ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

119)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

 

      " นี่ พี่ไกร...ตื่นเถอะ สายแล้วนะ "  เสียงเจื้อยแจ้วของเพียงออ น้องสาวคนเดียวของเขาทำให้ไกรขยับผ้าห่มขึ้นมาปิดบังส่วนหัวไว้อย่างเชื่องช้า ก่อนจะพลิกตัวเพื่อม้วนผ้าห่มน้องเหม็นผืนเก่งของเขาจนกลายเป็นเสมือนดักแด้เพราะไม่ปรารถนาจะเริ่มวันใหม่เร็วกินไปนัก แต่เพียงไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าหนักๆบนเรือนไม้ขึ้นมาพร้อมกับที่ผ้าห่มน้องเหม็นของเขาจะถูกกระชากพรวดด้วยแรงเกินกว่าเด็กสาวธรรมดาๆจนไกรหมุนคว้างราวกับในการ์ตูนลงมากระแทกที่นอนดังอั่ก! พร้อมกับที่เพียงออที่เป็นผู้กระชากผ้าห่มออกจะพูดเจื้อยแจ้วอีกครั้ง

 

      " นี่! ตื่นได้แล้ว พระจะกลับวัดหมดอยู่แล้วนะ พี่! "

 

      " พ...เพียงออเหรอ? จริงอ่ะ? "

 

      " แล้วชีวิตพี่มีน้องสาวกี่คนกันล่ะคะ! "

 

      " อ...อือ เพียงออ พี่ว่าพี่ยังมึนๆอยู่นะ เอาเป็นว่าอีกซัก ๓ ชั่วโมงค่อยมา--- "

 

      " ก็ไม่ได้คิดจะให้อยู่แล้วล่ะนะ แต่ปรกติเขาจะขอแค่ ๕ หรือไม่ก็ ๑๐ นาทีไม่ใช่เหรอคะ "

 

      " เอาน่าๆ คนไทยด้วยกันกันหยวนๆได้ ...แหม หมู่นี้ตบมุขเก่งขึ้นเยอะ พี่ชายล่ะภูมิใจจริมๆ "  ไกรครางออกมาเบาๆพลางพยายามมุดหน้าลงในหมอนต่อ แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวร่างของเขาก็หมุนคว้างอีกรอบ แต่คราวนี้ไม่ใช่จากฝีมือของเพียงออ แต่เป็นฝีตีนของผู้เป็นพ่อบังกัดเกล้าอย่างครูมืดที่เดินดุ่มๆมาถีบเปรี้ยงจนร่างกำยำของไกรเผ่นหวือตกลงไปข้างเตียงทันที

 

      " ตื่นได้แล้วโว้ย! สายโด่งขนาดนี้แล้วไอ้ตัวขี้เกียจ ตูหิวแล้ว! ไปล้างหน้าล้างตาไป๊! เพียงออจะได้ยกสำรับมาซะที! "  ครูมืดที่หากฟังดีๆจะได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆตวาดลั่น ในขณะที่เพียงออเหลือบมามองพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยหน่ายว่า

 

      " นี่ตกลงโกรธที่พี่ยังไม่ยอมตื่นหรือโกรธที่หนูไม่ยอมยกสำรับไปให้กันคะเนี่ย? "

 

      " น...หนวกหูน่าเพียงออจ๋าของพ่อ ก็มันหิวจริงๆนี่หว่า ...เอ้า! ไอ้นี่ก็ ตื่นซะทีเด้ มัวนั่งเมาขี้ตาอยู่ได้! "

 

        ไกรพลิกตัวก่อนจะลุกขึ้นมานั่งพร้อมกระพริบตาปริบๆ ก่อนที่เขาจะใช้สายตาสีสนิมเหล็กมองดูเพียงออผู้เป็นน้องสาวกำลังดุครูมืดผู้เป็นพ่อที่ก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ...บรรยากาศที่แสนคุ้นเคยทำให้ดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมา พร้อมกับที่เขาจะค่อยๆหัวเราะออกมาอย่างช้าๆ

 

      " ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆ "

 

     ...ความฝันสินะ...

 

      " ฮ่าๆๆ ช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงและยาวนานเหลือเกิน...จริงๆ "

 

        ... 

 

        ......

 

        .........

 

      " ความฝันอย่างนั้นเหรอ? จะหาทางออกเช่นนี้จริงๆหรือ ไกร? " 

 

      " ใช่สิ! ฮ่าๆ ความฝัน ใช่แล้ว ความฝัน ไอ้เรื่องที่ต้องไปขี่ม้าบ้าเลือดอะไรนั่นมันความฝันทั้งเพเฟ้ย!! "

 

      " นี่ ไกร ข้าก็ไม่ได้อยากจะขัดความสุขอะไรเจ้าหรอกนะ...แต่ถ้าหากเจ้าอยากจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นความฝันและมาดวิมานบนอากาศต่อ อย่างน้อยๆเจ้าก็น่าจะหลับตาและลดๆเสียงลงหน่อยเถอะ...ข้าทาส...ไม่สิ คนบนเรือนเจ้าเริ่มคิดว่าเจ้าเป็นคนบ้าใบ้แล้วนะ "  ในที่สุด ท่านผู้เฒ่าที่นั่งกอดอกดูอยู่เงียบก็อดใจไม่ให้เอ่ยปากเตือนไกรที่เวลานี้กำลังนั่งมองเพดานเรือนพร้อมกับหัวเราะออกมาเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ไม่ได้ จนไกรที่ถูกกระชากกลับสู่โลกแห่งความจริงอันแสนโหดร้ายถึงกับเปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มแย้มเพ้อฝันกลายเป็นหน้าร้องไห้ในพริบตาพร้อมกับกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงและร้องดังลั่น

 

      " ไม่! ไม่จริ๊ง! นี่เป็นความฝันแน่ๆ ก๊าก! ฮ่าๆๆๆ บ้ารึเปล่า นี่ไม่ใช่หนังหลอกเด็กนะเฟ้ย คนบ้าที่ไหนมันจะย้อนเวลากลับมาตั้งหลายร้อยปีได้กันฟะ!! "

 

      " อยู่มาตั้งหลายเดือน มีวาสนาได้เป็นถึงเจ้าพระยา แถมเกือบได้เมียเป็นตัวเป็นตนอยู่รอมร่อ ก็พึ่งเห็นเจ้าโอดครวญเรื่องที่เจ้าน่าจะสงสัยตั้งแต่แรกแล้วเช่นนี้ เฮ้อ ทำตนเป็นเด็กๆไปได้ "  ท่านผู้เฒ่าเกาหัวพร้อมกับครางออกมาเบาๆ ในขณะที่ไกรยังคงหมกตัวอยู่ในผ้าห่มและร้องงอแงออกมาไม่เลิก

 

      " ท...ท่านผู้เฒ่าขอรับ! ข้าว่าร่างกายข้าชักไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะไตพิการ อาหารไม่ย่อย กินข้าวไม่อร่อย เป็นแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก พุพองเป็นหนอง ผิวหนังอักเสบเป็นหนอง...อ่าาา...ปวดหัวข้างเดียวเรื้อรัง เป็นไข้ทับระดู จะเป็นไมเกรน เมนส์ก็จะมา...พ...เพราะงั้น วันนี้ข้าคงลุกไม่ไหวแน่ๆ พาข้าไปโรงหมอเถอะ "

 

      " ไอ้โรคหลังๆข้าก็ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินหรอกนะ แต่ถ้าเป็นหนักขนาดนั้นคงต้องพึ่งสัปเหร่อแทนโรงหมอแล้วล่ะ ข้าว่า "  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆอีกครั้ง แถมยังเผลอตบมุขชนิดที่สิงห์มาได้ยินคงลงไปกองกับพื้นเพราะหายใจไม่ทันแน่ๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับลุกขึ้นมาและจะดึงผ้าห่มออก แต่ไกรกลับฝืนไว้อย่างเต็มที่พร้อมกับร้องโหยหวนดังลั่น สถานการณ์จึงกลายเป็นเหมือนการเล่นชักเย่อไปมาๆจนท่านผู้เฒ่าถึงกับหอบจนตัวโยน

 

      " อ...ออกมาเหอะน่า อย่างไรช้าเร็วเจ้าก็ต้องเจอกับมันอยู่ดี "

 

      " ม่ายยย! "

 

      " แฮ่กๆๆ อ...ไอ้ไกร อย่าดื้อสิฟะ! โตเป็นวัวเป็นควายขนาดนี้แล้วเจ้าไม่อายเขาบ้างรึอย่างไร อย่างไรเจ้าก็ต้องจับม้าเป็น! "

 

      " ม่ายยยย! "

 

      " ท่านไกรเจ้าคะ? "  เสียงของอเทตยา...หญิงสาวผู้มีประพิมพ์ประพายเช่นเดียวกับเพียงออผู้เป็นน้องสาวแท้ๆของเขาอย่างกับแกะที่ดังขึ้นจากนอกห้องทำให้ไกรชะงักกึกราวกับถูกปิดสวืตช์พร้อมกับปล่อยผ้าห่มที่คลุมร่างไว้อย่างกะทันหัน ส่งผลให้ท่านผู้เฒ่าที่พยายามดึงผ้าห่มอย่างเต็มแรงถึงกับผงะและลอยหวือด้วยแรงของตัวเอง หมุนคว้างลงไปกระทบพื้นดังอั่ก! แถมยังแน่นิ่งไปเลย แต่ไกรไม่แม้แต่หันมามองด้วยซ้ำเพราะเขาหันกลับไปตอบตามเสียงเรียกเบาๆว่า

 

      " อเทตยา? มีอะไรงั้นเหรอ? เออ ตกลงเมื่อคืนเจ้า--- "

 

      " ท่านไม่ต้องเป็นห่วงตัวข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าสบายดี ว่าแต่ทางท่านเถอะ ข้าได้ยินจากพวกคนบนเรือนท่านว่าวันนี้ท่านจะไปฝึกม้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ? "  อเทตยาถือวิสาสะเปิดประตูและเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ได้รอให้ไกรอนุญาตแต่นี่ก็เป็นสิทธิพิเศษของเธออยู่แล้ว และไกรก็ไม่ได้ว่าอะไร...เขาเพียงจัดเสื้อแสงของตัวเองให้เรียบร้อยพร้อมกับพยักหน้าตอบรับเบาๆ 

  

      " อ...เอ่อ ก็ใช่อยู่ "

 

      " โห ดีจริงเลยนะเจ้าคะ ในที่สุดท่านไกรก็จะขี่ม้าศึกให้สมฐานะกับคนอื่นเขาแล้ว "  อเทตยาขยับเข้าใกล้พร้อมกับพูดด้วยแววตาที่เป็นประกายจนไกรทำตัวไม่ถูกทันที

 

      " ไม่ คือ อเทตยา พูดตรงๆข้ายังไม่เคยขี่ม้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและยังไม่เป็นอะไรเลยด้วย ไอ้เรื่องขี่ม้าศึกนี่--- "

 

      " ไม่มีปัญหาแน่เจ้าค่ะ! "

 

      " ห หา? "

 

      " ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ! ต้องไม่เป็นไรแน่ๆ ...ข้าเชื่อนะเจ้าคะ เชื่อว่าถ้าเป็นท่าน...ถ้าเป็นท่านไกรล่ะก็ต้องทำได้แน่ๆ! "  อเทตยาพูดพลางยิ้มด้วยสายตาที่เป็นประกายวิบวับด้วยความเชื่อมั่นเต็มที่ชนิดไม่มีวันสั่นคลอน แถมยังเจิดจ้าจนไกรต้องหลบสายตาที่เจิดจ้านั้นอย่างไม่อาจจะสบสู้ได้แม้แต่น้อย

 

      " อเทตยา เอ่อ... "

 

      " เจ้าคะ? "

 

        ดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจ้าของอเทตยาทำให้ไกรกล้ำกลืนฝืนคำที่เขาคิดจะพูดลงในลำคอทั้งหมด ก่อนที่ในที่สุดเขาจะลุกขึ้นยืนบนเตียงนอนของตัวเองพร้อมกับเชิดหน้าและทุบอกตัวเองดังลั่น

 

      " ย...อย่าห่วงไปเลยอเทตยา เรื่องขี่ม้าขี้ปะติ๋วแค่นี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ ข...ข้าจะแสดงฝีมือให้เจ้าดูเอง! "

 

        ท่ามกลางเสียงร้องว้าว! ของอเทตยาที่ดังขึ้นลั่นห้องอย่างชื่นชมในตัวไกรที่ยืนเชิดหน้าอยู่นั้น มีเสียงกระซิบเล็กๆของท่านผู้เฒ่าที่ยังคงนอนพังพาบอยู่กับพื้นเพราะจุกจนลุกไม่ขึ้น และได้แต่ครางออกมาอย่างแผ่วเบาเท่านั้น

 

      " ฆ่ามัน...ต้องฆ่ามันเท่านั้น...ฟ้าฟื้น เตรียมตัว ข้าจะเอาให้เกรียมเลย! "

 

 

     ...เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ท่านผู้เฒ่าและอเทตยาก็ออกไปรอไกรที่ตรงส่วนกลางเรือนที่สร้างเป็นศาลาไว้รับรองแขก เพื่อให้ไกรได้แต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเองก็ต้องจัดเสื้อแสงของตนที่หลุดลุ่ยและยับยู่ยี่เสียใหม่พร้อมกับขมวดคิ้วและสบถพึมพำเบาๆ

 

      " เฮ้อ...รู้อย่างนี้น่าจะวานเจ้ามาเสียตั้งแต่แรก ไม่ต้องมาเหนื่อยเช่นนี้หรอก "

 

      " หืม? ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ? "  อเทตยาที่จิบชาฝรั่งอย่างดีอยู่หันกลับมาถามเพราะเธอจับกระแสได้ไม่ถนัดนัก แต่ท่านผู้เฒ่ายักไหล่พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ

 

      " เออ เปล่าหรอก ข้าชราจนลืมเลือนไปเองนั่นแหละว่าจุดอ่อนของไอ้เจ้าบ้านั่นคืออะไร "

 

      " เอ๋? "  อเทตยาเอียงคอมามองอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนักอยู่ดี แต่ท่านผู้เฒ่ากลับยกแก้วกาแฟค้างไว้พร้อมกับใช้สายตาที่เต็มไปด้วยสุขุมภีรภาพมองมาที่หญิงสาวชาวมอญอย่างสุขุม ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหัวเราะในลำคออย่างช้าๆพร้อมกับยกกาแฟขึ้นดื่ม

 

      " เจ้าเปลี่ยนไปมากนะ อเทตยา "

 

      " เจ้าคะ? เอ๋ สมัยก่อนท่านมองข้าเป็นคนอย่างไรกันเนี่ย? "

 

      " ถ้าพูดตรงๆอย่างไม่รักษาน้ำใจกัน เวลานี้เจ้าดู...เอ่อ มีชีวิตขึ้น...เจ้าไม่ได้เป็นซากศพเดินได้ที่ทำทุกอย่างอย่างใจคิดโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกต่อไป แต่สุขุมขึ้น มีชั้นเชิงมากขึ้น เจ้าเล่ห์แสนกลขึ้น...และถ้ามองในแง่นี้...เจ้าก็อันตรายมากขึ้นด้วย "  ท่านผู้เฒ่าพูดอย่างไม่อ้อมค้อมและไม่รักษาน้ำใจตามที่เขาว่าจริงๆ พลางยกกาแฟขึ้นซด จนทำให้อเทตยาถึงกับเอียงวูบ ก่อนจะวางจอกชาลงพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ

 

      " ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นคำชมนะเจ้าคะ "

 

      " ข้าก็ไม่ได้บอกว่าชมนี่ "

 

      " เมื่อถึงจุดหนึ่ง...แรงกระตุ้นที่เหมาะสมจะเปลี่ยนแปลงเรา...ไม่ใช่แค่ข้า แต่ทั้งอนาสตาเซีย สิงห์ ศกุนตลา รวมไปถึงท่านเอง...ผู้คนที่อยู่รายล้อมไกรต่างก็เปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น...เขาคือผู้ที่เปลี่ยนแปลงพวกเรา... "  อเทตยาพูดราวกับรำพึง ซึ่งท่านผู้เฒ่าเองก็ทำได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำนนต่อเหตุผล ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า

 

      " แปลว่าไม่ดีอย่างนั้นหรือ? "

 

      " ตรงกันข้ามต่างหากล่ะเจ้าคะ...เขาเป็นผู้ฝ่าเพดาน ฝ่ากำแพงให้ข้าก้าวสูงขึ้นไปโดยที่แรกเริ่มข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกำแพงที่ว่านี้ขวางกั้นข้าอยู่ ...ก็อย่างที่ท่านว่านั่นแหละเจ้าค่ะ...เขาเป็นคนที่ทำให้ผู้ที่อยู่ในโลกอันดำมืด เป็นซากศพเดินได้อย่างพวกเรา...มีชีวิตขึ้นอีกครั้ง "  อเทตยาพูดอย่างเชื่องช้าพร้อมกับที่เธอผายมือไปที่คนรับใช้ทั้งชายและหญิง ทั้งแก่เฒ่าและเยาว์วัยหลายสิบคนบนเรือนแห่งนี้ รวมไปถึงอีกหลายสิบคนที่ทำความสะอาดอยู่ด้านล่าง ซึ่งมีทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติต่างภาษาด้วยจำนวนที่มากเกินความจำเป็นแม้กับจวนประจำตำแหน่งเจ้าพระยาระดับสูงเช่นนี้ ทั้งๆที่ไกรเองก็ไม่ใช่พวกบ้าอำนาจอย่างขุนนางยศสูงหลายๆคนแท้ๆ พร้อมกับที่อเทตยาพูดเบาๆต่อ

 

      " ท่านก็น่าจะทราบอยู่บ้าง คนเหล่านี้...ไม่ใช่ไพร่สมที่ท่านไกรได้รับมา เขาเอ่ยปากไล่ไพร่สมทั้งหมดที่ได้รับมาให้กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านตัวเองหมดสิ้นโดยไม่ต้องจ่ายส่วยแทนการทำงานใดๆ ก่อนจะใช้อัฐที่ได้รับพระราชทานมากว่าค่อนเพื่อกว้านซื้อทาสจากหลายๆแห่งมาแทนที่เหล่าไพร่ ทั้งยังจ่ายเบี้ยหวัดเงินเดือนให้แก่ทาสเหล่านี้เพื่อเปิดโอกาสให้พวกมันสามารถไถ่ถอนตนเองและได้ความเป็นไทกลับคืนเสียอีก "

 

      " ใช่ คนดีๆที่ไหนเขาทำกันใช่ไหมล่ะ "

 

      " คิกๆ นั่นแหละท่านไกร...ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่เขาคืนชีวิตใหม่ให้กับทุกคนที่เขาเอื้อมมือไปถึง เขาเป็นคนดี...คนดีอย่างไม่น่าเชื่อที่ข้าละอายใจที่ได้อยู่กับเขาเลยล่ะ "

 

      " ใช่ๆ... "  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆอย่างยอมรับ  " ...เขาคือผู้ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง...เป็นสายลม ที่นำพาความสุขให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมและไม่่มีการแบ่งแยก...ในขณะเดียวกัน ก็เป็นพายุที่พร้อมจะพัดพาทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงยุคสมัยทั้งปวง... "

 

      " ข้าพร้อมแล้วขอรับ ท่านผู้เฒ่า อเทตยา "  

 

        เสียงของไกรปลุกทั้งท่านผู้เฒ่าและอเทตยาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด พร้อมกับที่ทั้งคู่จะหันกลับมามองผู้ที่กำลังเป็นประเด็นพูดคุยเมื่อครู่ แต่พอเห็นชัดๆเท่านั้น ทั้งคู่ต่างก็ชะงักกึกราวกับถูกนะจังงัง ก่อนที่ในที่สุดท่านผู้เฒ่าจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นอย่างช้าๆ

 

      " ขออภัยนะขอรับ ท่านไกร...ไม่ทราบว่าท่านแต่งชุดอะไรอยู่กัน "

 

        สภาพของไกรที่เห็นอยู่ในเวลานี้เป็นเหมือนเต่าหรือปูเสฉวนที่อยู่ในกระดองที่หลวมโครกเกินตัว เพราะเขาสวมชุดเกราะรบหนังเต็มยศพร้อมกับสวมด้วยชุดเกราะโลหะขนาดใหญ่ราวกับอัศวินยุโรปในยุคกลางทับอีกทีนึง แถมยังสวมหมวกเหล็กอัศวินแบบเต็มหัวปิดบังใบหน้าไว้อย่างมิดชิดจนมองไม่ออกเลยว่าเป็นใคร ...สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขารู้ได้ว่าคนที่อยู่ในแผ่นเหล็กนี้เป็นไกรก็คือตอนที่ไกรพูดออกมาอีกครั้ง

 

      " อ้าว? ถามอะไรแปลกๆ...ก็นี่ไงขอรับ ชุดที่จะเตรียมไปฝึกขี่ม้า "

 

      " ไปเปลี่ยนใหม่โว้ยยย! "

 

 

 

...........................................

 

 

 

 

     ...ไม่กี่นาทีต่อมา...ทั้งท่านผู้เฒ่าและไกรที่เวลานี้อยู่ในชุดแพรหัวหน้าทหารมหาดเล็กสีดำสนิทอันเป็นชุดประจำตำแหน่งของหัวหน้าหน่วยคเณศร์เสียงา รวมไปถึงหน่วยคเณศร์เสียงาที่ยังคงว่างงานอยู่ อย่างสิงห์ และคนที่ออกเวรแล้วอย่างอเทตยาก็กระเตงกันมาถึงที่ขอบที่ลุ่มฝั่งกำแพงเมืองด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่มีปริมณฑลและป้าบหวงห้ามที่ชัดเจน ซึ่งไกรที่เวลานี้เรียนรู้จนพอจะอ่านภาษาเขียนออกได้บ้างแล้วก็แกะได้ความว่านี่คือส่วนหวงห้ามของกรมพระอัศวราช (กรมม้าต้น) ที่ขึ้นตรงต่อพระสมุหกลาโหมนั่นเอง...

 

      " กรมพระอัศวราช? "  ไกรทวนคำเบาๆ ซึ่งท่านผู้เฒ่าที่เวลานี้จับแขนไกรไว้เพื่อไม่ให้ไกรหนีไปได้หันมาเลิกคิ้วใส่อย่างชื่นชมทันที

 

      " อ่านออกแล้วเหรอ? เก่งนี่ "

 

      " ที่นี่คือโรงฝึกม้าเหรอขอรับ? "

 

      " ใช่ ทำนองนั้น...แบบเดียวกับโรงฝึกช้างที่เจ้าเคยไปเก็บขี้ช้างอยู่พักนึงนั่นแหละ ที่นี่ถูกดูแลด้วยจางวางแห่งกรมม้าต้นสูงสุดอย่าง ออกญาศรีสุริยพาห์ สมุหพระอัศวราช เป็นสถานที่ที่รวบรวมม้าฝีเท้าดีที่สุดจากแทบทุกสายพันธุ์ทั่วทุกมุมโลกไว้ ถ้าหากเจ้าต้องการม้าคู่ใจละก็ ไม่มีที่ใดที่เหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว "

 

      " แต่ว่า...ที่แบบนี้มัน "

 

      " ใช่ ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามของกองทัพ แม้แต่ขุนนางระดับเจ้าพระยานาหมื่นอย่างเราทั้งคู่ ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตล่ะก็คงจะโดนถีบออกมาเช่นกัน พวกเราจึงต้องขอใบเบิกทางจากเขาอย่างไรล่ะ "

 

      " เขา? "

 

      " ตรงเวลาพอดีเลยนะขอรับ ท่านเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี "

 

      " ท...ท่านออกญามหาเสนา? ท่านบุนนาค? "  ไกรครางออกมาเบาๆ 

 

     ...อ๋อ...ไอ้ท่าทีเห็นอกเห็นใจแปลกๆที่ท่านบุนนาคทำกับเขาเมื่อคืน...แบบนี้นี่เอง...

 

 

     ...ไกรเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านผู้เฒ่าติดสินบนอะไรท่านบุนนาค แต่ที่รู้ๆก็คือเวลานี้ท่านบุนนาคต้อนรับพวกเขาอย่างดีราวกับแขกพิเศษด้วยการแนะนำให้ไกรรู้จักกับออกญาศรีสุริยพาห์ ซึ่งเป็นชายวัยชราที่รูปร่างดีเอามากๆเพราะขี่ม้าออกกำลังมาทั้งชีวิต และฟากฝังอีกฝ่ายเสียดิบดีว่าให้ไกรเลือกม้าได้ตามที่เขาต้องการ และฝึกให้เขากลายเป็นผู้บังคับม้าได้อย่างช่ำชองให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ออกญามหาเสนาก็หันกลับไปซุบซิบสนทนากับท่านผู้เฒ่าของเขาตามลำพัง ก่อนจะหันกลับมาหาไกรและสิงห์พร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " ถ้าเช่นนั้นกระผมกับท่านเจ้าพระยาราชมนตรีขอตัวลาตรงนี้เลยนะ ท่านไกร "

 

      " อ อ้าว? พวกท่าน? "  ไกรทวนคำอย่างงงๆ ขณะที่ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือก

 

      " ข้ามีงานเอกสารมากมายที่ต้องจัดการสะสางและยังต้องเข้าวังไปถวายการอารักขาแก่พ่ออยู่หัวแทนเจ้าอีก ในขณะที่ท่านบุนนาคเองก็มีราชการต้องทำอีกมาก ไม่ได้ว่างเช่นเจ้า...ข้าสองคนเบิกทางมาให้ถึงเพียงนี้แล้ว ที่เหลือก็ขึ้นกับตัวเจ้าเองแล้ว "  ท่านผู้เฒ่าอธิบายอย่างใจเย็น ในขณะที่ท่านออกญามหาเสนาเดินเข้ามาตบไหล่อย่างถือสนิทพร้อมกับพูดพลางยิ้มแย้มว่าก่อนจะชี้ไปที่บรรยากาศโดยรอบ

 

      " ท่านไกร ข้าไม่ทราบหรอกนะวาท่านโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นใด แต่ต่อให้ถูกเลี้ยงมาบนหอคอยงาช้าง แต่ท่านก็ยังเป็นบุรุษ...เป็นชายชาติอาชาไนยที่สมบูรณ์พร้อมเกินกว่าจะมีผู้ใดเทียบได้...และนี่เป็นหนึ่งในความฝันที่บุรุษทุกคนไม่ว่าจะน้อยใหญ่ต้องเคยนึกฝันไว้...การควบม้าทะยานไปท่ามกลางทุ่งกว้างที่เป็นราวกับเทพนิยายอย่างไรล่ะ "

 

        ท่านออกญาพระกลาโหมมีวาทศิลป์ในการพูดจาปลุกปลอบและกระตุ้นจิตอันลิงโลดได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะเขาทำให้ไกรรู้สึกลิงโลดราวกับเด็กเล็กๆที่มีความฝันในการควบม้าราวกับอัศวินสุดเท่จริงๆ...แต่โชคไม่ดีที่จุดสุดท้ายที่ท่านบุนนาคชี้ไปดันเป็นจุดที่กำลังเกิดเรื่องขึ้นพอดี

 

        ตูม! โครม!! 

 

        เสียงของม้าสีดำปนน้ำตาลเข้มขนาดยักษ์ที่มีความสูงวัดจากกีบเท้าถึงบ่าคำนวณจากสายตาไกลๆน่าจะสูงอย่างต่ำๆไม่น้อยกว่า ๑๗๐ ซม. สะบัดหลังวูบเพื่อส่งให้ผู้ที่กุมบังเหียนและนั่งอยู่บนหลังของมันลอยขึ้นไปเกือบ ๑ เมตรกลางอากาศและหล่นลงไปกองแน่นิ่งกับพื้น ก่อนที่เสี้ยววินาทีเดียวมันจะสะบัดตัวอีกครั้งเพื่อส่งขาหลังที่เร็วปานสายฟ้าฟาดเข้าเต็มๆกลางหลังของผู้ที่ยืนคุมการฝีกม้าอีกคนนึงดังลั่น จนตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดที่สุด 

 

      " อ๊ากกก!! "

 

      " เฮ้ย! ฉิบหายแล้ว! ใครก็ได้แถวๆนี้ช่วยกันล้อมจับที ไอ้ม้ายักษ์พันธุ์ฟรีเซี่ยนมันก่อเรื่องอีกแล้ว! คราวก่อนก็สะบัดหมื่นศรีอาชาตกลงมาหลังหักเดินไม่ได้ไปคนนึงแล้ว! "

 

      " อ...อีกแล้วเรอะ! ไอ้ตัวนี้อีกแล้วเหรอ! เมื่อคราวที่แล้วไอ้ม้าตัวนี้ก็พึ่งถีบหมอม้าฝีมือดีตายไปคนนึงแล้วนะ! "

 

      " เออ! อย่ามัวพูดสิวะ รีบมาช่วยกันจับมันเซ่! "

 

      " จะบ้าเหรอ! ให้จับมันตรงๆเนี่ยนะ มันฉลาดกว่าหมาเลี้ยง ทั้งยังอันตรายกว่าเสืออีกนะ โธ่โว้ย! ไอ้คนที่ผสมพันธุ์ม้าพวกนี้มันคิดอะไรอยู่วะ ไม่ห่วงคนฝึกอย่างพวกเราเลย!...ฮ เฮ้ย! พวกมึงทางนั้น หลบเร็ว!! "

 

        โครม! 

 

      " จ๊ากกก! "

 

        ทั้งไกรและท่านบุนนาค รวมไปถึงท่านผู้เฒ่า สิงห์ อเทตยา และออกญาศรีสุริยพ่าห์ ได้แต่ยืนอื้งมองความโกลาหลที่เกิดขึ้นตรงหน้าโดยไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ ชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดคนที่ได้สติก่อนเป็นคนแรกก็คือผู้ที่อาวุโสที่สุดเช่นเดิม...ท่านผู้เฒ่าหันหน้าไปหาออกญาผู้เป็นจางวางกรมทหารม้าต้นพร้อมกับถามจางวางเฒ่าเบาๆว่า

 

      " เป็นเช่นนี้บ่อยหรือ? "

 

      " ก...ก็มีอยู่ไม่ขาดน่ะขอรับ พวกมันแม้เป็นพาหนะของมนุษย์เราแต่ก็มิได้เชื่องจนกระดิกหางให้เราตลอดอย่างหมาน้อย...ยิ่งตัวที่ได้รับการผสมอย่างดียิ่งฉลาดและทรนง การแสดงท่าทีดูหมิ่นหรือกลัวมันชั่วพริบตาเดียวจะทำให้มันไม่รอช้าที่จะจัดการกับเราทันที "  จางวางกรมพระอัศวราชตอบกลับมาอ่อยๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าลูบคางพร้อมกับครางออกมาอย่างสนอกสนใจ

 

      " ม้าพันธุ์ฟรีเซี่ยนนั่น...ม้าสเปน...ไม่สิ ม้าฮอลันดาสินะ? "

 

      " โอ้ ท่านนี่รอบรู้ดีนะขอรับ "  ออกญาศรีสุริยพ่าห์หันกลับมาพูดอย่างชื่นชม เพราะเรื่องแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนที่สนใจจริงๆคงไม่มีใครรู้แน่ ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มพลางอธิบายเล็กน้อย

 

      " ก็...สมัยก่อนข้าเคยขลุกอยู่กับแขกมะหง่ล (Mogol-สัญนิษฐานว่าน่าจะเป็นแขกเปอร์เซีย) อยู่พักใหญ่ๆ เลยศึกษามาแบบรู้สิ่งละอันพันละน้อยน่ะ "

 

      " แหม ดีเสียจริงเจอคนพูดรู้เรื่องเสียที...เจ้านิลผยองนั่นเป็นม้าฟรีเซี่ยนพันธุ์ดีที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดซึ่งเป็นของกำนัลของกัปปิตันฮอลันดา ม้าตัวนั้นเกือบได้ขึ้นระวางเป็นม้าพระที่นั่งประจำวันเสาร์ในหมู่สีดำในราชทินนาม นิลพาหุ อยู่แล้ว แต่เพราะความดื้อรั้นและผยองตามชื่อของมันนี่แหละที่ทำให้พวกเราไม่กล้าส่งมันขึ้นระวางน่ะขอรับ "

 

      " เลยต้องให้ตัวอื่นขึ้นระวางแทน? "

 

      " ใช่แล้วล่ะขอรับ "

 

      " อืม ช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ...เฮ้ย! สิงห์! จับไอ้ไกรไว้ ไอ้บ้านี่! เอาเชือกมัดไว้ให้แน่นเลย! "  ท่านผู้เฒ่ารีบตะโกนสั่งการมือสังหารหนุ่มในอาณัติของตนให้พุ่งตะครุบไกรที่พยายามจะวิ่งหนีไปในทิศที่เข้ามาอย่างจนตรอกและไร้ศักดิ์ศรีสุดๆ และก็เป็นธรรมดาที่ไกรที่ยังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดาไม่มีทางสู้แรงของคนที่เป็นเดรัจฉานเกือบค่อนร่างอย่างสิงห์ได้อย่างแน่นอน แถมสิงห์ยังเคารพคำสั่งของท่านผู้เฒ่าทุกตัวอักษรด้วยการเอาเชือกจากไหนก็ไม่รู้มามัดจนไกรกระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลยแม้แต่ขยับนิ้ว ทำให้ไกรได้แต่ร้องโอดครวญขอร้องท่านผู้เฒ่าพร้อมกับตะโกนขุดโคตรเหง้าบรรพบุรุษของไอ้คนที่จับเขามัดไว้อย่างน่าสงสารที่สุด

 

      " ท่านไกร! "  เมื่ออเทตยาเห็นไกรของเธอถูกทำร้าย เธอจึงตวาดลั่นพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างเต็มที่ แต่ท่านผู้เฒ่ากลับเขกหัวเหม่งของหญิงสาวดังโป๊กจนทำให้จิตสังหารที่เธอสร้างขึ้นมลายหายไปเสียสิ้น ได้แต่ลงไปนั่งน้ำตาคลอกุ้มหัวป้อย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าแยกเขี้ยววับ

 

      " กะแล้วว่าเจ้าอยู่ด้วยต้องเป็นปัญหาแน่ เพราะฉะนั้นเจ้าน่ะตามข้ามาเสียดีๆเลย อยู่ที่นี่ก็รังแต่จะเกะกะการฝึกฝนของไกรเสียเปล่าๆ "  ท่านผู้เฒ่าแยกเขี้ยวพูดเบาๆ ซึ่งอเทตยาหันขวับมาพร้อมกับทำท่าจะเถียง แต่ท่านผู้เฒ่าพูดขัดขึ้นอีกครั้งว่า

 

      " ...มันไม่ใช่เด็กในปกครองของเจ้าที่เจ้าจะพะเน้าพะนอโอ๋ไปตลอดหรอกนะ อเทตยา ถ้าหากเจ้าต้องการเห็นมันเติบใหญ่เข้มแข็งเจ้าก็ต้องหัดทำใจยักษ์กับมันบ้าง...และเชื่อข้าเถอะ ของแค่นี้ไม่ทำให้มันตายหรอก "  

 

        คำพูดของท่านผู้เฒ่าแม้จะขัดหูมือฉมังธนูสาวผู้เทิดทูนไกรเหนือกว่าสิ่งอื่นใดไปบ้าง แต่อเทตยาก็เป็นคนฉลาด อย่่างน้อยก็ฉลาดพอจะเข้าใจเหตุผลของท่านผู้เฒ่าและคล้อยตามสิ่งที่ท่านพูด...เธอเองก็ต้องการจะให้ไกรได้ฝ่ากำแพงที่ขวางตัวเองอยู่เช่นกัน หญิงสาวจึงทำได้แต่หันกลับมาหาไกรที่เวลานี้ยังคงถูกมัดเป็นมัมมี่เชือกและโดนสิงห์นั่งคร่อมทับอยู่พร้อมกับก้มลงและพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " ท่านไกร "

 

      " อ...อเทตยา "

 

      " ข้าเชื่อว่าถ้าเป็นท่านต้องทำได้แน่ๆ ท่านไกร พยายามเข้านะเจ้าคะ! "

 

      " ม่ายยยย! "

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

     ...เมื่อรู้แน่แก่ใจแล้วว่าหนีไม่รอดแน่ๆ ในที่สุดไกรก็ยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ทำให้เขาและสิงห์ซึ่งเวลานี้อยู่ในฐานะผู้ติดตามที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวเลือกที่จะเดินตามออกญาศรีสุริยพ่าห์ไปอย่างว่าง่าย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคำสั่งจากสายบังคับบัญชาโดยตรงของท่านบุนนาค หรือไม่ก็เพราะไกรมีชื่อเสียงพอตัวในฐานะเจ้าพระยาหนุ่มและนักดาบอันดับต้นๆของอาณาจักรก็แล้วแต่ ทำให้ออกญาผู้เป็นจางวางแห่งกรมม้าต้นก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีระดับลูกค้าวีไอพี(ตามความคิดของไกร)จริงๆ...

 

     ...หลังจากท่านผู้เฒ่าและท่านบุนนาครวมถึงอเทตยากลับไป ท่านเจ้ากรมพระอัศวราชก็พาพวกเขาไปรู้จักกับพระยาศรีวรข่านซึ่งเป็นแขกเปอร์เซียพร้อมกับแนะนำว่าออกญามีชื่อผู้นี้แหละที่เป็นผู้ที่ทำการคัดเลือกจัดหาม้าทั้งหลายทั้งม้าเทศและพันธุ์พื้นเมืองมาเข้าสังกัดกรม และยังคุยโวว่าในอโยธยาไม่มีผู้ใดที่ตาแหลมเรื่องม้ามากกว่าเขาผู้นี้อีกแล้ว...

 

        หลังจากนั้นพระยาศรีวรข่านแขกผู้นี้ก็พาเขาและสิงห์ไปดูม้าสายพันธุ์ต่างๆที่พวกเขามีอยู่ในโรงปศุสัตว์แห่งนี้ ทั้งม้าเทศที่สายพันธ์ุดีที่สุดอย่างม้าอาหรับ ม้าเฟอร์กาน่า(ม้าสายพันธุ์เติร์กเมนิสถาน-สายพันธุ์ม้าเหงื่อโลหิต) ม้าสเปน ไล่มาจนถึงม้าอินเดีย ม้ามองโกล ม้าญี่ปุ่น...จนกระทั่งถึงม้าสายพันธุ์ที่ธรรมดาที่สุดอย่างม้าพันธ์ุพื้นเมืองของอโยธยาเอง จนเวลาล่วงเลยไปถึงเกือบเที่ยง...แต่ที่ทำมาทั้งหมดทั้งมวลก็ติดขัดอยู่เพียงปัญหาเดียวเท่านั้น...นั่นคือ...

 

     ...ตัวไอ้ไกรเอง...

 

        หลังจากผ่านการดูและทดสอบม้าไปหลายชั่วโมง เวลานี้ใบหน้าของไกรก็แทบไม่มีสีเลือดเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยพลางหอบตัวโยนราวกับถูกดูดพลังไปเสียหมดสิ้นแถมยังแข้งขาสั่นราวกับพึ่งออกมาจากบ้านผีสิงสดๆร้อนๆ ผิดกับสิงห์ที่ทำหน้าราวกับมาเที่ยวสวนสนุกที่น่าตื่นตาตื่นใจทีสุด เพราะเขาดูเหมือนจะชื่นชอบม้าสายพันธุ์ดีทุกตัวที่อยู่ในที่แห่งนี้และคุยกับทั้งออกญาศรีสุริยพ่าห์และแขกเปอร์เซียอย่างพระยาศรีวรข่านในเรื่องเกี่ยวกับม้าได้อย่างถูกคอกันเป็นที่สุดราวกับรู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อนก็ไม่ปานเลยทีเดียว

 

      " สุดยอดไปเลยนะขอรับท่านสิงห์! แม้แต่ไอ้นิลผยองที่พึ่งพยศสะบัดคนตกจากหลังและถีบครูฝึกม้าไปหยกๆแท้ๆ ท่านยังสามารถปราบพยศได้อย่างอยู่หมัดจนสามารถสวมบังเหียนชักเชิดได้ตามใจชอบ ท่านนี่เก่งเสียยิ่งกว่าครูม้าทุกผู้ทุกนามที่ข้ารู้จักมาตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอกเลย "

 

      " โหย! ไอ้นิลผยองที่ท่านฝึกก็สุดยอดไม่แพ้กันเลยนะขอรับ สมเป็นสายเลือดแท้จริงๆ อันที่จริงมันฉลาดมากทีเดียวนะ เพียงแต่มันบอกว่ามันไม่ชอบให้คนตวาดใส่มันเท่านั้น คราวหน้าคราวหลังถ้าหากจะจับมันก็ลองพูดจาหวานๆกับมันหน่อยสิ รับรองว่ามันยอมให้จับแต่โดยดีแน่ เพราะมันเองบอกข้าเช่นนั้นน่ะ "  สิงห์ยกผ้าขึ้นซับเหงื่อที่ออกมาหลังจากออกกำลังไปกับม้าพยศหลายๆตัวพร้อมกับพูดยิงฟัน ในขณะที่ไกรที่นั่งหอบอยู่ข้างๆถึงกับต้องหันขวับมามองอย่างตกใจทันที

 

      ' เฮ้ย! ก็เคยได้ยินมันพูดอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นผู้ใช้สัตว์สมิงซึ่งพูดคุยกับสัตว์รู้เรื่อง แต่เล่นบอกกันโต้งๆอย่างไม่ปิดบังนี่มัน--- '

 

      " พูดภาษาม้าได้? สุดยอดไปเลยขอรับท่านสิงห์ ไม่สิ! นายท่าน! เฮ้ย! เด็กๆโว้ย ไปเอาเหล้ามา ตูจะไหว้ฟ้าดินขอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับนายท่านสิงห์ผู้นี้ ไม่สิ! พี่สิงห์!! "

 

      " โอ้ ยินดีอย่างยิ่งน้องศรีสุริยพ่าห์ของพี่ "

 

      " ไอ้สิงห์! "  ในที่สุดไกรก็ต้องอ้าปากดุทั้งๆที่ยังหอบอยู่เช่นนั้น เพราะสิงห์เริ่มมันปากลามปามผู้ที่น่าจะแก่คราวปู่ของพวกเขาแล้ว แต่ก็ว่าอะไรได้ไม่ถนัดปากนัก เพราะท่านจางวางเฒ่าดันเป็นคนเริ่มก่อนแถมยังดูดีอกดีใจจนออกนอกหน้าเสียอีก...คำดุของเขาที่ไม่รู้ทำไมมันชักเริ่มมีกระแสของท่านผู้เฒ่าอยู่หลายส่วนแล้วทำให้สิงห์สะดุ้งโหยงราวกับถูกผู้ปกครองดุ และทำให้ผู้ใช้สัตว์สมิงหนุ่มต้องตั้งท่ากระแอมไอครั้งนึงเพื่อเรียกความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง ก่อนจะพูดเบาๆอย่างเป็นการเป็นงานว่า

  

      " เรื่องนั้นเอาไว้คราวหลังดีกว่านะขอรับ ท่านออกญาศรีสุริยพ่าห์ ...แต่ว่า...ข้าต้องขอชมจากใจจริงเลยนะขอรับ ท่านฝึกม้าทุกตัวได้อย่างหมดจดจริงๆ ...ตามปรกติสามัญแล้วไม่ค่อยมีสัตว์ตัวไหนจะทนกลิ่นอายของข้าได้นานนัก...พูดอย่างไม่ปิดบังขนาดเสือธรรมดาๆที่ไม่ใช่เสือสมิงยังต้องหลีกทางให้ข้าเลย...แต่ม้าพวกนี้ดูเหมือนกับ...อ้อ เข้าใจล่ะ ขี่ม้าล่อแพนสินะครับ "  สิงห์พูดเบาๆอย่างเป็นการเป็นงาน ซึ่งท่านจางวางแห่งกรมอัศวราชก็หันกลับมามองด้วยประกายตาชื่นชมอีกครั้ง

 

      " ท่านช่างตาแหลมและทรงภูมิเสียจริง ท่านสิงห์ ถูกต้องแล้วขอรับ ม้าทุกตัวล้วนแล้วแต่ล้วนผ่านการผูกเสื่อ(แพน) และล่อให้ช้างตกมันวิ่งไล่ตามเพื่อฝึกจิตใจให้ทนต่อแรงกดดันได้ทั้งนั้น "

 

      " สุดยอด! ท่านถึงกับสามารถฝึกให้ทนต่อกลิ่นอายอาถรรพ์ของข้าได้ นี่มันไม่ธรรมดาแล้วนะเนี่ย ม้าพวกนี้สามารถออกรบได้ทุกตัวเลยนะ ท่านฝึกฝนม้าเหล่านี้ได้อย่างสุดยอดจริงๆ เฮ้ย! ไอ้ไกร ไปเอาเหล้ามา ตูจะไหว้เทวดาฟ้าดินสาบานเป็นพี่เป็นน้องกับท่านจางวาง...ไม่สิ ท่านพี่ศรีสุริยพ่าห์! "

 

      " โอ้ น้องสิงห์ของพี่! "

 

      " เอ่อ กระผมว่าพวกท่านหยุดความลิงโลดไว้ก่อนอย่างน้อยก็สักครู่ดีกว่านะขอรับ...คือ ถ้ากระผมเข้าใจไม่ผิด วันนี้เรามาเพื่อเลือกม้าให้กับท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯมิใช่หรือขอรับ? "  ในที่สุดท่านออกญาศรีวรข่านชาวเปอร์เซียที่ทีแรกก็กะว่าจะดูอย่างเงียบๆก็ต้องเอ่ยปากแทรกพูดในเรื่องที่เป็นเรื่องจริงออกมาเบาๆ เพราะไกรเองก็หมดอารมณ์ตัดมุขขัดคอพี่น้องบ้าม้าสองคนนั่นแล้ว ทำให้ทั้งสองคนได้สติพร้อมกับกระแอมไอขึ้นเบาๆอย่างพยายามเรียกบรรยากาศเป็นการเป็นงานให้กลับมาอีกครั้ง

 

      " เอ้า นั่งดีๆ ไม่เล่นแล้วนะโว้ยไกร "

 

      " แฮ่กๆ ตูไม่เล่นแต่แรกแล้วเฟ้ยไอ้บ้า! "

 

      " ถ้าร่างกายไม่อำนวยก็ไม่ต้องฝืนตอบก็ได้นะขอรับ ทานเจ้าพระยา "  ออกญาศรีวรข่านแขกต้องพูดออกมาอย่างเหนื่อยๆอีกครั้ง ...ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าวันนี้เขาใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ชอบกล...ในขณะที่จางวางกรมม้าต้นผู้เฒ่ายืนตัวตรงพร้อมกับลูบคางและเพ่งมองไกรที่ยังคงนั่งหน้าซีดอยู่อย่างพินิจ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า

 

      " เรื่องของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯนั้นข้าลองพินิจสังเกตมาตั้งแต่ลองขึ้นม้าตัวแรกแล้ว...แต่ตั้งแต่ม้าศึกตัวแรกมาถึงม้าแกลบเตี้ยๆตัวสุดท้าย ท่านติดปัญหาอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือตัวท่านเองขอรับ "

 

      " ต...ตัวข้า? "

 

      " ขอรับ ท่านไกร...ปรกติแล้วเท่าที่ผมเคยถูกไหว้วานให้ฝึกฝนเหล่าลูกท่านหลานเธอที่พ่อๆมันมาฝากไว้ให้หัดขี่ม้าให้ พวกมันมีปัญหาใหญ่ๆก็คือร่างกาย...ร่างกายอันอ่อนด้อยของลูกขุนน้ำขุนนางผิวบางที่ไม่อำนวยต่อการขี่ม้า เพราะม้ามันสะบัดทีเดียวไอ้พวกนั้นก็ลอยหวือตกลงมาแล้ว...แต่ไม่ใช่กับท่าน ท่านไกร ร่างกายของท่านนั้นถูกฝึกฝนมาราวกับม้าศึกชั้นหนึ่งที่พร้อมจะตะลุยไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดคาบสมุทร...แต่ว่า ปัญหาก็คือจิตใจของท่าน "

 

      " จริงอย่างที่ท่านออกญาว่า ไกร เมื่อเจ้าอย่บนหลังม้าเจ้าจะเกิดอาการเกร็งอย่างไม่อาจควบคุมได้ เจ้ากลัวที่จะนั่งอยู่บนหลังมัน...และก็อย่างที่เขาบอก ม้ามันเป็นสัตว์ที่ฉลาดและทรนง มันจะยอมให้ผู้ที่มันยอมรับว่าเหนือกว่ามันเท่านั้นขึ้นกุมบังเหียน การที่เจ้าเกร็งและกลัวมันก็รังแต่จะทำให้เจ้าไม่อาจจะขี่ม้าได้เท่านั้น "  สิงห์พูดเสริมขึ้นมาอย่างเป็นวิชาการที่สุดเท่าที่ไกรเคยได้ยินมันออกมาจากปากของอีกฝ่าย และออกญาศรีวรข่านแขกก็พยักหน้ารับช้าๆ

 

      " กระผมมาจากเปอร์เซีย กระผมรู้จักอาการประเภทนี้นะขอรับ...มันเป็นอาการกลัวที่ฝังใจ...เช่นเดียวกับเด็กถูกหมากัดโตมาก็จะกลัวหมาอย่างฝังใจ...อาการเช่นนี้มันแก้ยากเอาการอยู่นะขอรับ "

 

        ผู้เชี่ยวชาญเรื่องม้าทั้งสามคนหันไปมองหน้ากันราวกับปรึกษากันอยู่ในใจ ก่อนที่ในที่สุดทั้งสามจะจะพร้อมใจกันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

      " ต้องใช้เวลา... "

 

      " ขอรับ ต้องใช้เวลา "

 

      " เอาเถอะ เวลายังพอมี ท่านไกรก็ลองเดินดูม้าไปก่อนก็แล้วกันนะขอรับ เผื่อว่าจะมีม้าตัวไหนถูกใจท่าน ประเดี๋ยวกระผมและออกญาศรีวรข่านคงต้องขอตัวไปจัดการกิจธุระสักครู่ และจะตามผู้ที่ดูม้าเป็นไม่แพ้ท่านสิงห์อีกคนหนึ่งมาช่วยดูด้วย เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ท่านว่าดีหรือไม่ขอรับ? "  จางวางเฒ่าแห่งกรมพระอัศวราชพูดเสนอทางขึ้นเบาๆอย่างรู้ใจไกร ซึ่งไกรเองก็รีบพยักหน้ารับทันที เพราะเขาเองก็ต้องการเวลาพักจากการทรมานสุดหฤโหดนี้เช่นกัน ทำให้ท่านจางวางและพระยาแขกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงลาเบาๆ ก่อนจะเดินจากไปโดยปล่อยให้ไกรนั่งอยู่กับสิงห์ตามลำพัง...

 

        เมื่อเห็นว่าปลอดจากสายตาของบุคคลภายนอกแล้ว สิงห์ก็ก้มลงนั่งยองพร้อมกับพูดขึ้นอย่างสงสารจับจิต

 

      " เฮ้อ สภาพเจ้าตอนนี้ทำเอาข้าทำใจยักษ์ขำไมลงเลยจริงๆว่ะ ไกร "

 

      " ท...ทุเรศมากเลยเหรอวะ? "

 

      " น่าสมเพชมากกว่าว่ะ...เฮ้อ ความจริงข้าก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าเจ้าโตเป็นผู้เป็นคนมาได้อย่างไรโดยที่กลัวม้าเข้ากระดูกดำเช่นนี้ แต่ข้าเองก็แนะนำอะไรไม่ได้มาก เอาเป็นว่าเจ้าลองทำตามที่ท่านพี่ศรีสุริยพ่าห์---หมายถึงท่านจางวางแนะนำดู ลองเดินดูไปเรื่อยๆ...ไม่แน่นะเฮ้ย เจ้าอาจจะเจอม้าที่ถูกใจอย่างคาดไม่ถึงก็ได้ "

 

      " ฮ่ะๆ เป็นคำแนะนำที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยว่ะ "  ไกรพูดพลางฝืนกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและกลับคืนสู่บุคลิกภาพของตัวเองอย่างช้าๆ เพราะเขาไม่ชอบให้ผู้ใดเห็นส่วนที่อ่อนแอของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...

 

        ในที่สุดไกรก็ได้แต่เลือกที่จะทำตามคำแนะนำของทุกคนด้วยการเดินทอดน่องดูเหล่าม้าที่กำลังอยู่ในระหว่างการฝึกไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนแรกสิงห์ก็เดินมาเป็นเพื่อน แต่เพียงชั่วครู่เดียวมันก็เดินหลั่นล้าแยกออกไปเพราะไปเจอม้าพยศที่ถูกใจตัวใหม่อีกแล้ว ซึ่งไกรเองก็ขี้เกียจจะขัดอะไร เพราะเขาเองก็ต้องการจะใช้เวลานี้อยู่คนเดียวอย่างเงียบๆเช่นกัน

 

     ...ถ้ามองอย่างปลอดอคติและพยายามลืมว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกสอนสัตว์มีกีบสี่เท้าที่อันตรายที่สุดในโลก(ตามความคิดของไกร) ไกรก็ต้องยอมรับว่าสถานที่ฝึกม้าของกรมพระอัศวราชแห่งนี้ก็เป็นส่วนขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นและงดงามราวกับราชอุทยานขนาดย่อมๆเลยทีเดียว...ความร่มรื่นนี้ช่วยทำให้จิตใจของไกรสงบและผ่อนคลายลงและทำให้เขาเดินทอดน่องไปอย่างไม่มีเบือเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุด เขาก็เดินเพลินอย่างลืมตัวจนกระทั่งมาถึงที่หน้ากระท่อมที่ถูกปลูกขึ้นอย่างโดดเดี่ยวที่แทบจะอยู่ปลายสุดของอาณาเขตกรมม้าต้นแห่งนี้อยู่รอมร่อ...

 

      " กระท่อมอะไรล่ะเนี่ย? "  ไกรมองไปรอบๆอย่างสงสัย เพราะถ้าเป็นที่อื่นคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่สำหรับที่นี่มันค่อนข้างจะแปลกไปอยู่บ้าง เพราะถ้าเป็นคอกม้าก็ก็จะต้องสร้างให้เปิดโล่งให้อากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก แต่ถ้าเป็นกระท่อมเพิงพักของคนงานหรือหมอม้า ไกรก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่พักประเภทไหนที่ไม่มีประตูปิดและจะมีกองหญ้าสดและฟางหญ้าแห้ง รวมไปถึงถังใส่น้ำสะอาดกองไว้ตรงหน้ากระท่อมทำไม...แถมกระท่อมแห่งนี้ก็ยังถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีตและโอ่อ่าเกินกว่าจะเป็นกระท่อมที่พักของคนงานทั่วไปแน่ๆ

 

      " เอ...จะว่าเป็นศาลก็ไม่ใช่ อะไรหว่า? "  ไกรครางออกมาเบาๆพลางถือวิสาสะเดินเข้าไป เพราะอย่างไรเสียกระท่อมแห่งนี้ก็ไม่มีประตูให้เคาะอยู่แล้ว...แต่พอเข้าไปข้างในไกรก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงงวยอีกรอบทันที

 

     ...ภายในกระท่อมอันโอ่อ่าแห่งนี้ถูกจับจองไว้ด้วยสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวเท่านั้น นั่นคือม้าสีขาวหม่นๆตลอดทั้งตัวที่แม้รูปร่างจะไม่ได้ล่ำสันมากมาย แต่ก็ยังมีร่องรอยที่บ่งบอกว่าเคยล่ำสันและแกร่งกร้าวไม่แพ้ผู้ใด ...และยังคงไว้ซึ่งความสง่างามและถูกต้องตามลักษณะม้าที่ดีทุกประการ ...เวลานี้ม้าตัวนี้กำลังยืนหลับและหายใจอย่างแผ่วเบาแช่มช้าและสม่ำเสมออยู่ในคอกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างดิบดีและสวยงาม...มีเพียงขนหางยาวที่แกว่งไกวไปมาเท่านั้นที่บอกให้ไกรรู้ว่ามันคือม้าที่มีชีวิต ไม่ใช่รูปปั้นอันไร้ที่ติแต่อย่างใด...

 

      " ม้าแก่? "  ถึงไกรจะกลัวการขี่ม้าชนิดขี้ขึ้นสมอง แต่เขาก็มีสายตาที่แหลมพอจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างม้าหนุ่มฉกรรจ์และม้าแก่ที่ปลดระวางแล้วได้ สังเกตได้จากขนหงอกที่เริ่มแซมขึ้นระหว่างขนสีขาวมอหม่นของมัน และริ้วรอยที่เกิดขึ้นเต็มกีบเท้าที่ดูปราดแรกก็รู้เลยว่าผ่านการวิ่งตะบึงมาอย่างหนักหน่วงทั้งชีวิต...ทำให้เขาทราบถึงจุดประสงค์ของกระท่อมแห่งนี้แล้ว...

 

     ...ที่นี่คือสถานที่พำนักสุดท้าย สำหรับม้าที่ผ่านโลกมาตลอดชีวิตของมัน...

 

      " ถึงจะบอกว่าเป็นม้าแก่...แต่ว่า...งามจริงๆ "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างลืมตัวพลางขยับเข้ามาในกระท่อมอีกหนึ่งก้าวเพื่อที่จะได้มองความสง่างามของม้าแก่ตัวนี้อย่างชัดๆ แต่แค่เพียงก้าวเดียวที่เขาก้าวเข้าไปเท่านั้น กลิ่นอายของเขาก็ทำให้ม้าแก่สีขาวหม่นตัวนั้นลืมตาที่เริ่มฝ้าฟางขึ้นมาและหันมามองไกรอย่างรวดเร็ว

 

        วูบ!

 

        แต่เพียงแค่มันลืมตาขึ้นมาเท่านั้น กระแสจิตคุกคามอันแข็งกร้าวที่แผ่ออกมาจากสำนึกของม้าตนนั้นอย่างกะทันหีนก็ทำให้ไกรถึงกับชะงักพร้อมกับขยับถอยกลับมาอย่างลืมตัวด้วยดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตกใจทันที

 

      " บ้าน่า! สัตว์เดรัจฉานมีจิตคุกคามเนี่ยนะ?! "  ไกรครางออกมาอย่างตื่นตะลึง ถึงจะผิดวิสัยแต่จิตสัมผัสของเขาไม่ได้ผิดพลาดแน่นอน

 

     ...ม้าตัวนี้มีตบะญาณถึงขั้นสร้างจิตคุกคามที่ส่งผลกระทบถึงเขาได้จริงๆ!...

 

        ระหว่างที่ไกรยังคงไม่สร่างตะลึงอยู่นั้น เขาก็พึ่งจะสังเกตเห็นป้ายไม้ที่ปักไว้ด้านข้างคอกของม้าประหลาดตัวนี้...ป้ายไม้ที่ถูกสลักไว้ด้วยนามของม้าแก่ปลดระวางผู้เป็นเจ้าของกระท่อมแห่งนี้...นาม ที่เมื่อไกรเพ่งสะกดจนอ่านได้ ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกตะลึงทันที...

 

     ...นามชั่วกัปชั่วกัลป์ของม้าอหังการ์ที่ถ้าหากเป็นคนที่มาจากยุคสมัยของไกรต้องรู้จักผ่านหูมาเป็นอย่างดี!...

 

 

     ...สีหมอก!...

 

 

 

..................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา