ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

129)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

       " ห...หา? "

 

         ระหว่างที่สินยังคงทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่นั้น ไกรก็ได้โอกาสเหลือบหันไปมองผู้ติดตามสองคนของสิน โดยที่คนแรกคือพระเชียงเงิน เป็นชายหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาและถึงจะมีแผลเป็นพาดอยู่บนใบหน้าแต่ก็ดูมีน้ำมีนวลสมเป็นขุนน้ำขุนนางระดับเจ้าเมือง ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆระดับจัตวาก็เถอะ...ด้วยท่าทีที่ยังคงสงวนอยู่ตามนิสัยของข้าราชการทั่วไปทำให้ไกรเดาไม่ค่อยออกเท่าไหร่นักว่าชายหนุ่มผู้นี้เก่งกาจในด้านใด...

 

      ...ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนนึงคือหลวงพรหมเสนา แค่ดูผ่านๆก็รู้เลยว่าเป็นเชื้อสายจีนจ๋าผู้อ่อนวัยกว่าสิงห์เล็กน้อย ดวงตายิบหยีและรอยยิ้มที่กว้างสยายเต็มใบหน้าทำให้รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่โผงผางและตรงๆไม่มีลับลมคมในอะไร ทั้งข้อลำและกล้ามเนื้อที่ค่อนข้างบริบูรณ์บวกกับรอยแผลเป็นคล้ายๆกับแผลแตกขนาดไม่ใช่เล็กๆที่หัวคิ้วทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม ทำให้ไกรเดาได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงจะเป็นนักมวยที่ผ่านสังเวียนมาไม่ใช่น้อยๆแน่ๆ

 

       " พระเชียงเงิน...หลวงพรหมเสนา...เอ...ชื่อคุ้นจริงๆวุ้ย แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกแฮะ "  ไกรครางพลางเอามือนวดขมับอย่างเหนื่อยหน่ายกับหัวตัวเองเพราะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ท่านผู้เฒ่าและออกญาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีทั้งสองท่านเดินมาสมทบ ทำให้เขาเลิกคิดต่อพร้อมกับหันไปยิ้มกับทั้งสามคนทันที

 

       " ฮ่ะๆ มากันพร้อมแล้วสินะ ท่านไกร "

 

       " ขอรับ ท่านครุฑ "

 

       " ท ท่านพ่อ? "  สินที่เห็นท่านครุฑผู้เป็นพ่อบุญธรรมของตนก็รีบก้มห้วเคารพพร้อมกับเลิกคิ้วใส่ไกรอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกทันที

 

       " อืม เป็นรองหัวหน้าแล้วก็ทำตัวดีๆล่ะ แล้วอย่าทำให้ท่านไกรต้องลำบากใจล่ะ "  ท่านครุฑยิ้มหน้าบานพลางตบไหล่ลูกชายบุญธรรมที่ยังคงทำหน้าเหรอหราอยู่ดังป้าบๆ ทำให้สินกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะอดรนทนไม่ไหวและหันมาขอคำตอบจากไกรทันที

 

       " ท ท่านไกร? "

 

          ไกรหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกเพราะคิดแล้วว่าหากไม่อธิบายตอนนี้มีหวังได้พูดกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ เขาจึงนั่งลงและอธิบายให้กับทั้งสามคนที่มาใหม่ฟังช้าๆโดยไม่ปิดบังอำพรางใดๆทั้งสิ้น เพราะถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว...ซึ่งเมื่อฟังจบ ท่านสินและพระเชียงเงินก็นิ่งไปเพราะกำลังครุ่นคิดในเรื่องราวต่างๆทีพวกเขาพึ่งรับรู้ ในขณะที่คนที่โผงผางและตรงๆกว่าอย่างหลวงพรหมเสนายิ้มกว้างพร้อมกับเข้ามาจับมือไกรเขย่าทันที

 

       " เรื่องน่าสนุกขนาดนี้ ให้กระผมตามไปด้วยเถอะนะขอรับ "

 

       " อย่าพึ่งใจง่ายขนาดนั้นสิฟะ! "  พระเชียงเงินที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่รีบเข้ามาพลางสับสันมือใส่กบาลของนายทหารจีนรุ่นน้องทันที ในขณะที่ท่านสินลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามไกรและผู้อาวุโสทั้งสามคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่เบาๆว่า

 

       " นี่มันเกินกว่าระดับที่เราคาดการณ์กันไว้ ชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะขอรับ ท่านไกร "

 

       " ช่วยไม่ได้นี่หว่า "

 

       " คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วรึเปล่าขอรับ? "

 

       " ใครคาดการณ์ได้ก็เทพเกินคนแล้วเฟ้ย! เข้าใจคำว่าตกกระไดพลอยโจนไหมเนี่ย? "  ไกรโวยออกมาเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพลางยกจอกชาขึ้นซดเพราะคอแห้ง ก่อนจะจะหลับตาลงและพูดขึ้นเบาๆว่า

 

       " ข้ารู้ว่ามันกะทันหันไปหน่อย และข้าก็ไม่อยากจะบังคับจิตใจใครด้วย ถ้าหากท่านไม่อยากจะไปข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ท่านสิน "

 

       " ไอ้เรื่องไปน่ะไปแน่ขอรับ ต่อให้ไปกันแค่ ๒ คนหรือไปกันเป็นกองทัพข้าก็จะไปช่วยไอ้เรืองอยู่ดี ...แต่ที่ข้าสงสัยคือทำไมถึงได้จะแต่งตั้งข้าให้เป็นรองหัวหน้าทัพล่ะขอรับ...ข้าอยู่ในฐานะของยกกระบัตรเมืองเล็กๆเองนะ ถึงจะมีศักดินาสูงพอๆกับคุณพระระดับสูง แต่เทียบกับระดับหลวงของพวกที่อยู่ในอโยธยาก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี...แบบนั้นน่ะ "

 

         สินพูดยังไม่ทันจบ ไกรก็ลุกขึ้นพลางเดินมาตบไหล่กว้างๆของสินเบาๆพร้อมกับยิ้มให้ช้าๆ

 

       " อย่าดูหมิ่นความสามารถของตัวเองขนาดนั้นสิ ท่านสิน...ท่านน่ะคือผู้เป็นนักดาบสายอาทมาทระดับสูงเชียวนะ เรื่องระดับน่ะ เชื่อข้าเถอะว่าท่านไม่เป็นรองผู้ใดแน่นอน "

 

       " ท่านไกร "

 

       " อ...เอ่อ ขอเสียมารยาทถามเถอะนะขอรับ ตกลงพวกท่านสองคนเป็นอะไรกัน หมายถึงมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่เหรอขอรับ "  หลวงพรหมเสนายกมือขึ้นถามเบาๆ ซึ่งก็เป็นคำถามที่ทำเอาพระเชียงเงินที่เป็นรุ่นพี่และรู้กาลเทศะมากกว่าร้องเสียงหลงพร้อมรีบล็อคคอก่อนจะลากออกไปทันที แต่ก็ไม่พ้นหูของไกรเพราะไกรร้องถามออกมาเสียงหลงว่า

 

       " ประเดี๋ยวสิ! หยุดก่อนเลย แล้วไหงท่านถึงได้ถามด้วยคำถามแปลกๆงั้นล่ะ หลวงพรหมเสนา! "

 

       " ก ก็ มีข่าวจากพวกวงในว่าท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ เป็นพวกที่ไม่สนใจสตรีเพศ เพราะทั้งๆที่มีลูกน้องใต้บัญชาที่งดงามสุดๆทั้ง ๓ นางล้อมหน้าล้อมหลังแท้ๆแต่ท่านกลับไม่มีปฏิกริยาใดๆเลย ทั้งยังไม่มีลูกไม่มีเมียอีกและอยู่ทึนทึกมาถึงป่านนี้เลยน่าสงสัย แถมล่าสุดก็ยังมีข่าวว่าท่านพาบุรุษหน้าเถื่อนข้อลำล่ำบึ้กที่เป็นลูกน้องในสังกัดไปป้อนอาหารม้ากันอย่างชื่นมื่นสองต่อสองที่กรมพระอัศวราชอีก ก็---อู้ๆๆๆ "  เสียงตอนหลังขาดหายไปเพราะพระเชียงเงินเอามืออุดปากกว้างๆของเด็กหนุ่มชาวจีนไว้พร้อมกับหน้าซีดเผือด แถมพอได้ยินชัด สินก็เหลือบมามองไกรพร้อมกับหน้าซีดวูบพลางถอยหลังห่างจากไกรช้าๆ จนไกรถึงกับต้องทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นอย่างสิ้นหวังทันที

 

       " อ...ไอ้จางวางกรมพระอัศวราชนั่น...บ บอกอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าให้เหยียบไว้ให้มิดแท้ๆ! ...โธ่ จากไอ้บ่มีไก๊กลายเป็นไอ้เสี่ยเลี้ยงเด็กผู้ชายอีก ม มีอะไรตกต่ำมากกว่่านี้อีกไหมฟะเนี่ย! "

 

       " ป แปลว่าเรื่องจริงเหรอขอรับ? "  สินพูดพลางถอยห่างออกไปอีกจนไกรโวยลั่น

 

       " ไม่จริงน่ะสิฟะ! ไม่มีเศษเสี้ยวของความจริงเลยซักกระผีกริ้นเลยด้วยซ้ำเฟ้ย! "

 

       " นี่ พูดคุยเรื่องจริงจังกันได้แค่ครู่เดียว แล้วเหตุไฉนถึงได้วกไปเรื่องไม่เป็นเรื่องได้อีกล่ะเนี่ย "  ท่านออกญาพระกลาโหมบุนนาคครางออกมาเบาๆ ถึงเขาจะสงสัยจริงๆตามที่เขาพูดไปก็เหอะ...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่รู้อยู่แล้วว่าไอ้ไกรน่ะเป็นพวกศูนย์รวมตัวปัญหามาตั้งแต่แรกก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับลุกขึ้นยืนและตัดบทเรียบๆว่า

 

       " เอ้า ไหนๆก็มากันครบแล้ว ถ้าเช่นนั้นไกร เจ้าก็ลงไปรู้จักกับคนของเจ้าเสียเลยสิ "

 

         ไกรหันไปมองเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบลงไปมองเหล่าทหารในชุดแพรดำที่ยืนแถวอยูอย่างเป็นระเบียบที่ลานกว้างด้านล่างเรือน ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบาๆทันที เพราะเรื่องมาถึงขนาดนี้ก็เปล่าประโยชน์ที่เขาจะบิดพลิ้วใดๆแล้วล่ะ

 

       " เข้าใจล่ะ นำไปเลยขอรับ "

 

          ไกรเดินตามท่านผู้เฒ่าและเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีทั้งสองลงไปที่ลานเบื้องล่างอย่างช้าๆ ในขณะที่สินก็เลิกคิ้วพลางโคลงหัวเล็กน้อย และทั้งๆที่ยังคงมึนๆอยู่เขาก็ยังคงเดินตามไปแต่โดยดี...

 

      ...ในขณะที่เมื่อหลวงพรหมเสนาที่ทำท่าจะเดินตามลงไปบ้างกลับต้องชะงักกึก เพราะที่ไหล่ของเขาถูกรั้งไว้ด้วยมือของพระเชียงเงินที่อยู่ด้านหลัง ทำให้จ่าเมืองชาวจีนแผ่นดินใหญ่เลิกคิ้วใส่อย่างสงสัยทันที

 

       " หืม? มีอะไรหรือ? เฮียเชียงเงิน "

 

       " แบบนี้จะดีแล้วเหรอ? พรหมเสนา "  พระเชียงเงินขมวดคิ้วพลางพูดราวกับกระซิบออกมาเบาๆจนได้ยินกันเพียงแค่ ๒ คน ในขณะที่เมื่อได้ยิน หลวงพรหมเสนาก็เลิกคิ้วสูงอีกครั้ง

 

       " เห? เรื่องอะไรเหรอ? " 

 

       " ก็เรื่องของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีน่ะ เจ้าก็เห็นอยู่ว่าชายคนนั้นดูไม่น่าไว้วางใจเลย ดูมีลับลมคมในแบบแปลกๆ ทั้งยัง เอ่อ รสนิยมแปลกๆอีก...จะให้ท่านสินของพวกเราไปติดตามคนแบบนี้จะดีจริงๆหรือ? "

 

       " เฮ่ยๆ เฮีย เมื่อครู่ก็รู้อยู่นี่ว่าข้าล้อเล่นน่ะ คนอย่างเจ้าพระยาพิทักษ์ฯน่ะ ไม่ใช่พวกจิตวิปริตผิดเพี้ยนอะไรหรอก แค่ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเจ้าชู้สมชายจะตายชัก...แถม...เรื่องไม่น่าไว้วางใจน่ะตัดทิ้งไปได้เลย... "

 

       " หือ? "

 

         หลวงพรหมเสนายิ้มยิงฟันจนดวงตาที่ยิบหยีอยู่แล้วยิ่งหยีลงใหญ่ ก่อนจะตอบกลับมาช้าๆว่า

 

       " เฮียไม่ได้เป็นคนเล่นวิชาอาคมหนักๆเช่นข้าก็คงไม่เห็นหรอก แต่ข้าน่ะเห็น...เห็นได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ...คนที่มีพระพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สูงยิ่งกว่าเกจิอาจารย์ใดๆที่ข้าเคยพบมา เป็นดั่งตาข่ายฟ้า จักรกรด กำแพงแก้ว ปกป้องเขาจากทุกๆไสยเวทย์มนต์ดำต่างๆจนไม่มีทางที่มนต์ดำใดๆจะกล้ำกลายเขาได้อย่างแน่แท้...เฮียเชื่อเถอะ คนระดับเขาไม่ใช่คนเลวร้ายแน่นอน "

 

         ท่านพระเชียงเงินขมวดคิ้ววูบให้กับคำพูดของชายหนุ่มผู้เป็นสหายรุ่นน้องตรงหน้า ก่อนที่คิ้วที่ขมวดนั้นจะค่อยๆคลายลงพร้อมกับที่เขาจะถอนหายใจเฮือก

 

       " เฮ้อ ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็พอเข้าใจแล้วล่ะ "

 

       " ฮ่าๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าเป็นเรื่องของท่านสินล่ะก็ เฮียนี่ไม่เคยยอมโอนอ่อนผ่อนปรนเหมือนเดิมเลยน้า "

 

       " น...หนวกหูน่า! ตามลงไปได้แล้วโว้ยยย! "

 

 

      ...หลังจากที่พวกเขาลงมา ก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีกับที่ไกรได้แนะนำตัวกับเหล่าทหารที่พึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นพวกทหารกลุ่มมีปัญหาที่รวมมาจากหลายๆที่มาสุมไว้ที่นี่ ซึ่งตลอดเวลาที่ไกรแนะนำตัว นายทหารทั้งที่หนุ่มและไม่หนุ่มทุกคนก็อยู่ในระเบียบแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุดราวกับทหารที่หลุดมาจากยุคของไกรไม่มีผิด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระเบียบของทหารอันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด...แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนที่ยืนอยู่กับไกรก็ยังคงสังเกตเห็นไกรที่ขมวดคิ้ววูบอย่างไม่พอใจที่สุด

 

       " ไกร? "  ท่านผู้เฒ่าที่ยืนกอดอกเงียบอยู่ตลอดเวลาเอ่ยเรียกไกรเล็กน้อยหลังจากที่เขาสังเกตดูท่าทีของไกรอยู่นาน...ถึงไกรจะยังดูปรกติแต่เขาก็รู้จักไกรมานานพอจะรู้ว่าไกรไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย...จนในที่สุด ไกรก็ถอนหายใจเฮือก พลางเดินออกไปและแตะแขนของออกญามหาเสนาที่กำลังพูดสรุปภารกิจให้กับทหารทุกคนฟังช้าๆ จนท่านบุนนาคชะงักกึก ในขณะที่ออกญาจักรีหรือท่านครุฑที่ยืนอยู่อีกฟากเลิกคื้วอย่างประหลาดใจทันที

 

       " ท่านไกร? "

 

       " ขออนุญาตนะขอรับ แต่จะว่าอะไรไหมถ้ากระผมจะขอให้ท่านขึ้นไปรอบนเรือนก่อน แล้วปล่อยให้กระผมเป็นฝ่ายพูด ทำความรู้จัก กันกับทหารของท่านเหล่านี้เอง "

 

       ' ทำความรู้จัก? '  ท่านผู้เฒ่าทวนคำให้กับสำเนียงแปลกๆของไกรเล็กน้อย แต่ไกรก็ยังยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจมากขึ้น จนท่านผู้เฒ่าหันไปพยักหน้ากับท่านครูฑและท่านบุนนาค ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้าตอบกลับและโคลงหัวพลางยอมขึ้นไปบนเรือนแต่โดยดี...แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อขึ้นมาบนเรือนพวกเขาทั้งสามคนก็มายืนอยู่บนชานเรือนในส่วนที่สามารถมองเห็นลานด้านล่างได้ด้วยความเป็นห่วง

 

       " ท่านผู้เฒ่า ท่านเดาใจไกรได้ไหม? เขาคิดจะทำอะไรของเขากัน "  ท่านบุนนาคครางออกมาเบาๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ายักไหล่ทันที

 

       " ถ้าเดาได้ก็ดีน่ะสิ แต่เพราะเดาความคิดในหัวของมันไม่ได้นี่แหละ ข้าถึงได้ใช้ให้มันไปทำภารกิจอันยากเย็นนี้ "

 

       " ถ้าเช่นนั้น... "

 

       " เฮ้อ อย่าห่วงเลย ท่านบุนนาค ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ไกรก็เป็นคนที่มีวาทศิลป์ยอดเยี่ยม ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่ทำให้คนทั้งหลายยอมโอนอ่อนติดตามเขาได้ ดูเราทั้งสามเป็นตัวอย่างสิ... "

 

       " อืม จริง...ได้ฟังเช่นนี้ก็สบายใจ "  ท่านบุนนาคครางออกมาเบาๆ ในขณะที่ท่านครุฑเลิกคิ้วและโน้มตัวลงไปดูอย่างสนอกสนใจที่สุด

 

       " จริงของท่าน...อยากรู้จริงๆว่าสาลิกาลิ้นทองอย่างท่านไกรจะใช้คำหวานใดโน้มน้าวทุกคนกัน... "

 

 

       " ...ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเกือบทุกคนที่ยืนแถวอยู่นี่ไม่ชอบขี้หน้าข้า! และไม่ต้องถาม ข้าก็ใช่ว่าจะชอบขี้หน้าพวกเจ้าเท่าไหร่นัก! แปลว่าเราไม่ชอบขี้หน้ากันทั้งคู่! "  แต่แล้วเสียงตะโกนที่ดังลั่นออกมาจากปากของไกรชนิดกลับตาลปัตรจากคำบอกเล่าของท่านผู้เฒ่าก็ทำให้ทั้งสามคนสะดุ้งเฮือก โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้พูดเองว่าไม่ต้องห่วงถึงกับพ่นชาที่พึ่งดื่มไปออกมาดังพรวดอย่างตกใจทันที

 

       " อ ไอ้บ้านั่น! "

 

         แต่ไกรที่อยู่ด้านล่างไม่สนใจเสียงโครมครามที่ด้านบนเรือน เพราะเขาจับดาบสดายุที่ยังคงอยู่ในฝักข้างลำตัวและตวาดต่อว่า

 

       " ข้ารู้ว่าที่พวกเจ้าไม่พูดออกมาเพราะไม่ต้องการจะหักหน้าท่านออกญามหาเสนาและออกญาจักรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาพวกเจ้าโดยตรง แต่ จากนี้ต่อไปข้าจะเป็นนายของพวกเจ้า เป็นผู้ดูแลชีวิตของพวกเจ้า...และวันนั้น ข้าจะไม่ใช่ผู้อยู่ในยศเจ้าพระยาอีกต่อไป แต่เป็นคนเดินดินเช่นเดียวกับเจ้า...เพราะเมื่อถึงสมรภูมิ ยศจะเล็กใหญ่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเรามีชีวิตเดียวเท่ากัน! "

 

       " อ ไอ้ไกร! "

 

         จังหวะนั้นเป็นจังหวะติดพัร ทำให้ไกรไม่รอฟังคำทัดทานใดอีกต่อไป เพราะเขาตวาดออกมาจนเสียงดังก้องไปทั่วอย่างจองหองและไร้สัมมาคารวะที่สุดว่า

 

       " และถ้าหากใครคิดว่าข้าไม่มีค่าพอที่พวกเจ้าจะฝากชีวิตไว้ได้ หรือใครที่คิดว่าเก่งกว่าข้า...เผยตัวออกมา! "

 

         สิ้นเสียงที่กังวานก้องของไกร เหล่าทหารนับร้อยนายที่ยืนแถวกันอยู่ก็ชักสีหน้ากันอย่างไม่พอใจแทบทุกคน ในความจองหองพองขนของเด็กหนุ่มหน้าขาวฟันขาวที่ไร้ซึ่งสัมมาคารวะตรงหน้า เพราะพวกเขาไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรกับชายหนุ่มผู้อยู่ในฐานะเจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้นี้เลย เพราะวีรกรรมต่างๆที่ไกรได้ทำล้วนแล้วแต่เปิดเผยไม่ได้และเป็นที่รู้กันเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น...ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นแค่เด็กเส้นโง่ๆที่ปากดีคนนึงเท่านั้น...

 

      ...แต่ก่อนที่จะมีใครเสนอหน้าออกมาเพื่อคัดค้านความชอบธรรมในตำแหน่งหัวหน้าของไกร ไกรก็ชักดาบสดายุออกมาจากฝักครึ่งฝักพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารที่ปรกติจะเก็บงำไว้ตลอดออกมาพรวดโดยไม่ยั้งจนราวกับทำนบแตก!

 

        วูบ! 

 

        ไม่ใช่แค่จิตสังหารของไกรกับความน่าเกรงขามของกลิ่นอายของดาบสดายุที่แผ่ออกมาเท่านั้น เพราะเหมือนสองกุมารีอย่างลูกแก้วและลูกขวัญที่ซ่อนเร้นอยู่จะรู้ใจ พ่อ ของพวกเธอ เพราะทันทีที่ไกรชักดาบสดายุออกมาครึ่งฝัก ทั้งสองกุมารีผู้แหกกฎก็พร้อมใจกันปรากฏกายขึ้นมาที่ไหล่ทั้งสองข้างของไกร (ซึ่งน่าจะกลายเป็นที่ประจำของพวกเธอไปแล้ว) พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารเพื่อสมทบกับผู้เป็นพ่อ ทั้งๆที่ลำพังแค่ของคนหรือตนใดตนหนึ่งก็เพียงพอจะทำให้คนที่ไม่ระวังตัวหนาวเยือกได้แล้วแท้ๆ ...เมื่อรวมจิตสังหารชนิดไม่มีหมกเม็ดของทั้งสาม  มันทำให้ไกรในสายตาของทหารเหล่านั้นในเวลานี้ ดูไม่ต่างอะไรจากกลุ่มก้อนของความหวาดกลัวและกลิ่นอายของมัจจุราชที่พร้อมจะเกี่ยววิญญาณของพวกเขาไปลงนรกได้ทุกเวลา!

 

      ...ไม่มีใครกล้าขยับเลยแม้แต่น้อย...ไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกแช่แข็งจนไม่สามารถขยับได้...แต่พวกเขารู้ดี...รู้ดีเกินพอเลย ว่าถ้าหากเขาขยับ เขาถูกสังหารดับอนาถแน่!...

 

         ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่คนแรกที่ขยับกลับเป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของไกร นั่นคือหลวงยกกระบัตรเมืองตาก สิน ...แต่ไม่ใช่เพราะเขาขยับเพื่อจะคัดค้านความชอบธรรมของไกร...ชายหนุ่มขยับเพราะเขาเมื่อยและหาที่เหมาะๆเพื่อนั่งลงมากกว่า...เพราะสำหรับเขาที่ผ่านเรื่องคอขาดบาดตายมาพร้อมๆไกร ทำให้เขาและไกรอยู่ในระดับเดียวกัน...หลังจากในค่ำคืนกบฏเจ้าจอมเพ็งเจ้าจอมแมน ระดับของจิตของสินและไกรถูกพัฒนาขึ้นไปอย่างไม่อาจเทียบกับเดิมได้...ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้...

 

     ...ประสบการณ์ในสนามรบจริงเพียงแค่วันเดียวมีค่ายิ่งกว่าฝึกซ้อมเป็นพันวัน...

 

        ทำให้ไม่แปลกที่เหล่าทหารที่แม้จะถูกฝึกฝนมาอย่างดีเลิศ แต่ทว่าไม่เคยมีประสบการณ์เฉียดตายใดๆหรือการสู้รบชนิดเลือดแลกเลือด ชีวิตแลกชีวิต จะไม่มีทางทนแรงกดดันของผู้ที่ผ่านการเผชิญหน้ากับความตายรำไรมาแล้วอย่างไกรหรือสินได้อย่างแน่นอนที่สุด

 

       " เฮ้อ ทั้งๆที่คิดว่าฝีมือก้าวหน้าจนน่าจะสูสีแล้วแท้ๆ ยิ่งมีดาบกับยัยลูกแก้วลูกขวัญร่วมด้วยยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวี...ปิศาจชัดๆ! "  สินหลับตาครางออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่พ้นหูของยัยสองกุมารีอย่างลูกแก้วและลูกขวัญที่หันมาฉีกยิ้มพร้อมกับเอียงคอให้อย่างน่ารักทันที

 

       " ถ้าอยู่ในร่างสมบูรณ์จะสามารถทำให้น่ากลัวกว่านี้ได้อีกนะเอ้อ ชนิดสลบคาที่หรือฉี่ราดโจงกระเบนเลยก็ยังได้ อยากเห็นไหมล่ะเจ้าคะ? "  แต่คำพูดที่น่าขนลุกชนิดค้านกับความน่ารักของสองกุมารีทำให้สินรีบส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ทันที

 

       " พอได้แล้วล่ะกระมัง ท่านไกร ประเดี๋ยวพวกนี้ก็หนีกันไปหมดจนไม่เหลือใครไว้ให้ใช้สอยหรอกขอรับ "  ...นอกจากพระเชียงเงินและหลวงพรหมเสนาที่อยู่ด้านหลังไกลออกไปและไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายของไกรแล้ว...สินเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถต้านทานจิตสังหารอันแหลมคมและน่าขนลุกของทั้งไกรและลูกแก้วลูกขวัญได้ และออกจะสงสารบรรดาเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าไกรหน่อยๆแล้ว เขาจึงช่วยพูดให้ ซึ่งไกรก็หันมาเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกและยอมหยุดจิตสังหารพร้อมกับเก็บสดายุลงฝัก แต่ก็ยังไม่วายหันมาบ่นใส่สินเบาๆว่า

 

       " ท่านนี่มัน...เล่นพูดแบบนี้ไอ้บรรยากาศที่ข้าเหนื่อยสร้างไว้ก็พังหมดน่ะสิ "

 

         ทันทีที่ไกรหยุดปลดปล่อยจิตสังหารและเก็บดาบ รวมทั้งลูกแก้วและลูกขวัญก็หายตัวไปเพราะหมดหน้าที่แล้ว เหล่าทหารที่ยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นหินก็พร้อมใจกันทรุดลงกับพื้นและแข่งกันสูดลมหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะทุกคนเหมือนกับพึ่งถูกจับถ่วงลงไปในก้นแม่น้ำแล้วค่อยถูกงมขึ้นมาในสภาพที่แทบจะขาดอากาศหายใจตายอยู่รอมร่อแล้ว ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับคนที่พึ่งเคยเจอประสบการณ์น่าขนลุกแบบนี้ครั้งแรก...ในขณะที่สินเหลือบมองเล็กน้อยอย่างอดเห็นใจนิดไม่ได้ ก่อนจะเถียงกลับไปหาไกรเบาๆว่า

 

       " ท่านน่ะใจทมิฬหินชาติไปแล้ว ท่านไกร "

 

       " เออๆ ใจดีเข้าไป "  ไกรครางออกมาเบาๆพลางโคลงหัว ในขณะที่ท่านสินเดินมาอยู่ข้างๆชายหนุ่มพร้อมกับพูดอธิบายให้กับเหล่าทหารที่นั่งหอบหายใจอย่างเอาเป็นเอาตายช้าๆโดยปรารถนาจะสั่งสอนว่า

 

       " ถ้าหากเป็นในสนามรบที่เรากำลังจะไปเผชิญหน้าก็คงจะมีแรงกดดันไม่ต่างจากที่ท่านไกรกดดันพวกเจ้าหรอก...ไม่ใช่ว่าพวกเราเก่งกว่าเจ้า แต่พวกเราแค่เคยเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่หนักหนากว่านี้เป็นร้อยเท่าพันทวีกันมาแล้ว...ประสบการณ์มันต่างกันน่ะ และท่านไกรไม่ได้จงเกลียดจงชังพวกเจ้าอย่างที่ท่านปากไม่ดีพูดออกมาหรอก แต่ท่านแค่ต้องการจะฝึกฝนพวกท่านให้เตรียมพร้อม และอีกอย่างคือต้องการเอกภาพในการออกคำสั่ง เพราะพวกท่านเวลานี้ขึ้นตรงต่อคนอื่น ไม่ใช่ท่านไกร ทำให้ท่านต้องสร้างความน่าเกรงขามและความรู้สึกเป็นหัวหน้าเพื่อรวมคำสั่งมาไว้ที่ท่านอย่างที่ควรจะเป็น...เพราะสำหรับการสงคราม คำสั่งทุกคำต้องเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นก็คงแต่รอเวลาแพ้เท่านั้น "

 

       " เฮ้อ อธิบายซะหมดเปลือกเลย "  ไกรครางออกมาเบาๆ เป็นเชิงตำหนิ เพราะเขาคิดจะใช้วิธีนี้โดยไม่บอกอะไรเพิ่มเติม ซึ่งจะได้ผลมากกว่าในทางความน่าเกรงขาม แต่ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรมากมายนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นที่ต่างกันไปแล้ว ก่อนจะตั้งท่าอธิบายต่อจากสินช้าๆว่า

 

       " ขอเสริมนิดนึงก็แล้วกันนะ...ที่ข้าต้องการความภักดีจากพวกเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าต้องการจะอยู่เหนือหัวพวกเจ้า แต่หน้าที่ของข้าคือการปกป้องชีวิตเจ้า และข้าขอสารภาพตามตรงเลยว่าต่อไปในภายภาคหน้า ข้าคงจะมีแผนการที่เข้าขั้น วิตถาร มาเล่นแน่ ซึ่งหากพวกเจ้าไม่เชื่อใจและวางใจข้าในฐานะหัวหน้า แผนก็จะไม่มีวันสำเร็จได้อย่างแน่นอน... "

 

       " แปลว่าต่อให้ท่านไกรสั่งให้เจ้า สั่งให้ข้าวิ่งไปตาย หากว่าทำเพื่อส่วนรวมเราก็ต้องทำ และในบางขณะพวกเราก็ไม่มีเวลามาอธิบายเหตุผลกัน...ความเด็ดขาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด...ต่อให้เป็นข้าหรือใครก็ไม่มีละเว้น...เพราะพวกเราไม่ได้ต้องการแค่ทหาร แต่ต้องการทหารที่เป็นที่หนึ่งเท่านั้น! "  สินพูดด้วยเสียงที่แข็งกร้าวต่อทันทีที่ไกรพูดจบ ด้วยความลื่นไหลของประโยคที่ราวกับนัดแนะและซักซ้อมกันมาเป็นแรมปีแล้วก็ไม่ปาน...ในขณะที่ไกรเหลือบมองพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเว้นระยะเล็กน้อยเพื่อที่จะรับรู้อย่างแน่ชัดว่าทุกคนในที่แห่งนี้กำลังฟังเขาอย่างตั้งใจ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพูดออกมาช้าๆ

 

       " ภารกิจนี้ไม่ต่างจากภารกิจฆ่าตัวตาย ถึงข้าจะสาบานต่อหน้าพวกเจ้าทุกคนว่าข้าไม่มีวันทิ้งพวกเจ้า แต่โอกาสรอดก็ยังอยู่ในระดับต่ำ...ข้าไม่อาจจะพูดได้ว่าข้าจะสามารถพาพวกเจ้ากลับมาบ้านได้ครบทุกคน...ดังนั้นข้าจึงอยากให้ภารกิจนี้เป็นภารกิจอาสาโดยไม่มีการบังคับเข้าร่วม...ถ้าหากนี่ไม่ใช่สุรารสร้อนแรงที่เจ้าชื่นชอบ ก็ถอนตัวได้เลยโดยที่จะไม่มีผู้ใดว่าเจ้าได้... "

 

         ถึงตอนนี้ไกรนิ่งเงียบไปอีกครั้ง เขาจะกวาดสายตาอันคมกริบมองกราดไปที่ทุกคนที่ยืนนิ่งอยู่...แต่เวลานี้สิ่งที่สะท้อนมาจากดวงตาของพวกเขาทั้งหมดไม่ใช่ความหวาดกลัวหรือความสับสนอีกต่อไป...แต่เป็นดวงตาของผู้ที่กำลังตัดสินใจในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตต่างหาก...

 

      ...ต่อให้ไม่เคยผ่านสมรภูมิ แต่พวกเขาก็ยังเป็นอยู่อย่างนึง เป็นในสิ่งที่พวกเขาเป็นมาตลอด...เป็นทหาร...และสิ่งที่พวกเขาแสวงหาจะมีอะไรอีก...นอกจากสมรภูมิที่คูควร...และนายที่คู่ควร...

 

       " ท่าน...เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "

 

       " เรียกข้าว่าไกรเถอะ "

 

       " ท...ท่านไกร...ท่านบอกพวกเราว่านี่เป็นภารกิจฆ่าตัวตาย และท่านอาจจะพาเรากลับมาได้ไม่ครบทุกคน สินะขอรับ? "

 

       " ใช่...ข้าไม่คิดจะปิดบังในข้อนี้ ...แล้ว จะถอนตัวรึเปล่าล่ะ? "  ไกรกอดอกพลางซ่อนยิ้ม ในขณะที่เด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้พูดจับแขนตัวเองเพื่อหยุดการสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ไว้...ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาที่วาวโรจน์ที่สุดอย่างตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดที่สุด

 

       " ด้วยความเคารพ...แต่พวกข้าหาทางกลับบ้านของพวกข้าเองได้ขอรับ ท่านไกร! "

 

         ครืนนนน!

 

         ต่อให้ผู้ที่พูดจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนเดียวท่ามกลางทหารนับร้อยนาย แต่คำพูดของเขาก็เป็นเสมือนตัวแทนของกลุ่มทหารเหล่านี้ไปแล้ว ด้วยแววตาที่วาวโรจน์ของทุกคนซึ่งบ่งบอกถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาดที่สุด...

 

         ไม่ว่าวินาทีก่อนหน้าพวกเขาจะเป็นคนของผู้ใดก็ตามที แต่วินาทีนี้พวกเขาทุกคนกลายเป็นทหาร...เป็นมือเท้าที่ซื่อสัตย์ของไกรแล้ว!

 

         ไกรแสยะยิ้มวูบ ก่อนจะเหลือบมามองสหายผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันอย่างสินเล็กน้อยพร้อมกับเอียงคอกระซิบถามเบาๆว่า

 

       " คิดว่ากี่วันดี? การเตรียมการ...อาทิตย์นึงได้ไหม? "

 

       " ยิ่งปล่อยช้านานโอกาสรอดของไอ้เรืองก็ยิ่งริบหรี่ ที่จริงข้าคาดว่าท่านจะสั่งออกเดินทางด้วยซ้ำเลยนะขอรับท่านไกร "  สินเลิกคิ้วพร้อมกับเอียงคอตอบกลับมาเบาๆ ซึ่งไกรก็หัวเราะหึๆ

 

       " ข้าก็ยังไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น ...ถ้าเช่นนั้นซัก ๕ วันเป็นอย่างไร? "

 

       " สาม...พวกเขาเป็นทหาร และก็รู้ล่วงหน้าอยู่เลาๆแล้ว สำหรับพวกเขาแค่ ๓ วันก็พอแล้ว "  สินกระซิบตอบกลับมาเบาๆ ซึ่งไกรก็พยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย ก่อนที่เขาจะตั้งคอตรงและพูดออกมาด้วยเสียงอันดังชัดเจนอีกครั้ง

 

       " พวกเจ้าทุกคนมีเวลา ๓ วัน... ๓ วันเท่านั้น! บอกลาญาติพี่น้อง ลูกเมียหรือข้าทาสที่เจ้ารัก ทำพินัยกรรมและคำสั่งเสียต่างๆให้ข้างหลังให้เรียบร้อยเสีย...และเช้ามืดวันที่ ๔ มาพบข้าที่นี่...แล้วเราจะไปลงนรกด้วยกัน! "

 

       " รับทราบขอรับท่าน! "

 

       " ...นับแต่นี้ไป...จะไม่มีคำว่าพวกเจ้าหรือพวกข้าอีกต่อไป...แต่จะเป็น พวกเรา!...และขอให้จดจำไว้...พวกเราคือผี พวกเราจะไร้ตัวตน ไร้ซึ่งการบันทึกหรือหลักฐานใดๆ! ...คือกองทัพแห่งภูตพราย! และข้าขอน้อมคารวะทุกท่านจากใจจริง! "

 

         ไกรและสิน รวมถึงพระเชียงเงินและหลวงพรหมเสนาที่ยังเงอะงะๆอยู่ ก้มหัวลงโค้งคำนับอย่างงดงามและจริงใจที่สุดให้แก่กองทหารนับร้อยตรงหน้า...ท่ามกลางเสียงโฮ่ร้องจากความฮึกเหิมสุดขีดของ กองทัพแห่งภูติพราย ทุกนาย!

 

      ...ท่ามกลางเสียงโฮ่ร้องที่ดังกึกก้องจากทหารเพียงแค่ร้อยนาย...สามผู้อาวุโสผู้ยืนจับจ้องอยู่ ณ ระเบียงเหนือตัวเรือนขึ้นไป ใช้สายตาที่ไม่อาจจะอ่านออกและไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ในเวลานี้ จับจ้องไปที่ชายหนุ่ม ๒ คน...ชายหนุ่มเพียงสองคนผู้ทำให้ทหารร้อยนายผู้มาจากร้อยพ่อพันแม่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ด้วยระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุด และคำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น...

 

       " ไกร สิน "

 

       " ท่านผู้เฒ่า ไกร กับสินลูกข้าเตรียมคำพูดนี้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ? "

 

       " ไม่หรอก ท่านครฑ...ไกรและสินพึ่งจะรู้เรื่องภารกิจตัดทัพเสบียงเอาเช้านี้เอง และต่อให้เตรียมคำพูดมาดีแค่ไหนก็ไม่มีวันพูดได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเช่นนี้แน่ๆ ...หึๆ เมื่อได้ยินครั้งแรกข้าก็ยังสงสัยว่าเหตุใดไกรถึงเจาะจงเลือกสินลูกชายบุญธรรมของท่าน แต่เวลานี้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ "  ท่านผู้เฒ่าพูดพลางกลั้วหัวเราะ ก่อนที่เขาจะแหกปากหัวเราะออกมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง...ในขณะที่ทั้งท่านครุฑและท่านบุนนาคที่ประสบการณ์สูงพอและฉลาดพอจะเข้าใจสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าต้องการจะสื่อถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที

 

      ...ไกรและสินในเวลานี้ไม่ต่างจากเสือสองตัว...เป็นพยัคฆ์ที่ร้ายกาจที่สุดสองตัว ที่ไม่ใช่เพียงแค่อยู่ถ้ำเดียวกัน...แต่พวกเขาออกล่าด้วยกัน...และเข้าใจซึ่งกันและกันที่สุด...

 

      ...แม้ไม่ใช่ผู้ร่วมชาติกำเนิด...แต่พวกเขาเป็นยิ่งกว่าสหาย เป็นผู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายที่เข้าใจกันถึงส่วนลึกของแผนการและจิตใจ เพียงแค่สบสายตากันเท่านั้น...

 

      ...เมื่อครั้งแรกที่ได้ยิน พวกเขาต่างก็ประหลาดใจในคำขอร้องที่เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สองของไกร ที่ขอให้หลวงยกกระบัตรสินมาเป็นรองหัวหน้าทัพผู้มีสิทธิ์ออกคำสั่งเทียบเท่ากับไกร แต่เวลานี้พวกเขารู้แล้ว...ที่นายทัพมีสองคน เพราะพวกเขาสามารถทดแทนกันและกันได้อย่างลงตัวนั่นเอง...

 

      ...เมื่อคราวที่ไกรแข็งกร้าว สินที่รอท่าอยู่จะค่อยๆปรับความเข้าใจของผู้ใต้บัญชาอย่างอ่อนโยน...และในทางกลับกัน เมื่อไกรอ่อนลงบ้าง สินก็เป็นฝ่ายแข็งกร้าวขึ้นเพื่อสร้างสถานะที่ชัดเจนระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา...ซึ่งรูปแบบนี้จะไม่มีทางทำได้หากใช้นายทัพเด็ดขาดเพียงคนเดียว...

 

         พวกเขาไม่ได้ซื้อใจเพียงแค่ทหารทั้งกว่าร้อยนาย...แต่ซื้อใจกันและกันด้วย

 

       " เขาไม่มีทางหยุดอยู่แค่ยกกระบัตร หรือแค่พระยาตากแน่...ท่านเลี้ยงเขามาดี ดีอย่างยิ่ง ท่านครุฑ "  เจ้าพระยามหาเสนาฯ บุนนาคครางออกมาเบาๆอย่างยอมรับนับถือ ในขณะที่ท่านครุฑยิ้มให้กับคำพูดเชิงชื่นชมนั้น ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆว่า

 

       " เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่ไหม? ท่านบุนนาค "

 

       " หึๆ ก็ไม่เคยคิด จนกระทั่งเวลานี้นี่แหละ "

 

       " แล้วท่านคิดว่าคนแก่อย่างเราควรจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? "

 

         ทั้งท่านครุฑและท่านผู้เฒ่าที่แม้ว่าใบหน้าจะไม่แก่ลงตามกาลเวลา แต่ก็มีอาวุโสที่สุดในหมู่พวกเขาสามคนหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ทั้ง ๓ คนจะหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกัน

 

       " นั่งร่ำสุรา มองดูคลื่นลูกใหม่ทั้งสอง เติบโตด้วยใจระทึกที่สุดอย่างไรล่ะขอรับ "

 

 

      ...หลังจากที่ส่ง กองทัพแห่งภูติพราย กว่าร้อยนายกลับออกไปพ้นอาณาเขตเรือนประจำตำแหน่งของไกรแล้ว ไกรก็ถอนหายใจเฮือกพลางหลับตาและอยู่ในลักษณะที่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดไม่แพ้หลวงยกกระบัตรสินที่ถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยๆทันที

 

       " คราวหน้าคราวหลังนัดแนะกันก่อนดีกว่านะขอรับ ท่านไกร "

 

       " ช่วยไม่ได้นี่หว่า จังหวะมันมาพอดี ถ้าเสียเวลากระซิบกระซาบนัดแนะกันก็เสียบรรยากาศหมด ตอนแรกก็ตุ้บๆต่อมๆเหมือนกันว่าท่านจะรับลูก...หมายถึงตามน้ำได้ทันรึเปล่า...โชคดีจริงๆที่ท่านทันแผนข้า ไม่งั้นก็คงเหลวไปแล้ว "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างยอมรับผิด ในขณะที่เมื่อได้ยินชัดๆ ทั้งพรเชียงเงินและหลวงพรหมเสนาก็เบิกตากว้างอย่างตกใจทันที

  

       " อ อ้าว?! นี่ไม่ได้นัดกันไว้...อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่นี้ด้นสดกันน่ะขอรับ?! "

 

         สินเหลือบมองสหายผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

 

       " แรกๆก็อย่างนี้ แต่อยู่ไปนานๆก็ชินเองนั่นแหละ "

 

       " ม ไม่มีทางชินหรอกขอรับ! "

 

       " เรามีแค่ร้อยเดียว พระเจ้าอลองพญามีทัพเดินเท้า ๔ หมื่นเศษ...ไม่รวมทัพม้าอีก ๓ พัน และกองหลังอีกเป็นพันๆ "  สินไม่สนใจอาการอ้าปากพะงาบๆ ของทั้งสองคน แต่หันมาพูดกับไกรอย่างครุ่นคิด...ถ้าหากเทียบกันตามตรง งานนี้ต่อให้พูดให้สวยหรูแค่ไหนก็ไม่ต่างอะไรกับส่งมดไปสู้กับช้างอยู่ดี...

 

       " เราไม่ได้ไปรบแบบเต็มรูปแบบ และข้าพอใจในสิ่งที่อยู่ในมือเวลานี้...ข้าเป็นคนพอใจอะไรง่ายๆอยู่แล้ว "  ไกรพูดเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ใต้ร่มไม้ใหญ่โดยหวังจะรินชาดื่มเพื่อบรรเทาอาการคอแห้ง เพราะวันนี้เขาใช้เสียงไปมากจริงๆ...แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้เขาชะงักกึกและหยุดมือลงทันที...

 

      ...อาการหนาวเยือกที่พุ่งเข้ามาสู่ไขสันหลัง ก่อนจะพุ่งไปทั่วร่างของไกร...ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกถึงเรื่องร้ายแรงระดับสุดยอด...

 

       " ...ข้า...หวังว่าเจ้าจะมีคำอธิบายที่ดี...ดีพอจะเข้าหูและหยุดดาบของข้าได้นะ...ไกร! "  เสียงอันราบเรียบจนน่าขนพองสยองเกล้าที่สุดของหญิงสาวนางหนึ่ง ที่มาพร้อมกับจิตสังหารที่เยียบเย็นและน่าขนลุก ที่ถึงกับทำให้จิตสังหารของไกรที่รวมกับจิตสังหารของลูกแก้วและลูกขวัญไปด้วยที่ใช้เพื่อขู่ทหารทั้งร้อยนายเมื่อครู่ กลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย...

 

       " สินเคยบอกข้าเมื่อพบเจ้าอีกครั้งว่าเจ้าเก่งกาจขึ้นอย่างน่ากลัว ข้าไม่เคยสังเกตเลย...จนกระทั่งเวลานี้ นาสตี้ "  ไกรครางออกมาเบาๆโดยไม่ยอมขยับไปไหน ไม่ยอมแม้กระทั่งหันกลับมา...เพราะเวลานี้เขาอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรกับเหล่าทหารที่ถูกจิตสังหารของไกรกดทับ...

 

      ...ความรู้สึกที่บอกว่า...ถ้าเขาหันหลังกลับไป งานนี้ตายแน่...

 

       " เจ้า...หมิ่นทั้งน้ำใจ หมิ่นทั้งฝีมือดาบของข้า...ไกร "  อนาสตาเซียที่เวลานี้อยู่ในชุดลูกคุณหนูแบบตะวันตกที่รัดกุมที่สุดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับที่มือขวาอยู่ในโกร่งดาบนาคราชแล้ว...ซึ่งเมื่ออยู่ในลักษณะนี้ สำหรับนักดาบและมือสังหารมือฉมังอย่างเธอ...ดาบจะอยู่ในฝักหรือนอกฝักก็ไม่มีผลใดๆต่อความเร็วของการลงมือในชั่วพริบตาเลย...ซึ่งไกรก็รู้ความจริงข้อนี้ดี...

 

      ...ถ้าไกรพูดอะไรผิดพลาดแม้แต่คำเดียว...งานนี้ไม่จบแค่เลือดตกยางออกแน่...

 

       " เจ้าก็หมิ่นน้ำใจข้าเช่นกัน นาสตี้ ที่คิดว่าข้าทอดทิ้ง ไม่ยอมให้เจ้าไปด้วย "

 

       " อ้อ...เช่นนั้นหรือ? "

 

       " หึๆ พอจะมีเวลา...ให้ข้าอธิบายไหมล่ะ อาสตาเซีย ซี. ฟอลค่อน "

 

 

 

 

 

 ......................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา