ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
110)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ไม่กี่วันต่อมา... ณ เมืองเพชรบุรี...
...กำแพงเมืองเพชรบุรีเดิมทีมีสภาพตลอดทั้งกำแพงที่ค่อนข้างจะทรุดโทรมด้วยเหตุเพราะก่อสร้างมานานหลายชั่วอายุคนและปลอดจากการรับศึกสงครามมานานกว่าร้อยปี เวลานี้กลับกำลังถูกบูรณะซ่อมแซม ปรับปรุงขึ้นใหม่อย่างเร่งด่วนด้วยแรงของเหล่าไพร่ราบทหารเลวที่ถูกเกณฑ์มาหลายร้อยนาย ที่ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนที่พวกตนได้รับมอบหมายมา...บ้างช่วยกัแบกไม้แหลมซี่ใหญ่ๆมาปักไว้เป็นขวากหนาม บ้างก็ขึ้นบนนั่งร้านเพื่อเติมอิฐเติมปูน เสริมความแข็งแรงให้กับกำแพงเมืองที่เข้าขั้นล้าสมัยนี้เตรียมรับศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ...โดยที่ไม่บอกก็รู้ว่างานที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นงานขุดลอกคูคลองที่อยู่ด้านหน้ากำแพงเมืองที่ตื้นเขินให้กว้างและลึกลงไปให้กลายเป็นปราการธรรมชาติอีกชั้นในการปกป้องเมืองหน้าด่านที่สำคัญในศึกครั้งนี้ไว้ ซึ่งงานนี้แทบไม่มีทหารหน่วยไหนอยากจะได้รับมอบหมายเลย เพราะนอกจากจะเป็นงานที่สกปรกและเปียกปอนมะลอกมะแล่กแล้ว ดินโคลนที่ถูกขุดถ่ายออกมาก็ทั้งเหนียวทั้งหนักแรงจนกระทั่งมีหลายๆคนเริ่มเหล่มองหาร่มไม้ที่นั่งพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้ากันแล้ว แม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาเช้าที่ทุกคนพึ่งจะเริ่มทำงานได้ไม่นานนักก็ตามที...
วูบ!
ภาพของม้าเร็วสีขาวตัวพ่วงพีที่มีกล้ามเนื้อมันเลื่อมเป็นมัดๆ และคนนำสารผิวดำมะเมื่อมที่ผอมเกร็งจนดูขัดตาที่สะพายเอาถุงผ้าสีแดงสดมาด้วย พุ่งทะยานข้ามสะพานไม้ไผ่อย่างหยาบๆที่สร้างขึ้นเพื่อทอดผ่านคูน้ำที่กำลังถูกขุดลอกนี้ไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด เป็นภาพที่เห็นได้อย่างชินตา...เพราะเมืองเพชรบุรีนี่เป็นเมืองหน้าด่านที่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิเดือดในไม่ช้าไม่นานนี้ หากเมืองปราณบุรีที่กำลังต้านทานศึกพม่าในเวลานี้เกิดแตกพ่ายลง...ทำให้เหล่านกพิราบสื่อสารและเหล่าม้าเร็วจากทั้งเมืองปราณบุรีที่รับศึกอยู่ และจากพระนครต่างก็เข้าออกไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้เหล่าไพร่ราบทหารเลวที่ถูกกะเกณฑ์มาทำงานไม่เสียเวลามาให้ความสนอกสนใจอะไรมากนัก ยิ่งกับเหล่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ลงไปขุดลอกคูคลองยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเพื่อการประหยัดพลังงานไว้ทำงานให้ตลอดรอดฝั่ง พวกเขาทั้งหลายถึงกับไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากงานของตนเลยด้วยซ้ำ...มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวที่หยุดเสียมที่อยู่ในมือและเงยหน้าที่เวลานี้ชุ่มไปด้วยน้ำคลองและเหงื่อเม็ดโป้งๆขึ้นมาขมวดคิ้วมองตามม้าเร็วตัวนั้นไปอย่างผิดสังเกต
...ชาย...ผู้มีเส้นผมเป็นสีทองแดงตลอดทั้งหัว...
...พระยาเพชรบุรี...เรือง...
' ...ม้าเร็วกับคนนำสารนั่น...แปลก...ตัวคนนำสารเห็นได้ชัดเลยว่าเร่งเดินทางมาตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้หลับได้นอนเลยแม้แต่น้อย...แต่ตัวม้าเร็วกลับไม่ได้ดูมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลย ทั้งๆที่ถูกเฆี่ยนวิ่งห้อมาอย่างเต็มเหยียดอย่างนั้นแท้ๆ...สับเปลี่ยนม้ามาตลอดทางเลยสินะ...สารอะไรกันที่ต้องเร่งมาให้ถึงที่นี่ขนาดนั้นเชียว ' พระยาเพชรบุรีที่เวลานี้หยุดมือและใช้ผ้าขาวม้าที่เคียนเอวอยู่ขึ้นมาเช็ดหน้าและวิเคราะห์ในใจเล็กน้อย...ก่อนที่เขาจะลุยโคลนขึ้นจากคูที่เริ่มกว้างและลึกขึ้นเรื่อยๆนี้อย่างช้าๆ เพราะเขาเริ่มจะคาดเดาที่มาและความสำคัญของห่อผ้าสีแดงที่ติดมากับหลังของคนนำสารนั่นมาได้อย่างลางๆแล้ว
ซึ่งเขาก็ไม่ได้คาดเดาผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเพียงเขาขึ้นมาพ้นขอบคูน้ำเท่านั้น นายทหารระดับออกพระชราซึ่งเป็นขุนนางเก่าแก่ประจำเมืองเพชรบุรีตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังคงดำรงตำแหน่งพระยาเมืองเพชรบุรีอยู่ก็วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับพูดปนหอบหายใจระรัวทันที
" ท...ท...ท่าน ร เรือง! "
" ช้าไว้ ท่านออกพระ...ค่อยๆหายใจก่อน " เรืองใช้ผ้าขาวม้าเช็ดเหงื่อไคลตามร่างกายอีกครั้งพร้อมกับโคลงหัวและพูดเบาๆพลางลูบหลังคุณพระที่เคยเป็นข้าเก่าของเขา ในขณะที่ออกพระผู้นั้นหอบจนตัวโยนก่อนจะค่อยๆฝืนพูดออกมาช้าๆ
" ม...ม้าเร็ว...ม้าเร็วจากพระนครขอรับ! น...นำพระราชสารคำสั่ง ล และ "
" และ? "
" พ...พระแสงดาบฝักทองอาญาสิทธิ์ขอรับ "
" เฮ้อ...ในที่สุดก็มาเสียที...ทั้งที่ควรจะมีพระราชดำรัสแต่งตั้งได้เสียตั้งนานแล้ว... " เรืองครางออกมาเบาๆพร้อมกับเหลือบมองไปที่ศาลาใหญ่ที่ถูกปลูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆที่ริมกำแพงเมืองอันเป็นที่สำหรับประชุมราชการศึกของเหล่าขุนนางทั้งหมดทั้งปวง ทั้งที่มาจากพระนครในฐานะกำลังเสริม และพวกที่หนีตายมาจากหัวเมืองฝั่งภาคใต้ที่แตกพ่ายไปหมดแล้ว...ที่นี่มีทั้งพระยาผู้ครองหัวเมืองใต้หลายๆคนที่หลบหนีมาได้ และพระยาที่ถูกส่งมาต้านทับพม่าที่กุยบุรี (แต่ถูกบังคับให้ล่าถอยกลับมา) ซึ่งเพราะทุกคนต่างก็เป็นพระยาที่มีศักดินาห่างกันไม่มากไม่มายเท่าไหร่ สภาพการประชุมศึกจึงตกอยู่ในภาวะที่ไม่มีใครสั่งใครได้เพราะไม่มีใครยอมฟังใครนั่นเอง
" กว่าจะมาได้...เล่นเอาพระเดชพระคุณทั้งหลายกัดกันเสียจนแทบได้แผล...ก็ดี คราวนี้จะได้รู้เสียทีว่าคนสั่งการจะเป็นใคร ระหว่างออกญาศรีธรรมราชแห่งนครศรีธรรมราช กับท่านออกญาที่มาจากพระนคร " เรืองพูดพลางรับกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำจากพวกเด็กๆขึ้นมาดื่ม ก่อนที่เขาจะคว้าจอบของตนขึ้นพาดบ่าพร้อมกับเหลือบหันมาพูดกับออกพระที่มาแจ้งข่าวเบาๆว่า
" อย่างนั้นท่านออกพระก็ไปฟังดูเสียเถอะว่าผู้ใดจะได้รับราชโองการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพ ได้เรื่องอย่างไรแล้วค่อยมาบอกกล่าวกับข้าก็แล้วกัน " เขาพูดพลางเตรียมจะลงไปขุดลอกคูน้ำต่ออย่างไม่สนใจเรื่องอะไรพรรค์นี้เลย แต่เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเพราะออกพระชราตรงหน้ารีบร้องห้ามเขาไว้ทันที
" ท...ท่านออกญา ท่านเองก็จำต้องมาด้วย "
" หืม? ไม่ต้องหรอก ...เรื่องการขุดขยายคลองและซ่อมแซมค่ายคูประตูหอรบสำคัญกว่าเรื่องพรรค์นั้นมากนัก ...ก็อย่างที่ข้าบอก ได้เรื่องอย่างไรค่อยมาบอกข้าก็แล้วกัน " เรืองพูดเบาๆอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้เขาจะต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างผิดสังเกต เพราะออกพระตรงหน้ารีบส่ายหน้าหวือๆพร้อมกับพยายามอธิบาย
" ท...ท่านเรือง ท่านยังไม่เข้าใจ "
" หา? "
" ท่านต้องไปรับราชโองการนี้...ด...ด้วยตัวท่านเอง...เพราะราชโองการและพระแสงดาบ ถูกส่งมาพระราชทานให้แก่ท่านขอรับ ท่านเรือง "
" หา??? "
........................................
...พิธีอ่านพระราชโองการแต่งตั้งและพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ฝักทองอันเป็นสัญลักษณ์ประจำกายของตำแหน่งแม่ทัพเป็นไปอย่างรวบรัดและรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาที่ออกจะเคลือบแคลงและถึงกับไม่อยากจะเชื่อถือของเหล่าขุนนางระดับพระยาและเจ้าพระยาหลายต่อหลายคน ทั้งที่ถูกส่งมายันศึกจากเมืองหลวงและที่หนีภัยสงครามจากภาคใต้มา ในขณะที่ออกญาเพชรบุรีเองในเวลานี้ยังคงอยู่ในสภาพนุงผ้าตัวเดียวที่ถูกถกเขมรหยักรั้งขึ้นสูงเพื่อให้ทำงานได้อย่างทะมัดทแมงแต่ก็มีสภาพราวกับไพร่เลวไม่มีผิด ดีอยู่อย่างเดียวที่อย่างน้อยๆเขายังถูกจับเช็ดตัวให้สะอาดปราศจากดินโคลนแล้ว...เรืองคุกเข่าลงต่อหน้าผู้นำพระราชสาสน์ร่างผอมเกร็งอย่างงงงวยจับต้ชนปลายไม่ถูก ในขณะที่ผู้นำสารที่มากับม้าเร็วคลี่ม้วนราชโองการดิ้นทองออกอย่างช้าๆและประกาศราชโองการแต่งตั้งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าไม่มีผู้ใดที่อยู่ในศาลาประชุมแห่งนี้ฟังผิดแน่...
...พระแสงดาบอาญาสิทธิ์ฝักทองเล่มงามที่มาพร้อมกับอำนาจอันเด็ดขาดนี้ถูกพระราชทานมาให้กับพระยาเพชรบุรี...มาให้กับนายเรืองผู้นี้ไม่ผิดแน่นอน...
เรืองใช้สองมือที่ซอกเล็บยังคงเปื้อนดินโคลนอยู่เล็กน้อยรับเอาดาบที่มีสีทองอร่ามตอลดทั้งเล่มนั้นช้าๆอย่างยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก...ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดต่างๆนานาสมปนเปกันไป ที่มีจุดประสงค์เดียวกัน คือพยายามหาเหตุผลที่สมเหตุสมลที่สุด ที่ดลพระทัยให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เขาเคยถึงกับพยายามลอบปลงพระชนม์ในอดีต ไว้วางพระราชหฤทัยถึงขนาดยินยอมปลงพระทัยมอบพระแสงดาบและอำนาจในการรบในฐานะแม่ทัพเฉพาะกาลให้แก่เขา...แต่เหตุผลเดียวที่เขานึกออกในร้อยพันเหตุผลที่ไม่เข้าท่าทั้งหลายนี้ กลับเป็นชื่อของคนๆหนึ่ง...
...ชื่อของชายคนหนึ่ง...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...ไกร...
ตุ้ม...ตุ้ม...ตุ้มๆๆๆๆ
หลังจากที่พิธีพระราชทานอำนาจเบ็ดเสร็จของทัพอันถูกประกอบขึ้นอย่างลวกๆของเรืองจบลงเพียงไม่ถึงกึ่งอึดใจ ก่อนที่ผู้ใดจะได้ทันเอ่ยอะไรออกมา เสียงของกลองขนาดใหญ่ที่ดังระรัวมาจากหอสังเกตุการณ์สูงที่ถูกปลูกอยู่ไกลจากกำแพงเมืองออกไปด้านทิศที่ตั้งของเมืองปราณบุรีอันเป็นเมืองด่านหน้าที่รับศึกอยู่ เสียงอันดังก้องนี้ทำให้เหล่าขุนนางทุกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ถึงกับต้องทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาอย่างตกใจพร้อมกับหันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก เพราะพวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่าเสียงกลองสัญญาณที่ดังระรัวนี้หมายความว่าอย่างไร
ผู้ที่ยืนสังเกตุการณ์อยู่บนหอกลองสังเกตุเห็นสิ่งผิดปรกติ...ในขณะที่เวลานี้เรืองเองก็ยังสังเกตุเห็นถึงสิ่งผิดปรกติที่ว่านั้นได้ ...พวกชาวบ้านที่ทยอยอพยพหนีภัยสงครามที่ผ่านประตูมาตลอดทั้งวันทั้งคืนเวลานี้กลับเร่งรีบตาลีตาเหลือกแบกหม้อแบกไห หรือที่หนักหน่อยก็พากันทิ้งข้าวของที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาลงและวิ่งเข้าเขตกำแพงเมือง ทั้งลูกเล็กเด็กแดงไปจนถึงเฒ่าชแรแก่ชรา ซึ่งเป็นท่าทีที่ผิดปรกติอย่างที่สุด เพราะเมืองเพชรบุรีเปิดรับผู้ที่หลีกหนีภัยสงครามทุกผู้ทุกคนอยู่แล้วแท้ๆ
ก่อนที่ผู้ใดจะได้ทันเอ่ยอะไรออกมา คำเฉลยก็มาถึงพร้อมกับม้าเร็วตัวพ่วงพีที่ถูกควบมาโดยนายทหารนำสาส์นร่างผอมเกร็งดำมะเมื่อมทั้งยังโชคเลือดอีกคนหนึ่งที่บังคับม้าจนแทบจะพุ่งขึ้นมาบนศาลาที่ประชุมแห่งนี้ พร้อมๆกับที่ผู้นำสาส์นคนนั้นจะวิ่งลงมาจากหลังม้าและตะโกนลั่น
" ข...ข่าวจากแนวหน้า! เมืองปราณบุรี ณ เวลานี้แตกพ่ายแล้ว ทั้งทัพหน้าพวกพม่ามันก็ไล่ตามผู้ที่หนีตายมาอย่างกระชั้นชิดแล้วขอรับ! "
" ว...ว่าอย่างไรนะ?! "
" ฉ...ฉิบหายล่ะ! "
เสี้ยววินาทีที่คำอุทานที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นักที่ออกมาจากปากของขุนนางคนใดคนหนึ่งสิ้นเสียงลง บนศาลาการประชุมขนาดใหญ่แห่งนี้ก็ตกอยู่ในห้วงมิคสัญญีที่เกือบจะเข้าขั้นกลียุคขนาดย่อมๆทันที เพราะเหล่าขุนนางที่ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังประชุมเคร่งเครียดเพื่อรับมือศึกพม่าอยู่แท้ๆ บัดนี้กลับพากันแตกตื่นลนลาน หันไปพูดด้วยเสียงดังเกือบจะตะโกนใส่กันเซ็งแซ่ราวกับนกกระจอกแตกรัง ในขณะที่บางคนที่อาการหนักหน่อยถึงกับนั่งเบิกตาค้างอย่างตกตะลึงและขวัญบินไปเลยก็มี
...บนศาลาที่มีขุนทหารอยู่เกือบ ๔๐-๕๐ คน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังควบคุมสติอยู่ได้...และหนึงในคนเหล่านั้นก็คือผู้ที่เวลานี้ใช้ือข้างหนึ่งกุมดาบสีทองอร่ามทั้งเล่มอยู่...ออกญาเพชรบุรี...เรือง...
" เงียบโว้ย! " เสียงตวาดดังสนั่นของเรืองทำให้ทุกคนที่ตะโกนแข่งกันจนฟังไม่ได้ศัพท์หยุดลงโดยพร้อมเพียงกันอย่างกะทันหัน ทั้งๆที่บางคนมียศถึงเจ้าพระยาและมีศักดินาสูงกว่าเรืองชนิดไม่อาจเทียบกันได้แท้ๆ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมันไปสนใจ...ชายหนุ่มผมสีทองแดงที่เวลานี้กลายเป็นแม่ทัพผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหลือบมองที่คนนำสาส์นที่ร่างโชกเลือดแต่ยังคงนั่งคุกเข่านิ่งไม่ไหวติงอยู่ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ
" เมื่อครู่...เจ้าบอกว่าทัพหน้าของพวกมันไล่ตามตีมาด้วย? "
" ขอรับ "
" กะประมาณได้ไหมว่ามันเป็นทัพเช่นไร และจำนวนเท่าใด? " คำถามของเขาทำให้คนนำสาส์นที่น่าจะหนีจากสมรภูมิเดือดมาเช่นเดียวกันขมวดคิ้วอย่างระลึกเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจตอบกลับมาอย่างไม่แน่ใจว่า
" ประ...ประมาณ ๕๐๐ ขอรับ แต่ส่วนใหญ่เป็นทหารหลังม้าที่เจนสงครามและกล้าแข็งกว่าทัพของพวกเรามาก...ร...ราว...ราวกับว่า--- "
" เอาล่ะ พอแล้ว " เรืองรีบชิงตัดบทเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมาด้วยความขวัญหนีดีฝ่อจากการถูกทัพพม่าตีเมืองแตก...ชายหนุ่มเม้มริมฦีกปากพร้อมกับเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดขณะที่เดินไปยังชานศลาพร้อมกับเหม่อมองไปที่ภาพของเหล่าชาวบ้านที่ทั้งวิ่งทั้งเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ที่พาดผ่านคูน้ำเข้าเมืองไปแข่งกับเสียงกลองที่ย่ำระรัวพร้อมกับขยับปากพึมพำเบาๆโดยไม่มีใครได้ยินว่า
" ปราญบุรีแตกไวเหลือเกิน...เราใช้พิชัยสงครามแบบเก่าตั้งรับไม่ได้เลย... "
...ท่าทีไม่รีบร้อนของเรืองทำให้ขุนทหารหลายคนถึงกับชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ พร้อมๆกับที่ขุนนางวัยฉกรรจ์ที่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะมีบรรดาศักดิ์สูงไม่น้อยนายหนึ่งจะเดินเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงกร้าวๆว่า
" ท่านออกญาเพชรบุรี...ท่านสมควรจะออกคำสั่งให้คนของเราอพยพเข้าเมืองและนำปืนใหญ่และน้ำมันดินขึ้นจุกช่องเชิงเทินได้แล้ว "
" แล้วท่านคิดอย่างไรกับพวกชาวบ้านเหล่านี้กันล่ะ...ท่านออกญา " เรืองไม่หันมามองหน้าเขาด้วยซ้ำขณะพูด ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นชักสีหน้าเหมือนถูกดูถูก แต่เขาก็ยังพยายามพูดอย่างควบคุมอารมณ์ช้าๆว่า
" ราชโองการของพ่ออยู่หัวคือรักษาเมืองเพชรบุรีไว้ให้มั่น...เราจำต้องยึดตามคำสั่ง...การพยายามช่วยเหลือพวกมันคือความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น "
" โดยไม่จำเป็น? " คราวนี้เรืองหันกลับมาทวนคำอย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้มบางๆและพูดต่อว่า " ท่านกำลังบอกให้กระผมปิดประตูเมืองเพื่อรอรับศึกใหญ่และปล่อยพวกชาวบ้าน รวมไปถึงแม่ทัพนายกอง เหล่าทหารที่บาดเจ็บจากสมรภูมิให้เอาชีวิตรอดตายยถากรรมอย่างนั้นหรือขอรับ ท่านออกญา? "
ออกญาหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างเริ่มตามไม่ทัน แต่เขายืนยันความเห็นของตัวเองด้วยการพยักหน้าและรับคำอย่างช้าๆ
" เป็นเช่นที่ท่านพูดขอรับ "
" ดี...ยกกระบัตร! " เรืองตะโกนเรียกขุนนางที่ทำหน้าที่คล้ายกับสารวัตรทหารในปัจจุบัรด้วยนำ้เสียงแข็งกร้าวอย่างกะทันหันพร้อมกับประกาศคำสั่งเสียงดังลั่นว่า
" นำไอ้ออกญาฯขลาดเขลานี่ออกไปให้พ้นหูพ้นตาข้า...ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันอีก! "
" ว่าอย่างไรนะ?! "
" ...ส่วนที่เหลือ แบ่งกำลังของทัพเราทั้งหมดออกเป็นสองกอง กองแรกให้เป็นกองหนุนเกียกกาย คอยรอรับชาวบ้านและทหารที่บาดเจ็บหนีตายมาที่กำแพงเมือง และเตรียมปืนใหญ่ กระสุน ดินดำ รวมไปถึงน้ำมันดินไว้ให้พร้อมสรรพ... "
คำสั่งอย่างกะทันหันของออกญาเพชรบุรีที่ออกมาหลังจากคำสั่งปลดนายทหารคนสำคัญคนนึงทิ้งกลางอากาศอย่างไม่ใยดีทำให้เหล่าขุนนางที่เหลือตกตะลึงแทบจะอ้าปากค้าง...บางคนถึงกับคิดจะเข้าไปต่อว่าเรืองที่ทำเรื่องไม่เข้าท่านี้ด้วยซ้ำ แต่แล้วชายชราคนนึงก็ก้าวเดินออกมาด้านหน้าพร้อมกับหยุดความโกลาหลที่กำลังจะเกิดขึ้นไว้ได้อย่างชะงัดด้วยการพูดกับเรืองเบาๆว่า
" แล้วกองทัพส่วนที่เหลือเล่า...ทานออกญา "
ชายชราผมขาวร่างเล็กที่ออกมายืนถามคำถามตรงหน้าของเรืองทำให้เรืองขยับลอบยิ้มเล็กน้อย เพราะชายชราผู้นี้ไม่่ใช่ใครอื่น ...หากแต่เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราชชาติเดโช...เจ้าพระยามหานครู้มีศักดินาเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดี...เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมืองชั้นเอกที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับเจ้าพระยาพิษณุโลกนั่นเอง
" เชิญ...ตามกระผมมาเลยขอรับ...ท่านออกญา " เรืองค้อมหัวเล็กน้อยอย่างเคารพและขอบคุณในท่าทีไม่เป็นปฏิปักษ์และคล้อยตามของเจ้าพระยาที่มีศักดิ์สูงที่สุดในสถานที่แห่งนี้ ก่อนที่เขาจะเดินนำเหล่าขุนทหารบนศาลาแห่งนี้ไปอย่างช้าๆ ซึ่งทุกคนที่เดินตามมาต่างก็หันไปมองหน้ากันอย่างงงๆ
" ท่านเรือง " ชายชราผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราชเหลือบมองออกญาเพชรบุรีผู้กลายมาเป็นแม่ทัพต้านทานศึกนี้ ซึ่งเวลานี้กำลังเอาหมากยัดปากเคี้ยวหนุบๆอย่างไม่ทุกไม่ร้อนก่อนที่ในที่สุดเขาจะพูดอย่างแช่มช้าต่อว่า
" หวังว่าท่านคงจะคิดหาหนทางในการต้านทานศึกทัพพม่าอันแข็งแกร่งอยู่ สมกับที่พ่ออยู่หัวไว้วางพระราชหฤทัย ประทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์มาให้กับท่าน...ใช่หรือไม่ขอรับ? "
" แข็งแกร่ง?...โธ่...ท่านออกญาศรีธรรมราช...ท่านพูดราวกับไพร่พลทัพพม่ามี ๔ พักตร์ ๘ กรอย่างนั้นแหละ " เรืองพูดเบาๆระหว่างที่หมากยังคงเต็มปาก ก่อนจะพูดเสริมต่อว่า " ...ที่เราแพ้มาตลอดไม่ใช่เพราะพวกมันแข็งแกร่ง แต่พวกเราร้างศึกมานาน พิชัยสงครามของพวกเราก็ล้าสมัยจนไม่อาจจะต้านทานกลศึกที่ทันสมัยและทัพที่กล้าหาญเหล่านั้นได้ "
คำพูดของเรืองเหมือนกับเป็นการยกย่องศัตรูและกดดันพวกเดียวกันทำให้เจ้าพระยาเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ยังต้องยอมรับในเหตุผลของเรืองจนอดพยักหน้าอย่างคล้อยตามเบาๆไม่ได้
" ท่านจะบอกว่าหากยึดตามพิชัยสงคราม เราจะไม่มีวันชนะอย่างนั้นหรือ? "
" พิชัยสงครามมีหลักอย่างหนึ่งที่กระผมยอมรับ...คือการหลอกล่่อให้ศัตรูแผยจุดอ่อน...ก่อนจะตีเข้าที่จุดอ่อนนั้นอย่างถนัดถนี่ที่สุด...ท่านจำได้ไหมขอรับ ว่ากระผมถามไอ้คนนำสาส์นนั่นเกี่ยวกับทัพหน้าที่ไล่ตามมาของพวกพม่า "
" ขอรับ? "
" ทัพที่ตีปราณบุรีที่อยู่ในสภาพพร้อมรับศึกขนาดนั้นให้แตกได้ต้องไม่ใช่แค่ทัพหน้าอย่างที่เจ้าชายมังระเคยกระทำมาแน่...แต่ต้องเป็นทัพหลวงแห่งพระเจ้าอลองพญา...และต่อให้ทัพหลวงบอบช้ำจากการตีเมืองน้อยเพียงใดก็ตาม แต่ทัพหลวงก็ยังต้องพักเพื่อบำรุงไพร่พล ไม่มีทางที่ทั้งทัพจะเสี่ยงตามต่อตีมาถึงเขตแดนเมืองเพชรบุรีเราแน่ "
" ท่านจะบอกว่าพวกมันทีแค่ทัพหน้า...ที่ตามต่อตีมา? "
" ทัพพม่าในเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับปลาได้น้ำ พวกมันคงกะไว้ว่าเราคงจะตั้งรับรอในเมืองเป็นเต่าหดหัวในกระดองอย่างที่ไอ้ออกญาโง่เขลานั่นเสนอมาเป็นแน่ มันเลยได้ใจและตามมาด้วยทัพม้าเพียงห้าร้อยเท่านั้นเช่นนี้ "
" ท่านพูดราวกับว่าท่านคิดหาหนทางช่วยเหลือชาวบ้าน และตีโต้กลับพวกพม่าได้แล้วอย่างนั้น "
" กระผมบอกไปแล้ว...เราใช้รูปแบบตั้งรับเก่าไม่ได้ เราต้องคิดเสียใหม่...คิดอย่างเด็กคนหนึ่ง "
" ทั้งเราทั้งท่านต่างก็ไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว...เราทั้งคู่ต่างก็ชรากันแล้ว...ท่านเรือง " ออกญาศรีธรรมราชปรามเบาๆ ทำให้เรืองที่เดินเคี้ยวหมากนำไปอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ ทันที
" ฮ่าๆๆๆ ท่านพูดถูก...แต่เมื่อไม่นานมานี้ กระผมได้ไปพบเจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง...เด็กหนุ่มที่ใช้ความเป็นเด็กและทั้งความฉลาดและความเฉลียว ใช้ทั้งแม่ไม้และลูกไม้ ตอกผู้ใหญ่อย่างเราๆหลายคนจนหน้าหงายมาแล้ว "
" ท่านหมายถึงใครกัน? "
" ฮ่าๆ เรื่องหมายถึงใครน่ะช่างเถอะขอรับ ท่านเจ้าพระยา...มันมีเรื่องง่ายๆที่พวกเรารู้ตั้งแต่ยังเป็นทารกไม่ประสาแล้วเกี่ยวกับวัฏจักรและวงจรของเหล่าจตุบาททั้งหลาย เพียงแต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น เรากลับลืมเลือนมันไปอย่างน่าเสียดายเท่านั้น "
" ??? "
" วงจรที่ว่าต่อให้ม้าศึกที่แข็งแกร่งรบแพ้ไม่เป็นมาจากไหนก็ตาม ก็ยังต้องเกรงกลัวเหล่าคชสารตัวใหญ่ยักษ์อยู่ดีอย่างไรล่ะ ท่านออกญา...และท่านทั้งหลาย "
สิ้นคำพูดของเรือง พวกเขาทั้งหมดก็มายืนอยู่ตรงหน้าเพนียดที่ถูกปักสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ ทว่าภายในกลับอัดแน่นไปด้วยช้างที่ถูกคล้องเกณฑ์มานับเกือบร้อยตัวที่ยืนออกันอยู่เต็มพรื่ดไปหมด ในขณะที่เรืองคายหมากที่เคี้ยวจนแหลกในปากออกมาใส่ผ้าขาวบนมือ ก่อนจะห่อและยกขึ้นบรมกรรมคาถาจบเหนือหัวอย่างช้าๆ ก่อนจะสั่งให้ทหารและเหล่าหมอช้างที่ยืนคุมเพนียดอยู่เบาๆว่า
" แบ่งหมากนี้ออกเป็นส่วนๆ และแจกจ่ายให้ช้างกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะแบ่งได้ แล้วเตรียมช้างเสียให้พร้อมทั้งหมด "
" ขอรับ! "
" ดี...แล้วเราจะได้เห็นกันว่าพวกมันจะคงกระพันชาตรีจริงเช่นที่เขาร่ำลือหรือไม่ "
" ท...ท่านเรือง?! หรือว่าท่านจะ? "
" หึๆๆ พวกท่านทั้งหลาย...ถึงเวลาที่พวกเราจะโต้กลับพวกมันแล้ว! "
..........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ