ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
117)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...ชายหนุ่มทั้งสองผู้คนซึ่งหนึ่งคือชายผู้ถูกฝึกฝนด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่าเพื่อเกิดมาเป็นจอมขมังเวทย์และมือสังหารเต็มขั้น และอีกหนึ่งคือชายผู้ผ่านกาลเวลามายืนอยู่ในโลกที่เขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ต่างก็เดินพลางคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆทั้งหนักบ้างเบาบ้างกันมาเรื่อยจนกระทั่งพวกเขาทั้งสองเดินมาถึงในส่วนของปริมณฑลด้านหน้าจวนประจำตำแหน่งเจ้าพระยาราชมนตรีฯที่ท่านผู้เฒ่าดำรงอยู่ ก่อนจะถึงส่วนของรั้วกัน ทั้งไกรและสิงห์ก็สังเกตเห็นมือสังหารสาวคนสำคัญอีกคนอยางศกุนตาที่ยืนกอดอกรอท่าพวกเขาอยู่ ซึ่งสิงห์ก็โบกมือให้เป็นเชิงักทาย ผิดกับไกรที่ขมวดคิ้ววูบทันที
" ดาราล่ะ? " ไกรถามขึ้นด้วยภาษาที่ห้วนสั้นโดยไม่ได้เท้าความอะไรเลย มันทำให้คนที่ไม่ค่อยคุ้นชินกับการรับคำสั่งจากคนอื่นเท่าไหร่อย่างศกุนตลาถึงกับหรี่ตาวูบ แต่เธอก็ไม่อยากจะมีเรื่องให้เสียเวลา จึงเลือกที่จะหลับตาข้างที่ไม่ได้ถูกปดบังด้วยหน้ากากยักษ์ลงและตอบกลับมาเรียบๆ
" อยู่บนเรือนกับท่านผู้เฒ่า "
" อะไรนะ?! นี่เจ้าปล่อยให้นังนั่นอยู่กับท่านผู้เฒ่าตามลำพังอย่างนั้นหรือ?! " สิงห์ที่เดินล้ำหน้าจะขึ้นไปบนเรือนอุทานลั่นอย่างลืมตัว แต่ศกุุนตลาแก้ตัวเรียบๆต่อทันที
" ท่านผู้เฒ่าไม่ได้อยู่บนเรือนตามลำพัง...ถ้าไม่นับท่านอนาสตาเซียที่กลับมาจากเขตราชฐานชั้นในแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็กำลังอยู่ระหว่างการสนทนากับขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งด้วย ดาราไม่น่าจะโง่พอจะทำอะไรโง่ๆอย่างที่เจ้าคิดหรอก "
" นี่ยัยนี่ด่าข้ารึเปล่าวะ ไกร? "
" เฮ้อ...อย่าถามตูเลย...แล้ว ขุนนางชั้นผู้ใหญ่นี่ ใครกัน? " ไกรเลิกคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย แต่ศกุนตลาพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตากับเขา้วยแววตาปลาตายและไม่พูดอะไรต่อ...แต่สำหรับไกร แค่สายตาที่เธอส่งมาก็บ่งบอกเพียงพอแล้ว...
' ...คิดว่าข้าจะสนใจเช่นนั้นหรือว่าไอ้ขุนนางบ้านั่นเป็นใครมาจากไหน? '
' เป็นคนที่คุยสนุกไม่เปลี่ยนเลยแฮะ ยัยมืดมนนี่ ' ไกรคิดในใจพลางโคลงหัวดิกๆ ในขณะที่สิงห์เดินกลับมาตบไหล่พร้อมกับไกล่เกลี่ยทันที
" ช่างเถอะ ไกร ประเดี๋ยวขึ้นเรือนเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ " สิงห์พูดอย่างง่ายๆ ซึ่งไกรก็พยักหน้าเบาๆอย่างเห็นดีด้วย แต่ก่อนที่เขาจะขึ้นไปบนเรือนเขากลับชะงักกึก เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะหันกลับไปหาศกุนตลาอีกครั้ง
" ศกุนตลา...อเทตยาล่ะ? "
" อเทตยา? " ศกุนตลาเอียงคอพร้อมกับขมวดคิ้ววูบ ก่อนที่เธอเลิกเอามือกอดอกและตอบกลับมาเบาๆ " ...ข้าตามเจ้าและดาราไปหลังจากที่พวกเจ้าออกไปไม่นาน...ข้าก็เข้าใจว่านางอยู่กับเจ้าเสียอีก สิงห์ "
" ดาราออกไปจากโรงเตี๋ยมหลังจากพวกเจ้าไม่นานโดยทิ้งข้าไว้ลำพัง ไอ้ข้าก็เข้าใจว่านางไปหาพวกเจ้าเสียอีก? " สิงห์หันกลับมาตอบตามความเป็นจริงเช่นกัน และเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไกรก็ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความละล้าละลังและเป็นกังวลในสวัสดิภาพของสตรีผู้มีใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกับน้องสาวแท้ๆของเขาทันที
" อเทตยา... "
แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันพูดหรือตัดสินใจอะไรต่อ ศกุนตลาก็หลับตาลงอีกครั้งพร้อมผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะอาสาออกมาเองเบาๆโดยที่ไกรไมได้ร้องขอเลยแม้แต่น้อย
" ข้าจะไปตามนางเอง...พวกเจ้าขึ้นเรือนไปพบท่านผู้เฒ่าเถอะ ท่านรอเจ้าอยู่ "
ในขณะที่ไกรกำลังพยักหน้าตอบรับและขอบคุณอย่างงงๆ สิงห์ที่ยืนล้ำแทบจะถึงหัวบันไดเรือนสะบัดหน้าหันกลับมามองเธอจนคอแทบหักพร้อมกับพูดเสียงสูงอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเจ็มที่
" นี่ข้าคงหูฝาดไปกระมัง? เจ้าเริ่มมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันเนี่ย? "
ชิ้ง!
จิตสังหารอันเย็นเยียบที่พุ่งพรวดขึ้นอย่างกะทันหันจากศกุนตลาทำให้ทั้งสิงห์และทั้งไกรที่ขนาดไม่ใข่เป้าหมายของจิตสังหารนั้นแท้ๆถึงกับต้องรีบกลับหลังหันและเดินหนีไปอย่างไม่อยากจะมีปัญหาด้วยทันที ในขณะที่เมื่อศกุนตลาขู่ฟ่อด้วยจิตสังหารของเธอเสร็จ เธอก็ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหัวและเดินนวยนาดกลืนหายไปกับความมืดโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
" ก...แกกลัวศกุนตลาจริงๆนี่หว่า...สิงห์ "
" พ...พูดอย่างกับเจ้าไม่ขวัญหนีดีฝ่อกับจิตสังหารของนางอย่างนั้นแหละ...ผ่าเหอะ! นับวันยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกวันๆ " สิงห์แยกเขี้ยวเถียงกลับมาโดยพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเต็มที่ ซึ่งก็โทษไม่ได้เพราะสิงห์มีสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ละเอียดอ่อนและแหลมคมเต็มขั้น ในขณะที่ศกุนตลามีจิตสังหารที่รุนแรงเต็มขั้นเช่นเดียวกัน มันทำให้สิงห์แพ้ทางศกุนตลาอย่างมาก ซึ่งไกรก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะขึ้นเรือนไป...แต่เมื่อขึ้นเรือนของท่านผู้เฒ่ามาเท่านั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจทันที
" ท่านออกญามหาเสนาฯ...ท่านบุนนาค? "
ผู้ที่นั่งอยู่บนตั่งไม้อีกตัวข้างท่านผู้เฒ่าของเขา และอยู่ตรงหน้าดาราที่นั่งหันหลังให้กับไกรไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นเจ้าพระยาผู้เป็นพระสมุหกลาโหมผู้ดูแลขุนนางฝ่ายทหารและคุมหัวเมืองฝ่ายใต้ไว้ทั้งปวง...เจ้าพระยามหาเสนาฯ บุนนาคนั่นเอง...
" ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ท่านไกร " ออกญามหาเสนาเฒ่ายิ้มยิงฟันจนหนวดกระดกพร้อมกับค้อมหัวทักทาย ทำให้ไกรต้องรีบค้อมหัวตอบกลับไปก่อนจะลอบเหลือบมองไปที่ท่านผู้เฒ่าเพื่อขอคำตอบทันที...แต่ท่านผู้เฒ่ายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ทำให้ไกรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากได้แต่ตามน้ำไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก
นอกจากทั้งสามคนแล้ว ไกรก็หันไปเหลือบมองหญิงสาวคนสำคัญอีกคน ผู้ฝากรอยแผลฉกรรจ์ที่เวลานี้ก็ยังต้องเรียกว่าสดๆร้อนๆไว้บนอกของไกร...มือสังหารสาวอันดับหนึ่งผู้อยู่ในคราบของจ่าโขลนพิเศษผู้น่าเกรงขาม...
" อนาสตาเซีย... "
" ไกร " อนาสตาเซียที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังท่านผู้เฒ่าพยักหน้าให้ไกรพร้อมทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นทางการจนไกรอ่านเธอไม่ออก ทำให้ไกรได้แต่โคลงหัวไปมาเท่านั้น
" นั่งสิไกร พวกเรากำลังรอเจ้าอยู่ " ท่านผู้เฒ่าผายมือไปที่ตั่งอีกตัวที่ว่างอยู่ แต่ไกรนิ่งไปเล็กน้อย เขามองซ้ายมองขวา ๒-๓ ครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจทรุดลงนั่งข้างๆดาราจนทำให้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ดาราเองต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
" อ้อ กลับมาอยู่ในรูปลักษณ์นี้อีกแล้วเหรอ? " ไกรที่นั่งอยู่กับพื้นข้างๆดาราเอ่ยทักหญิงสาวทันทีเมื่อเห็นว่าดารากลับมาอยู่ในรูปลักษณ์แรกที่เธอใช้เพื่อเข้ามาพบกับไกร ในขณะที่ดาราที่แม้ว่าจะยังคงงงงวยอยู่ แต่เธอก็ยังตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในทันทีเช่นกัน
" คิกๆ ข้าคิดว่าเจ้าชอบข้าในรูปลักษณ์นี้มากที่สุดเสียอีก "
" หึๆ อย่าพึ่งด่วนตัดสินข้าขนาดนั้น ดารา เธอยังไม่รู้สเปค---หมายถึงรสนิยมของข้าดี "
" อะแฮ่ม! "
...อย่างน้อยอนาสตาเซียก็มีอะไรๆหลายๆอย่างที่เหมือนเดิม เช่นเธอหยุดบทสนทนาอันเริ่มจะไร้สาระของไกรและดาราได้อย่างเด็ดขาดด้วยการกระแอมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กระแสห้ามปรามแปลกๆนั่นทำให้ไกรรีบกลับเข้าเรื่องหลักๆที่เขาต้องคุยทันที
" ข...ขอโทษทีที่มาช้าขอรับ...แล้ว คุยถึงไหนกันแล้วล่ะ "
" ก็ยังไม่ถึงกับเรื่องหลักที่สลักสำคัญใดๆหรอก...ข้าเพียงแค่สอบนางเรื่องตัวตนของพระสนมเอกของนาง และความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านออกญาสุรสีห์แห่งเมืองพิษณุโลกที่เป็นผู้บอกว่านางเป็นบุตรีบุญธรรมและเป็นผู้ถวายนางเท่านั้น " ท่านผู้เฒ่าเป็นผู้สรุปแทนทุกคนที่นั่งอยู่อย่างรวบรัด ซึ่งไกรก็เลิกคิ้วเล็กน้อยเพราะเขาเองก็ยังไม่ได้ถามเรื่องนี้กับดาราถนัดนัก เขาจึงหันไปถามเบาๆว่า
" แล้ว?---เอ่อ หมายถึงแล้วเจ้าตอบว่าอะไรล่ะ? "
" ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้าไปก่อนหน้านั่นแหละ...ข้ากับเรือง(ออกญาสุรสีห์ฯ) มิได้ป็นสหายหรือเป็นพันธมิตรกัน เราเพียงมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น...และ ข้าต้องมาอยู่ในฐานะของสนมเอกแห่งพระเจ้าเอกทัศน์เพื่อเป็นหลักประกัน... "
" ประกันว่าพวกเราจะทำตามข้อตกลงเช่นนั้นหรือ? ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันเลยนะ " ท่านผู้เฒ่าจิบชาพร้อมกับถามเรียบๆอย่างประชดประชัน แต่ดาราฝืนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ
" เปล่าเจ้าค่ะ ท่านกำลังเข้าใจผิด...หลักประกันนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวข้าเองต่างหาก "
" เฮ้อ...ส่วนข้าก็พึ่งช่วยสิงห์ไว้จากกลุ่มที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มบรรลัยกัลป์ของเจ้า และจากที่สังเกต ยัยพวกนั้นหมายหัวข้าเพียงคนเดียวแต่ก็พร้อมจะเล่นงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆด้วย " ไกรครางออกมาเบาๆ จนท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้ววูบพร้อมกับต้องหลับตาลงและเอานิ้วนวดสันจมูกตัวเองทันที
" ข้า...ข้าตามไม่ทันไกร ดารา...ช้าลงหน่อย ถือว่าเห็นแก่คนแก่ก็ได้เอ้า "
" ...การเข้ามาผูกมิตรกับยุคันตวาตเป็นการกระทำที่ข้าทำโดยพลการไม่น้อย ข้าขอสารภาพต่อหน้าท่านว่าแม้ว่าภายหลังข้าจะสามารถโน้มน้าวใจให้พวกข้าส่วนใหญ่ยอมคล้อยตามโดยเห็นแก่การใหญ่ได้ แต่...ก็มีบางส่วน...บางส่วนที่ถือแค้นส่วนตัวเป็นหลัก ถือว่าไกรเป็นแค้นส่วนตัวที่ต้องสะสางให้แก่ท่านหญิงเพ็งและแมนที่พวกมันถือว่าเป็นพวกพ้อง พวกมันแยกตัวเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นกับบรรลัยกัลป์ของพวกเราอีกต่อไป...จุดประสงค์เดียวของพวกมันคือไกรที่มันโทษว่าเป็นสาเหตุแห่งการสิ้นชีพของท่านหญิงทั้งสอง และข้าที่พวกมันคิดว่าข้าทรยศต่อพวกมัน...เป็นแค้นที่ต้องชำระ เลือดต้องชำระด้วยเลือด ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น... " ดาราสารภาพออกมาโดยไม่คิดจะปิดบังอำพราง...หรือถ้าเธอปิดบังพวกเขาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีความสามารถมากพอจะจับโกหกยัยคนร้อยเล่ห์นี่ได้อยู่ดี
" พวกกบฏ...หัวรุนแรงแบบสุดโต่งชัดๆ " ไกรครางออกมาอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่พร้อมกับกลืนน้ำลายฝืดๆ แต่ก็โทษไม่ได้ เพราะเขาพึ่งได้รับการยืนยันแน่นอนแล้วว่าเขาถูกหมายหัวแบบจังๆอีกแล้ว...ในขณะที่ทุกคนเลิกคิ้วให้กับคำเปรียบเปรยแสนพิกลแต่ทว่าเข้ากับสถานการณ์สุดๆที่ออกมาจากปากไกร...ส่วนท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ด้วยประสบการณ์จากกาลเวลาที่สั่งสมมาจะบอกเขาในทุกๆอย่างทันที
" ...เช่นนี้เจ้าถึงต้องสร้างหลักประกันให้กับตนเองด้วยการสร้างตัวตนที่เป็นทางการและอยู่ในระดับสูงมากเกินพอจนพวก...เอ่อ...พวกกบฏสุดโต่งอย่างที่ไกรว่าไม่กล้าทำการใดกับเจ้า เพราะหากเจ้าที่อยู่ในฐานะสนมเอกผู้เป็นที่โปรดปรานเกิดเป็นอะไรไปในอโยธยาก็จะเท่ากับเป็นการประกาศเป็นศัตรูกับพ่ออยู่หัวและราชวงศ์บ้านพลูหลวง หรือในอีกนัยคือประกาศเป็นศัตรูกับอโยธยาทั้งราชอาณาจักรนั่นเอง...หึๆ นังตัวร้ายเอ้ย...เจ้าใช้ประโยชน์จากแผนการสร้างพระสนมปิดบังความจริงของข้ามาย้อนเกล็ดข้าได้อย่างแสนกลจริงๆ "
" ข้ามิได้คิดจะลบหลู่ท่านแม้แต่น้อย ท่านผู้เฒ่า...ข้าขออภัยจริงๆ " ดาราก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิดซึ่งก็แน่นอนว่าไม่มีใครมองออกอยู่ดีว่านี่เรื่องจริงหรือเสแสร้ง แต่ท่านผู้เฒ่าโบกมืออย่างไม่อยากจะพูดอะไรต่อแล้ว
" เฮ้อ...นางทำให้ข้านึกถึงเจ้าจริงๆว่ะ ไกร...ทั้งความเจ้าเล่ห์แสนกลและบ้าบิ่น อีกทั้งบางเวลาก็กระทำเหมือนกับจะไม่เห็นหัวข้าไม่มีผิด แล้วค่อยมาทำเป็นสำนึกผิดทีหลังเช่นนี้...พวกเจ้าว่ากันต่อไปเถอะ ข้าไม่อยากพูดอะไรให้โดนถอนหงอกซ้ำอีก "
" โธ่ ท่านผู้เฒ่า นี่ข้าสำนึกผิดจริงๆนะ " ดาราบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่ไกรที่โดนกระทบกระเทียบด้วยถึงกับทำหน้าไม่ถูก ...เมื่อไม่มีใครพูดอะไร จึงเป็นการเปิดช่องให้กับผู้ที่ไม่ควรจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ที่สุดอย่างท่านออกญามหาเสนาฯให้เอ่ยขึ้นกับดาราเบาๆว่า
" แม่หญิง...แล้วเรื่องที่เจ้ากล่าวเกริ่นมาในคราแรก...เรื่องของราชการศึกที่เพชรบุรีล่ะ ข้าร้อนใจเรื่องนี้นัก "
คำถามของท่านบุนนาคทำให้ไกรนิ่งไปพร้อมกับหูผึ่งอย่างสนอกสนใจทันที เพราะเขาเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับศึกที่ท่านออกญาเพชรบุรีเรืองรับหน้าติดพันอยู่อย่างละเอียดเช่นเดียวกัน แต่คำถามนี้กลับทำให้ดาราเปลี่ยนสีหน้าจากพยายามทำเป็นสลดใจเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ พร้อมกับที่เธอจะหันไปมองท่านผู้เฒ่าพร้อมกับพูดเปรยขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า
" ข้าเคยกล่าวกับท่านผู้เฒ่า...ท่านเจ้าพระยาราชมนตรีไปแล้วว่าข้าไม่ใช่นักโทษในการคร่ากุมของพวกเขา...ข้ามิได้อยู่ในสภาพที่ต้องตอบคำถามโดยไร้เงื่อนไข... "
" นังนี่... " ท่านผู้เฒ่าที่แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะวางอุเบกขาไม่ยุ่งเกี่ยวแล้วยังถึงกับตบะแตกพร้อมกับแยกเขี้ยววับ แต่ดารารีบชิงพูดต่อว่า
" ข่าวราชการสงครามจากแนวหน้าไม่ใช่ข่าวที่ได้มาอย่างสะดวกดายนักนะเจ้าคะ พูดตามสัตย์ข้าเองก็เสียมือฉกาจไปไม่น้อยกับข่าวสำคัญที่ข้ากุมไว้อยู่...ข่าวนี้มีราคาเจ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่า ท่านออกญามหาเสนา...ให้คิดเสียว่าข้าเป็นแม่ค้าตามตลาดสิ...เมื่อราคาที่ท่านจ่ายสูงพอ ท่านก็จะได้สิ่งที่ท่านประสงค์เอง "
" เด็กน้อยร้ายกาจ...เจ้าเล่ห์แสนกล...แม่หญิงผู้นี้ทำให้ข้านึกถึงท่านอย่างที่ท่านผู้เฒ่าว่าไว้จริงๆ ท่านไกร "
ในขณะที่ไกรยังไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านผู้เฒ่าก็สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วจนกลับมาอยู่ในบุคลิกสุขุมลุ่มลึกเช่นเดิมพร้อมกับที่เขาจะพูดขึ้นอย่างเนิบนาบเช่นกันว่า
" ก็ได้ ดารา ถือว่าหมากกระดานนี้เจ้าชนะ เพื่อประหยัดเวลา บอกมาเลยว่าเจ้าต้องการความลับของหมู่บ้านข้าในข้อใดกัน? "
" นี่ท่านแกล้งดูถูกเธอหรือว่าท่านพูดจากใจจริงเนี่ย? ท่านผู้เฒ่า " กลับเป็นไกรที่ขัดขึ้นเบาๆจนท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้ววูบอย่างไม่เข้าใจ
" เจ้าจะพูดอะไร ไกร "
" สิ่งที่ดาราต้องการมันชัดเจนมาก นี่ไม่ต้องเดาเลยด้วยซ้ำ...เธอต้องการความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง...ใช่ไหมล่ะ? " ประโยคหลังไกรเหลือบไปมองดาราเหมือนจะยืนยันคำตอบ แต่ดาราไม่ได้ตอบอะไร...เพราะเวลานี้เธอทำได้แค่เบิกตากว้างอย่างอับจนต่อถ้อยคำเท่านั้น...ท่าทีที่หาไม่ได้บ่อยๆของเธอเป็นดั่งการยืนยันแล้วว่าที่ไกรพูดเป็นเรื่องจริงทุกประการ
" ความปลอดภัย...อย่างนั้นเหรอ? ประเดี๋ยวสิ...ก็เจ้าอยู่ในฐานะของพระสนมเอกแล้วนี่...เพียงเท่านั้นก็--- "
" ถึงจะพูดเสียดิบดีแต่แค่นั้นก็ใช่ว่าจะปลอดภัย...ข้าพบพวกมันมาแล้ว แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อครั้งไปช่วยสิงห์ก็เถอะ แต่ข้าเดาว่าพวกมันเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆที่แยกตัวออกมาอย่างกะทันหันโดยไม่ได้เตรียมการเท่านั้น และก็มาแน่ใจตอนที่ดาราเล่านี่แหละทำให้มัน...เอ่อ... "
" อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ไกร...ถ้าให้เปรียบง่ายๆพวกมันก็เปรียบกับหมาบ้าที่ไร้ซึ่งจ่าฝูง...หมาบ้า...ที่ทำอะไรตามแต่ใจตนโดยไม่สนผลลัพธ์ใดๆที่จะตามมาทั้งสิ้น...เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปถึง ณ จุดๆหนึ่ง พวกมันจะไม่สนฐานะพระสนมเอกของข้าอีกต่อไปและต้องลงมือกระทำการโดยไม่สนผลที่จะตามมาเป็นแน่...ข้า...ละอายใจเกินกว่าจะพูดอออกมาตรงๆจริงๆ...แต่ก็อย่างที่ไกรพูดนั่นแหละเจ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่า ข้าต้องการขอหยิบยืมกำลังของท่านในอโยธยามาประกันความปลอดภัยในชีวิตของข้าอีกชั้นหนึ่ง...ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ " ดาราถึงกับก้มหน้าลงอย่างไม่อาจจะสู้หน้าคนอื่นๆได้เพราะความอับอาย จนกระทั่งไกรต้องเหลือบมองอย่างอดสงสารไม่ได้...ในขณะที่เวลานี้เมื่อข้อเสนอได้ถูกพูดออกไปแล้ว ภาระหน้าที่การตัดสินใจจึงตกมาอยู่ที่ท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าของมือสังหารชาวยุคันตวาตทั้งหมดทันที
...หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ท่านผู้เฒ่ากลับเอาแต่นั่งเงียบพร้อมกับลูบคางไปมาๆอย่างเหมอลอยอยู่ในภวังค์...นาน...จนกระทั่งบรรยากาศที่เย็นสบายของช่วงค่ำเริ่มจะอึดอัดขึ้นทุกขณะ แม้แต่สำหรับคนนอกอย่างเจ้าพระยามหาเสนาฯเองก็ตาม...จนกระทั่งในที่สุด ไกรที่เหลือบมองดาราที่ก้มหน้าลงขอร้องอยู่ตลอดก็อดรนทนไม่ได้จนรวบรวมความกล้าพูดขึ้นอย่างเบาๆว่า...
" ท่านผู้เฒ่าขอรับ... "
" อย่าพึ่งเร่งข้า ไกร ขอเวลาข้าอีกสักครู่ "
...ท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดเพราะต้องการดึงเวลา แต่เขาต้องการเวลาในการคิดจริงๆ...ในฐานะหัวหน้าของหมู่บ้านยุคันตวาต เขาไม่ได้เพียงแค่ต้องวิเคราะห์จากสิ่งที่ดาราพูด แต่ต้องวิเคราะห์ไปถึงสิ่งที่นางไม่ได้พูดแต่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาเพื่ออนุมานเอาอีก อย่างเช่นกรณีนี้การแยกตัวออกไปของกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง(ตามที่ไกรว่า) ที่ยังส่งผลทางอ้อมไปลดทอนความน่าเกรงขามของกลุ่มบรรลัยกัลป์ เพราะขาดกำลังหลักไปไม่มากก็น้อย...มันท้าวไปได้ถึงการคาดการณ์ที่เขาคาดการณ์ว่ายิ่งความขัดแย้งภายในนี้อยู่นานเท่าไหร่ กลุ่มบรรลัยกัลป์ก็จะยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น และการที่จะทำให้ความขัดแย้งที่ว่าดำเนินต่อไปได้ก็มีวิธีง่ายๆอยู่วิธีเดียว...
...ปกป้องนังตัวต้นเหตุแห่งความขัดแย้งบ้าๆนี่อย่างดารา ให้มีชีวิตอยู่อย่างโสภาสถาพรให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง...
" ท่านผู้เฒ่า---ท่านเจ้าพระยา...ถ้าท่านยังไม่พูดอะไร ข้าจะเป็นผู้พูดแทนแล้วนะ " กลับเป็นเจ้าพระยามหาเสนาฯ เสียเองที่ร้อนรนอยากจะรู้ข่าวศึกทางภาคใต้มากเสียจนพูดออกมาเอง ทำให้ท่านผู้เฒ่าจุ๊ปากเบาๆพร้อมกับถอนหายใจเฮือกก่อนจะตั้งท่าเพื่อพูดกับดาราอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้ง
" ...ตกลง ดารา...ข้าตกลงจะให้การประกันความปลอดภัยของเจ้า โดยให้เจ้าอยู่ในการดูแลอารักขาของหน่วยคเณศร์เสียงาของไกร...ซึ่ง...เอ่อ ในเบื้องหลังแล้วก็คือมือสังหารของยุคันตวาตเองนี่แหละ...เจ้าพอใจหรือไม่? "
เมื่อได้ยินคำรับรองของท่านผู้เฒ่า ดาราก็เหลือบกลับมาสบตากับไกรนิ่งชั่วเสี้ยววินาที ซึ่งไกรที่รอท่าอยู่ก็พยักหน้าเป็นเชิงสำทับให้ความมั่นใจกับเธออีกทางหนึ่ง เธอจึงยิ้มละไมพร้อมกับพยักหน้ารับทันที
" ข้าพอใจเจ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่า ขออภัยอย่างยิ่งที่ทำให้ท่านเดือดร้อนนะเจ้าคะ "
" ไอ้คำขออภัยเชิงมารยาทเพื่อย้อนเกล็ดข้าน่ะ พอแค่นี้เถอะ...เฮ้อ...เชิญท่านซักได้เลย ทานบุนนาค "
อัครมหาเสนาบดีผู้อยู่ในระดับเดียวกับท่านครุฑผู้เป็นบิดาบุญธรรมของท่านสินพยัหน้าให้กับท่านผู้เฒ่าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหันกลับมาหาสตรีตัวน้อยที่เจ้าเล่ห์เกินตัวตรงหน้าพร้อมกับพูดเบาๆทันที
" ถ้าเช่นนั้น แม่หญิงดารา... "
" ทัพพระเจ้าอลองพญาจะติดพันศึกก่อนจะตีเอาชัยได้เมืองเพชรบุรีช้ากว่าที่พวกท่านลงความเห็นกันไว้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือนเป็นแน่แท้เจ้าค่ะ " ดาราเองก็รักษาสัญญาด้วยการตอบข้อสงสัยอย่างไม่บลิดพลิ้วและตรงประเด็นอย่างสุดๆ และไอ้การตรงประด็นสุดๆนี้ทำให้ทุกคนได้รับข้อมูลที่ทำให้ทุกคนบนชายเรือนนี้ชะงักกึกไปในทันที โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่ถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะนี่มันยิ่งกว่าข่าววงในแล้ว...นี่มันข่าวจากแนวหน้าของสงครามชนิดเห็นกับตาชัดๆ!
' แม้แต่มือสังหารผู้เชี่ยวชาญในการสืบข่าวที่สุดที่เราฝึกฝนมากับมือและส่งไปสังเกตการณ์ยังไม่กล้ายืนยันระยะเวลาที่แน่นอนถึงเพียงนี้...ถ้าหากนังนี่ไม่ได้พูดเกินจริง...ก็เท่ากับว่า สายข่าวของนางเหนือกว่ายุคันตวาตจริงๆแล้ว '
ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ากับลังครุ่นคิดอยู่นั้น ออกญามหาเสนาก็รีบซักถามรายละเอียดโดยบังคับตัวเองไม่ให้พูดเร็วจนลิ้นพันกันเต็มที่ เพราะนี่เกี่ยวพันถึงสถานการณ์บ้านเมืองแล้ว
" เพราะเหตุใดเจ้าจึงกล้ายืนยันเช่นนั้นกัน? "
" ข้ามีเหตุผล ๒ ประการเจ้าค่ะ...ประการคือตัวออกญาเพชรบุรี ท่านเรืองผู้เป็นอดีตหน่วยคเณศร์เสียงาของไกร...เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่พ่อมดหมอผีผีเชี่ยวชาญไสยเวทย์ แต่ยังเป็นทหารผู้มากความสามารถอีก เพียงแต่สันดานเสียของเขาคือเขาขี้เกียจ ไม่อยากชิงดีชิงเด่นและไม่อยากจะลงมือสู้อย่างเสียเปล่า...แต่นี่เป็นการสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเองและเขาก็ได้รับสิทธิ์ขาดในการบัญชาการทัพแล้ว ทำให้ท่านเรืองลงมืออย่างเต็มที่โดยไม่ออมแรงใดๆ...ยิ่งเมือการปะทะกันครั้งแรกท่านเรืองได้รับชัยชนะอย่างงดงามยิ่งทำให้เหล่าขุนนางพากันเชื่อการบัญชาการของเขาจนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจนแข็งแกร่งอย่างที่ทัพพม่าไม่เคยพบมาก่อนในเมืองที่ผ่านๆมา...สิ่งนี้สร้างความลำบากให้แก่ทัพและนายทัพพม่าเป็นอย่างมาก...และอีกประการหนึ่ง... "
" อีกประการหนึ่ง? "
" ผลของความพ่ายแพ้ในคราแรกของทัพพม่า ที่ท่านเรืองพาทัพช้างขยี้ทัพม้าของเจ้าชายมังเวงเสียยับเยิน ทำให้พระเจ้าอลองพญาทรงพิโรธเป็นฟืนเป็นไฟ พระองค์ดำรัสคาดโทษเจ้าชายู้น่าสงสารเสียอย่างหนัก อีกทั้งยังมีราชโองการลงโทษทัณฑ์สองแม่ทัพใหญ่ผู้รับผิดชอบในเรื่องน่าอดสูนี้อีก "
" ลงโทษ? "
" พระองค์มีราชโองการห้ามมิให้สองแม่ทัพสำคัญนี้ยุ่งเกี่ยวกับราชการศึกตีเมืองเพชรบุรีอีกต่อไป "
" แล้วสองแม่ทัพใหญ่นั้นเป็นใครกัน? "
" แม่ทัพท่านแรกพวกท่านคงรู้จักดี แม่ทัพใหญ่มังฆ้องนรธา...แต่หนึ่งพวกท่านอาจไม่ใคร่จะรู้จักเท่าไหร่ แต่ข้ารับประกันได้ว่าเขาเป็นแม่ทัพตัวกลั่นคนสำคัญไม่แพ้กัน นามของเขาคือ อะแซหวุ่นกี้ เจ้าค่ะ "
" อะแซหวุ่นกี้?...ไม่คุ้นนามเสียเลย " ออกญามหาเสนาฯครางออกมาจากใจจริง แต่นามนั้นทำให้ไกรถึงกับขนลุกซู่จนแทบจะควบคุมอากัปกริยาของตัวเองไว้ไม่อยู่ทันที
' อะแซหวุ่นกี้...ชื่อนี้ ไม่ผิดแน่! '
" พระเจ้าอลองพญา...ตัดแขนขาตัวเอง ขณะที่ตัวเองกำลังเล่นกับไฟ... " ท่านผู้เฒ่าเปรยออกมาเบาๆ...ถึงเขาจะเข้าใจดีในการตัดสินพระทัยลงทัณฑ์พระเจ้าอลองพญา แต่เขาก็ยังคิดอยู่ดีว่าพระองค์กระทำการได้ไม่ฉลาดเอาเสียเลย...ในขณะที่ออกญามหาเสนาฯลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะค่อยๆครางออกมาเบาๆ
" แต่ว่า...ทัพพระเจ้าอลองพญาใช่ว่าจะมีนายทัพเพียง ๒ นาย... "
" พิชัยสงครามเดิมของพวกหัวคร่ำครึเหล่านั้นไม่อาจจะต้านทานกลยุทธ์อันแปลกประหลาดของท่านเรืองได้แน่ ยิ่งทำศึกพวกเขาก็จะยิ่งถลำลึกและสูญเสีย และนั่นจะทำให้เกิดข้อกังขาในหมู่ทหารพม่า...ในสายตา---หมายถึงในความเห็นของข้า มีเพียงสองนายทัพผู้นี้ และเจ้าชายมังระอีกพระองค์เท่านั้นที่จะเท่าทันกลยุทธ์รูปแบบใหม่ของท่านเรืองได้ "
" แปลว่าผลชี้ขาดของสงครามที่เพชรบุรีอยู่ตรงที่พระเจ้าอลองพญาจะสามารถกล้ำกลืนศักดิ์ศรีและกลับดำรัสโองการของพระองค์เองและเรียกใช้สองนายทัพนี้เมื่อไหร่นั่นเอง...สินะ? " ท่านผู้เฒ่าผู้ผ่านโลกมามากกว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้มองทุกอย่างกระจ่างในปราดเดียว ซึ่งดาราก็พยักหน้ารับเบาๆ
" เจ้าค่ะ...ซึ่งดูจากพระอัธยาศัยของพระเจ้าอลองพญาแล้ว พระองค์พระทัยใหญ่และยึดมั่นถือมั่นในศักดิ์ศรีอยู่มาก ทำให้ข้าพอจะคาดการณ์ได้ว่าศึกนี้ต้องล่าไปอีกอย่างน้อยๆก็เป็นครึ่งเดือนเป็นแน่เจ้าค่ะ กว่าที่พระองค์จะยอมกล้ำกลืนและเรียกใช้สองแม่ทัพผู้ต้องโทษนั้น "
' แปลว่าตัวแปรไม่ใช่แค่ทางพระเจ้าอลองพญา แต่เป็นท่านเรืองเองด้วย...ทานเรืองต้องทำศึกอย่างรอบคอบและรอมชอม ไม่บีบคั้นทัพพระเจ้าอลองพญาเร็วเกินไปนักสินะ...แย่แฮะ งานนี้หนักกว่าที่คิดแล้วสิ ' ไกรเองก็นั่งวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเงียบๆเช่นกัน ปล่อยให้ท่านผู้เฒ่าและท่านบุนนาคซักรายละเอียดจากหญิงสาวปริศนาต่อไปอีกครู่ใหญ่ จนในที่สุดเมื่อพวกเขาพอใจแล้ว ท่านผู้เฒ่าจึงถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ
" เฮ้อ...เอาล่ะ ต้องยอมรับว่าข่าวของเจ้าคุ้มค่ากับสิ่งที่ข้าจ่ายไปจริงๆ ดารา...ถึงแม้ว่าจะขัดใจในหลายๆเรื่อง แต่ข้าก็ขอขอบใจเจ้ามาก พวกข้าหมดคำถามใดๆแล้ว...เชิญเจ้ากลับคืนสู่ฐานะเดิมของเจ้าเถอะ... " ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองไกรพร้อมกับสั่งเรียบๆ " ...ไกร เจ้าไปส่งดาราที่หน้าเรือนที แล้วก็กลับขึ้นมาที่นี่อีกรอบ พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องสนทนากัน "
" ขอรับ " ไกรรับคำและลุกขึ้นพร้อมๆกับดารา และเดินลงไปเพื่อส่งเธอที่หน้าเรือนตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่า แต่จากที่เขาเห็นอยู่นี่เขากลับคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเดินมาส่งก็ได้ เพราะยัยดาราดูเหมือนจะเดินไปมาๆบนเรือนของท่านผู้เฒ่า และดีไม่ดีอาจจะรวมถึงเรือนของเขาด้วยได้กระจ่างชัดราวกับเดินไปมาอยู่บนเรือนของตัวเองไม่มีผิด จนเขาต้องอดบ่นออกมาเบาๆไม่ได้
" เฮ้อ...เจ้านี่น้าาา "
" หืม? เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? "
" เออ เปล่าหรอก...ข้าว่าข้าส่งเจ้าเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวต้องขึ้นเรือนไปให้ท่านผู้เฒ่าเฉ่งต่ออีก...แต่ ถ้าหากเรื่องทั้งหมดที่เจ้าว่าเป็นเรื่องจริง... "
" เกี่ยวกับสงครามน่ะเหรอ? "
" เปล่า ข้าหมายถึงเรื่องของกลุ่มที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มของเจ้าน่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ข้าก็แค่อยากจะบอกให้เจ้าระวังตัวไว้ด้วยนะ ดารา " ไกรพูดออกมาจากใจจริงจนทำให้ดาราชะงักเท้ากึก เธอนิ่งไปครู่นึงก่อนที่จะหันกลับมายิ้มพราย
" คิกๆ ข้าดีใจนะ...สำหรับความเป็นห่วงเป็นใยของเจ้า ท่านเจ้าพระยา "
" หึๆ ข้าคงไม่มีสิทธิ์จะอาจเอื้อมมาเป็นห่วงเป็นใยพระสนมเอกผู้กำลังเป็นที่โปรดปรานเช่นเจ้าหรอก...เอ้อ พูดถึงเรื่องนี้ก็พอดีเลย "
ดาราเอียงคอพร้อมกับยิ้มรอให้ไกรพูดต่อ ซึ่งไกรก็ยิ้มตอบพร้อมกับพูดช้าๆว่า
" ตอนข้าพบเจ้าในฐานะพระสนมเอกครั้งแรกที่เจ้านั่งสิวิกาผ่านไป ข้าไม่ทันได้เห็นหน้าเจ้าในฐานะพระสนมเอกอย่างชัดๆ มันทำให้ข้าอดอยากรู้ไม่ได้...ตกลงเจ้าอยู่ในรูปลักษณ์ใดกันแน่? "
" หืม? อยากรู้หรือเจ้าคะ? "
" ขอความกรุณาด้วยขอรับ "
" คิกๆ " ดาราปิดปากหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เธอจะหมุนตัวรอบนึงเพื่อเปลี่ยนใบหน้าให้กลายเป็นใบหน้าของพระสนมเอกที่ไกรสงสัยทันที
เมื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์เสร็จ ดาราที่อยู่ในรูปลักษณ์ของพระสนมเอกตัวปัญหาก็เขม้นจ้องตาไกรอยู่ครู่หนึ่ง...เมื่อเห็นว่าไกรไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ เธอจึงหมุนตัวเปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นดาราที่เขารู้จักคนเดิมพร้อมกับก้มหัวให้เล็กน้อยเพื่ออำลา ก่อนที่เธอจะเดินกลืนหายกับความมืดไป
หลังจากที่ดาราลับหายไปกับความมืดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หน้าของไกรที่นิ่งตายด้านเป็นหินสลักก็ค่อยๆแดงขึ้นๆอย่างช้า ก่อนที่ในที่สุดหน้าเขาก็แดงเป็นลูกตำลึงสุกพร้อมกับที่ไกรจะกัดริมฝีปากและสบถอู้อีออกมาในทันที
" เฮ้อ บ้าเอ้ย! "
...ให้ตกนรกสิ! ดาราในรูปลักษณ์ของพระสนมเอกผู้เป็นที่โปรดปรานนั่น...สเปคสาวในฝันของเขาชัดๆ!...
.................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ