ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.41K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
112)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ==============================================
...ไมกี่นาทีก่อนหน้านี้ ...ณ ชายป่าด้านที่ติดกับทางด่าน...
" ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆเลย ที่เชื่อใจแผนการบ้าบอของเจ้า อะแซหวุ่นกี้ " มังฆ้องนรธาก้มหน้าลงพร้อมกับเอามือที่เริ่มเหี่ยวย่นตบหน้าผากตัวเองเสียงดังลั่น ในขณะที่เมื่อได้ยิน อะแซหวุ่นกี้ที่ช่วยกันกับทหารพม่าอีกหลายๆคน ยัดดินดำลงไปในปากกระบอกปืนใหญ่ที่เรียงรายอยู่โดยมีเศษกิ่งไม้พรางตาเอาไว้ถึงกับหันมาเลิกคิ้วใส่ทันที
" อ่าวๆ เฮ้ย! มีอะไรจะพูดก็พูดกับข้าตรงๆเลย! อย่าตีวัวกระทบคราดสิ มังฆ้องนรธา "
" ข้าพูดถูกแล้วล่ะ ข้าไม่ได้โทษเจ้าเสียหน่อย แผนการของเจ้าน่ะมันดี...มันดีริยำตำบอนเลยล่ะ และบ้าริยำตำบอนเลยอีกด้วย...แทนที่จะไปช่วยอารักขาเจ้าชายกลับคืนมาดีๆ เจ้ากลับแกล้งดัดหลังพระองค์ด้วยการปล่อยให้พระองค์เสด็จหนีกลับมาเองโดยที่เจ้าไม่ให้การช่วยเหลือใดๆเลยเนี่ยนะ?! " แม่ทัพมังฆ้องนรธาหันกลับไปพูดกับผู้เป็นสหายอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ในขณะที่อะแซหวุ่นกี้ทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดอกขัดใจทันที
" นี่เจ้ารู้ไหม ว่าถ้าขืนเจ้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าพระพักตร์พ่ออยู่หัวอลองพญา หรือต่อหน้าขุนนางคนอื่นๆ ป่านนี้หัวข้าหลุดจากบ่าแล้ว ฐานที่ปล่อยให้ราชบุตรของพ่ออยู่หัวตกอยู่ในภยันอันตราย...ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วอย่างไรว่าข้าไม่ได้ทอดทิ้งเจ้าชายมังเวงเสียหน่อย! " ชายหนุ่มต้นคิดแผนการปฏิเสธดังลั่น แต่คำปฏิเสธที่ดูเป็นการเป็นงานนั้นทำให้ผู้เป็นสหายเหลือบมามองด้วยสายตาปลาตายพร้อมกับครางออกมาช้าๆ
" ...เราได้ยินเสียงปืนยาวคาบศิลาดังเป็นพลุตะไลงานวัดไล่มาตั้งแต่เมื่อ ๕ นาทีที่แล้ว ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากเย็นเลยว่าเป็นเสียงของทัพอโยธยาที่ไล่ยิงกองทัพม้าของเจ้าชายมังเวงมาตั้งแต่ที่เขตแดนเมืองเพชรบุรี แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังสั่งให้ทหารเฉยไว้อย่างนี้...นี่น่ะหรือไ้อคำว่าไม่ได้ทอดทิ้งเจ้าชายมังเวงน่ะ...ข้าไม่อยากจะพูดอะไรให้เจ้าคิดมากหรอกนะ แต่ถามผู้คนพันคนก็ต้องบอกว่าเจ้าทิ้งเจ้าชายทั้งพันคนละวะ "
" นี่เจ้าจะให้ข้าหัวขาดให้ได้รึอย่างไรวะเนี่ย...เฮ้อ...เอาเถอะ " อะแซหวุ่นกี้จัดท่าทางให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆราวกับกำลังจะอธิบายว่า " ...ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะ...เหตุผลที่ข้าจะต้องทำเชนนี้ "
" หืม? เหตุผล? " มังฆ้องนรธาทวนคำอย่างผิดสังเกต เพราะไม่ค่อยได้เห็นท่าทีจริงจังไร้แววล้อเล่นของผู้เป็นสหายเก่าแก่ตรงหน้ามากนัก เขาถึงกับต้องหันมาพร้อมกับตั้งใจฟังแผนการของชายผู้เก่งกาจแต่ไม่ค่อยมีไฟทำงานทำการตรงหน้าทันที
" ที่ข้า...จำเป็นต้องกระทำการเช่นนี้ก็...ก็เพราะ... "
" ก็...เพราะ? "
" ก็เพราะมันน่าสนุกดีอย่างไรล่ะ "
" เฮ้ย! พวกมึง! เตรียมม้าให้ข้าพร้อมกับทหารม้า ๑ กอง...เราจะไปกู้เจ้าชายกลับมา! " มังฆ้องนรธาไม่พูดอะไรกับผู้เป็นสหายซักคำ เพราะเขารีบหันกลับไปสั่งการทหารในสังกัดเร็วปรื๋อจนลิ้นแทบพันกัน จนอะแซหวุ่นกี้ต้องรีบร้องออกมาทันที
" ประเดี๋ยวๆๆๆ ข้าแค่หยอกเล่นๆ! โธ่เอ้ย! ทำเป็นเรื่องจริงจังเลยนะเจ้าเนี่ย " อะแซหวุ่นกี้ครางออกมาเบาๆ ในขณะที่แม่ทัพมังฆ้องนรธาเหลือบสายตากลับมามองอีกครั้ง
" ดูแล้วไม่เหมือนคำล้อเล่นสักนิด "
" เฮ้อ...เจ้าก็น่าจะรู้เช่นเห็นชาติพระราชอัธยาศัยของพ่ออยู่หัวของพวกเราดีแล้วนี่...พระองค์เป็นคนพระทัยใหญ่ เสียเท่าไหร่ไม่สนก็จริง แต่เมื่อเสียไปแล้วพระองค์ต้องได้...หากพระองค์ทรงทราบว่าเจ้าชายมังเวงเสียทหารใต้บัญชาไปโดยไม่ได้อะไรกลับไปเลย พระองค์ไม่เอาเจ้าชายมังเวงไว้แน่ "
" ...ถ้าอย่างนั้น...เจ้าก็เลยพยายามจะสร้างผลงาน ถวายให้กับเจ้าชายสินะ " มังฆ้องนรธาเหลือบมามองพร้อมกับพูดออกมาอย่างเข้าใจอะไรๆได้ทันที เพราะเขาฉลาดพอจะอ่านแผนการทุกๆอย่างของผู้เป็นสหายเก่าแก่ผู้นี้ได้แล้ว
" หึๆ ถ้าหากเปลี่ยนเป็น เจ้าชายมังเวงเสียทหารม้าสักครึ่งกอง เพื่อแลกกับการจัดการกับขุนทหารอโยธยาชั้นบรรชาการเกือบทั้งหมด...ถ้าหากเป็นเช่นที่ข้าว่า...ชื่อเสียงของเจ้าชายมังเวงจะลือกระฉ่อนยิ่งกว่าท่านมังระราชบุตรนับหลายร้อยเท่าพันทวีเลยเชียวล่ะ " อะแซหวุ่นกี้สรุปเบาๆ พร้อมกับหันกลับไปจัดการเตรียมความพร้อมให้กับหันกลับไปจัดการเตรียมความพร้อมแถวปืนใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่ว่าพรางตาดีแล้วรึยัง...ในขณะที่ถึงจะรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอะแซหวุ่นกี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอดหันกลับไปจ้องมองผู้เป็นสหายเก่าแก่ตั้งแต่หัวดำๆยันหัวเริ่มขาวแบบนี้ไม่ได้
" อะแซหวุ่นกี้...เจ้าทำเชนนี้เพื่ออะไรกัน? "
" หืม? " ผู้ถูกถามเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มยิงฟันตอบกลับคำถามแปลกๆของอีกฝ่ายเล็กน้อย " ...ไม่เห็นจะต้องถามเลยนี่ ข้าเป็นข้าแห่งพระเจ้าอลองพญา เป็นขุนทหารผู้ถวายน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว...เรื่องใดที่ข้าทำได้ ข้าก็ทำเท่าที่ทำได้นั่นแหละ "
" หน้ากากของเจ้าอาจจะหลอกทุกๆคนได้ แต่หลอกคนอย่างข้าไม่ได้หรอกนะ " แม่ทัพใหญ่พูดเรียบๆด้วยเสียงเบาจนได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นอะแซหวุ่นกี้ก็ยังแยกเขี้ยวยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ และยังแกล้งไขสือตอบกลับมาช้าๆ
" ใจจริงข้าก็อยากจะสนทนากับเจ้าต่อนะ แต่เวลานี้คงไม่เหมาะแล้วล่ะ "
" หืม? " มังฆ้องนรธาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่ออะแซหวุ่นกี้ชี้ให้ดูกองทหารม้าภายใต้การนำของเจ้าชายมังเวงที่เหลืออยู่เพียงประมาณครึ่งนึง และจัดกระบวนแถวเป็นรูปลูกศรเพื่อหนีตายจากกองทัพช้างแบกปืนนับร้อยของเหล่าทหารจากเมืองเพชรบุรีที่ตามมาอย่างติดๆ ซึ่งถ้าหากกะจากรระยะด้วยสายตาไม่ิดพลาด กระบวนทัพช้างของพระยาเพชรบุรีจะเข้ามาถึงรัศมีปืนใหญ่ที่เขาวางพรางเรียงรายอยู่ในไม่ช้าแล้ว
" บ้าเอ้ย! ทัพม้ากว่า ๕๐๐ เหลือกลับมาไม่ถึงครึ่ง " มังฆ้องนรธาครางออกมาเบาๆแถมยังประเมินจำนวนได้เพียงแค่มองด้วยตาเปล่าอย่างผู้เจนศึกสงคราม ในขณะที่อะแซหวุ่นกี้ไม่แม้แต่จะเหลือบมองกองทหารม้าที่หนีตายจากม่านห่ากระสุนที่ถูกปล่อยออกมาถี่ยิบเลยด้วยซ้ำ...ดวงตาของเขา จับจ้องเพียงชายหนุ่มผมสีทองแดงแก่ๆที่เป็นผู้นำทัพช้างไล่บี้มาเท่านั้น...
" พระยา...เพชรบุรี... "
" เอาล่ะ เตรียมสีหนาถปืนไฟทุกกระบอกให้พร้อม และนิ่งไว้...ทันทีที่ทัพม้าแห่งเจ้าชายมังเวงพ้นวิถีปืน เราจะถล่มทัพช้างของทหารอโยธยาที่ตามมาให้ราบ! " มังฆ้องนรธาหันไปบอกทหารผู้คุมปืนใหญ่พร้อมกับชูมือขึ้นเพื่อเป็นอาณัติสัญญาณ ในขณะที่เมื่อได้ยิน ทหารทุกคนต่างก็เข้าประจำปืนใหญ่ พร้อมกับคบเพลิงเรื่อๆในมือที่พร้อมจะจุดชนวนเพื่อปลดปล่อยความบ้าคลั่งของกระสุนปืนใหญ่ที่รออยางสงบนิ่งในปากกระบอกโดยพร้อมเพรียงกันทันที
" ช้าไว้ ท่านแม่ทัพ...ท่านกำลังทำให้พวกเขาอยู่ในภาวะเขม็งเครียดอยู่นะ " อะแซหวุ่นกี้อดเอ่ยเตือนออกมาเบาๆไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีที่เริ่มจริงจังเกินเหตุของผู้เป็นสหาย แต่เวลาเช่นนี้มังฆ้องนรธาไม่มีเวลามาสนใจคำเตือนไร้สาระของเขา...สายตาอันแหลมคมผิดกับอายุของเขาจ้องมองไปที่ทัพช้างนับร้อยที่กำลังเคลื่อนเข้ามาสู่ถ้ำของพญามัจจุราชที่รอคอยอย่างเงียบเชียบอย่างช้าๆ
" อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียว... " แม่ทัพวัยเกษียณพึมพำกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับยังคงใช้สายตากะระยะของเป้าหมายอยู่ไม่วางตา...จากที่เขาคำนวณ ทัพช้างนั้นจะเข้าสู่ระยะที่เป็นทุ่งสังหารในอีกไม่ถึง ๓๐ วินาทีแล้ว...
...แต่ก่อนที่ทัพช้างของเมืองจะเข้าถึงจุดสังหารที่มังฆ้องนรธาคำนวณไว้ ...อยู่ๆ อะแซหวุ่นกี้ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ก็ตวาดออกมาเสียงดังสนั่น!
" สีหนาถปืนไฟทุกกระบอก! ยิงงง! "
...ต่อให้ผ่านศึกสงครามมานานแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์ที่ตัดสินเป็นตาย ประสาทของเหล่าทหารพม่าทุกคนก็ต้องตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี...และในสถานการณ์ที่ตึงเครียดไม่ต่างจากธนูที่ถูกน้าวสายจนตึงเปรี๊ยะ เสียงตวาดของอะแซหวุ่นกี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมีดคมๆที่ไปตัดสายธนูที่ตึงเปรี๊ยะนั้นเลย
" ว่าอย่างไรนะ! " มังฆ้องนรธาหันขวับมามองผู้เป็นสหายจนคอแทบหักอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เสี้ยววินาทีถัดมาหูของเขาก็ถึงกับดับวูบเพราะเสียงกัมปนาถของปืนใหญ่หลายสิบกระบอกที่เรียงรายอยู่ทันที
บรึ้มมมม!!
เสียงของสีหนาถปืนใหญ่ที่ระเบิดออกมาอย่างแทบจะพร้อมเพรียงกัน ดังขึ้นแทบพร้อมๆกับเสียงตวาดก้องของพระยาเพชรบุรี เรืองที่ตวาดให้หยุดทัพอย่างกะทันหัน...แต่ถึงจะเป็นคำสั่งที่เด็ดขาดที่สุด แต่การตวาดสั่งการอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ ทำให้มีบางคน และช้างหลายๆเชือกที่ไม่สามาถหยุดได้อย่างปัจจุบันทันด่วน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือช้างของเจ้าพระยาศรีธรรมราช ที่พุ่งเลยช้างตัวจ่าฝูงของเรืองไป...เข้าสู่ปากของพญามัจจุราชที่มาในรูปแบบของห่ากระสุนปืนใหญ่ที่ปลิวว่อนมาเต็มท้องฟ้าไปหมด...ในขณะที่อยู่ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง เรืองก็กัดฟันกรอดพร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น
" ลูกแก้ว! ลูกขวัญ! "
ตูมมมม!!
เสียงลูกกระสุนปืนที่พุ่งกระทบพื้น ดังสนั่นราวกับฟ้าถล่มดินทลาย พร้อมๆกับฝุ่นผงคลีที่ฟุ้งโขมงขึ้น บดบังกลบช้างหลายสิบเชือกพร้อมกับขุนทหารผู้ทำหน้าที่เป็นดั่งควาญทันที ...พร้อมกับเลือดสีขุ่นคลั่กที่ย้อมฝุ่นควันนั้นจนแดงฉานไปทั่ว!
" ฉิบหายแล้ว! ออกญาศรีธรรมราช! " เสียงของใครคนหนึ่งทีอยู่ด้านหลังร้องออกมาอย่างตกใจทันที เพราะถ้าหากเจ้าพระยาคนสคัญที่มีศักดินาถึงขั้นนาหมื่นอย่างเจ้าพระยาศรีธรรมราชเกิดเสียชีวิตลง งานนี้มีหวังได้วุ่นวายหญ่โตแน่...แต่ผู้ที่ควรจะตกใจที่สุดอย่างพระยาเพชรบุรีกลับหรี่ตามองพร้อมกับหอบหายใจหนักๆออกมาเป็นครั้งแรกราวกับพึ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วงทันที
" ขอบใจนะ ลูกแก้ว-ลุกขวัญ...ลำบากพวกเจ้า ๒ คนแล้ว "
...ภาพที่ปรากฏหลังจากฝุ่นผงที่คละคลุ้งค่อยๆเบาบางลง คือภาพของกุมารีสองตนอย่างลูกแก้วและลูกขวัญ ที่เวลานี้ไม่ได้อยู่ในร่างของเด็กตัวเล็กๆน่ารักๆอีกต่อไป แต่กลายสภาพเป็นร่างของหญิงสาวที่สาวสะพรั่งและงดงามหยาดเยิ้มอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่าที่ดวงตากลมโตกลับไร้ซึ่งประกายยิ่งกว่าสมัยตอนที่เป็นกุมารีตนเล็กๆ ทั้งส่วนที่เป็นส่วนตาขาวก็ถูกเส้นเลือดฝอยสีดำสนิทจนตาขาวกลายเป็นสีดำทั้งหมด พร้อมกับส่วนของนิ้วที่งองุ้มและเล็บที่แหลมยาวราวกับเล็กของอสูรกาย ลอยอยู่เหนือพื้นเกือบ ๕ วา (สิบเมตร)...โดยที่ส่วนวงแขน กรงเล็กนิ้วมือและกรงเล็บเท้าของพวกเธอทั้งสองคนคือเหล่าขุนนางที่พลาดท่าหรือบังคับช้างไม่อยู่จนล้ำไปด้านหน้าทุกคน โดยที่เจ้าพระยาศรีธรรมราชเฒ่าเวลานี้หัวหูเลอะไปด้วยฝุ่นผงสีแสดและห้อยต่องแต่งอยู่ เพราะส่วนปกหลังของเสื้อเกราะถูกฟันแหลมคมที่เรียงซ้อนกันราวกับฟันฉลามของลูกแก้วคาบไว้ จนมีสภาพไม่ต่างอะไรจากลูกแมวที่ถูกคาบเหนียงคอห้อยไปห้อยมาอยู่ไม่มีผิด
" ค...ใครน่ะ? " ขุนนางหนุ่มคนนึงครางออกมาเบาๆอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่ แต่เรืองกลับยังคงไม่สามารถตอบกลับคำถามนั้นได้ เพราะการฝืนอัญเชิญกุมารีทั้งสองคนออกมาในสภาพนั้นโดยไม่ได้มีการเซ่นหรือเตรียมการล่วงหน้ามันสิ้นเปลืองพลังมากมายมหาศาล...แม้แต่กับคนอย่างเขาเอง
ซึ่งก็เหมือนกับทั้งลูกแก้ว-ลูกขวัญจะรู้ถึงความเสี่ยงและอันตรายของร่างนี้ของเธอดี ทำให้หลังจากที่พวกเธอส่งเหล่าขุนนางที่พวกเธอช่วยไว้ลงพื้น พวกเธอจึงรีบกลับคืนสู่ร่างของกุมารีตนเล็กๆพร้อมกับลอยเข้ามาดูอาการของผู้เป็นดั่งพ่อของพวกเธอทันที
" พ่อ! "
" ข้า...ไม่เป็นไร...พักสักหน่อยก็คงหาย...ที่สำคัญ พวกเจ้าช่วยไว้ได้หมดไหม? " เรืองพูดปนหอบหายใจช้าๆ ในขณะที่กุมารีทั้งสองคนพยักหน้ารับทันที
" เจ้าค่ะ ข้าช่วยคนพวกนี้ได้หมด...ทว่า พวกช้าง "
หลังฝุ่นควันจางลงจนพอเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน ทุกคนก็พบกับซากของเหล่าช้างศึกหลายสิบเชือกที่มีสภาพเละเทะอย่างน่าสังเวชจากพิษของห่ากระสุนปืนใหญ่ ส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งทุ่งสังหารแห่งนี้จนทุกคนถึงกับต้องเบือนหน้าหนีอย่างสยดสยอง...มีเพียงเรืองเท่านั้นที่ไม่ได้มองไปที่ซากศพช้างที่นอนอยู่เกลื่อนกลาดเลยแม้แต่น้อย
...ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หน้าผาสูงที่อยู่ด้านข้าง...สถานที่ ที่เป็นจุดที่ตั้งของปืนใหญ่ที่เรียงรายอยู่...
" ทำไมกัน...ถ้าพวกมันรออีกเพียง ๑๐ วินาที...ป่านนี้...พวกเราคงตายไปแล้วแท้ๆ "
...ย้อนกลับมาที่เชิงหน้าผผาที่เป็นที่ซ่อนของแนวปืนใหญ่ของทัพพม่า...
" ต...เตรียมพร้อมใหม่! บรรจุดินดำและกระสุนใหม่!--- " มังฆ้องนรธารีบร้องสั่งการออกมาเร็วปรื๋อจนลิ้นแทบพันกัน แต่เสียงตวาดของเขากลับถูกลบด้วยเสียงหัวเราะเบาๆของอะแซหวุ่นกี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับที่เขาพูดออกมาเบาๆอย่างไม่สำนึกผิดเลยสักนิดทันที
" เปล่าประโยชน์ ท่านแม่ทัพ...ปืนใหญ่ของพวกเราถูกผูกยึดกับหลักไว้เพื่อลดแรงดีดถอยหลัง(แรงรีคอยล์) เพราะที่นี่เป็นส่วนผาตัดทีไม่มีพื้นที่มากนัก ถ้าหากจะยิงใหม่อีกชุดก็ต้องถอนเสาหลักผูกปืนใหญ่และปักเสียใหม่เพื่อคำนวณวิถีปืนพร้อมกับบรรจุกระสุนและดินดำใหม่ ซึ่งก็คงกินเวลาหลายนาที...ป่านนั้นแม้แต่หนูสักตัวก็คงจะไม่เหลือให้เรายิงแล้วล่ะ "
" เจ้า! ทำระยำอะไรของเจ้ากันวะ! อะแซหวุ่นกี้!! " เมื่อรู้แล้วว่าเปล่าประโยชน์ที่จะบรรจุเพื่อยิงใหม่ มังฆ้องนรธาก็หันกลับมาทำตาลุกวาวและแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นต้นเหตุทำเสียการอย่างเอาเรื่องทันที แต่ถึงอย่างนั้น อะแซหวุ่นกี้ก็ยังหรี่ตาลงพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ
" เรื่องก็คือพวกเราสามารถอารักขาเจ้าชายมังเวงและอัญเชิญกลับคืนสู่ทัพหลวงได้โดยสวัสดิภาพ...นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด...ส่วนเรื่องที่ข้าได้กระทำลงไปนั้น ข้าจะสารภาพความผิดกับพ่ออยู่หัวด้วยตนเองเอง "
" เจ้าทำเสียการใหญ่อย่างที่สุดเช่นนี้แล้วยังคิดว่าเรื่องจะจบแค่ลมปากของเจ้าอย่างนั้นหรือ?! ข้าอยากจะฆ่าเจ้านัก!! " แม่ทัพวัยกลางคนกระชากคอเสื้อเกราะของผู้เป็นสหายอย่างแรงพร้อมกับเงื้อหมัดหวังชกเข้าให้สมแรงแค้น แต่เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาของอะแซหวุ่นกี้ก็ลุกวาวขึ้นบ้าง พร้อมกับจิตคุกคามที่พุ่งกระฉูดจนทหารทุกคนที่ล้อมอยู่ถึงกับแตกฮืออย่างขวัญเสียทันที
" อย่าทำอะไรโง่ๆดีกว่า ท่านแม่ทัพ... "
" ก...กรอด! " ถึงมังฆ้องนรธาจะเจนศึกมากพอจะไม่ขวัญกระเจิงด้วยจิตคุกคามอันแข็งกร้าวของอีกฝ่าย แต่การรู้เช่นเห็นชาติีมือที่แท้จริงของอะแซหวุ่นกี้มาก่อนก็ทำให้หมัดของเขาชะงักค้างไปเหมือนกัน...อย่างน้อยๆเขาก็ยังไม่อยากจะเสียหน้า ในฐานะหนึ่งในแม่ทัพใหญ่แห่งทัพพระเจ้าอลองพญา ต่อหน้าทหารคนอื่นๆในเวลานี้แน่ๆ...เขาจึงทำได้แค่กัดฟันตวาดออกมาดังลั่นว่า
" เจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร?! เจ้าช่วยพวกมันไว้เพื่ออะไร!! "
" อย่าเข้าใจผิด มังฆ้องนรธา...ข้าไม่ได้ช่วยพวกมัน "
" ??? "
ถึงบัดนี้ ดวงตาที่วาวโรจน์อยู่แล้วของอะแซหวุ่นกี้กลับยิ่งวาวโรจน์ขึ้นไปอีก พร้อมกับรอยยิ้มที่แสยะกว้างสยายราวกับเด็กตัวเล็กๆที่พึ่งจะได้รับของเล่นที่ถูกอกถูกใจไม่มีผิดเพี้ยน
" ...แต่ถ้ามันจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้...มันจะไปสนุกอะไรล่ะ! "
" จ...เจ้า! "
อะแซหวุ่นกี้ผละออกมาจากมังฆ้องนรธาพร้อมกับเดินอย่างช้าๆไปที่ขอบหน้าผา...ก่อนที่เขาจะใช้สายตาที่วาวโรจน์นั้นหรี่เหลือบมองมายังเบื้องล่าง...ดวงตาที่วาวโรจน์นั้นสาดลงมาสบกับดวงตาที่มองขึ้นมาอยู่ก่อนแล้วของเรืองพอดี
" หึๆๆ ...สนุกจริงๆ ไม่ได้สนุกขนาดนี้มานานเพียงใดแล้วนะ ...ถ้าหากสั่งหยุดช้าไปอีกเพียง ๑๐ วินาที ป่านนี้ท่านก็คงแหลกไปแล้ว...ท่านมีประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณที่เฉียบคมสมกับที่ข้าหวังไว้จริงๆ ...เพราะฉะนั้นถือเสียว่าคราวนี้เราท่านเสมอกัน ไม่มีผู้ใดแพ้หรือชนะก็แล้วกันนะ ท่านออกญาเพชรบุรี " อะแซหวุ่นกี้พูดเบาๆพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง...
" ...เพราะครั้งหน้า ข้าจะโค่นท่านโดยที่ท่านยินยอมพร้อมใจให้ได้...เรียมล้างคอรอไว้ได้เลย! "
........................................
...ณ พระบรมมหาราชวัง...เขตพระราชฐานชั้นใน...อโยธยา...
ท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต หรือในเวลานี้คือเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ผู้เป็นเจ้ากรมมหาดเล็กฝ่ายพลเรือน ที่เวลานี้อยู่ในชุดขุนนางฝ่ายพลเรือนระดับสูง เดินดุ่มๆผ่านตำหนักหลายๆตำหนักรายทางโดยไม่มีจ่าโขลนหรือนางกำนัลผู้ใดกล้าห้ามหรือขัดขวาง ทั้งๆที่สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆหวงห้ามสำหรับผู้ชายทุกคนยกเว้นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวแท้ๆ
' เฮ้อ...คงเป็นเพราะเหตุการณ์ที่พระที่นั่งท้ายสระ ทำให้เราออกหน้าเยอะเกินไป จนกระทั่งยัยพวกนางกำนัลกับจ่าโขลนพวกนี้เกรงใจเราจนไม่ถามไถ่อะไร...เฮ้อ รู้อย่างนี้ไม่น่าหยิบพระธำมรงค์พระราชทานมาจากไอ้ไกรให้เสียเวลาเลย ' ท่านผู้เฒ่าคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับลูบพระธำมรงค์ที่มีอำนาจในการเข้านอกออกในเขตพระราชฐานไปมาอย่างปราศจากความหมาย...แต่ถึงเหล่านางกำนัลทุกคนจะมองเขาอยางเกรงอกเกรงใจ แต่ก็มีหลายๆคนที่เหลือบมองเขาก่อนจะหันไปจับกลุ่มซุบซิบกันพร้อมกับหัวเราะคิกคักจนท่านผู้เฒ่าต้องก้มหน้างุดทันที
' ไม่ต้องเดาเรื่องที่ยัยพวกนั้นคุยกันเลย...ต้องเป็นเรื่องเมื่อครั้งที่ไอ้ไกรบังคับให้เราปลอมเป็นองค์หญิงสิริจันทรแน่ๆ...ฮึ่ม! ไอ้ไกรนะไอ้ไกร...ไว้หาจังหวะเหมาะคงได้คุยกันยาวแน่ๆ ' คราวนี้ท่านผู้เฒ่าถึงกับบ่นในใจอย่างทั้งหงุดหงิดทั้งกระดากอาย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกพลางไล่ความคิดไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ออกไปจากหัว เพราะเขามาถึงจุดหมายแล้ว...
...พระราชอุทยานสวนองุ่น...
...ถึงจะบอกว่าถึงแล้ว แต่ท่านผู้เฒ่าก็ยังคงเดินต่อด้วยความเร็วฝีเท้าที่คงที่ ผ่านแมกไม้ในราชอุทยานที่เริ่มมีสีซีดลงในหน้าหนาวแบบนี้ ผ่านสายธารและน้ำตกจำลองเล็กๆไปหลายต่อหลายแห่ง บางครั้งเลี้ยวซ้ายบางครั้งเลี้ยวขวาจนเขารู้สึกว่าเริ่มจะหลงแหล่ไม่หลงแหล่...ในที่สุด เขาก็บรรลุถึงจุดหมายที่แท้จริงของเขา...
...สวนขวัญดอกรัก...สวนลับ (ที่เวลานี้ไม่ลับแล้ว) ของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...
" ท่านมาสาย...ท่านออกญาฯ " เมื่อเขามาถึง เสียงหวานอันทรงไว้ด้วยสิทธิอำนาจของสตรีผู้สูงศักดิ์ไว้ทุกประการอย่างพระสุรเสียงของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี ที่ประทับนั่งรออยู่ ณ เก๋งสถาปัตยากรรมแบบจีนประสมไทยก็ตรัสขึ้นโดยที่พระองค์ไม่ได้หันกลับมามอง...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเหลือบไปมองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
" องค์หญิ---สมเด็จพระพี่นาง "
" แต่เอาเถอะ...อย่างไรท่านก็สายเป็นประจำอยู่แล้ว ข้าเองก็หน่ายที่จะโกรธท่านแล้วด้วย " พระพี่นางปัสสาสะออกมาเบาๆพร้อมกับกางพัดจีนประจำหัตถ์ขึ้นมาพัดเล็กน้อย ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้คิดจะโต้ตอบอะไร...เขาเดินมาคุกเข่าที่เบื้องหลังสตรีผู้สูงศักดิ์ที่เคยมีอดีตหลายสิ่งหลายอย่างกับเขาพร้อมกับกราบทูลช้าๆอีกครั้ง
" พระองค์มีสารลับ เพื่อให้ข้าพุทธเจ้ามาเข้าเฝ้า "
" ใช่...นั่นเป็นสารจากเราเอง "
" ถ้าเช่นนั้นพระองค์มีกิจอันใดที่สำคัญและไม่อาจจะตรัสต่อหน้าพระพักตร์พ่ออยู่หัวทั้งสองได้ จึงต้องนัดหมายข้าพุทธเจ้าให้มาพบ ณ ที่ลึกลับเช่นนี้หรือพุทธเจ้าข้า " ท่านผู้เฒ่าพูดโดยรวบรัดตัดใจความเลยอย่างผู้ที่พอจะเดาอะไรๆได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้เจ้าฟ้าพินทวดีถึงกับหลุดสรวลคิกออกมาเล็กน้อยทันที
" คิกๆ ท่านช่างรู้ใจเรานัก...แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่อง...ข้าอยากจะขอถามอะไรท่านเสียหน่อย ท่านออกญา "
" ? "
" หลังจากที่เราสองไม่ได้พบกันนานหลายขวบปี ข้าอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ว่าเวลานี้มือทั้งสองข้างของท่านจะเรียบร้อยขึ้นกว่าเมื่อครั้งที่ข้ายังเยาว์วัยหรือไม่? "
เมื่อได้ยินคำถาม ท่านผู้เฒ่าก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและรู้สึกว่าน้ำลายของเขาเหนียวหนืดขึ้นอย่างประหลาด แต่เขาก็ยังแข็งใจทูลตอบกลับไปเบาๆว่า
" มือของข้าพุทธเจ้าเรียบร้อยขึ้นกว่าแต่ก่อนชนิดไม่อาจเทียบกันได้เลยพุทธเจ้าข้า "
" หืม? ดีเลย... " เจ้าฟ้าพินทวดีผินพักตร์กลับมามองพร้อมกับแย้มพระสรวลเล็กน้อย ก่อนจะตรัสต่อพลางยื่นพระสาง(หวี) ส่งมาให้ว่า " ...ถ้าอย่านั้นช่วยสางพระเกศาให้กับเราทีสิ "
เอื้อก!
คราวนี้น้ำลายที่เหนียวหนืดอยู่แล้วถึงกับติดคอท่านผู้เฒ่าไปเลย จนเขาต้องรีบส่ายหน้าหวือๆทันที
" ข้าพุทธเจ้าคงต้องขอปฏิเสธ "
" หืม...เพราะเหตุใดเล่า? "
" เพราะมือของข้าพุทธเจ้าเรียบร้อยขึ้นก็จริง...แต่มันก็ไม่ได้โง่เขลาลงแต่อย่างใด " ท่านผู้เฒ่ายอมรับไปตามความจริง เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะโกหกอะไร...ในขณะที่เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เชิงเป็นคำแก้ตัวไดๆ สมเด็จพระพี่นางก็สรวลออกมาอีกครั้งทันที
" ข้อนี้แหละที่ท่านกับเด็กไกรนั่นไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย คำพูดที่ไม่ได้จาบจ้วงแต่ก็ไม่ได้ยินยอมพ่ายแพ้ ทั้งยังแกล้งโง่ได้ไม่เนียนเสียเลยนะ...เอาเถอะ สัตย์จริงข้านั้นเพียงแค่อยากจะระลึกถึงความหลังก่อนที่จะต้องสนทนาเรื่องที่หนักหัวเท่านั้น เรื่องแค่นี้น่าจะจามใจกันได้นะ "
' เรื่องหนักหัว? ' ท่านผู้เฒ่าคิดในใจเล็กน้อยอย่างสงสัย และด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาจงยินยอมรับพระสางและสางเกศาของสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าช้าๆ
" พระองค์ก็ยังคงเจ้าเล่ห์แสนกลไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าหญิงพินทวดี...หลอกให้คนแก่คนนี้เสี่ยงหัวขาดได้อีกแล้ว "
พระพี่นางพินทวดีสรวลออกมาเล็กน้อยอีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะหลับเนตรลงระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ากำลังสางเกศให้ และปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ...จนกระทั่งในที่สุด...นานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดพระองค์ก็ลืมเนตรที่หลับพริ้มขึ้นอยางช้าๆ พร้อมกับตรัสเบาๆว่า
" ท่านยังจำสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่ ท่านออกญา...สถานที่ที่เจ้าหญิงสิริจันทร ทรงลืมเนตรและเปลี่ยนเป็น บุตรีแห่งสุรีย์แสง เป็นครั้งแรก "
คำตรัสอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของสมเด็จเจ้าฟ้าทำให้ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับมือที่ชะงักไป ก่อนที่เขาจะทูลตอบกลับไปอย่างราบเรียบว่า
" และข้าพุทธเจ้าหวังให้การลืมเนตรเป็น บุตรีแห่งสุรีย์แสง จะมีครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายด้วย "
" เมื่อครานั้น หากปราศจากท่าน เด็กไกรนั่นก็คงจะสิ้นชีพไปแล้วจากการเผชิญหน้ากับบุตรีแห่งสุรีย์แสง...ทว่าท่านรับมือกับบุตรีแห่งสุรีย์แสงได้อย่างพิศดารและได้ผลที่สุด...มันราวกับว่าท่านเคยรับมือกับ บุตรีแห่งสุรีย์แสง มาแล้วอย่างนั้น "
" อ...เอ่อ "
" ก็แปลว่าใช่... " ไม่มีพิรุธใดหลุดรอดไปจากสายพระเนตรอันแหลมคมของสมเด็เจ้าฟ้าพินทวดีได้เลย โดยเฉพาะกับคนอย่างท่านผู้เฒ่าที่พระองค์รู้จักมาเป็นเวลานาน เรียกได้ว่าแค่ชายหนุ่มอ้าปากพระองค์ก็เห็นลิ้นไก่ทันทีเลยก็ว่าได้...นั่นทำให้ท่านผู้เฒ่าได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วพร้อมกับทูลกลับไปเรียบๆทันที
" พระองค์ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีกต่อไปแล้ว...ที่พระองค์ทรงเรียกข้าพุทธเจ้ามาถึงที่นี่ มีเรื่องอันใดกันแน่หรือพระพุทธเจ้าข้า? "
ประโยคคำถามอย่างตรงจุดของท่านผู้เฒ่าทำให้พระพี่นางพินทวดีแย้มพระสรวลบางๆอีกครั้ง ก่อนทีพระองค์จะค่อยๆหลับเนตรพริ้มลงช้าๆพร้อมกับตรัสเรียบๆด้วยพระสุรเสียงที่กลับคืนสู่พระราชอำนาจอีกครั้งว่า
" นี่ถือเป็นคำสั่งของข้าก็ได้ ท่านออกญา...จงบอกในทุกเรื่องราวเกี่ยวกับ บุตรีแห่งสุรีย์แสง พระองค์ก่อนหน้าให้แก่ข้าฟังด้วยเถอะ! "
............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ