ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
111)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
=======================================
...ณ แนวชายป่าอันเป็นเขตรอยต่อระหว่างเมืองเพชรบุรีของเรือง กับเมืองปราณบุรีที่เวลานี้แตกพ่ายภายใต้้แสนยานุภาพทัพของพระเจ้าอลองพญาไปแล้ว...
มังฆ้องนรธา หนึงในนายทัพชั้นสูงผู้ที่อยู่ในชุดเกราะรบระดับสูงที่เวลานี้ดูเก่าลงอย่างเห็นได้ชัดเจนหลังจากผ่านการรบระยะตะลุมบอนมาอย่างหนักหน่วงตลอดช่วงเช้า ควบม้าศึกตัวพ่วงพีประจำกายตะบึ่งผ่านกองทหารม้าที่เริ่มตั้งขบวนทัพใหม่อย่างหลวมๆ จนกระทั่งเข้าพุ่งขึ้นมาถึงด้านหน้าของกองทหารม้านี้ เพื่อมาพบกับนายทัพกองทหารม้าผู้มีศักดิ์สูงกว่าเขาทุกประการ
...นายทัพ ผู้มีนาม...หรือพระนามว่ามังเวงราชบุตร... ราชบุตรองค์ที่ ๕ ในหกราชบุตรผู้ทแกล้วกล้าแห่งพระเจ้าอลองพญา...ผู้เป็นนายเหนือหัวของเขานั่นเอง...
" เจ้าชายมังเวง! ได้โปรดหยุดก่อนเถอะพระเจ้าข้า "
เจ้าชายมังเวงคือชายหนุ่มผู้มีวัย ๒๓ ชันษาซึ่งอ่อนกว่าเจ้าชายมังระผู้เป็นพระเชษฐา ๙ ชันษา และนับได้ว่าเป็นชายู้อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ทีเดียว พระองค์และเหล่าเชษฐา-อนุชา (ยกเว้นมังลอกผู้เป็นเชษฐาองค์โตที่อยู่เป็นผู้สำเร็จราชการที่รัตนสิงค์) ได้รับกองทหารม้าอันเก่งกาจที่เป็นเอกเทศไม่อยู่ในควบคุมของกองแม่ทัพคนหรือพระองค์อื่นๆพระองค์ละหนึ่งกอง...และอย่างที่พอเดาได้...ทหารม้ากองนั้นกำลังถูกจัดกระบวนทัพเพื่อบุกตะลุยต่อในประเดี๋ยวนี้แล้ว
" ท่านมังฆ้องนรธา? " มังเวงราชบุตรหันพักตร์คมคายกลับมาหาแม่ทัพผู้ล่วงเลยวัยกลางคนมาแล้วอย่างช้าๆพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปในทางที่เคารพนับถือ ด้วยความที่มังฆ้องนรธาผู้นี้คือชายผู้ที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระบิดาของเขามาตั้งแต่หัวดำยันหัวเริ่มขาวเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็พอจะเดาได้ลางๆแล้วว่าแม่ทัพผู้นี้ควบม้าตะบึงเข้ามาเพื่ออะไร
" พ...พระองค์จะทำเช่นนี้ไม่ได้ "
" หืม? ข้าทำอะไร? "
" ทั้งพระองค์และข้าพุทธเจ้าต่างก็รู้ดีว่าขาพุทธเจ้าหมายถึงอะไร...ได้โปรด "
" ท่านเป็นคนฉลาดหลักแหลมนัก คงจะทราบแผนการของข้าแล้วสินะ "
" พระองค์จะทำเช่นนั้นไม่ได้พุทธเจ้าข้า "
" ท่านพี่มังระเคยกระทำเรื่องอย่างเช่นที่ข้าจะทำไปแล้วครั้งหนึ่งท่านจำได้ไหม? ครั้งนั้นมังระใช้เพียงทหารทัพหน้าเพื่อเข้าตีเมืองหน้าด่านระหว่างที่มันกำลังประมาท...หากข้าฉวยโอกาสจู่โจมตามต่อตี ข้าจะสามารถกวาดต้อนผู้คนช้างม้ารวมไปถึงเสบียงกรังและแสดงแสนยานุภาพของทัพเรา...หากปะเหมาะเคราะห์ดีข้าอาจจะเข้าตีเมืองเพชรบุรีได้เลยด้วยซ้ำไป "
" แต่เพชรบุรีมิใช่ทวาย... "
" จะเมืองไหนทหารอโยธยาก่อนเหลาะแหละ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ต่อตีกับทแกล้วทหารของเราเหล่าพม่าไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ "
" ...และพระองค์ก็มิใช่เจ้าชายมังระพระพุทธเจ้าข้า "
ชิ้ง!
สิ้นประโยคที่ออกมาจากปากของมังฆ้องนรธา ทวนหลังม้าสีเงินวาวที่อยู่ในหัตถ์ของเจ้าชายมังเวงก็ตวัดวูบ ปลายแหลมของคมทวนที่คมถึงขนาดตัดบัวได้ไม่เหลือใยพาดอยู่ที่คอที่โผล่ออกมาจากชุดเกราะของแม่ทัพผู้มีอายุคราวพ่อตรงหน้าพร้อมกับที่เนตรของเจ้าชายหนุ่มจะลุกโชติช่วงวาวววับราวกับแสงคบเพลิงทันที
" ระวังปากของท่าน! มังฆ้องนรธา "
" พระองค์โปรดฟังข้าทูลให้จบเสียก่อน...สาย---เสือหมอบแมวเซาของข้าพุทธเจ้ารายงานมาว่าแม่ทัพผู้บัญชาการรบของพวกมันคือพระยาเพชรบุรี...พระยาเพชรบุรีผู้นี้เป็นจอมทหารเก่าแก่ผู้มีทั้งกฤติยามนตร์และฝีมือในการบัญชาการรบ ไม่เหมือนแม่ทัพนายกองผู้ใดที่เราท่านเคยผ่าน เคยโค่นล้มมา " มังฆ้องนรธาไม่ได้กลัวเกรงคมทวนที่พาดอยู่ที่คอของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาชักม้าเพื่อไม่ให้ตื่นไปกับจิตคุกคามอันแข็งกร้าวของเจ้าชายหนุ่มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบต่อไป ในขณะที่เมื่อได้ฟังคำทูล แทนที่จะทำให้มังเวงราชบุตรสงบลง มันกลับทำให้เจ้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยทิฐิด้วยโมหะจริตมากขึ้นไปอีก
" ถ้าอย่างนั้นข่าวของท่านก็คงจะเป็นข่าวลวงแล้ว! เพราะอุปนิกขิตที่ข้าเลี้ยงไว้ก็ส่งข่าวบอกข้าเช่นกันว่าพวกมันแม้มีไพร่พลอยู่มาก แต่ก็ยังไม่มีการตั้งแม่ทัพขึ้นมา ทั้งจากการตั้งกันเองและจากอโยธยา ทำให้พวกมันทั้งหลายทั้งปวงเปรียบดั่งอสรพิษที่ไม่มีหัว ถึงจะมากไปด้วยพิษร้ายแต่ก็ไร้หัว ไม่สามารถกัดผู้ใดได้! "
" ข่าวของพระองค์เป็นข่าวที่ล้าหลังเกินไปแล้วต่างหากพระเจ้าข้า ...ทัพพวกเรากล้าแข็งได้ถึงขนาดนี้เพราะพวกเราไม่เคยพ่ายศึกเลย...แต่หากเราพ่าย ขวัญกำลังของเหล่าไพร่ราบทหารเลวจะเสียไป "
" ท่านกำลังดูหมิ่นข้าอย่างนั้นหรือ?! เจ้ากล่าวหาว่าข้าจะเพลี่ยงพล้ำเสียทีให้กับพวกทหารอโยธยาตาขาวนั่นน่ะหรือ?! " คมทวนในหัตถ์ของเจ้าชายหนุ่มเริ่มจะสั่นไหวมากขึ้นทุกขณะไม่ต่างอะไรกับมาตรวัดอย่างดีที่บ่งบอกถึงความโกรธของมังเวงราชบุตรได้เป็นอย่างดี จนทำให้เหล่าทหารองครักษ์ที่ชักม้าติดตามมังฆ้องนรธามาด้วยชักเริ่มใจไม่ดี แต่มังฆ้องนรธากลับไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับใช้วัยวุฒิที่สูงส่งกว่าพยายามค่อยๆใช้น้ำเย็นเข้าลูบด้วยการอธิบายต่ออย่างช้าๆ
" พระองค์ท่าน--- "
" พอแล้ว! ท่านทำให้ข้าเสียเวลาไปอย่างเปลืองเปล่า! นี่เป็นทหารของข้า ข้าจะสั่งให้พวกมันทำอะไรมันก็เรื่องของข้า ไม่ใช่กงการอะไรของท่าน! "
" เจ้าชายมังเวง! "
" เคลื่อนกำลังพล! "
เจ้าชายมังเวงไม่ยอมทนฟังคำส่งสอนของแม่ทัพมังฆ้องนรธาอีกต่อไป เขาตวัดปลายทวนออกจากคอของอีกฝ่ายก่อนจะตวัดทวนเพื่อเป็นอาณัติสัญญาณเคลื่อนพลพร้อมกับควบม้าตะบึงออกไปในทันที ปล่อยให้แม่ทัพวัยกลางคนนั่งบนหลังม้าท่ามกลางเศษผงคลีจนกระทั่งเขาต้องปิดปากจามจนน้ำหูน้ำตาไหลเป็นทาง
" อ...ไอ้---โธ่โว้ย! " มังฆ้องนรธาสบถออกมาอย่างเดือดดาลจนเกือบจะคุมอารมณ์อันเยือกเย็นของตัวเองไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์พร้อมกับคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็ว...และมันคงจะคิดออกได้เร็วกว่านี้ถ้าหากไอ้คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวที่ยืนอยู่ข้างๆม้าศึกประจำกายของเขาไม่หัวเราะอย่างเจตนากวนโทสะของเขาดังลั่น
" อะแซหวุ่นกี้! "
" ฮ่าๆๆ ทำไมล่ะ นี่ข้ากำลังระลึกอยู่เลยนะว่าสมัยที่เราติดตามพ่ออยู่หัวกู้กรุงอังวะ พวกเราเป็นเช่นนี้รึเปล่าอยู่เลย...นี่เมื่อแรกข้านึกว่าเจ้าจะด่าเด็กนั่นเปิงแล้วเสียอีกนะ " อะแซหวุ่นกี้ที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะรบที่ค่อนข้างจะสะอาดสะอ้านกว่าของมังฆ้องนรธาพูดพลางกลั้วหัวเราะไม่หยุด ในขณะที่แม่ทัพมังฆ้องขับเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเดือดดาลทันที
" เด็กนั่นที่เจ้าว่าน่ะคือราชบุตรแห่งพ่ออยู่หัว ขืนด่าก็นรกกินกบาลน่ะสิ...ถ้าข้าจะด่าใครก็เห็นควรแต่เจ้าคนเดียวนั่นแหละ!...ทำไมเมื่อครู่เจ้าไม่ช่วยข้าทัดทานห้ามปรามเจ้าชายมังเวง เอาแต่นั่งเงียบเป็นหุ่นปั้นอยู่ได้ หา? อะแซหวุ่นกี้! "
" ทัดทาน? เจ้าก็รู้เช่นเห็นชาติอยู่ว่าเจ้าชายมังเวงเวลานี้ยังหนุ่มฉกรรจ์ เต็มไปด้วยทิฐิมานะที่จะสร้างเกียรติยศให้ได้อย่างผู้เป็นพระเชษฐา ให้เจ้าอธิบายจนปากฉีกก็รังแต่จะราดน้ำมันลงกองเพลิงนั่นแหละ "
" เจ้านี่มัน! "
" เรื่องด่าข้าเอาไว้ทีหลังดีกว่าน่า มังฆ้องนรธา...เวลานี้เจ้าควรเริ่มคิดว่าเจ้าจะทำการใดต่อไปดีมากกว่านะ "
มังฆ้องนรธาเหลือบมองสหายผู้กวนโทสะเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจไม่พูดว่า ถ้าเจ้าไม่กวนโทสะข้า ป่านนี้ข้าคิดหาหนทางแก้ไขออกตั้งนานแล้ว! เพราะอย่างไรสหายคนนี้ก็คงจะไม่สำนึกผิดอะไรอยู่แล้ว...จอมทหารวัยกลางคนยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนจะเปรยออกมาเบาๆว่า
" อย่างไรเราก็ต้องหาทางแก้ไขพระองค์ให้คืนกลับมาได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้ว เพราะถ้าขืนพระองค์เป็นอะไรไปขึ้นมา ทั้งข้าทั้งเจ้าคงได้หัวขาดกระเด็นเป็นแน่...เจ้าไปเตรียมกำลังพลของเจ้าไว้ให้พร้อมสรรพ เราจะยกทัพตามไปหนุนทัพม้าของเจ้าชายมังเวง " มังฆ้องนรธาสั่งพร้อมกับชักม้าเตรียมจะหันหลังกลับ แต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอะแซหวุ่นกี้ยังคงนั่งแหงนหน้ามองฟ้าอย่างครุ่นคิดและไม่รีบไม่ร้อน จนเขาต้องเอ่ยปากตวาดเร่งอีกครั้ง
" อะแซหวุ่นกี้! "
" หากเราแก้ไขพระองค์กลับมาอย่างที่เจ้าบอกโดยปรกติ มังเวงราชบุตรก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย...ข้าเข้าพระทัยมาะของพระองค์นะ แต่... "
" แต่? "
ถึงตรงนี้ อะแซหวุ่นกี้จะค่อยๆฉีกยิ้มกว้างออกมาราวกับนึกแผนการอะไรที่ไม่เข้าท่าในความคิดของมังฆ้องนรธาออกแล้ว ก่อนที่เขาจะพูดพลางกลั้วหัวเราะข้าๆว่า
" ข้าขอถามเจ้าก่อน...เจ้าเชื่อในแผนการของข้าเพียงใดกัน? มังฆ้องนรธา "
" ไม่เชื่อเลยแม้แต่สักเศษเสี้ยวโว้ย! "
...............................................
...ย้อนกลับมาที่ทัพม้าภายใต้การนำของมังเวงราชบุตร พระองค์ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการตะบึ่งม้าห้อมาอย่างเต็มกำลังเพื่อไล่ตามผู้คนที่หลบหนีเมื่อเมืองปราณบุรีแตก ซึ่งระหว่างทางพระองค์และเหล่าทหารม้าภายใต้การนำของพระองค์ก็สามารถจับชาวบ้านผู้หนีภัยสงครามและสังหารเหล่าทหารที่แตกทัพจากปราณบุรีตามรายทางจนได้ทั้งสรรพวุธและเชลยศึกมาเป็นจำนวนไม่น้อย สร้างความฮึกเหิมให้กับพระองค์และเหล่าทหารม้าใต้อาณัติของพระองค์เป็นอย่างมาก...
...จนกระทั่งความฮึกเหิม นำพาม้าศึกของพวกเขาล่วงเลยมาถึงเขตชายแดนเมืองเพชรบุรี...
...เขตรอยต่อระหว่างเมืองปราณบุรีและเมืองเพชรบุรีนั้น ตามชัยภูมิเป็นหนทางที่ค่อนข้างจะทุรกันดารพอสมควร เพราะมีเทือกภูเขาสูงอยู่ที่ด้านขวา(ตามพงศาวดารและการรวบรวมข้อมูลเห็นว่าน่าจะเป็นเทอกเขาบรรทัด) ในขณะที่ด้านซ้ายเป็นทะเลสุดลูกหูลูกตา เหลือไว้เพียงทางแคบๆที่เหล่าทหารม้าควบผ่านเท่านั้น ซึ่งตามปรกติสามัญแล้วไม่มีแม่ทัพนายกองคนใดกล้าเคลื่อนกำลังพลผ่านโดยไม่ได้มีกองหนุนหรือการวางแผนรับมือไว้อย่างแน่นอน แต่ในเวลาเช่นนี้เหล่าทหารม้าในอาณัติของเจ้าชายมังเวงต่างก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิมและสำคัญว่าอีกฝ่ายคงจะไม่คิดจะวางกับดักตีโต้ใดๆแน่...แต่พอพวกเขาควบม้าพุ่งมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องก็เกิดทันที...
" เจ้าชายมังเวง! มีคนอยู่ที่ชายป่าพุทธเจ้าข้า! "
เสียงตะโกนของทหารม้าที่ตามติดมาอย่างกระชั้นชิดทำให้เจ้าชายมังเวงหันขวับไปมองในด้านที่ทหารม้านายนั้นชี้ทันที ก่อนที่สายตาอันคมกล้าของเขาจะไปพบกับชายหนุ่มผมสีทองแดงที่อยู่ในชุดที่ราวกับเป็นทหารเลวคนหนึ่งที่ยืนอยู่อย่างผิดปรกติและผิดที่ผิดทางที่สุด แต่ในสายตาของเจ้าชายผู้หวังจะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แบบเดียวกับที่พระเชษฐาของพระองค์เคยทำแล้ว ชายคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเหรียญรางวัลอีกเหรียญหนึ่งที่พระองกำลังจะได้มาเลยแม้แต่น้อย
" อย่างนั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ! ไปจัดการมัน!! "
สิ้นคำสั่งที่ออกมาจากโอษฐ์ของเจ้าชายหนุ่ม ทัพม้าทั้ง ๕๐๐ ใต้อาณัติของพระองค์ก็เบนทิศทางไปยังชายป่าที่ชายหนุ่มผมสีทองแดงคนนั้นยืนอยู่ทันที
โดยหารู้ไม่ว่า...คราวนี้...พระองค์ไม่ได้เข้าไปในฐานะของพญาราชสีห์ที่พุ่งล่าเหยื่อ แต่เข้าไปในฐานะที่ไม่ต่างอะไรจากเนื้อตัวน้อย ที่กำลังวิ่งเข้าสู่ปากของพยัคฆ์...
...พยัคฆ์...ผู้มีนามว่าออกญาเพชรบุรี เรือง นั่นเอง...
" ท่านออกญาเพชรบุรี "
" ช้าไว้... "
" ท่านเรือง "
" ช้าไว้ก่อน...เป้ายังเล็กเกินไป "
" ท่านเรือง! "
" ... "
" ท่านเรืองขอรับ!! "
" เอาล่ะ...ปืนใหญ่น้อยหลังช้างทุกกระบอก...ยิง! " สิ้นเสียงตวาดก้องของออกญาเพชรบุรี เสียงกัมปนาทกึกก้องของปืนใหญ่น้อยหลายสิบกระบอกก็ดังขึ้นแทบจะในพร้อมๆกันจนกระทั่งมีแสงไฟพวยพุ่งแล่บออกมาจากแนวชายป่าล้อมรอบกองทัพม้าของมังเวงราชบุตรที่แทบจะเป็นตำแหน่งกลางทุ่งสังหารพอดิบพอดี ทำให้ก่อนที่เจ้าชายมังเวงจะได้ทันออกคำสั่งใดๆ ท้องฟ้าก็ปลิวว่อนไปด้วยห่ากระสุนปืนใหญ่น้อยเสียแล้ว
" ช...ชิบหายแล้ว! " เสียงของใครคนหนึ่งอุทานออกมาเป็นเสียงสุดท้ยที่มังเวงได้ยิน ก่อนที่เสียงทั้งหมดทั้งมวลจะถูกกลบด้วยเสียงลูกปืนใหญ่ที่ระเบิดพื้นทุ่งโล่งที่เหล่าทหารม้าทั้ง ๕๐๐ วิ่งอยู่ในบันดล
ตูม!
สิ้นเสียงระเบิด สิ่งที่ตามมาคือเศษซากของเลือดและเนื้อของทั้งจากม้าศึกและจากเหล่าทแกล้วกล้านักรบอันเก่งกาจของเจ้าชายมังเวงที่ปลิวว่อนไปทั่วทุกทิศทางจนระทั่งย้อมทุ่งหญ้าสีเหลืองอมเขียวให้กลายเป็นสีแดงเถือกในชั่วพริบตา ด้วยเหตุที่ลูกปืนที่ถูกยิงมาจากปืนใหญ่น้อยนั้นไม่ได้เป็นลูกตัน แต่เป็นลูกแตกซึ่งจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีที่กระทบพื้น ทำให้กลายเป็นดั่งสะเก็ดที่เป็นอันตรายต่อทุกๆชีวิตที่ถูกเข้า ทำให้หลังจากการยิงชุดแรกสิ้นสุดลง ทหารม้าทัพพม่ากว่า ๕๐ ถูกอำนาจการทำลายล้างของลูกกระสุนปืนใหญ่ส่งไปเฝ้าท้าวยมบาลในปรโลกทันที ในขณะที่อย่างน้อยอีกกว่า ๘๐ ต้องลงไปนอนงอก่องอขิงอยู่กับพื้น สิ้นสภาพการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่เกือบ ๔๐๐ ที่เหลือรวมถึงตัวของมังเวงราชบุตรตกอยู่ในความระส่ำระสายทันที
" เจ้าชายมังเวง! ขอคำสั่งด้วยพุทธเจ้าข้า! " หนึ่งในทหารคนสนิทของเจ้าชายมังเวงรีบหันมาตะโกนขอคำสั่งจากผู้บัญชาการของเขาทันที ก่อนที่ปืนใหญ่น้อยระลอกใหม่จะถูกบรรจุพร้อม และก่อนที่พวกเขาจะคุมม้าและทหารที่กำลังตื่นตระหนกไม่ได้อีกต่อไป...ทำให้นี่อาจจะเป็นคำสั่งสุดท้ายที่จะตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาที่เหลืออยู่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้
" ธ...โธ่โว้ย! ตั้งกระบวนทัพขึ้นใหม่แล้วฆ่าไอ้ระยำนั่นเสีย! อย่าให้มันหนี--- " คำสั่งของเจ้าชายหนุ่มจำต้องชะงักค้างอยู่ในลำคออีกครั้ง เพราะเมื่อสายพระเนตรของพระองค์กวาดไปที่ๆชายต้นเรื่องคนนั้นยืนอยู่ แต่เวลานี้นอกจากมันแล้วยังมีกองทัพช้างศึกนับร้อยเชือกที่กำลังตกน้ำมันเต็มที่พร้อมกับควาญช้างที่มีอาวุธปืนยาวครบมือ ยืนอออยู่เต็มไปหมด รอ...เพื่อรอรับคำสั่งของบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น
" ท่านเรือง... "
" เห็นไหมล่ะขอรับ? ไม่ได้คงกระพันชาตรี หรือมี ๔ เศียร ๘ กรเสียหน่อย...มันก็มนุษย์อย่างเราๆ...มนุษย์ ที่เจ็บได้ตายได้อย่างเราๆนี่แหละ " พระยาเพชรบุรี เรืองพูดพร้อมกับค่อยๆปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนคอช้างเชือกที่พ่วงพีที่สุด งาขาวยาวเฟื้อยที่สุด และดูแล้วท่าทางจะคลั่งน้ำมันมากที่สุด...ในขณะที่เจ้าพระยาศรีธรรมราชที่เวลานี้อยู่ในเกราะรบชั้นสูงและนั่งอยู่บนหลังช้างข้างๆกับช้างเชือกของเขาเหลือบสายตามามองพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
" น่าแปลกที่คนเช่นท่านคิดแผนการผ่าเหล่าผ่ากอเช่นนี้ได้ ทั้งที่ก่อนเข้าคุกท่านยังเป็นพวกโลกแคบหัวโบราณแท้ๆ...อะไรในคุกนั่นเปลี่ยนท่านอย่างนั้นหรือ? " ถ้าเป็นปรกติ คำพูดของออกญาศรีธรรมราชควรจะแทงใจดำของเรือง แต่เวลานี้เรืองกลับเลิกคิ้วพร้อมกับหันกลับมายิ้มตอบรับน้อยๆ
" คำถามของท่านผิดไปเล็กน้อยนะขอรับ ...ที่ถูกไม่ใช่อะไร "
" ? "
" แต่เป็น ใคร ต่างหาก "
" ท่านเรือง "
" ทหารอโยธยาทั้งหมด! บดขยี้พวกมัน! "
สิ้นคำสั่งที่ออกมาจากปากของเรืองเป็นดั่งประกาศิตที่ทำให้เหล่านายทหารที่อยู่บนคอช้างทุกนายออกคำสั่งช้างในบัญชาให้เคลื่อนกำลังพลโดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งๆที่หนึ่งในพวกเขา มีหลายๆคนที่ตอนแรกเคยมีอคติกับออกญาเพชรบุรี แต่เวลานี้พวกเขากลับยอมที่ใจทำตามคำสั่งขอชายผู้กลายเป็นผู้นำของเขาอย่างยอมรับโดยไม่รู้สึกเคอะเขินใดๆเลย
...พวกเขาได้รู้แล้ว ว่าชายคนนี้แหละ...คือผู้ที่พวกเขาสามารถฝากชีวิตของเขา ลูกเมีย และของไพร่ราบทหารเลวของเขาไว้ได้อย่างแน่นอน...
" ปัดโธ่โว้ย! ยิงมัน ยิงมัน! " เจ้าชายมังเวงตะโกนก้องอย่างเลือดเข้าตาพร้อมกับควักปืนสับนกออกมาและยิงไปที่อีกฝ่ายทันที แต่เพราะชัยภูมิ และการได้เปรียบเสียเปรียบกันเรื่องส่วนสูงระหว่างหลังม้ากับหลังช้างทำให้วิถีของกระสุนปืนไม่อาจจะทำอันตรายผู้ที่หลบอยู่บนคอช้างได้เลย ในขณะที่กระสุนปืนก็เล็กเกินไปที่จะล้มช้างตัวมหึมาได้เว้นแต่จะยิงเข้าจุดตายที่เล็กมากๆจริงๆ ไม่อย่างนั้นกระสุนก็ทำได้เพียงเพิ่มแรงบ้าเลือดให้กับช้างเท่านั้น และเวลานี้ช้างทั้งหลายก็กำลังคลั่งได้ที่เลยทีเดียว
ไม่มีเวลาให้นึกถึงลำดับชั้นการสั่งการ นายทหารองครักษ์ผู้ต้องมีหน้าที่พิทักษ์พระสวัสดิภาพของเจ้าชายมังเวงไม่อาจปล่อยให้เจ้าชายหนุ่มสั่งกองทัพที่เหลือให้ไปตายได้ เขาจึงหันปลายทวนกลับไปทางด้านหลังพร้อมกับตะโกนสวนคำสั่งของเจ้าชายทันที
" ทหารม้าทุกนายหันหลังกลับ ตั้งกระบวนรูปศรเตรียมตีทะลวง อารักขาเจ้าชายมังเวงกลับคืนสู่ค่ายทัพหลวง...ถอย! ถอย! ถอย!! "
" ว่าอย่างไรนะ?! " มังเวงราชบุตรแทบไม่อยากจะเชื่อพระกรรณตัวเองที่มีคนกล้าออกคำสั่งกับเหล่ากองทหารแทนพระองค์ และที่น่าเจ็บพระทัยหนักก็คือทหารม้าในอาณัติของพระองค์ทุกคนกลับทำตามคำสั่งนั้นอย่างพร้อมเพรียงพร้อมกับพาเจ้าชายเข้าไปอยู่ในกระบวนกลางลูกศรพร้อมกับวิ่งตะบึงกลับไปเพื่อหนีออกจากทุ่งสังหารให้เร็วที่สุดในทันที แต่การหันหลังให้กับกองพลปืนยาวบนหลังช้างเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเป้าให้ซ้อมยิงเลยแม้แต่น้อย
" ยิงตามที่เห็น! สังหารพวกมันให้ได้มากที่สุด! ปืนใหญ่น้อยหลังช้าง เล็งดักด้านหน้าพวกม้า สกัดอย่าให้พวกมันวิ่งไปได้ง่ายๆ " เรืองสั่งพร้อมกับประทับปืนยาวเข้ากับบ่าและยิงออกไปในทันที...แม้ว่าฝีมือปืนยาวของเขาจะไม่ได้เข้าขั้นเอกอุอะไรนัก แต่สำหรับกองทัพที่หันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีฝีมืออะไรก็ได้ ทำให้ทุกครั้งที่เสียงปืนดังขึ้นต้องมีทหารม้าพลิกตกจากหลังม้าหนึ่งคนเสมอ ไม่ว่าเสียงปืนนั้นจะดังออกมาจากเขาหรือจากผู้ใดก็ตาม...อาจจะมีบ้างที่กระสุนไม่ได้เข้าจุดตายจนตัดชีพทหารม้าเหล่านั้นไป แต่พวกที่โดนยิงจนตกจากหลังม้าโดยที่ไม่ตายนับได้ว่าโชคร้ายกว่า เพราะคราวนี้ออกญาเพชรบุรี เรืองต้องการเพิ่มขวัญกำลังใจทหารอโยธยาและทำลายขวัญของทหารพม่า เขาจึงไม่มีนโยบายในการจับเป็น ทหารที่นอนเจ็บอยู่จึงต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสยดสยองยิ่งกว่าด้วยการถูกกองทัพช้างที่ตามติดมากระทืบจนร่างแหลกเหลวจนไม่รู้ว่าศพใครเป็นศพใครเลยทีเดียวนั่นเอง!
อีกทั้งจากผลของการยิงปืนใหญ่น้อยดักหน้าตามคำสั่งของเรือง นั่นทำให้การล่าถอยของทัพม้าไม่เป็นรูปกระบวนไปอย่างที่ใจคิดและล่าช้าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือหลังจากไล่ตามอยู่เพียงชั่วไม่ถึงธูปไหม้หมดดอก ทหารม้าอันเกรียงไกรของเจ้าชายมังเวงก็เหลือรอดอยู่เพียงไม่ถึง ๑ ใน ๓ เท่านั้น!
" ระยำเอ้ย! เส้นทางมันกันดารเอ้อประโยชน์ให้ทัพช้างมากเกินไป เราไม่มีทางตีโต้ได้เลย! " นายทหารองครักษ์ผู้ออกคำสั่งผู้นั้นประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะพบว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปก็เพียงทำได้แค่ควบม้าหนีรอเวลาตายเท่านั้น ไม่ว่าเขาหรือเจ้าชายมังเวงก็ตามที
...หากไม่มีสถานการณ์ใดเปลี่ยนแปลง...
...ในชั่ววูบหนึ่งขณะที่เรืองกำลังส่งปืนที่ยิงแล้วไปให้ผู้ที่นั่งหลังช้างและกำลังจะรับปืนกระบอกใหม่ที่บรรจุเรียบร้อยแล้วมา อยู่ๆ ที่ข้างๆหูของเขาก็ปรากฏเสียงกรีดร้องของ ลูกขวัญ หนึ่งในสองสุดยอดกุมารีใต้อาณัติของเขา ที่กรีดร้องโดยไม่ให้เรืองได้ทันตั้งตัวเสียงดังลั่น
" พ่อ! ระวัง!! "
ถึงจะอยู่ในอารามตกใจสุดขีด แต่เรืองก็รู้ดีว่าการกรีดร้องของกุมารีของเขาที่ปรกติแล้วจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย(ถ้าหากได้กินดีอยู่ดี) ตะโกนเตือนข้างๆหูนี่หมายถึงอะไร
" ระยำเอ้ย! ทุกคนสั่งให้ช้างหยุดบัดเดี๋ยวนี้!! " ไม่มีเวลาพอให้เสีย เรืองตวาดก้องพร้อมกับทิ้งปืนคาบศิลากระบอกยาวในมือลงและคว้าขอสับมาสับลงบนหัวของช้างเพื่อบังคับให้หยุดวิ่งอย่างแรง
ในอีกด้านหนึ่งของแนวภูผาสูงของเทือกเขาด้านข้าง เสียงตวาดของเรืองดังขึ้นแทบจะในเวลาพร้อมๆกับที่เสียงตวาดของอะแซหวุ่นกี้ที่ดังก้องขึ้นจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแนวป่าว่า
" สีหนาทปืนไฟทุกกระบอก!...ยิงงงง!!! "
..........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ