ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

118)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
===============================================
 
 
 
        ไกรส่ายหน้าให้กับชั่ววูบของความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัวก่อนจะสูดหายใจลึกเพื่อบังคับเปลี่ยนสีหน้าตนเองให้เป็นปรกติ ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินกลับไปบนเรือนของท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง แต่เมื่อเขาขึ้นมาเขากลับพบว่าท่านออกญามหาเสนาฯสนทนากับท่านผู้เฒ่าของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเขากำลังเตรียมตัวจะจากลา ทั้งๆที่ไกรเองก็ยังไม่ได้มีโอกาสถามเลยด้วยซ้ำว่าท่านออกญาผู้นี้มาอยู่อย่างผิดที่ผิดทางเช่นนี้ได้อย่างไรกัน และเขาก็คงไม่มีโอกาสถามเช่นกันเพราะท่านบุนนาคหันมายิ้มให้พร้อมกับเดินมาตบไหล่เขาอย่างหนักแน่นป้าบ
 
      " ท...ท่านบุนนาค? "
 
      " พยายามเข้าล่ะขอรับ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ กระผมจะรอพบท่านในวันรุ่งพรุ่งนี้นะ "
 
      " หา? วันพรุ่ง? อ...เอ่อ "  ไกรไม่ค่อยจะเข้าใจท่าทางที่ดูเหมือนเป็นการให้กำลังใจและคำพูดที่เป็นเหมือนการนัดหมายแปลกๆของอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ถามอะไรเพราะออกญามหาเสนาหันกลับไปค้อมหัวอำลาท่านผู้เฒ่าอีกครั้งก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวลงจากเรือนไป ทำให้ไกรต้องหันกลับมาหาคำตอบจากท่านผู้เฒ่าเอาเอง
 
      " ท่านผู้เฒ่า "
 
      " เราคงสนทนากันไม่นานนักหรอก...แต่ นั่งลงก่อนสิ "  ท่านผู้เฒ่าพูดพลางรินชาที่ยังคงมีควันกรุ่นๆใส่จอก ๒ จอกและส่งให้ไกรจอกนึง ซึ่งไกรก็ได้แต่รับถ้วยชาและนั่งลงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
 
      " ท่านผู้เฒ่า? "     
 
      " เอาล่ะ นี่คือหนึ่งในความลับสำคัญที่ข้าจะบอกเจ้า...ไกร...ท่านครุฑและท่านบุนนาครู้จักข้า...และรู้จักในนามของท่านผู้เฒ่าแห่งยุคันตวาตด้วย... "  ท่านผู้เฒ่าพูดออกมาตามตรงจนทำให้ไกรถึงกับชะงัก เขาถอนถ้วยชาออกจากปากโดยที่ยังไม่ได้ดื่มมันซักหยดก่อนที่จะครางออกมาเบาๆทันที
 
      " อ้อ...ตอนนั้นเอง "  ไกรนึกย้อนถึงช่วงที่ทานครุฑมาส่งสินเข้าสู่หน่วยคเณศร์เสียงาของเขา เพราะช่วงนั้นท่านครุฑเองก็เผลอเรียกท่านผู้เฒ่าออกมาด้วย ทำให้เขาเอะใจเรื่องนี้มาตลอด แต่พึ่งมาแน่แท้แก่ใจก็ตอนนี้เอง
 
      " ก็...สมประโยชน์ร่วมกันล่ะ มีหลายครั้งที่คนใหญ่คนโตอย่างพวกเขาจำเป็นต้องกำจัดใครสักคนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม และต้องกำจัดลงอย่างเงียบๆ พวกเขาจะใช้งานมือสังหารของเรา เพื่อแลกกับอะไรหลายๆอย่าง "
 
      " อ่าว...ข้านึกว่ามือสังหารของท่านสังหารเพื่อ...เอ่อ...สร้างความสมดุลอะไรเทือกๆนี้ซะอีก "
 
      " แหม โลกนี้มันอยู่ยากนะไกร "  ท่านผู้เฒ่าฉีกยิ้ม ในขณะที่ไกรถอนหายใจเฮือกพร้อมกับยกชาขึ้นกระดก...ถึงจะบอกว่านี่เป็นเหมือนคำสารภาพแต่ไกรก็ไม่ไดตกใจเท่าไหร่นัก...เขาไม่ใช่เด็กน้้อยไร้เดียงสาและเอะใจตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน เพราะต่อให้บอกว่าปลูกข้าวเลี้ยงสัตว์เองแต่การจะมีเส้นสายไปทั่วทุกที่ได้นั้นต้องการมากกว่าที่มั่นดีๆเช่นนั้นแน่
 
      " พวกเจ้ารู้กันอยู่แล้วใช่ไหมเนี่ย? "  ไกรหันไปถามสิงห์และอนาสตาเซียที่ทรุดตัวลงนั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งอนาสตาเซียสบตาเขาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรออกมา ในขณะที่สิงห์โคลงหัวพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
 
      " ก็อย่างที่ทานผู้เฒ่าบอก โลกนี้มันอยู่ยากว่ะ ไกร "
 
      " เฮ้อ...แล้ว...เขาต้องการให้ท่านเก็บใครกันล่ะคราวนี้? "
 
      " เก็บ? ข้าจับกระแสเสียงประชดเจ้าได้นะไกร แต่เอาเถอะ...ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าที่ปิดบังเรื่องนี้ และนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านบุนนาคมาสนทนากับเราหรอก...ทานสนทนากับข้าอยู่ก่อนแล้วก่อนที่ดาราจะเข้ามา การที่ท่านได้รับรู้ข่าวสถานการณ์ศึกจากปากดาราเป็นเพียงผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึงเท่านั้น "  ท่านผู้เฒ่าพูดอย่างใจเย็นในขณะที่ไกรเอียงหัวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเริ่มตามไม่ทันแล้ว
 
      " แล้วพวกท่านสนทนาอะไรกัน ท่านบุนนาคถึงได้ทำท่าทีแปลกๆกับข้าเช่นนั้น "
 
        คราวนี้ท่านผู้เฒ่ากลับไม่ได้ตอบทันที เขาเหลือบสายตาอันสงบนิ่งไปสบกับอนาสตาเซียที่นั่งอยู่อีกฟากเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างเชื่องช้า
 
      " ไกร...เพื่อตัวเจ้าเอง ข้าจะขอพูดอย่างรวบรัดเลยก็แล้วกันนะ...ทำใจไว้สักนิดก็แล้วกัน "
 
      " น่าสนุกแฮะ "  สิงห์ที่นั่งอยู่ฉีกยิ้มพร้อมกับหันไปครางกับอนาสตาเซียเบาๆ ในขณะที่อนาสตาเซียที่ขนาดทำหน้านิ่งๆอยู่ยังถึงกับหลุดยิ้มออกมา ในขณะที่ที่ไกรหันขวับไปมองพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ
 
      " ฮ่ะๆ ท่านผู้เฒ่าขอรับ ท่านเชื่อเรื่องลางสังหรณ์ไหม? เพราะไม่รู้ทำไมเวลานี้ลางสังหรณ์ของผมเหมือนกำลังบอกผมว่าผมกำลังจะซวยเลย "  ไกรพูดพลางกลั้วหัวเราะออกมาแห้งๆ แต่เขาพูดจากใจจริง เพราะท่าทีแปลกๆของท่านออกญามหาเสนาฯ บวกเวลานี้ไอ้อาการขนลุกซู่ๆเพราะกำลังจะเจอเรื่องซวยๆที่ห่างหายไปนานมันกลับมาอีกครั้งจนไกรชักอยากจะปิดหูและวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุดเพราะอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่ต้องได้ยินอะไรก็ตามที่ท่านผู้เฒ่ากำลังจะพูดออกมา แต่ท่านผู้เฒ่าดูเหมือนจะรู้แกวและไม่เปิดโอกาสให้ไกรทำเช่นนั้น เพราะท่านผู้เฒ่าขยุ้มไหล่ไกรไว้พร้อมกับพูดออกมาอย่างรวบรัดตามที่เขาว่าไว้จริงๆ
 
      " ขอโทษนะ เจ้าต้องขี่ม้าเป็นให้เร็วที่สุด เริ่มฝึกตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเลย ไกร! "
 
      " ม่ายยยย!! "
 
 
 
 
..........................................
 
 
 
 
     ...ณ เส้นทางเลียบฝั่งแม่น้ำ ไกลออกไปจากเรือนประจำตำแหน่งของท่านผู้เฒ่าไม่มากนัก...
 
     ...ดาราแห่งบรรลัยกัลป์ หญิงสาวผู้มากด้วยปริศนาที่เวลานี้อยู่ในรูปลักษณ์แรกที่เธอใช้เพื่อพบกับไกรเหลือบหางตามองเหล่าผู้คนที่เดินสวนไปมากับเธออย่างระวังภัยเล็กน้อยตามนิสัยที่ถูกขัดเกลาหล่อหลอมมาของเธอ แต่ด้วยสภาพที่แม้จะน่ารักน่ามองแต่ก็กลมกลืนและไม่เป็นที่สังเกตหรือสะดุดตาทำให้ผู้คนที่เดินสวนกับเธอไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเธอมากมายนัก นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยขึ้น...เธอขยับผ้าที่ใช้คลุมไหล่เพื่อปกป้องผิวจากอากาศที่หนาวเย็นให้กระชับขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า...
 
        วูบ! 
 
        แต่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ประสาทสัมผัสของเธอก็ปะทะเข้ากับจิตคุกคามอันเบาบางจากด้านหลัง เพราะเธอไม่ใช่สายนักสู้อยู่แล้วทำให้เธอมุ่งมั่นฝึกในด้านความเฉียบคมของประสาทสัมผัสอย่างเดียวจนทำให้สัมผัสของเธอเฉียบคมมากแม้ว่าจะเทียบกับสายใดๆก็ตาม ทำให้เธอแน่ใจได้เลยว่านี่เป็นการคุกคามจริงๆแน่...แต่ก็อย่างที่ว่าไว้ว่าเธอไม่ใช่นักสู้ เธอไม่ได้ฝึกฝนมาเพื่อจะปะทะ และนี่ก็ไม่ใช่การคุกคามครั้งแรกในชีวิตของเธอ...หญิงสาวผ่อนลมหายใจลงพร้อมกับก้าวเดินไปตามปรกติโดยไม่ได้เร่งหรือผ่อนฝีเท้าลง...
 
     ...แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเธอกลับรีดเร้นความเร็วทั้งหมดที่เธอมีเพื่อหักเลี้ยวและก้มตัวพุ่งผ่านผู้คนเข้าสู่ซอยมืดๆเล็กๆที่แยกอยู่จากถนนหลักวูบ แม้ว่าความเร็วของเธอมันจะเทียบได้เพียงแค่ความเร็วของผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง แต่แค่นั้นก็เพียงพอจะทำให้เธอสร้างช่องว่างเล็กๆขึ้นมาได้
 
     ...ช่องว่าง...ที่ทำให้เธอสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์และกลิ่นอายได้อย่างรวดเร็วราวกับกระพริบตา เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่ปลอดจากสายตาของบุคคลที่ ๓ เธอกลับกลายเป็นหญิงแก่รูปร่างอัปลักษณ์ที่สวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆพร้อมทั้งกลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้ ทำให้เธอดูไม่ต่างอะไรกับยาจกเข็ญใจเลยแม้แต่น้อย...
 
        หญิงสาวที่อยู่ในรูปลักษณ์ใหม่ยกเศษผ้าขาดๆที่เห็นกลิ่นฉุนเฉียวรุนแรงขึ้นปิดบังใบหน้าส่วนใหญ่เอาไว้ ก่อนจะค่อยๆเดินกระเผลกออกมาอย่างเชื่องช้าและเหมือนจริงที่สุดจนหาจุดติไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่เพียงเธอเดินขโยกเขยกออกมาเท่านั้น กลุ่มชายฉกรรจ์หลาย ๑๐ คนที่มีรูปร่างและท่าทีไม่น่าไว้วางใจก็ล้อมหน้าล้อมหลังเธอไว้เรียบร้อยแล้ว
 
        แต่ทว่าก่อนที่ดาราจะได้ทันลงมืออะไร พวกชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทีเคารพพร้อมกับ
 
      " ท่านรองหัวหน้าดารา...กรุณา ตามพวกเรามาด้วยเถอะขอรับ "
 
        ดาราเบิกตากว้างวูบหนึ่งอย่างประหลาดใจ ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนรูปลักษณ์อันแสนทุเรศทุรังกลับเป็นแบบเดิมในชั่วพริบตาพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจทันที
 
      " พวกเจ้ากำลังทำให้ฐานะของข้าที่พยายามจะสร้างขึ้นมาต้องเสี่ยงอันตราย กลับไปเสีย "
 
      " ท่านจำเป็นต้องมากับเราขอรับ "
 
      " พวกเจ้านี่พูดไม่รู้ฟังนะ... "
 
      " ท่านผู้เฒ่า ต้องการจะพบท่านขอรับ ท่านดารา "
 
        คำรายงานที่ตรงไปตรงมาของเหล่าชายฉกรรจ์ตรงหน้าทำให้ดาราถึงกับชะงักกึก ดวงตาสีอ่อนของเธอจะเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจทันที ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้ววูบและพยักหน้าให้กับพวกมันช้าๆ เป็นสัญญาณให้พวกชายฉกรรจ์เหล่านั้นหันหลังกลับและเดินนำทางหญิงสาวไปโดยที่ไม่มีผู้ใดปริปากอะไรอีกทันที
 
     ...เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เหล่าชายฉกรรจ์ก็เดินนำดารามาถึงโรงเตี๊ยมใหญ่อันโอ่อ่ากว้างขวาง พวกเขานำเธอขึ้นไปบนห้องชั้นบนสุดที่หรูหราและราคาแพงที่สุด ก่อนจะกระจายตัวออกไปยืนประจำการตามจุดสำคัญหน้าห้องนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นหินหรือหุ่นกระบอกที่ถูกชักใยไม่มีผิด เป็นสัญญาณว่าพวกเขาได้เดินนำเธอมาถึงที่หมายแล้ว
 
        ดาราเหลือบมองไปรอบๆเพื่อสำรวจพื้นที่และทางหนีทีไล่ตามความเคยชิน ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกพลางขยับชุดของตัวเองให้เรียบร้อยขึ้นและเดินเข้าไปในห้อง
 
        ภายในห้องที่ดูโอ่โถงและหรูหรานี้เต็มไปด้วยเหล่าชายหญิงในชุดรัดกุมหลายคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ ทั้งที่หน้าประตูที่เธอเข้ามา ทั้งที่หน้าต่างที่มีอยู่เป็นสิบบาน...ทุกคนใช้สายตาที่คมกริบจ้องมองมาที่เธอราวกับพยายามจะกดดันเธอให้ขาดใจตายเสียอย่างนั้น แต่ดารากลับทนรับแรงกดดันได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอก้าวเขามาอย่างเชื่องช้าเพื่อมายืนประจันหน้ากับผู้เดียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกกลางห้องแห่งนี้
 
      " ท่านผู้เฒ่า... "
 
      " หึ...นึกว่าเจ้าลืมเลือนข้าเสียแล้วซะอีก ดารา "  เสียงอันแหบพร่าของชายที่เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากจนทำให้ไม่อาจจะคาดเดาอายุจากน้ำเสียงได้ ร่างงองุ้มที่ถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมอย่างมิดชิดโยกมาข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะโก่งคอไอแห้งๆออกมาจนตัวโคลง ขณะที่ดาราแทบจะขยับตัวพุ่งเข้าไปประคองไว้ซึ่งผิดกับชายหญิงคนอื่นที่ยืนนิ่งไม่ขยับใดๆ แต่เธอก็ได้สติพร้อมกับชะงักกึกและยืดตัวตรงอีกครั้ง
 
      " ด้วยร่างกายของท่านเวลานี้ ท่านไม่ควรจะ--- "
 
      " ข้าจำเป็นต้องมา ดารา...มา...เพื่อมองตาเจ้า "  คำพูดของผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านผู้เฒ่าแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ทำให้ดาราชะงักกึกพร้อมๆกับที่เธอจับได้ถึงจิตคุกคามบางๆที่แผ่ออกมาจากทุกคนในห้องนี้ เว้นแต่ท่านผู้เฒ่าของเธอ ทำให้เธอขมวดคิ้ววูบทันที
 
      " ท่านไม่ไว้ใจข้า? "
 
      " ทุกคนงุนงงงในการกระทำของเจ้า "
 
      " ข้าไม่สนความรู้สึกของคนอื่นๆ ข้าถามท่าน ท่านไม่ไว้ใจข้าเช่นนั้นหรือ? ท่านผู้เฒ่า! "  ดาราพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ซึ่งทันทีที่เธอพูดจบจิตคุกคามที่รายล้อมรอบตัวเธอก็กระตุกวูบราวกับไม่พอใจในการขึ้นเสียงเช่นนี้ แต่ผู้ที่อยู่ในฐานะท่านผู้เฒ่าแห่งบรรลัยกัลป์กลับถอนหายใจอย่างเชื่องช้า
 
      " ข้า...ไม่แน่ใจ ในตัวเจ้า "
 
      " ท่านกังขาในอะไรของข้า? ฝีมือ...หรือความภักดีที่ข้ามีต่อท่านกัน? "  ดาราเชิดหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอนตัวพลับไปที่พนักพิงพร้อมกับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงบางเบา
 
      " นั่นก็เป็นอีกเรื่อง ที่ข้าไม่แน่ใจ "
 
      " อ้อ...เช่นนั้นหรือ? "  ดาราขยับเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น จึงทำให้ชายฉกรรจ์รูปร่างใหญ่ที่ยืนล้ำหน้าอยู่เดินเข้ามาและยกมือขึ้นหมายจะกันเธอให้ถอยห่างไป แต่ดาราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอไม่ได้มีดีแค่การปลอมแปลงรูปลักษณ์และกลิ่นอาย พริบตาเดียวที่มือหยาบหนานั้นยื่นเข้ามาใกล้ ดาราก็ใช้มือสองข้างคว้าข้อมือของมันไว้พร้อมกับพลิกวูบด้วยศิลปะยุทธ์ยิวยิตสูหรือจูจุตสึของชนชาติญี่ปุ่น พริบตาเดียวร่างอันสูงใหญ่และหนักกว่าเธออย่างน้อยหนึ่งเท่าของชายคนนั้นก็หมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะถูกแรงโน้มถ่วงฉุดลงมาฟาดกับพื้นอย่างแรง ในขณะที่ดารายังคงบิดแขนของชายโชคร้ายนี้ไว้จนผิดรูปพร้อมกับกดน้ำหนักลงจนเขาถึงกับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้และได้แต่ร้องออกมาอย่างงเจ็บปวด แต่ดาราก้มลงพร้อมกับกระซิบอย่างเหี้ยมเกรียม
 
      " อย่าได้หมายคิดจะแต่ตัวข้า ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นสิงสุดท้ายที่มือสกปรกของเจ้าจะได้จับ! "
 
      " พอแล้ว ดารา "  ท่านผู้เฒ่าแห่งบรรลัยกัลป์ครางออกมาเบาๆ ซึ่งเป็นเหมือนปุ่มปิดสำหรับดาราเพราะเธอปล่อยแขนของอีกฝ่ายพร้อมกับลุกขึ้นตามคำสั่งทันที
 
      " ข้า...ควบคุมได้ ท่านผู้เฒ่า "
 
      " ราตรีนี้เจ้าทำให้สหายของเราทั้งสามพลาด ไม่อาจจะลงมือสังหารมือดีที่สุดของยุคันตวาตได้ "  ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆเพื่อซักต่อด้วยคำถามที่ถ้าหากไกรหรือใครก็ตามที่เป็นคนของหมู่บ้านยุคันตวาตมาได้ยินคงจะหูผึ่งแน่ แต่หญิงสาวกลับทำเพียงหรี่ตาลงพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย
 
      " คนชื่อสิงห์ไม่ใช่มือดีที่สุดพวกมันหรอก และยัยพวกนั้นก็ไม่ได้เกือบจะสังหารเขาได้ด้วย...ถ้าข้าบอกให้ไกรไปช่วยไว้ไม่ทัน สิงห์นี่แหละที่จะถูกบีบจนหมดทางเลือกและฉีก มือดี ของท่านเป็นชิ้นๆแทน...ข้าต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการปัดว่าพวกมันไม่ใช่พรรคพวกของเรา เพื่อที่จะเชิดหน้าเป็นดาราแห่งบรรลัยกัลป์ต่อไปได้ "  ดาราปฏิเสธคำกล่าวหาของู้เป็นนายที่แท้จริงของเธอเรียบๆ ซึ่งน่าแปลกที่ท่านผู้เฒ่าแห่งบรรลัยกัลป์กลับพยักหน้ายอมรับอย่างว่าง่ายโดยแทบไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงแค่พูดเบาๆว่า
 
      " ยืนยันกับข้าซิ...เพื่อตัวเจ้าเอง...ว่าเจ้ายังเป็นพวกเราอยู่ "
 
      " ข้ายืนยัน ท่านผู้เฒ่า...ชีวิตข้ามีไว้เพื่อบรรลัยกัลป์เท่านั้น "  ดารารับปากเชิงปฏิญาณออกมาจากห้วงสำนึกใจจริงโดยไม่มีเค้าของความลังเลหรือปิดบังอำพรางใดๆ นั่นทำให้จิตคุกคามที่ส่งตรงมาที่เธอเบบางลงไปอย่างชัดเจน ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหลับตาพร้อมกับพยักหน้าบางๆ
 
      " แปลว่าหนี้แค้นของท่านหญิงเพ็งและแมนต้องรอต่อไปอีก "
 
        ดารานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเธอจะพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง
 
      " พูดตามสัตย์ข้าเริ่มไม่แน่แท้แก่ใจเสียแล้วว่าพวกมันจะเป็นต้นเหตุหนี้แค้นของพวกเรา ท่านผู้เฒ่า "  เธอพูดจากใจจริงเพราะสังเกตจากท่าทีของทั้งไกรและท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต รวมถึงมือสังหารที่สังกัดหน่วยคเณศร์เสียงาคนอื่นๆ...ถึงพวกเขาจะเป็นมือสังหารแต่กลับแบกเกียรติโง่ๆไว้เต็มบ่าจนไม่น่าจะสามารถลงมือสังหารคนที่ไร้ทางสู้แล้วอย่างเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนได้ และในอีกทางหนึ่ง เก็บเจ้าจอมทั้งสองไว้สอบปากคำและเป็นตัวประกันจะมีประโยชน์มากกว่าฆ่าทิ้งไปเฉยๆเช่นนี้แน่
 
        ท่านผู้เฒ่าแห่งบรรลัยกัลป์สบดวงตาที่แห้งผากของเขากับดวงตาสีอ่อนใสของดารานิ่ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า
 
      " เว้นแต่ดารา...พวกเจ้าทั้งหมด ออกไปเสีย "  
 
        ถ้ามองอย่างปลอดอคติ ดูเหมือนกลุ่มบรรลัยกัลป์จะมีลำดับบัญชาการชัดเจนและเข้มงวดกว่ายุคันตวาตเสียอีก เพราะทุกคนเชิดตัวตรงและเดินออกไปจากห้องตามคำสั่งของผู้เป็นนายทันทีโดยไม่ปริปากถามซักคำ ไม่เว้นแม้แต่ชายที่โดนดาราบิดแขนจนเกือบหักก็ยังก้มหัวให้กับทั้งท่านผู้เฒ่าและดาราผู้เป็นรองหัวหน้าและเดินออกไปพร้อมๆกับพวกที่เหลือจนผ่านไปเพียงแค่ครึ่งนาที ห้องหับอันใหญ่โตก็เหลือเพียงดาราและท่านผู้เฒ่าของเธอตามลำพังเท่านั้น
 
      " เจ้าไปรู้อะไรมา? "
 
      " ข้ารู้มาหลายอย่างเจ้าค่ะ "
 
      " ข้าไม่ขัดแผนการบนสนามเด็กเล่นของเจ้าหรอกนะ ดารา และข้าก็เชื่อฟังเจ้าด้วยการสั่งให้ทุกคนรามือไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุคันตวาตอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่เราก็ยังมีแผนการใหญ่อยู่...หวังว่าเจ้าคงจะไม่ลืมนะ "  ท่านผู้เฒ่าพูดเบาปานกระซิบพลางกวักมือเรียกดาราให้เข้าไปใกล้เขา ซึ่งดาราก็ทำตามแต่โดยดีพร้อมกับพยักหน้ารับบางๆ
 
      " ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ...ใครจะเป็นคนสังหารท่านหญิงทั้งสองล้วนไม่สำคัญ การปล่อยให้พวกเราเข้าใจว่าเป็นฝีมือของยุคันตวาตจะสร้างความเข้มแข็งและเป็นเอกภาพให้แก่พวกเรา "
 
      " เพื่อการใหญ่ ทุกสิ่ง ทุกชีวิตล้วนย่อมสละได้...จดจำไว้ให้ขึ้นใจ "
 
      " ข้าไม่เคยลืมเลือนทุกคำสอนของท่าน "
 
      " อืม...พูดถึงการใหญ่...เจ้าว่าไกรเป็นอย่างไรบ้าง? "  อยู่ๆท่านผู้เฒ่าแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ของเธอก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างกะทันหัน และเปลี่ยนมาเป็นหัวข้อสนทนาที่ดาราทำหน้าบอกบุญไม่รับทันที
 
      " เขาก็ยังเป็นคนฉลาดที่โง่เขลาเช่นเดิม... "
 
      " เขาเป็นผู้ที่ยืนอยู่ในด้านสว่าง ดารา...เขายังไม่เคยพบกับด้านที่มืดมิดเช่นเดียวกับพวกเรา "
 
      " เขาพบแล้วเห็นแล้ว แต่เขาเลือกที่จะหลับหูหลับตาและแกล้งทำเป็นไม่เห็น ทำเป็นไม่รับรู้ต่างหากล่ะ! "
 
      " ใจเย็นกับเขาหน่อย ดารา เขาต้องการการเรียนรู้อีกมาก แต่เขาก็ยังจำเป็นต่อพวกเรา...ต่อเจ้า... "
 
      " ข้า...จะพยายามเจ้าค่ะ "  
 
      " เจ้าสองคนจะเติบใหญ่กลายเป็นผู้ชี้นำทุกๆหัวเมืองในสุวรรณภูมิ สายตาข้าไม่มีวันผิดเพี้ยน... "  ท่านผู้เฒ่าแห่งบรรลัยกัลป์พูดพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววเจิดจ้าจนดาราสัมผัสได้...เธอหลบตาลงพร้อมกับรับคำอย่างแกนๆ
 
      " ตามแต่ท่านว่าเจ้าค่ะ "
 
      " ...เพราะฉะนั้น จะทำการใดก็จงระวังให้จงหนัก สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายของเจ้าไม่ใช่สายเลือดสามัญธรรมดาแต่เป็นหยาดโลหิตแห่งราชวงศ์...ราชบุตรที่กำเนิดระหว่างเจ้ากับเขาจะกลายเป็นผู้ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ รวมถึงขุมพลังอำนาจอย่างเต็มที่ เพียงพอที่จะผ่านพิภพอโยธยาสืบต่อไปในภายภาคหน้าแน่นอน "
 
        ดวงตาของดาราหม่นแสงวูบก่อนจะเปล่งประกายเจิดจ้าอีกครั้งพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น
 
      " ข้าไม่มีสิทธิเลือกตั้งแต่ที่ข้าเกิดมาเป็นสตรีแล้วนี่ "
 
        ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองหญิงสาวพร้อมกับฝืนยิ้มอย่างช้าๆและยกมืององุ้มขึ้นลูบผมยาวสลวยของสตรีผู้เป็นรองหัวหน้ากลุ่มบรรลัยกัลป์ของเขาช้าๆ
 
      " เปล่าเลย ดารา...เราทั้งคู่...ไม่มีสิทธิเลือกตั้งแต่เราเกิดมาในสายเลือดของราชวงศ์แล้วต่างหากล่ะ! ข้าขอโทษ...ที่ต้องทำเจ้าลำบากแล้ว "
 
        ดาราฝืนยิ้มเล็กน้อยตอบกลับไปพร้อมกับกุมมือที่งองุ้มของผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดของเธอไว้ ก่อนจะพูดอย่างบางเบาอีกครั้ง
 
      " การได้ทำเพื่อพระองค์...ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าลำบากหรอกเพคะ...พระบิดา "
 
 
 
 
 
...............................................
 
 
 
 
 
     ...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ที่อีกฟากหนึ่งของริมฝั่งแม่น้ำ อันเป็นที่ตั้งของสถานที่อโคจรในยามราตรี ที่มีเพียงกัปตันหรือกะลาสีอารมณ์เปลี่ยวเท่านั้นที่จะเดินผ่าน...
 
     ...ย่านโรงชำเราชาย...หอโคมแดง...
 
        ตามปรกติแล้วจะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ๆสตรีทั่วไปจะเดินผ่าน เว้นแต่เป็นสตรีที่ประกอบวิชาชีพในด้านนี้โดยตรง ทำให้เมื่อถึงเวลาค่ำมืดเช่นนี้จึงไม่มีผู้หญิงซักคนเดินผ่านเส้นทางอันตรายนี้...แต่วันนี้มีบางอย่างที่แปลกออกไป...
 
        หญิงสาวหน้าตาสะสวยและอ่อนเยาว์ในชุดสไบที่งดงามและน่าดึงดูดที่สุด ที่กำลังก้าวเท้าอย่างแช่มช้าและเดียวดาย ผ่านเส้นทางที่ไม่สมควรในยามวิกาลเช่นนี้
 
        เป็นธรรมดาที่เมื่ออยู่ๆเมื่อมีดอกไม้สดอันงดงามถูกสายลมพัดพาหลงเข้ามาในแหล่งชุมนุมของหมู่ภมร ดอกไม้งามย่อมต้องถูกหมู่ภมรสนใจ
 
      " เฮ้...สาวน้อย...แถวนี้มันอันตรายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างน้องนะ...ให้พวกพี่ไปส่งไหมล่ะหือ? "  ในที่สุดหมู่กะลาสีขี้เมาชาวอโยธยาที่ใจกล้ามากพอจากทั้งฤทธิ์สุราและความหน้าหนาส่วนตัวก็เอ่ยปากตะโกนแซวหญิงสาวผู้อยู่ผิดที่ผิดทางนี้อย่างคะนองปาก และหันไปหัวเราะร่วนกับเหล่าสหายสุราที่นั่งล้อมวงอยู่ข้างถนนนี้อย่างภูมิอกภูมิในในความหน้าหนาของตัวเอง...แต่ที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ คราวนี้หญิงสาวไม่ได้ตอบสนองด้วยการมองอย่างหยามเหยียดหรือขวัญหนีดีฝ่ออย่างทั่วไป...สาวงามผู้นี้กลับเอียงคอและหันหน้ากลับมามองพวกอย่างชมดชม้อยพร้อมกับยิ้มอย่างยั่วยวนและตอบกลับมาราวกับเสียงดนตรีว่า
 
      " ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ? "
 
      " ห...หา? "
 
      " ที่บอกว่าจะไปส่งข้าน่ะ ท่าน...พวกท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ นายท่าน? "
 
      " ฮ...เฮ้ย ไก่หลงว่ะ! "
 
      " ตื่นเต็มตาเลยกู "  พวกกะลาสีขี้เมาหันไปซุบซิบกันพร้อมกับฮาเฮดังลั่น ในขณะที่ไอ้หัวโจกคนแรกสุดฉีกยิ้มกว้างอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกับเล่นตามน้ำทันที
 
      " จริงสิจ๊ะ อย่าห่วงไปเลยนะ พวกพี่เป็นคนที่สุภาพอย่างยิ่งเลยล่ะ "
 
        นั่นเป็นเพียงคำพูดลอยลมของขี้เมาหยำเปทั้งยังดูออกแต่แรกเลยว่าเป็นการโกหกคำโต เพราะดูยังไงขี้เมากลุ่มนี้ก็แทบจะมีคำว่า กักขฬะ สักติดอยู่บนหน้าผากไม่มีผิด แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังยิ้มอย่างงดงามพร้อมกับพยักหน้าอย่างเต็มไปด้วยจริตจะก้าน
 
      " ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องรบกวนพวกท่านแล้วล่ะเจ้าค่ะ "
 
      " สร่างเลยกู งานนี้ตัวเบาก่อนออกเรือแน่ๆ "  หนึ่งในพวกมันครางออกมาเบาๆอย่างหยาบคาย แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังยินดีที่จะเดินนำพวกมันไปโดยไม่ปริปากบ่นซักคำ
 
      " เฮ้ย ความจริงมึงน่าจะถามราคานางก่อนนะ...งามขนาดนี้ข้าว่าค่างวดคงไม่ใช่น้อย "  คนที่ดูเมาน้อยที่สุดและมีสัมปชัญญะสมบูรณ์ที่สุดในหมู่พวกมันกระซิบกับพรรคพวกเบาๆ แต่หัวโจกของพวกมันกลับแยกเขี้ยววับพร้อมกับหันกลับมากระซิบกับอีกฝ่ายช้าๆ
 
      " จะห่วงอะไรนักหนาวะ นางไม่ได้สังกัดโรงชำเราชายใดๆแปลว่านางไม่ต้องแบ่งเงินกับใคร ราคาคงไม่แพงเกินไปนักหรอก...และต่อให้ราคาแพงเกินไปจริงๆ...เราก็แค่--- "  มันหยุดพูดพร้อมกับทำไม้ทำมือประกอบพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยและชั่วร้ายที่สุด ทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันทันที
 
     ...ถ้ามันแพงนักก็ไม่ต้องจ่ายมันเสียเลย!...
 
        หญิงสาวผู้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายเดินสะโพกดอกไม้ไหวนำพวกเขาไปสักพัก จนกระทั่งเธอนำพวกเขามาถึงสถานที่เปลี่ยวและไร้ซึ่งการมองเห็นจากบุคคลภายนอก ซึ่งสบโอกาสให้กะลาสีขี้เมาผู้เป็นหัวโจกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมกับพูดกับหญิงสาวที่เดินนำหน้าอยู่ทันที
 
      " น้องสาว...พี่ว่าน้องไม่ต้องเดินไปไหนไกลหรอกนะ...ที่นี่ก็เหมาะใช้ได้อยู่ "
 
      " หืม? "  หญิงสาวหันไปมองรอบๆพลางเลิกคิ้ว ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับฝูงขี้เหล้ากลัดมันช้าๆ  " ...ที่จริงข้ามีสถานที่ๆเหมาะกว่านี้ แต่ที่นี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ท่านนี่ตาแหลมจริงๆ "
 
      " โฮ้ย เชื่อพี่เถอะ พี่ตาแหลมยิ่งกว่าอะไรดี "  ชายหนุ่มยิ่งฉีกยิ้มกว้างอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกับพูดต่อ   " ...แหม แต่พวกพี่มันคนใจร้อน เพราะอย่างนั้นบอกราคามาเลย...เท่าไหร่? "
 
      " ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราคาหรอกเจ้าค่ะ...มันไม่แพงเท่าไหร่นักหรอก "
 
      " แหมๆ "
 
      " เพราะชีวิตพวกเจ้ารวมกันแล้วก็คงไม่แพงเท่าไหร่หรอก! "
 
        พริบตาเดียวที่หญิงสาวพูดจบ จิตคุกคามอันแข็งกร้าวและเกรี้ยวกราดก็ปะทุขึ้นพรวดจากกายของหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าจนในสายตาของพวกขี้เมา เธอราวกับเปลี่ยนจากสาวน้อยน่ารักเปลี่ยนเป็นอสูรกายผู้เป็นจุดศูนย์รวมแห่งความกลัวทั้งหมดทั้งมวลในชั่วพริบตา พร้อมกับที่หญิงสาวผู้นี้กระชากลูกธนูสีดำสนิทที่ถูกพับซ่อนไว้ออกมา...จิตคุกคามแปรกเปลี่ยนเป็นจิตสังหาร บ่งบอกว่าเธอเตรียมลงมือปลิดวิญญาณของเหล่าขี้เมาตรงหน้าโดยไม่มีความลังเลใดๆเลยแม้แต่น้อย!
 
      " ตาย! "
 
        ปัง! เคร้ง!!
 
        แต่ลูกศรสังหารที่กำลังจะถูกใช้เพื่อปักกะโหลกไอ้ขี้เมาหื่นกามตรงหน้ากลับไม่ประสบผลตามที่เธอมุ่งหมาย เพราะพริบตาเดียวก่อนที่คมธนูจะได้สัมผัสเลือด เสียงปืนสับนกเล็กๆก็ดังขึ้นเพื่อส่งกระสุนมาหักหัวลูกศรสีดำสนิทของหญิงสาวได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง พร้อมกับที่เจ้าของลูกระสุนที่ช่วยชีวิตขี้เมาผู้นั้นไว้จะปลดปล่อยจิตคุกคามต่อต้านและตวาดดังลั่น
 
      " หยุดมือ! อเทตยา!! "
 
        สิ้นคำตวาด อเทตยาที่อยู่ในรูปลักษณ์ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นจนแทบจำไม่ได้จะหันสายตาแข็งกร้าวที่เจิดจ้าราวกับแสงไต้ในความมืดมิดไปเขม้นมองเจ้าของกระสุนปืนพร้อมแยกเขี้ยวและตวาดกลับมาดังลั่นไม่แพ้กัน
 
      " นี่ไม่ใช่กงการของเจ้า! ศกุนตลา! "
 
        ผู้ที่หยุดเธอไว้ไม่ให้กลายเป็นฆาตกรโหดไมใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมือฉมังปืนผู้แม่นยำที่สุดในอโยธยาหรืออาจจะแม่นกว่าผู้ใดในสุวรรณภูมิด้วยซ้ำอย่างศกุนตลานั่นเอง...ซึ่งศกุนตลาไม่ได้ตอบอะไรมือฉมังธนูสาวที่เต็มไปด้วยโทสะตรงหน้า แต่หันกลับไปเหลือบมองเหล่าขี้เมาที่เวลานี้นั่งเบิกตาและปากค้าง ฉี่ราดอยูกับพื้นอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ก่อนที่ริมฝีป่ากเรียบบางนั้นจะตวาดเบาๆ
 
      " ไสหัวไป! "
 
      " ว...เหวอ! "  เหล่ากะลาสีขี้เมาที่เกือบจะล่องจุ๊นไปภพหน้าแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่รอมร่อพึ่งจะได้สติ ก่อนที่พวกมันจะรีบประคองร่างที่สั่นเทิ้มเพราะความหวาดกลัววิ่งหนีไปอย่างแตกตื่นลนลานทั้งๆที่กางเกงยังเปื้อนปัสสาวะของตัวเองอยู่ โดยไม่มีผู้ใดกล้าหันกลับมามองสิ่งที่ตอนหลังเขาพยายามคิดว่าเป็นฝันร้ายขณะเมาสุราอย่างหนักอีกเลย
 
        หลังจากไล่ตัวเกะกะที่น่ารำคาญไปหมดสิ้นแล้ว ศกุนตลาก็หันกลับมามองอเทตยา ก่อนที่เธอจะเก็บปืนที่อยู่ในมือพร้อมกับลดจิตคุกคามลงจนไม่เหลือ ผิดกับอเทตยาที่ยังไม่ยอมลดจิตสังหารลงเลยแม้แต่น้อย...อเทตยามองตามความเคลื่อนไหวของมือฉมังปืนสาวอย่างไม่ไว้วางใจพร้อมกับกัดฟันกระซิบกร้าวๆอีกครั้ง
 
      " เจ้าตามข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? "
 
      " ก็ไม่นานนักหรอก แต่เพราะจิตเจ้าเต็มไปด้วยโทสะ...โทสะนั่นแหละที่บดบังการรับรู้อันแหลมคมของเจ้า ทำให้เจ้าไม่อาจจะรู้สึกถึงตัวตนของข้าได้ "  
 
      " อย่า...มาทำเป็น...อวดดี...สั่งสอนข้า! "
 
      " ช้าไว้...และลดจิตสังหารนั่นลงเสียเถอะ ข้าไม่ได้ถือโทษเจ้าและไม่บอกเรื่องงามหน้านี้กับใครหรอก เจ้าถือว่าข้ารับปากโดยที่เจ้าไม่ต้องร้องขอก็ได้ เพราะใช่ว่าข้าเองจะไม่เคยเป็นแบบเจ้าในเวลานี้ "  
 
      " เจ้า--- "
 
      " ข้าเองก็ใช่ว่าจะชอบใจนังดารานัก นางทำให้หมู่บ้านที่ข้ายึดมั่นถือมั่นเป็นสรณะต้องตกอยู่ในความเสี่ยง แต่เจ้าต้องไมลืมว่าไอ้ไกรเองนั่นแหละที่เป็นคนชักนำนางเข้ามา...ถ้าหากเจ้าจะโทษก็ไปโทษมันเสียสิ "  
 
      " ห้ามเรียกท่านไกรว่ามันนะ! "
 
      " จ้าๆ แต่ท่านไกรเจ้าคะท่านไกรเจ้าขาของเจ้านันแหละ ไอ้ตัวต้นเหตุเลย "
 
        อเทตยาเห็นว่าศกุนตลาไม่ได้มีท่าทีตุกคามใดๆกับเธอ แม้ว่าจะมีท่าทีที่แปลกไปจากศกุนตลาปรกติที่เธอรู้จักก็ตามที แต่เธอก็เลือกที่จะตัดสินใจเก็บลูกธนูและจิตสังหารกลับคืน ก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทางพร้อมกับครางออกมาเบาๆว่า
 
      " ข้ารู้...ข้ารู้ทั้งหมดนั่นแหละ...แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่อาจโทษเขาได้...ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจะโทษเขาได้...ข...ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ศกุนตลา...ข้าทนไม่ได้ที่เห็นท่านไกรไปสนทนากับ...นังนั่น...แต่ข้าฆ่ามันไม่ได้ เพราะมันอยู่ในการดูแลของท่านไกร ถ้าข้าลงมือท่านไกรก็จะรู้ทันทีว่า--- "
 
      " เรื่องนั้นเจ้าอย่าห่วงไปเลย อเทตยา "  ศกุนตลาขัดขึ้นเบาๆอย่างผิดปรกติวิสัย แถมคืนนี้คืนเดียวเธอยังพูดมากกว่าที่เธอเคยพูดในหนึ่งอาทิตย์เสียอีก นั่นทำให้อเทตยาขมวดคิ้ววูบพร้อมกับเอียงคอถามเบาๆว่า
 
      " เจ้าว่าอะไรนะ "
 
      " ไม่ช้าก็เร็ว...ข้าสังหรณ์ว่าไม่ช้าก็เร็ว เจ้าได้สังหารนางสมใจแน่...แต่รอก่อน รอวันที่นางเป็นปฏิปักษ์กับหมู่บ้านของเราเสียก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นเจ้าจะต้มยำทำแกงนางเช่นไรก็เชิญตามใจเจ้าปรารถนาได้เลย...แต่เวลานี้เจ้าต้องอดทนไว้ อย่าปล่อยให้สัญชาตญาณของเจ้าเข้าครอบงำความนึกคิดอย่างไร้สติได้...เพราะมันจะทำให้เสียการใหญ่ไป "  
 
     ...แปลก...เท่าที่เธอจำได้ ศกุนตลาไม่น่าจะเป็นห่วงเป็นเป็นใย หรือเห็นหัวอะไรเธอถึงเพียงนี้ มันทำให้ผู้ที่หวาดระแวงไปทุกสิ่งอย่างอเทตยาต้องขมวดคิ้วอย่างหวาดระแวงและไม่เข้าใจทันที
 
      " ทำไมกัน? ศกุนตลา "
 
      " หืม? "
 
      " เจ้าทำราวกับเจ้าอยู่ข้างข้า--- "
 
      " ก็ข้าอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าน่ะสิ "  ศกุนตลาตอบกลับมาอย่างง่ายๆจนอเทตยาต้องขมวดคิ้วอย่างหวาดระแวงอีกรอบ 
 
      " เพราะเหตุใด...เพราะเหตุใดเจ้าถึงพยายามเข้มงวดกับข้า แต่ช่วยปิดความลับและออกตัวว่าอยู่ฝั่งเดียวกับข้าอย่างเต็มที่เช่นนี้ เจ้ามีจุดประสงค์ใดกันแน่? ศกุนตลา! " อเทตยาพูดพลางปลดปล่อยจิตคุกคามออกมาบางๆอีกครั้งอย่างหวาดระแวง แต่คราวนี้ศกุนตลากลับไม่ได้ปลดปล่อยจิตคุกคามเพื่อต้านทาน...เธอเพียงหันกลับมาและฉีกยิ้มให้อย่างน่าขนลุกจนใบหน้าของเธอในเวลานี้เข้ากับหน้ากากรูปยักษ์แสยะยิ้มที่ปิดบังครึ่งนึงของใบหน้าเธอไว้อย่างที่สุด!
 
      " ไม่เห็นยากเลย...เพราะเรามันคนพันธุ์เดียวกันอย่างไรล่ะ อเทตยา! "
 
      " "
 
      " "
 
      " "
 
      " "
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา