาดโดยลัดผ่านเส้นทางด่านร้างและหลีกเลี่ยงหมู่บ้านหรือแหล่งชุมชนให้ได้มากที่สุด ทำให้พวกเขาอยู่ในฐานะล่องหนนิดๆสมเป็นภูติผีจริงๆ จนกระทั่งพวกเขาทะลุผ่านสุพรรณบุรีและเข้าสู่เขตกาญจนบุรีในเวลาบ่ายแก่ๆ ซึ่งเมื่อเข้าเขตเมืองกาญจนบุรี ทุกคนก็ต้องชะงักกึกและหยุดม้าไปในทันที
" บ้า...แล้ว นี่มันเมืองร้างชัดๆ "
ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆ อย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่ ในขณะที่ทุกคนแม้ว่าจะอึ้งไปแต่ก็ดูเหมือนจะยอมรับได้ในระดับหนึ่ง...ยอมรับกับภาพที่อยู่ตรงหน้าได้
...ภาพของหมู่บ้านเล็กๆที่พวกเขาบังเอิญผ่านมาเจอ...แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่มีเพียงไม่กี่สิบหลังคาเรือน แต่ก็ดูเป็นระเบียบและมีความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งมีตลาดกลางหมู่บ้านและติดแม่น้ำสายเล็กๆ...แต่เวลานี้ทั้งหมู่บ้านกลับกลายเป็นหมู่บ้านร้างที่ไร้ซึ่งผู้คน...ไม่มีแม้แต่สัตว์เลี้ยง...ไม่เหลือแม้แต่ชีวิต...
ขณะกองทัพม้าของเขาเคลื่อนผ่านผ่ากลางหมู่บ้านร้างแห่งนี้ ไกรก็เหลือบมองเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งถึงจะไม่ชัดนักแต่เขาก็ยังสังเกตเห็นว่าภายในบ้านยังถูกวางไว้ด้วยเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ในขณะที่ยังมีผ้าที่ถูกขึงไว้ที่ราวอยู่อีก ราวกับว่าทุกคนในหมู่บ้านไม่ได้แค่เทครัวอพยพตามปรกติ...
" ...แบบนี้ มันน่าจะเรียกว่า หนีตาย มากกว่าล่ะมั้งเนี่ย " ไกรครางออกมาเบาๆ ในขณะที่สิงห์ที่ชักม้าอยู่ข้างๆเขาเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
" ก็สมควรแล้วนี้...ชาวบ้านทุกคนถูกสอนว่าพม่ามันเป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่น่ากังวล เพราะไม่เคยถูกรุกรานเลยมาตั้งหลายร้อยปี ถ้าเป็นเมื่อก่อน บอกไปจนคอแหบแห้งก็คงจะไม่มีใครเชื่อหรอกว่าพม่าจะสามารถผนึกกองทัพบุกมาได้ถึงขนาดประชิดเมืองราชบุรีเช่นนี้...พวกมันดูถูกศัตรู และเมื่อพบว่าความจริงแล้วศัตรูแกร่งกว่าที่คาดคิดก็ขวัญหนีดีฝ่อ...ข้าว่าแค่อพยพไปโดยเหลือสิ่งของเครื่องใช้แค่เล็กน้อยนี่ยังถือว่าเกินคาดแล้วนะ เพราะที่คาดการณ์กันไว้พวกชาวบ้านควรจะขวัญบินและหนีไปตัวเปล่าๆโดยทิ้งทั้งทรัพย์สมบัติทั้งสัตว์เลี้ยงไว้เลยด้วยซ้ำแท้ๆ "
" แกพูดราวกับไม่ใช่เรื่องของแก " ไกรอดหันมาบ่นเบาๆไม่ได้ แต่สิงห์กลับหัวเราะลั่น
" ก็ไม่ใช่น่ะสิวะ อย่าลืมสิไกรว่าข้าคือคนแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ไม่ใช่คนอโยธยา สำหรับข้าสงครามครั้งนี้ไม่เกี่ยวพันกับข้าเลย ข้ายืนอยู่ในฐานะวงนอกและแค่สนุกไปกับมันเท่านั้น...เจ้าที่เป็นคนของหมู่บ้านยุคันตวาตก็ควรจะคิดเช่นข้า ไอ้เซ่อเอ้ย "
" อาจจะจริงของเจ้าแฮะ " ไกรครางออกมาเบาๆก่อนจะเบนสายตากลับมา ในขณะที่สินที่ชักม้านำขบวนอยู่ด้านหน้าตะโกนบอกให้ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังขึ้นในระดับสูง เพราะเข้าเขตที่เรียกว่าเริ่มอันตรายแล้ว ทำให้ไกรเผลอไปจับด้ามดาบสดายุที่ผูกอยู่ข้างตัวเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ถึงสถานการณ์กดดันแบบนี้
" ท่านไกร เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าคะ? สีหน้าท่านไม่ค่อยจะสู้ดีเลย "
เสียงของหญิงสาวผู้ที่ไกรจัดอันดับอยู่ในฐานะคนสำคัญอันดับต้นๆของเขา อย่างอเทตยาผู้มีใบหน้าและน้ำเสียงเดียวกับเพียงออผู้เป็นน้องสาวของไกรดังขึ้นที่อีกด้านหนึ่งอย่างกะทันหันทำให้ไกรสะดุ้งเล็กน้อยอย่างตื่นจากภวังค์ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหญิงสาวทันที
" ไม่เป็นอะไรหรอก อเทตยา...ข้าแค่ เอ่อ เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ "
" จะให้ทุกคนพักก่อนไหมเจ้าคะ? "
" ไม่ต้องหรอก ตอนเทียงก็พึ่งพักทานข้าวกันไป ข้าไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงน่ะ " ไกรพูดโดยพยายามแอบซ่อนความรู้สึกหวาดกลัวแหละหวั่นไหวที่เริ่มฟุ้งขึ้นในใจ และเชิดหน้าอีกครั้งอย่างคนที่ไม่ค่อยชอบเผยด้านอ่อนแอให้ใครเห็นนัก ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทุกคนเดินทางต่อโดยไม่ต้องเสียเวลามาสำรวจอะไร
...และก็เป็นอย่างที่ทุกคนคิด...หมู่บ้านที่เขาเจอไม่ใช่หมู่บ้านแรกที่ถูกทิ้งร้างและเทครัวอพยพไปอย่างเร่งรีบ เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นานเขาก็พบกับหมู่บ้านที่สองที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากหมู่บ้านแรก และหมู่บ้านที่ ๓ หมู่บ้านที่ ๔...ไปเรื่อยๆจนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็เลิกนับจำนวนหมู่บ้านไปโดยปริยาย...
" เฮ้อ เมืองร้างอย่างที่เจ้าว่าจริงๆว่ะ " สิงห์หัวเราะออกมาเบาๆอย่างขบขันในขณะที่ทุกคนไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องตลกเลยซักนิด...ในขณะที่อยู่ๆ ศกุนตลาที่ขี่ม้ารั้งท้ายอยู่อย่างเงียบๆตามนิสัยมืดมนของเธอที่ด้านหลังจะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบกระตุ้นม้าพุ่งขึ้นมาจนมาถึงกลุ่มของไกรอย่างรวดเร็วที่สุดจนไกรสะดุ้งอย่างตกใจทันที
" ไกร เรียกสินกลับมา และสั่งให้ทุกคนเงียบที่สุด! "
" อ เอ๋? " ไกรทวนคำอย่างงงๆ แต่ศกุนตลาทวนคำสั่งตัวเองด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นอีกครั้ง ทำให้ไกรรีบยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ในขณะที่สินที่เห็นว่ากลางขบวนเกิดเหตุผิดปรกติก็รีบควบม้ากลับมาพร้อมกับเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามทันที
" ...ข้างหน้า...ไม่เกิน ๕๐ เส้น (๒ กิโลเมตร) มีการปะทะกันเกิดขึ้น ฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าและโพกหัวซึ่งน่าจะเป็นทหารพม่ากำลังล้อมกรอบฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าอยู่ " ศกุนตลาพูดเรียบๆราวกับรายงาน แถมเป็นรายงานที่ทำเอาสินถึงกับเอียงวูบ
" นี่อำกันเล่นรึเปล่าเนี่ย? " สินถามเบาๆอย่างไม่แน่ใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรคนในหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรก็มีแต่พวกพิลึกๆที่เอาสมาัญสำนึกทั่วไปมาตัดสินไม่ได้อยู่แล้วจึงยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในขณะที่คนที่รู้จักศกึชุนตลาดีกว่าอย่างไกรที่นู้ว่าเธอไม่ใช่พวกนิยมล้อเล่นในทุกๆเรื่องหันขวัยไปในทิศทางที่หญิงสาวชี้พร้อมกับถามเรียบๆทันที
" พอจะกะประมาณได้ไหมว่าทหารพม่ามีประมาณกี่คน? "
" ๕๐ นาย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้...เพียงแต่ทั้ง ๕๐ เป็นทหารม้าเกราะเบาอาวุธเบาเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วทั้งหมด...น่าจะเป็นพวกกองลาดตระเวนกองหน้าที่มาดูลาดเลา...ส่วนพวกที่ถูกล้อมกรอบอยู่น่าจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา เพราะเดินเท้าและมีอาวุธไม่ได้ดีมากนัก "
' เฮ้ยๆ ถ้าล้อเล่นยัยผู้หญิงที่ชื่อศกุนตลานี่ก็ล้อเล่นได้อย่างละเอียดราวกับตาเห็นเลยไม่ใช่หรือ?...ยัยพวกนี้ ไม่สิ คนของท่านไกรพวกนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย? ' สินได้แต่คิดในใจอย่างงุนงง ในขณะที่ไกรหันหน้ากลับมาหาเขาพร้อมกับพูดเสียงเครียดทันที
" ท่านสิน พอจะมีวิธีช่วยพวกนั้นไหม? "
" แต่ว่าพวกนั้นเป็นใครก็ไม่รู้นะขอรับ...ส่วนพวกเราเองก็มาเป็นการลับ และยังมีกำลังไม่พร้อมดีเพราะเรือเวนไตยที่เป็นกองหนุนก็ยังไม่มา แถมกองเสบียงและของใช้ก็อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้...หากพลั้งพลาดขึ้นมามันจะทำให้พวกพม่ารับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของกองทัพของเรานะขอรับ " สินชี้ให้เห็นถึงส่วนใด้ส่วนเสียโดยมองอย่างทหาร แต่ไกรส่ายหน้าช้าๆ
" ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นยังพอเข้าใจ แต่นี่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นตรงหน้าข้า...ข้าคงปล่อยให้พวกเขาละลายหายไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องช่วย "
" เฮ้อ คุณธรรมค้ำคออีกแล้ว ไอ้นักบุญหลงยุคเอ้ย! " สิงห์ที่กะว่าจะนั่งเงียบๆอย่างไม่พูดอะไรยังครางออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่ายในความคิดแบบอุดมครชติของไกรจนไกรแยกเขี้ยววับและจุ๊ปากลั่นอย่างขัดใจ
" ยิ่งมัวพูดกันสถานการณ์ของคนที่ถูกล้อมกรอบอยู่นั่นก็ยิ่งวิกฤต แทนที่จะมัวมาเถียงกันอยู่เช่นนี้ เอาเวลามาคิดช่วยพวกนั้นดีกว่า " ไกรตัดบทห้วนๆ แถมยังพูดด้วยสายตาที่ทำให้คนที่นู้จักเขาทุกคนรู้ว่าคงจะไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจเขาได้แน่ จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกันทันที
" ถ้าเช่นนั้นก็มีอยู่อีกวิธีขอรับ คือบุกสายฟ้าแล่บ...ฉวยโอกาสที่พวกกองลาดตระเวนพม่ามัวล้อมกรอบคนพวกนั้นจู่โจมให้มันทันตั้งตัวจากทุกทิศทาง อาศัยจำนวนที่มากกว่าเป็นร่างแห และที่สำคัญคือต้องเอาให้อยู่ทุกคน อย่าให้พวกมันแม้แต่คนเดียวรอดไปรายงานที่กองทัพได้ " สินเสนอทางเลือกตามสถานการณ์อีกครั้งตามสถานการณ์ตรงหน้า ซึ่งทุกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ายอมรับเบาๆ
" ศกุนตลา พื้นที่รบล่ะ? " ไกรหันไปถามเบาๆอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ในขณะที่ศกุนตลาเอียงหัวคิด หรืออีกนัยหนึ่งคือเงี่ยหูฟังเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาเบาๆว่า
" พื้นที่เปิดโล่ง ที่ลุ่ม รอบๆเป็นต้นไม้สูง คนของข้าที่คัดไว้เป็นพลแม่นปืนและมือฉมังธนูของอเทตยาสามารถซุ่มซ่อนและยิงคุ้มกันได้ ส่วนพวกเจ้าก็สามารถล้อมได้อย่างสบาย "
" ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีเวลาโอ้เอ้แล้ว สิงห์อยู่กับข้า ส่วนท่านสินไปกับหลวงพรหมเสนา นำกองกำลังครึ่งหนึ่งของเราอ้อมไปล้อมไว้อีกด้าน...รอคอยสัญญาณว่าพลแม่นปืนของพวกเราภายใต้การนำของศกุนตลาและอเทตยาเข้าประจำที่ เมื่อได้สัญญาณให้ลงมือพร้อมกัน...จุดสำคัญคืออย่าให้พวกมันแม้แต่คนเดียวรอดไปได้ เข้าใจไหม? "
" ขอรับ!/เจ้าค่ะ! " เมื่อถึงเวลาจริงจัง ทุกคนก็ขานรับคำสั่งของไกรอย่างเป็นระเบียบโดยไม่มีการล้อเล่นใดๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปสังการทหารในสังกัดของพวกเขาที่ถูกแบ่งไว้เป็นหมวดหมู่ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวทุกคนก็รีบไปประจำการในหน้าที่ของตัวเองทันที
เพียงไม่ถึงอึดใจต่อมา ไกรกับสิงห์ และพลพรรค กองทัพแห่งภูติพราย ประมาณ ๔๐ กว่าคนก็ค่อยๆเคลื่อนม้าอย่างช้าๆจนมาหยุดอยู่ตรงแนวชายป่า ในขณะที่ลานที่ลุ่มกว้างตรงหน้าพวกเขา ห่างไปประมาณ ๑๐-๑๕ วา (๒๐-๓๐ เมตร) เบื้องหน้าของเขาคือกลุ่มทหารพม่าที่ดูรู้ทันทีจากชุดเครื่องแบบที่ใส่บนหลังม้าที่วนม้าไปมาพร้อมกับอาวุธเบาครบมือ กำลังตีวงล้อมวนล้อมกรอบกลุ่มชาวบ้านที่เป็นชายฉกรรจ์เดินเท้าประมาญ ๒๐ คนที่ยืนหันหลังให้กันพร้อมกับยกอาวุธซึ่งก็เป็นพวกคราด เียว หรือขวานซึ่งเป็นอุปกรณ์การกสิกรรมที่แทบจะเรียกว่าอาวุธไม่ได้ด้วยซ้ำขึ้นตั้งหน้าราวกับเตรียมสู้ตาย ในขณะที่นายกองพม่าดูเหมือนจะต้องการจับเป็นพวกชาวบ้านเหล่านั้นเพื่อรีดความลับและเป็นเชลยมากกว่า จึงยังไม่ได้สั่งให้ทหารทั้งหมดบดขยี้ชาวบ้านที่เสียเปรียบเต็มประตูเหล่านั้น...ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้น ทหารที่อยู่เบื้องหลังของไกรและสิงห์ทุกคนก็ฮึดฮัดขึ้นอย่างขัดใจและเจ็บแค้นแทนคนชาติเดียวกันทันที จนทั้งไกรและสินต้องรีบยกมือเพื่อปรามไว้ไม่ให้ทุกคนทำอะไรผลีผลามทันที
" รอก่อน...แล้วอย่าลืมว่าห้ามให้พวกมันรอดไปได้แม้แต่คนเดียว ไม่เช่นนั้นงานของเราจากนี้จะยากขึ้นเป็นเท่าทวีแน่ เข้าใจใชไหม? " ไกรหันไปย้ำกับทุกคนที่เวลานี้ชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมแล้วเบาๆอีกครั้งเพื่อย้ำให้ชัดเจน ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับคำเบาๆด้วยแววตาที่กระเหี้ยนกระหือรืออย่างเต็มที่เลย
" ขอรับ! "
" เย็นใจไว้ก่อน...รอสัญญาณจากพวกพลแม่นปืนให้เข้าประจำที่ก่อน " ไกรรีบย้ำอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาและชักดาบสดายุออกมาเตรียมพร้อม...ทุกคนแทบจะกลั้นหายใจเพื่อรอคอยสัญญาณสั่งบดขยี้ชนิดนับวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว...
" ฮ เฮ้ย! ไอ้ไกร ดูนั่นสิ! " แล้วระหว่างที่พวกเขากำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น สิงห์ก็ใช้ศอกกระทุ้งไกรอย่างแรงจนไกรร้อง แอ้ก! ก่อนจะชี้ให้ไกรดูกลุ่มชาวบ้านที่ถูกล้อมกรอบนั้นทันที
" อ อะไรของเอ็งวะ ไอ้บ้า! " ไกรหันไปด่าพร้อมกับลูบสีข้างที่ถูกศอกเต็มๆเพราะระบมเลย แต่พอเขามองตามที่สิงห์ชี้ไป เขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างเข้าใจสิ่งที่สิงห์ต้องการจะบอกทันที
" ฮ เฮ้ยๆๆๆ ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย?! "
สิ่งที่พวกเขาเห็นจากคลองสายตานั้นคือชายฉกรรจ์ผิวคล้ำไว้ผมทรงมหาดไทย รูปร่างสูงใหญ่และมีกล้ามเป็นมัดๆ ยืนถือดาบสองมือซึ่งเป็นไม่กี่คนที่ถือสิ่งที่พอจะเรียกว่าเป็นอาวุธได้และยืนล้ำหน้าทุกๆคนอยู่ราวกับเป็นหัวหน้าของทุกๆคน...และสิ่งที่เป็นจุดสังเกตที่สุดกลับอยู่บนใบหน้าของเขา...
...ใบหน้าหยาบกร้าน ที่ไว้หนวดสีดำสนิทที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม...ตัดแต่งจนโง้งเป็นรูปหนวดเขี้ยวอย่างสวยงามที่สุด!...
" แกจำไอ้นั่นได้ใช่ไหม? ไกร? "
ต่อให้ได้พบกันเพียงไม่กี่นาทีในอดีตที่เหมือนจะผ่านมาอย่างยาวนานแล้ว แถมในสภาพที่โคตรไม่ปรกติที่สุดก็ตามที...แต่ไกรก็จดจำชายหนุ่มผู้นั้นได้เป็นอย่างดี จดจำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือนแน่นอน!
" ไหงมาอยู่ตรงนี้ได้ฟะเนี่ย?! นายจันหนวดเขี้ยว!! "
ปุ้ง!
เสียงของพลุสัญญาณอันเป็นพลุสัญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตที่ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขาอย่างกะทันหันทำให้ไกรสะดุ้งโหยง พร้อมๆกับเสียงปืนยาวที่ดังก้องขึ้นเป็นตับจนหูแทบไหม้ ที่ดังแข่งกับเสียงของสิงห์ที่ตวาดลั่นด้วยสัญชาตญาณทันที
" ฆ่ามันให้หมด! "
......................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ