ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
113)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
ดำรัสอันเป็นดังคำสั่งของสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า ทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับชะงักกึก หวีในมือหยุดลงพร้อมกับที่เขารีบแข็งใจถามสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้ากลับเพื่อกลบร่องรอยพิรุธของตนทันที
" ม...เมื่อครู่พระองค์ว่าอะไรนะ? "
" ท่านอย่าพยายามทำไขสือเลย ท่านออกญา...เพราะมันจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์สำหรับเราทั้งคู่ " แต่สมเด็จกลับตรัสเรียบๆด้วยพระสุรเสียงจับผิด อันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์จับพิรุธของชายหนุ่มได้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้เขาได้แต่ฝืนหัวเราะแห้งๆทันที
" ถ้าเช่นนั้นข้าพุทธเจ้าขอทูลถามพระองค์ก่อนเถอะ พระองค์จะอยากทราบเรื่อง ที่เป็นดั่ง อจินไตย...รู้ไปก็ไร้ประโยชน์เช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน? "
" ไม่ไร้ประโยชน์เสียหน่อย ข้าเพียงต้องการรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในพระวรกายของผู้เป็นพระราชนัดดาของข้าเองนะ " ดำรัสเรียบๆของสมเด็จเจ้าฟ้าทำให้ท่านู้เฒ่าคอแข็งอย่างอับจนต่อถ้อยคำอีกครั้ง...เขาเงียบงันไปนาน จนกระทั่งในที่สุดชายหนุ่มจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
" ทูลตอบด้วยความสัตย์ ข้าพุทธเจ้าเองนั้นแม้จะครอบครองพลังต้องสาปอันทำให้ไม่แก่ไม่ตาย แต่ถึงกระนั้น ข้าพุทธเจ้าก็ได้มีบุญวาสนา...ไม่สิ...ต้องพูดว่ามีเวรกรรมได้พบพานกับ บุตรีแห่งสุรีย์แสง พระองค์อื่น นอกจากสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรที่เป็นพระองค์ปัจจุบันเพียงพระองค์เดียว...เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น "
" มีเวรกรรม? "
" ก็อย่างที่ผู้เฒ่าผู้แก่เขาว่ากันไว้ บางสิ่งบางอย่าง หากไม่มีบุญจริงๆหรือมีเวรกรรมจริง ต่อให้เวียนว่ายตายเกิดมากี่สิบภพกี่สิบชาติก็คงไม่มีโอกาสพบเจอแน่ๆ "
" แล้วท่านบอกว่าท่านพบเจอกับ บุตรีแห่งสุรีย์แสง องค์ก่อนหน้าองค์หญิงสิริจันทร? "
" เฮ้อ...ถ้าเป็นไปได้ ข้าพุทธเจ้าไม่อยากจะทูลเล่าเลย " ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกขณะที่มือวางพระสาง(หวี)ลง ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีผินพระพักตร์ขวับกลับมามองด้วยสายพระเนตรจับผิดทันที
" แปลว่าต้องมีเรื่องชู้สาวอันไร้ยางอายของท่านเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยสินะ! " พระสุรเสียงอันแหลมคมราวกับเข็มนับพัันเล่มของพระองค์ทำให้ท่านผู้เฒ่าต้องรีบส่ายหน้าหวือๆเป็นเชิงปฏิเสธทันที
" พระองค์กำลังเข้าพระทัยผิด "
" ถ้าอย่างนั้นก็ปฏิเสธให้ชัดถ้อยชัดคำมาเสียสิ! " เจ้าฟ้าพินทวดีฉลาดพอจะทรงรู้ว่าชายหนุ่มกำลังหลีกเลี่ยงคำถาม และพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะเห็นอีกฝ่ายไหลลื่นหนีไป และดำรัสของพระองค์ทำให้ท่านู้เฒ่าถึงกับเหงื่อตก...เพราะเขารู้ดีว่าขืนเขาโกหก ระดับเจ้าฟ้าพินทวดีคงจะจับได้ตั้งแต่ในเสี้ยววินาทีแรกแล้วเป็นแน่...
" ค...คือ...พระองค์ต้องเข้าพระทัยนะ ว่าเวลานั้นข้าพุทธเจ้ายังคงอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ซึ่งเป็นวัยที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ--- "
" เรืองนั้นข้าไม่สน! ที่ข้าเรียกท่านมาวันนี้หาได้ต้องการฟังท่านสารภาพบาปไม่...แต่เป็นเรื่องของสิริจันทร...เรื่องของบุตรแห่งสุรีย์แสงเท่านั้น! " เจ้าฟ้าพินทวดีชิงตัดบทเรียบๆ ราวกับไม่อยากจะสนใจไอ้เรื่องเละเทะของท่านผู้เฒ่าพร้อมกับกางพัดจีนในหัตถ์ขึ้นปิดโอษฐ์อย่างช้าๆ อย่างที่พระองค์เคยทำอยู่เป็นประจำ...แต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับหน้าซีดวูบทันที
' ดำรัสที่ว่า ข้าไม่สน นี่แปลงานนี้พระองค์สนเต็มๆ...ทางที่ดีเราคงต้องพูดไปตามตรงในเร็ววันนี้ ดีกว่าให้พระองค์ไปตามสืบเอาเอง...เพราะขืนเป็นอย่างนั้นมีหวัง... ' ท่านผู้เฒ่าคิดในใจอย่างผู้ที่ผ่านโลก ผ่านเล่ห์เหลี่ยมของสตรีมามาก ก่อนที่เขาจะค่อยๆเคลื่อนกายไปทรุดลงคุกเข่าเบื้องหน้าพระพักตร์ของเจ้าฟ้าหญิงและทูลขึ้นอย่างช้าๆ
" ทูลถามตามตรง พระองค์ต้องการสิ่งใด จากอดีตบุตรีแห่งสุรีย์แสงพระองค์ก่อนหน้าอย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า? "
คำทูลถามด้วยนำ้เสียงจริงจังของผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนานทำให้สมเด็จพระพี่นางชะงักไปเล็กน้อย ดวงเนตรอันวาววับแข็งกร้าวทรงอำนาจนั้นหรุบต่ำลงเล็กน้อย ก่อนที่พระองค์จะตรัสออกมาอย่างช้าๆว่า
" ...เพื่อที่จะ ปลดเปลื้องพันธนาการ...ช่วยเหลือนัดดาองค์น้อยของข้าให้เป็นอิสระอย่างไรล่ะ "
ดำรัสของสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีถูกจ้องมองและสำรวจอย่างถี่ถ้วนด้วยดวงตาอันเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกอายุอันยาวนานของชายหนุ่มตรงหน้าได้ ...ท่านผู้เฒ่าหรี่ตาลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรอยู่นานเกือบ ๕ นาที ก่อนที่ในที่สุดเขาจะยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อย
" หึๆ ข้าพุทธเจ้าแก่ชราพอจะมองออก ว่าพระองค์มิได้โกหก...พระองค์มิได้คิดจะใช้ประโยชน์จากความสามารถอันน่าพรั่นพรึงของบุตรีแห่งสุรีย์แสงโดยหวังผลทางศึกสงครามเลย ทั้งๆที่เวลานี้มีศึกสงครามใหญ่มาประชิดพระนครนี้แล้วแท้ๆ "
" ท่านกำลังยิ้มเยาะเรา จะบอกว่าเรานั้นโง่เขลาอย่างนั้นหรือ? ท่านออกญาฯ " เจ้าฟ้าพินทวดีดำรัสถามเสียงราบเรียบ แต่ท่านผู้เฒ่าหลับตาลงพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ
" เปล่าเลย...ข้าพุทธเจ้าดีใจต่างหาก ที่พระองค์ยังมิถูกย้อมด้วยวังวนแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันดำมืด แต่ยังมีเสี้ยวหนึ่งที่พระองค์ยังคงมีหัวใจพิสุทธิ์ ที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นจากน้ำพระทัยจริง หาได้มีจุดประสงค์แอบแฝง...เช่นเดียวกับองค์หญิงพินทวดีที่ข้าพุทธเจ้าเคยอุ้มชูสั่งสอนมา...ข้าพุทธเจ้าดีใจจริงๆ "
" ท่าน...ออกญาฯ "
ท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนท่าทีจากนั่งคุกเข่าเปลี่ยนมาเป็นนั่งขัดสมาธิอย่างผ่อนคลายลง ก่อนที่เขาจะสบเนตรอันเริ่มไม่เข้าใจและเดาท่าทีไม่ออกของสมเด็จเจ้าฟ้าเบื้องหน้าพร้อมกับทูลต่อไปว่า
" เรื่องของบุตรีแห่งสุรีย์แสงพระองค์ก่อน ข้าพุทธเจ้าว่าพระองค์น่าจะคุ้นเคย...ไม่สิ...พระองค์สมควรจะรู้จักกับผู้ครอบครองพลังของบุตรีแห่งสุรีย์แสงพระองค์ก่อนด้วยซ้ำ "
" ท่าน...หมายความว่าอย่างไร? เราไม่เข้าใจที่ท่านพูดแล้วนะ "
" เปล่าเลย เพราะพระองค์เคยพบพานกับพระนางมาแล้ว...และได้มีวโรกาสส่งพระนางสู่สวรรคาลัยด้วยตัวพระองค์เองเลยด้วยซ้ำไป...เพราะผู้ครอบครองพลังของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง พระองค์ก่อน ก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ ...พระราชธิดาพระองค์เดียวในสมเด็จพระนารายณ์อย่างไรล่ะพุทธเจ้าข้า "
...........................................
...ไกรรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในสภาพที่ร่างกายท่อนบนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่ผูกแน่นราวกับมัมมี่ พร้อมกับอาการเจ็บราวกับมีดบาด แต่เป็นมีดเล่มเขื่องที่บาดพาดสะพายแล่งตั้งแต่หัวไหล่ด้านซ้ายไล่ลงไปถึงเอว ซึ่งถึงแม้วาจะยังคงปวดแปล๊บทุกครั้งที่เขาขยับตัว แต่ไกรก็อดประหลาดใจไม่ได้ เพราะเท่าที่เขาจำได้ ดาบนาคราชของอนาสตาเซียแทบจะผ่าเขาเป็นสองส่วนเลยแท้ๆ...
" อ้าว...ว่าอย่างไร ไกร " สิงห์ที่เวลานี้นั่งเหลาเศษไม้อะไรบางอย่างอยู่ที่ข้างเตียงของเขาเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยทักทันทีที่ไกรค่อยๆประคองตัวลุกขึ้นนั่ง ในขณะที่ไกรเหลือบไปมองด้วยแววตาปลาตายทันที
" น้ำเสียงไม่บ่งบอกถึงอาการแปลกใจ...แปลว่ารู้อยู่แล้วสินะ "
" หือ? รู้เรื่องอะไรวะ? "
" ทำตาใสอย่างกับลูกอีแร้ง ตูเชื่อก็กินหญ้าเป็นอาหารแล้วเฟ้ย! " ไกรกัดฟันกระซิบตอบกลับไป ก่อนที่เขาจะนิ่วหน้าพร้อมกับซู้ดปากเบาๆ เพราะว่าเขาเคลื่อนไหวร่างกายเร็วเกินไปจนแผลเกิดเจ็บแปล๊บขึ้นมา ในขณะที่สิงห์เหลือบมามองเลกน้อยอย่างสมน้ำหน้าพร้อมกับพูดเบาๆ
" เจ้าเคยนับไหมว่าช่วงหลังๆมานี่เจ้าได้ตื่นนอนแบบปรกติสุขในตอนเช้ากี่ครั้งกัน "
" พูดงี้เดี๋ยวก็ต่อยเปรี้ยงซะหรอก "
" ด้วยสังขารเจ้าเวลานี้เนี่ยนะ? เฮ้อ...ดูเหมือนเจ้าจะชอบเรื่องเจ็บตัวเสียเหลือเกินนะ ไกร "
" พูดราวกับว่าข้าเลือกที่จะเจ็บตัวเองอย่างนั้นแหละ " ไกรบ่นเบาๆอีกครั้งพร้อมกับฝืนลุกขึ้นยืนและเดินไปรินกาแฟที่เหลืออยู่เพียงครึ่งกาและเริ่มเย็นลงแล้วขึ้นดื่ม ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดต่ออีกครั้งว่า
" แล้วยัยคนที่เกือบจะฝ่าข้าเป็นสองซีกเวลานี้ไปไหนเสียแล้วล่ะ เกือบจะฆ่ากันตายแท้ๆยังทิ้งไปอย่างไม่ดูดำดูดีกันเลยรึไง " ไกรพูดอย่างเริ่มมีอารมณ์นิดๆ แต่สิงห์ส่ายหน้าช้าๆ
" จะว่าไม่ดูดำดูดีก็คงไม่ได้นะ เพราะหลังจากฟันเจ้าสะพายแล่งแล้ว นางก็รีบใช้ผ้าพันแผลพร้อมกับหยูกยาที่เตรียมมาจัดการกับแผลของเจ้าทันที อย่างกับนางรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องได้แผล ทั้งแผลของเจ้าเองก็ไม่ได้ถึงกับฉกรรจ์อะไรนัก ทั้งที่ข้ามองทีแรกเมื่ออนาสตาเซียฟันเจ้า หากมีใครมาพนันว่าเจ้ารอดข้ายังไม่กล้าพนันเลยด้วยซ้ำไป "
" เฮ้อ...ปากเจ้านี่น้าาา " ไกรครางออกมาเบาๆอีกครั้งก่อนจะถามต่อว่า " ...แล้วตอนนี้นางไปอยู่ไหนกัน? "
คำถามของเขาทำให้สิงห์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาตามตรงว่า
" หลังจากทำแผลให้เจ้าเสร็จนางก็ผลุนผลันออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งข้าก็ยังไม่อาจหาญพอจะหยุดนางเพื่อถามอะไรในเวลานั้นด้วย...ว่าก็ว่าเถอะนะแต่ข้าขอถามเสียหน่อยเถอะ ที่เจ้าโดนไปขนาดนี้เพราะเจ้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม เป็นต้นว่า...ง่า...ไปเผลอจับเผลอจิ้มอะไรนาสตี้เข้ารึเปล่า? "
" ตูไม่ได้จับ ไม่ได้จิ้ม ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งามกับเจ้าหล่อนทั้งนั้นแหละเฟ้ย! " ไกรหันกลับมาตอบอย่างเริ่มมีน้ำโหอีกครั้ง ในขณะที่เมื่อได้ยินสิงห์ก็ยักไหล่ทันที
" ถ้าอย่างนั้นนาสตี้ก็คงจะเหม็นหน้าเจ้าอย่างปัจจุบันทันด่วนแล้วล่ะว่ะ "
" อนาสตาเซียไม่ใช่คนที่ทำอะไรเพราะอารมณ์ ข้าเชื่อว่าที่เธอเกือบจะฆ่าข้าต้องมีสาเหตุที่มากกว่าเหม็นขี้หน้าแน่ๆ และที่เธอไม่อยู่พบหน้าข้าก็บ่งบอกได้ว่าเหตุผลของเธอมันยากที่จะอธิบายในเวลานี้แน่ๆ " ไกรแก้ตัวแทนหญิงสาวผู้ถูกพาดพิงเบาๆ จนสิงห์เบิกตากว้างใส่ทันที
" เผื่อเจ้าจำไม่ได้ นางเกือบฆ่าเจ้านะ ไกร "
" เฮ้อ...เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ว่าแต่ นอกจากเจ้าแล้วมีใครรู้เรื่องนี้อีกมั่งเนี่ย? " ไกรตัดบทเรียบๆ ทำให้สิงห์เลิกคิ้วน้อยๆอีกครั้งก่อนจะตอบกลับมาตามตรง
" นอกจากข้าแล้วก็มีท่านผู้เฒ่านั่นแหละที่รู้เรื่องนี้ แต่ท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่ได้ถามอะไรอนาสตาเซียเหมือนกันล่ะนะ...ส่วนศกุนตลากับอเทตยายังไม่ได้กลับมาจากเข้าเวรจ่าโขลน เลยยังไม่รู้เรื่องนี้ "
" ดีแล้ว อย่าพึ่งบอกพวกนางนะ...โดยเฉพาะกับอเทตยา...ถึงตายก็ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาดเลยนะ แล้วก็ขอร้องล่ะ...ไม่ต้องถามเลยว่าเพราะอะไร " ไกรพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง ซึ่งสิงห์เองก็ไม่ใช่พวกอยากรู้อยากเห็นมากนักอยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้ารับอยางว่าง่ายทันที ก่อนที่สิงห์จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นไกรกำลังล้างหน้าล้างตาก่อนจะเริ่มแต่งตัวด้วยชุดที่เป็นชุดประจำตำแหน่งเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีอย่างเก้ๆกังๆ จนเขาต้องร้องถามเบาๆทันที
" แกจะทำอะไร? "
" หืม? ถามอะไรโง่ๆ กฺ็เข้าเขตพระราชฐานเพื่อเฝ้าพ่ออยู่หัวน่ะสิ เพราะวันนี้พ่ออยู่หัวก็ทรงออกว่าราชการอีกแล้ว "
" หา? ทั้งๆที่เจ็บเจียนตายอย่างนี้น่ะเหรอ? "
" อาการของข้าไม่ได้หนักหนาขนาดนั้นเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง ขืนไม่เข้าเฝ้าโดยที่ไม่มีเหตุอันควรงานนี้มีหวังได้เจ็บเจียนตายอีกหลายยกแน่ๆ...แล้วก็... "
" แล้วก็? "
ไกรลูบหน้าอกที่เวลานี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดจนแน่นทั้งยังส่งกลิ่นยาสมานแผลออกมาจางๆเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับเดินไปหยิบขวดยาเล็กๆที่อนาสตาเซียเคยบอกว่าเป็นยาสมานแผลและช่วยบรรเทาความเจ็บปวดขึ้นมากระดกจนหมดขวด ก่อนจะนิ่วหน้าพร้อมกับแลบลิ้นออกมาทันที
" รสชาติสุนัขไม่รับประทานเหมือนเดิม...ยาของยัยนั่น " ก่อนที่เขาจะหันกลับมาหาสิงห์พร้อมกับพูดเบาๆด้วยประกายสายตาที่แรงกล้าอย่างกลับมาเข้มแข็งเต็มร้อยอีกครั้ง
" ข้าจะเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน เพื่อที่จะไปหาอนาสตาเซียและถามความจริงให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย...ว่าตกลงนี่มันเกิดเรื่อง บ้า อะไรกันแน่! "
............................................
...ย้อนกลับมาที่สวนขวัญดอกรัก...สวนขวัญลับที่ซ่อนอยู่ในพระราชอุทยานสวนองุ่นอีกครั้ง...
" ว...ว่าอย่างไรนะ?! ท่าน...ท่านกล่าวว่า สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี...คือ บุตรีแห่งสุรีย์แสง พระองค์ก่อนอย่างนั้นหรือ?! " สมเด็จพระพี่นางพินทวดีผลุดลุกขึ้นจากอาการประทับอย่างเรียบร้อย ลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกพระทัยพร้อมกับดำรัสเสียงดังลั่น ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหลับตาลงพร้อมกับพูดอย่างแช่มช้าว่า
" พระองค์ทรงสดับรับฟังไม่ผิดหรอกพุทธเจ้าข้า "
" ต...แต่ว่า เป็นไปได้หรือ?! "
" พระองค์ทรงอย่าได้ลืมเลือนสิ ว่าพระองค์กำลังพูดอยู่กับชายผู้เกิดในยุคสมัยรัชกาลพ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์นะพุทธเจ้าข้า " คำทูลเรียบๆของชายผู้ไม่แก่ไม่ตายตรงหน้าพระพักตร์ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีถึงกับศอแข็งอย่างอับจนถ้อยคำไป ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเป็นฝ่ายทูลต่ออย่างช้าๆว่า
" แต่ถ้าหากจะว่ากันตามจริง ความเป็นบุตรีแห่งสุรีย์แสงของพระองค์หมดไปตั้งแต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและเริ่มต้นยุคสมัยของพระเพทราชาแล้ว "
" ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? ท่านออกญาฯ "
ท่านผู้เฒ่าเงียบไปอีกครั้งราวกับจะชั่งใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพยักหน้าช้าๆอย่างตัดสินใจได้
" ...พระองค์น่าจะทรงทราบแล้ว ว่าในรัชสมัยของพ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์มีราชธิดาเพียงพระองค์เดียวซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี...คือสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี ผู้ทรงกรมหลวงโยธาเทพ "
" ใช่แล้ว ในสมัยนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าทรงมีพระราชอำนาจอย่างล้นเหลือ ด้วยเหตุที่พระองค์เป็นเพียงราชธิดาองค์เดียว... "
" ท่านลาลูแบร์...หนึ่งในผู้บันทึกปูมในยุคสมัยนั้นบันทึกไว้ว่าพระองค์มีอำนาจยิ่งกว่าราชินีเสียอีกเชียวนะ "
" ท่านหมายถึง? "
" นั่นเป็นเพราะพระองค์ทรงควบคุมพลังของบุตรีแห่งสุรีย์แสงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดน่ะพุทธเจ้าข้า "
" หา? ประเดี๋ยวสิ นี่ท่านรู้เรื่องนั้น และแน่แท้แก่ใจได้อย่างไรกัน? " เจ้าฟ้าพินทวดีทะลึ่งพระองค์พรวดขึ้นอย่างสนพระทัย แต่คำถามของพระองค์กัลับทำให้ชายหนุ่มผู้เคยเป็นอาจารย์ของเธอสมัยยังคงเป็นกุมารีถึงกับหน้าซีดเผือดและเสหลบตาทันทีราวกับคำถามไปสะกิดให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างในอดีตที่เขาอยากจะลืมไปแล้วขึ้นมาได้
" ก...ก็เพราะ... "
" ก็เพราะ? "
" ก...ก็เพราะข้าพุทธเจ้าเคยปะทะกับสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี ในร่างของบุตรีแห่งสุรีย์แสงระดับสูงสุดมาแล้วน่ะสิพุทธเจ้าข้า! "
" ห...หา?! " คำสารภาพอย่างเลี่ยงไม่ได้ของท่านผู้เฒ่าทำให้สตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าถึงกับอ้าโอษฐ์ค้างอย่างลืมพระองค์ทันที
" ท...ท่านว่าอะไรน้าาา! "
" น...น่ากลัวมากๆเลยล่ะ ยิ่งตอนที่พระองค์อัญเชิญ ไอ้พวกนั้น ออกมายิ่งแล้วใหญ่ ขนาดท่านเหล็กกับดาบฟ้าฟื้นเข้ามาช่วยไว้ยังเจ็บหนักถึงขั้นตรีฑูตกันถ้วนหน้าเลย...อ...ไอ้แบบนั้น ม...ไม่เอาอีกแล้ว " ท่านผู้เฒ่าถึงกับเริ่มเพ้อออกมาพร้อมกับทำตาลอย มือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้าแถมยังเหงื่อแตกพลั่กๆ จนพระพี่นางต้องรีบกลับเข้าประเด็นที่พระองค์อยากรู้ต่อทันที
" ป...ประเดี๋ยวสิ! แล้วท่านไปทำอะไรถึงได้ต้องไปสู้กับพระองค์ได้ล่ะนั่น! "
" จ...จะว่าสู้ก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะ...พระองค์ก็น่าจะทรงทราบแล้ว ว่าสมเด็จเจ้าฟ้าสดาวดีทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกฮอลันดา ในขณะที่พวกฮอลันดานั้นเป็นอริกับชาวฝรั่งเศส ทำให้พระองค์พลอยที่จะเกลียดพวกฝรั่งเศสไปด้วย...แล้ว...พระองค์คิดว่าท่านจะทรงเกลียดขี้หน้าขุนนางที่ทั้งๆที่เป็นฝรั่งเศสแต่เสือกได้เป็นถึงสมุนายกแห่งกรุงอโยธยาเพียงใดกัน "
" หา? ท่านกำลังหมายถึง อ...ออกญาวิชาเยนทร์ ใช่ไหม? "
" ข...ใช่ขอรับ เพื่อไม่ให้มันถูกฝังไปง่ายๆ พวกข้าที่เป็นสหายกับไอ้ฟอลคอนก็เลยต้องออกหน้าปกป้องมัน ต...แต่ ถ้าให้เลือกอีกครั้งต่อให้หัวเด็ดตีนขาดข้าพุทธเจ้าก็จะไม่กล้ายืนต่อหน้าบุตรแห่งสุรีย์แสงในระดับสมบูรณ์นั่นแน่ๆ "
" ป...แปลว่า...มีวิธีควบคุมพลังของบุตรีแห่งสุรีย์แสงจริงๆอย่างนั้นสินะ ท่านออกญาฯ! " เจ้าฟ้าพินทวดีร้องออกมาอย่างตื่นเต้นโดยไม่สนใจไอ้ท่าทีจิตตกแบบสุดกู่ของอีกฝ่ายเลย แต่เมื่อพระองค์หันกลับมาเห็นสีหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง พระองค์ถึงกับต้องชะงักพระวรกายทันที
สีหน้าอันว่างเปล่า ที่เกือบจะแสดงถึงความผิดหวังออกมาอยู่รอมร่อแล้ว
" ท่าน...ท่านไม่เห็นด้วย? "
" ...เจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพนอกจากจะเป็นผู้เป็นเอกอุในด้านการค้าขายจนนำมาซึ่งความมั่งคั่งของราชสำนักแล้ว ในเบื้องหลังพระองค์เองก็ฝึกปรือในด้านการควบคุมพลังมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ด้วยทรงรู้พระองค์ตั้งแต่แรกเกี่ยวกับพลังของบุตรีแห่งสุรีย์แสงที่ไหลเวียนอยู่ในพระโลหิตของพระองค์...ทำให้เพียงไม่กี่ชันษาต่อมา พระองค์ก็สามารถควบคุมพลังของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ได้อย่างเบ็ดเสร็จ " ท่านผู้เฒ่าพูดออกมาเรียบๆอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร ทำให้สมเด็จพระพี่นางยังทรงไม่เข้าพระทัยอะไรจนต้องดำรัสออกมาเบาๆ
" แต่...นั่นไม่ดีหรือ? ก็ถ้าหากควบคุมได้ถึงขนาดนั้นก็จะสามารถปิดผนึกไม่ให้บุตรีแห่งสุรีย์แสงออกมาอาละวาดได้นี่ "
" ไม่ใช่แค่ปิดผนึกได้ แต่พระนางสามารถเรียกใช้ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ออกมาเพื่อหวังผลตามความประสงค์ของพระองค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดเลยต่างหากล่ะพุทธเจ้าข้า "
ระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดียังคงพระศอแข็งอย่างไม่อาจจะดำรัสคำใดออกมาได้ ทานผู้เฒ่าก็ก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาที่หรุบต่ำลง ก่อนที่เขาจะฝืนหัวเราะออกมาช้าๆ
" อำนาจเปลี่ยนคน คนหลงในอำนาจ...เมื่อมีอำนาจอันล้นฟ้าอยู่ในมือ จากคนที่รู้จัก จากคนที่คุ้นเคยก็สามารถหมางเมินกันได้ด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อควบคุมอำนาจได้...ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...สำหรับข้าพุทธเจ้านั้น อำนาจที่ตกทอดมาแต่บรรพกาลอย่าง บุตรีแห่งสุรีย์แสง นั่นน่ะ ไม่สมควรจะมีอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำไปพระพุทธเจ้าข้า "
" ท...ท่านออกญาฯ "
" แต่่ช่างเถอะ...พระองค์ก็ถูกบาปของพระองค์ย้อนกลับมาเล่นงานตัวพระองค์เองไปแล้ว จนกระทั่งท้ายที่สุด พระองค์ก็ต้องกลายเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายของไอ้---สมเด็จพระเพทราชา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับมัน...หมายถึงพระองค์ในราชบัลลังก์อโยธยา...พระองค์ชดใช้เวรกรรมที่พระองค์ได้ก่อ และเสด็จกลับคืนสู่สวรรคาลัยไปแล้ว...เรื่องมันก็จบลงเพียงเท่านี้แหละพระพุทธเจ้าข้า " ท่านผู้เฒ่าตัดบทเอาดื้อๆราวกับไม่อยากจะเล่ารายละเอียดอะไรต่อ ทำให้เจ้าฟ้าพินทวดีร้อง เอ๋? เบาๆอย่างเสียดายราวกับว่ากำลังได้ฟังนิทานที่สนุกสุดๆอยู่ไม่มีผิด ก่อนที่พระองค์จะรู้สึกพระองค์พร้อมกับติงออกมาเบาๆทันที
" ประเดี๋ยวก่อนสิ แต่ตัวเรานั้นเคยได้มีโอกาสเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี ขณะที่พระองค์ผนวชเป็นรูปชีอยู่ ก่อนที่พระองค์จะทรง...สวรรคต...พระองค์ไม่ได้มีกระแสของบุตรีแห่งสุรีย์แสงที่ควรจะมีเลยนะ พระองค์เป็นเพียงแค่รูปชีที่สงบภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ที่เอาธงชัยแห่งพระอรหันต์เป็นที่พึ่งในช่วงเวลาสุดท้ายเท่านั้น...จะบอกว่าเป็นเพราะความสามารถในการควบคุมพลังอย่างนั้นหรือ? "
คำดำรัสถามของสมเด็จเจ้าฟ้าทำให้ทานผู้เฒ่าหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาช้าๆ
" นั่นเป็นเพราะบุตรีแห่งสุรีย์แสงน่ะ ละทิ้งเจ้าฟ้าสุดาวดีไปตั้งแต่ที่พระองค์ได้กลายไปเป็นพระมเหสีของพระเพทราชาแล้วล่ะ "
" ท่านหมายถึง? "
" นี่เป็นอีกหนึ่งข้อที่ข้าพุทธเจ้าสามารถบอกพระองค์ได้เกี่ยวกับพลังของบุตรีแห่งสุรีย์แสง...บุตรีแห่งสุรีย์แสงนั้นจะละทิ้งผู้ครอบครองไปในทันทีที่ผู้ครอบครองสูญเสียพรหมจรรย์ไป นั่นแหละ วิธีที่ง่ายดายที่สุดในการผนึกบุตรีแห่งสุรีย์แสงจากพระวรกายของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร...พระราชนัดดาของพระองค์อย่างไรล่ะ "
" ร...เรื่องนั้น...ม...มัน "
" เอาเถอะ ข้าพุทธเจ้าเข้าพระทัย และมันก็ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะผนึกบุตรีแห่งสุรีย์แสงด้วย...หากพระองค์สงสัยเรื่องอะไรของบุตรีแห่งสุรีย์แสงอีก ข้าพุทธเจ้าก็พร้อมจะตอบทุกข้อสงสัยเท่าที่ข้าพุทธเจ้าจะสามารถตอบได้...เพียงแต่...ระวังหน่อยก็ดีนะพุทธเจ้าข้า " ท่านผู้เฒ่าทูลขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นและบิดตัวเล็กน้อยอย่างเมื่อยขบ ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าเลิกขนงค์อย่างสงสัยทันที
" ทานหมายถึง? "
ท่านผู้เฒ่าเหลือบกลับมาสบเนตรของสมเด็จเจ้าฟ้าเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว...ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาพร้อมกับทูลต่อเรียบๆว่า
" นอกจากสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพแล้ว มีผู้สืบทอดพลังของบุตรีแห่งสุรีย์แสงก่อนหน้านี้อีกหลายพระองค์เท่าที่ข้าพุทธเจ้ารวบรวมข้อมูลมาได้...แต่ว่า ไม่มีพระองค์ใดเลยในประวัติศาสตร์ที่สามารถเรียกใช้อสูรที่มีรูปลักษณ์เป็นทวิบาทอย่าง วงศ์ยักษา ได้เลย แม้แต่สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดีเองที่ข้าพุทธเจ้าเชื่อว่าทรงพลังที่สุดในด้านการควบคุมพลังแล้วแท้ๆ...วงศ์ยักษานั้นว่ากันว่าหยิ่งทรนงในเกียรติเป็นที่สุด จึงไม่มีเหตุผลเลยที่พวกมันจะยอมผูกพันสัญญากับองค์หญิงสิริจันทร...เป็นไปได้ว่า... "
" เป็นไปได้ว่าอะไร? "
" เป็นไปได้ว่าองค์หญิงสิริจันทรอาจจะมีพลังอะไรที่เหนือกว่า บุตรีแห่งสุรีย์แสง หลับใหลอยู่ในพระวรกายของพระองค์อีกก็เป็นได้พระพุทธเจ้าข้า! "
.............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ