ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.48K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) ...ตอนที่ ๑ ...มือสังหาร...(๔)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ===============================================
" ...นี่...ศกุนตลา...ข้าว่ามันชักจะไม่เข้าท่าแล้วนะ... " หญิงสาวชาวต่าชาตินามว่าอนาสตาเซียที่กำลังมองค่ายทหารพม่าผ่านกล้องส่องทางไกลกำลังสูงชั้นดี เอ่ยขึ้นอย่างผิดสังเกต เมื่อเห็นผ่านกล้องว่าเหตุการณ์มันเริ่มผิดปกติ ก่อนที่เธอจะหันไปส่งกล้องส่องทางไกลในมือไปให้หญิงสาวบนหลังม้าข้างๆ ดูบ้าง แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ ขณะใช้ตาเปล่าจ้องเขม็งไปที่ใจกลางค่ายอันเป็นที่ๆ น่าจะเป็นที่ตั้งของกระโจมที่พักของแม่ทัพอันเป็นเป้าหมายของสิงห์ ก่อนที่อึดใจต่อมาเธอจะถอนหายใจเฮือก
" ข้าเห็นแล้ว...ท่านอนาสตาเซีย...สิงห์ไม่ได้ใช้วิธีการปกติอย่างที่เขาเคยทำ...เขาไม่ได้ใช้ตัวเองและเสือสมิงอีก 3 ตน เป็นเหมือนลูกธนูที่ออกจากแล่งเพื่อพุ่งเข้าสู่เป้าหมายโดยไม่สนใจสิ่งอื่น......ครานี้มันต่างออกไป...ข้าสังเกตเห็นความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ ใจกลางค่าย....สิงห์คงจะใช้วิธีลอบเข้าไป...เขาน่าจะทำได้ดีจนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น....ข้าสังหรณ์ว่าสิงห์คงจะลอบสังหารแบบเงียบๆ ไม่สำเร็จ...อาจจะเป็นเพราะมังจากะเลตื่นอยู่...ไม่สิ ...ต่อให้ตื่นอยู่ แต่ความกะทันหันบวกกับระดับความเร็วของสิงห์ ทำให้มังจากะเลไม่น่าจะรอด....แสดงว่ามังจากะเลอาจจะมีพลังบางอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึงอยู่...อืม...ข้าว่าตอนนี้สิงห์คงกำลังตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ " ศกุนตลาหลับตาพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ได้เป็นฉากๆ และที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เธอวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องราวกับตาเห็นเลยทีเดียว
" ถ...ถ้าอย่างนั้นก็แย่น่ะสิ!...พวกเราต้องรีบเข้าไปช่วย!! " อนาสตาเซียร้องลั่น พลางชักม้าทำท่าจะควบตะบึงออกไป แต่ศกุนตลาโน้มตัวลงไปคว้าสายจูงม้าขืนรั้งไว้เสียก่อน
" กรุณาตั้งสติก่อนสิ ท่านอนาสตาเซีย...หากไม่นับสิงห์ที่อยู่ที่นั่น พวกเราก็มีกันอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น...ต่อให้เป็นพระยายมมาเองก็ไม่อาจฝ่าทหารเป็นกองทัพเข้าไปได้แน่...ขืนหักหาญฝ่าไปก็มีแต่ตายเปล่าเท่านั้น "
" ...ต...แต่ว่า...ถ้าใช้ วิชา นั่นของเธอ ก็น่าจะฝ่ากองทัพทหารเข้าไปเพื่อช่วยสิงห์ได้นี่! "
" วิชา ที่ท่านว่านั่น ใน 1 ราตรีข้าสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น...และท่านผู้เฒ่าก็ได้กำชับนักกำชับหนาแล้วว่าให้ข้าใช้ต่อเมื่อได้เห็นพลุสัญญาณถอนตัวของสิงห์เท่านั้น...ข้าไม่อาจเสี่ยงใช้ไพ่ตายเดียวของข้าเพื่อเสี่ยงฝ่าเข้าไปได้...สิงห์เองก็รู้ข้อนี้ดี "
" ล...แล้วถ้าหากตอนนี้สิงห์ถูกคร่ากุมตัวไว้จนไม่อาจใช้พลุสัญญาณได้ล่ะ?!! "
แม้จะเป็นถ้อยคำที่น่ากลัวจนชวนสะอึกแค่ไหนก็ตาม ดวงตาของศกุนตลากลับยังจับจ้องไปที่ค่ายทหารพม่านิ่งจนแทบไม่ไหวติงอย่างสะเทือนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ...ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกและเอ่ยขึ้นเบาๆ
" ...ถ้าหากการณ์มันเลวร้ายถึงขั้นนั้นจริง...ข้าก็คงต้องบอกว่า สิงห์คงจะทำบุญร่วมกับพวกเรามาเพียงแค่นี้...ท่านจะด่าข้าก็ได้นะ...คำพูดทุกคำของข้าอาจจะฟังดูขวานผ่าซากและโหดร้าย...แต่มันเป็นความจริง มันเป็นครรลองของโลกใบนี้...ที่แม้แต่ท่านเองก็ไม่อาจเปลียนมันได้... "
อนาสตาเซียหันควับมามองด้วยสายตาเขียวปัด ก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง...ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะด่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า...แต่เธอรู้จักกับศกุนตลามาดีเกินพอจะรู้ว่า ศกุนตลาไม่ได้พูดเพื่อประชดประชันหรือเพราะเกลียดขี้หน้าสิงห์...แต่เป็นเพราะเธอคิดอย่างที่เธอพูดจริงๆ ...ฉะนั้นด่าเธอไปก็รังแต่จะหมางใจกันเสียเปล่าๆ ...หญิงสาวจึงทำได้แค่เพียงหันกลับไปมองที่ค่ายทหารพม่านั่นพร้อมกับรำพึงเบาๆ
" สู้เขานะสิงห์...ไม่จำเป็นต้องสังหารมังจากะเลก็ได้...เพียงแค่จุดพลุสัญญาณให้เราเห็นเท่านั้น แล้วพวกเราจะเข้าไปช่วยเจ้าท่านที! "
...............................................
...ย้อนกลับมาที่สิงห์...
' แย่เหมือนกันแฮะ ...นอกจากจะเสียอาวุธชิ้นเดียวที่มีไปแล้ว มีดสั้นที่ไอ้เฒ่านี่แทงเข้ามาตอนแรกก็เสือกเสียบไปโดนหวีดที่เราเอาไว้ใช้สำหรับเรียกยัยชีวา มายา ราตรี จาเป็นรูโหว่ไม่สามารถใช้การได้อีกนี่สิ ...เรื่องเสียกริชยังพอทน แต่ที่เรียกยัยพวกนั้นมาช่วยไม่ได้นี่ไม่ไหวจริงๆ ...ไกรเองก็คงจะต้านพวกทหารคุ้มกันได้อีกไม่นาน ...ระยำแท้ๆ ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย !! ' ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงเฉยชาราวกับใส่หน้ากาก สิงห์วิเคราะห์สถานการณ์ที่เผชิญอยู่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะต้องยอมรับว่าสถานการณ์มันชักจะแย่ลงเรื่อยๆ สำหรับเขาเสียแล้วสิ
ชายหนุ่มเหลือบสายตากลับไปมองที่ทางเข้ากระโจม อันมีเสียงดาบกระทบกันดังลอดออกมาอย่างต่อเนื่องพลางอุ่นใจได้เล็กน้อย เพราะตราบใดที่เสียงเหล่านั้นยังคงดังไม่หยุดก็แสดงว่าไกรยังคงมีชีวิตรอดอยู่...แต่เสียงที่ดังอยู่จะดังไปได้อีกนานแค่ไหนมันก็เป็นอีกเรื่องนึง...
เขาเอื้อมมือไปจับกระบอกโลหะรูปยาวรีที่เหน็บอยู่เบื้องหลังของตนเอง พลางใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ที่อย่างน้อยกระบอกพลุสัญญาณที่ไว้ใช้สำหรับตอนถอนตัวหลบหนียังปลอดภัยดีอยู่....อันที่จริงแล้วเขาจะจุดมันเพื่อส่งสัญญาณขอถอนตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยด้วยซ้ำที่มังจากะเลยังคงมีชีวิตอยู่...เพราะฉะนั้นต่อให้เขาถอนตัวเสียตอนนี้ก็ไม่มีใครว่าเขาได้
...แต่เขากลับไม่ยอมใช้มัน...ถึงจะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่การยึดมั่นถือมั่นในศักดิ์ศรีโง่ๆ ของเขาเองก็เถอะ...แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อาจจะทำใจจุดพลุถอนตัวขึ้น ทั้งๆ ที่เป้าหมายของเขายังคงมีชีวิตอยู่ได้อย่างเด็ดขาด...
" หึๆ...ศักดิ์ศรีโง่ๆ " สิงห์อดหัวเราะเบาๆ อย่างสมเพชตัวเองไม่ได้ ก่อนที่เขาจะตาลุกวาวพร้อมกับตวาดดังลั่น!
" เข้ามา! มังจากะเล!! ณ ที่นี้ไม่มีซึ่งยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น...มีเพียงแค่เจ้ากับข้าเท่านั้น!! จงเข้ามาแล้วแสดงให้เห็นสิว่า เจ้ามีศักดิ์ศรีของชายชาติอาชาไนยแค่ไหน! ...เพราะในราตรีนี้ หากข้าไม่ตาย เจ้าก็ต้องม้วย!!! "
" โอหัง!! " เหมือนอสรพิษที่ถูกตีเข้าที่ขนดหาง! มังจากะเล แม่ทัพที่เป็นถึงเสือเก่าคำรามลั่นพร้อมกับโถมฟาดด้วยฆ้อนยักษ์ในมือ ชนิดที่ถ้าโดนจังๆ ต่อให้หนังทำจากทองแดง กระดูกทำจากเหล็กก็คงมีหวังได้แหลกคาที่แน่ๆ
" หัวใจวานร ! " เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ฆ้อนยักษ์จะฟาดเข้าถึงตัว สิงห์คำรามเบาๆ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะหายวับไปกับตา พร้อมกับโผล่ไปปรากฎตัวอีกครั้งอยู่บนขื่อาเหนือหัวของมังจากะเลอย่างไม่น่าเชื่อ!
"ผนึก ....หัวใจคชสาร !! " ทันทีที่สิ้นเสียงคำรามอีกครั้ง สิงห์ก็ทิ้งตัวลงมาพร้อมกับร่างกายที่หนักกว่าเดิมหลายสิบหลายร้อยเท่า...เขาทิ้งศอกลงใส่ดั้งจมูกของอีกฝ่ายโดยที่อดีตเสือเฒ่าไม่ทันได้ตั้งตัว...ผลก็คือดั้งจมูกของมังจากะเลอันเป็นส่วนอ่อนบอบบางถึงกับหักเสียงดัง กร๊อบ! อย่างน่ากลัว เลือดกำเดาสดๆ ทะลักทลายออกมาเป็นสายทันที!
" ...ผนึก ...อ๊ะ...ขออภัยด้วย...ข้าทำเจ้าเจ็บรึเปล่าเนี่ย? "
" ...อ...อั่ค ! ...ก ...แก !! ไอ้เด็กสารเลว !! ...ตอนที่ข้าฆ่าคนครั้งแรก เจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ ...หากข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าไมขออยู่เป็นคน !!! " มังจากะเลที่เลือดขึ้นหน้าตวาดลั่นอย่างเดือดดาลพลางควงฆ้อนในมือราวกับควงก้านกล้วยเบาๆ ก่อนจะฟาดเปรี้ยงหมายจะป่นกระดูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่อยู่ตรงหน้าให้ละเอียดไปคาตาให้ได้
" หัวใจวานร ! " ซึ่งผลก็ไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่อีกฝ่ายฟาดได้ก็คือธาตุอากาศอยู่ดี
" ...ผนึก ...หัวใจพยัคฆ์ !! " พริบตาที่ฆ้อนของอีกฝ่ายพลาดเป้า สิงห์ไม่ยอมให้โอกาสเสียเปล่าเลย...เขาผนึกวิญญาณเสือสมิงอันเป็นเป็นหนึ่งในวิญญาณที่ผนึกอยู่ในประคำของเขาเข้าร่างพร้อมๆ กับที่เขี้ยวและเล็บงอกยาวขึ้นอย่างน่ากลัว พริบตาเดียวที่เขาพุ่งใส่มังจากะเล ร่างที่แข็งแกร่งปานเหล็กเพชรจากวิชาคงกระพันชาตรีที่มังจากะเลมั่นใจนักมั่นใจหนากลับถูกกัด ข่วน กระปบ จนเต็มไปด้วยรอยแผลราวกับมีเสือโคร่งตัวย่อมๆ นับไม่ถ้วนพึ่งจะโถมเข้าโจมตีเขาสดๆ ร้อนๆ!
" อ...อึ่ก !! เป็นไปไม่ได้ !! วิชาเจ้าสามารถเจาะทะลุวิชาคงกระพันชาตรีได้ ?!! " จอมทัพเฒ่าครางลั่นพลางมองร่างที่ยับเยินของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
" ...ผนึก ...ใช่แล้ว...เพราะฉะนั้นทางที่ดีเจ้าควรจะยอมรับความตายเสียโดยดีดีกว่า อย่างน้อยข้าก็สัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าทรมานเลย "
" หุบปาก! ราตรีนี้ไม่เจ้าตาย ข้าก็ม้วยยย !!! "
...สำหรับสายตาของบุคคลภายนอก แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นการไล่ถลุงของสิงห์อยู่ฝ่ายเดียว แต่สำหรับสิงห์แล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป สถานการณ์ของเขาก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ...หากไม่นับทหารนับร้อยนับพันภายนอกที่มีเพียงไกรซึ่งเขาพึ่งรู้จักได้ไม่นานเป็นปราการสุดท้ายที่กั้นอยู่...วิชาที่สิงห์ใช้อยู่ก็เป็นวิชาที่กำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาในไม่ช้าก็เร็ว...
...วิชาที่เขากำลังใช้อยู่ มีชื่อว่า หัวใจราชันย์เดรัจฉาน เป็นวิชาต้องห้ามสำหรับผู้ใช้สัตว์สมิงทั้งปวง วิชานี้ใช้เขี้ยวหรือเล็บของสัตว์อาถรรพ์เป็นสื่อกลางในการอัญเชิญวิญญาณเข้ามาสถิตร่างเพื่อให้ได้รับความสามารถพิเศษบางอย่างของสัตว์ชนิดนั้นมา...แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นวิชาต้องห้าม...เพราะผลเสียของวิชามันสาหัสสากรรจ์จนความน่าใช้ไม่เหลือเลย นอกจากวิชานี้จะเสี่ยงที่ร่างกายจะรับน้ำหนักของวิญญาณสัตว์อาถรรพ์ไม่ไหวจนแตกสลายแล้ว วิญญาณของเขาก็เสี่ยงต่อการถูกกลืนกินจากวิญญาณอาถรรพ์ทุกครั้งที่เขาใช้...แม้แต่สิงห์ผู้แหกกฎของวิชานี้ได้เกือบทุกข้อ ก็ไม่อาจฝืนขีดจำกัดของตัวเองไปได้!...
พริบตาที่ฟาดฆ้อนวืดอีกครั้ง สิงห์ที่หมายรีบจบเกมอยู่แล้วก็พุ่งวูบขึ้นไปขี่คออีกฝ่ายพร้อมกับเชิงเทียนโลหะอันแหลมคมที่เขาหยิบติดมือมาได้เงื้อสูง และปักลงมาเต็มกำลัง!!
" ตายซะเถอะ มังจากะเล!! "
วิ้งงงงงงง !!!!
ชั่วเสี้ยวของเสี้ยววินาทีก่อนที่เชิงเทียนในมือจะแทงเข้าถึงลำคอของอีกฝ่ายเพียงองคุลีเดียว ร่างของสิงห์ก็ลั่นเปรี๊ยะ!! สั่นสะท้านอย่างรุนแรงจากผลพวงของการใช้ วิชา มากเกินไป ทำเอาชายหนุ่มชะงักกึก! ...แม้มันจะเป็นเพียงการชะงักไปไม่ถึงวินาทีก็ตาม แต่ในสถานการณ์ที่เสี้ยววินาทีใช้ตัดสินระหว่างความเป็นและความตาย ...เพียง 1 วินาทีก็มากพอจะทำให้เขาถูกฆ้อนที่เหวี่ยงมาจากมือของมังจากะเลเข้าเต็มรักโดยที่เขาไม่มีสิทธิ์ป้องกันตัวใดๆ โดยสิ้นเชิงเลย
กร๊อบบบบ !!!!
สิงห์ที่ถูกฆ้อนเข้าเต็มสีข้างปลิวตกลงมาเป็นว่าวป่านขาด เขากระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ทันทีที่ตกลงถึงพื้น บริเวณหน้าอกครึ่งซีกขวาที่ชาดิกไร้ความรู้สึก บวกกับการหายใจที่ติดขัดบอกให้เขารู้ทันทีว่า กระดูกซี่โครงซีกขวาของเขาคงจะแหลกยับไม่มีชิ้นดี แถมซี่โครงบางชิ้นคงจะหักเข้าไปทิ่มปอดของเขาอยู่ด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะเขาถูกฆ้อนที่สองที่เหวี่ยงลงมาหมายขยี้กระโหลกเขาให้แหลก สิงห์อาศัยจังหวะที่เขายังชาอยู่ตวัดพลิกตัววูบถลาไปกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง...แม้ว่าเขาจะอึดผิดมนุษย์ทั่วไป แต่ผลของการเลือดตกในทำให้เขาเริ่มตาพร่ามัวและเรี่ยวแรงถดถอยลงเรื่อยๆ
' ระยำเอ้ยยย ! ...ทำไมต้องมาออกอาการเอาตอนจังหวะสำคัญด้วยนะ !! ... ' สิงห์คิดในใจอย่างเดือดดาลตัวเองพลางกระอักเลือดอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะฝืนตะโกนลั่น
" ไกรโว้ยยย!! ยังไม่ตายใช่หรือไม่ ?! "
ไกรที่กำลังหลังพิงฝาใช้ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลพร้อมกับดาบ 2 เล่มรับมือกับทหารพม่านับสิบคนที่ล้อมรอบเขาอยู่ หันขวับกลับมาตะโกนตอบดังลั่น
" ยังโว้ยยย !! แต่คงอีกไม่นานหรอก! ...ถ้าแกจัดการไอ้มัง...มังห่ามังเหวอะไรนั่นเสร็จแล้วก็ออกมาช่วยกันหน่อยสิวะ!! "
สิงห์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะนิ่วหน้าซู้ดปากลั่นเพราะความชาบริเวณชายโครงเริ่มถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดแล้ว
" ขอโทษด้วยว่ะ ไกร...ข้าทำไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นถ้าจะหนีเจ้าก็ต้องรีบหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ...ก่อนที่จะสายเกินการณ์ "
" ก...แกว่าไงนะ?! "
" รีบไปซะ ...ถ้าไม่อยากมาตายพร้อมข้า...ไปสิโว้ยยยย!!!! "
ไกรกัดฟันกรอด ใจเขาอยากจะเข้าไปช่วยอีกฝ่ายใจจะขาด แต่พวกทหารพม่าที่เริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกทีคงจะไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้นแน่...แถมถ้าขนาดสิงห์ยังเสียท่า แล้วคนธรรมดาๆ อย่างเขา ต่อให้เข้าไปคงจะช่วยอะไรได้ไม่มากอยู่ดี เขาจึงทำได้แต่ทิ้งดาบลงและเอามือทั้งสองกุมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขามั่น
" ลาก่อนนะสิงห์...ความไม่จีรังคือความจริง ทุกๆ สิ่งล้วนขึ้นอยู่กับแค่การยอมรับ !!..." เขาตะโกนวลีที่เขาคิดว่าคงเป็นคีย์เวิร์ดสำหรับการย้อนเวลาลั่น ก่อนที่แหวนจะส่องแสงสว่างวาบจนสว่างไปทั้งกระโจม!!
วูบบบบบ !!!!!!!
" หึๆๆๆๆ ลาก่อนนะ ไกร...ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เจ้าก็เป็นสหายที่ดีที่สุดของข้าคนนึงเลย... " สิงห์หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะหันมาหามังจากะเลที่กำลังยืนจังก้าเงื้อฆ้อนขึ้นเหนือหัว
" เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าบาดเจ็บได้ถึงขนาดนี้...วางใจเถอะ...ข้าจะส่งเจ้าไปปรโลกให้เร็วที่สุด!! "
" ต้องมาโดนตาเฒ่าอย่างท่านฆ่าตายทำเอาข้าหัวเราะไม่ออกจริงๆ ...เถอะ...รีบจัดการให้เสร็จๆ ทีเถอะ มังจากะเล...ข้าพร้อมแล้ว... " สิงห์หลับตาลงอย่างปลงตก พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นยอมรับความตายตรงหน้าอย่างภาคภูมิ...ในชั่วเสี้ยววินาทีนึง เขาเหมือนกับได้เห็นหัตถ์อันขาวซีดของพญามัจจุราชยื่นมือมารอรับวิญญาณเขาแล้ว...
ฉึก !!!!!!!
' ........อืม ...นึกว่าความตายจะเจ็บปวดมากกว่านี้เสียอีก ... ' สิงห์ที่ยังหลับตาอยู่คิดในใจอย่างเงียบๆ ก่อนที่อึดใจต่อมา ความเจ็บปวดที่แผ่ออกมาจากสีข้างขวาของเขาทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะเขาคิดว่าความเจ็บปวดจะหายไปหมดเมื่อเขาตายแท้ๆ ก่อนที่ของเหลวอุ่นๆ หนืดๆ บางอย่างที่หกรดใบหน้าเขา จะทำให้สิงห์รู้ตัวเสียทีว่าเขายังไม่ตายพร้อมกับที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงเหนือขื่อกระโจมที่ส่องอย่างเลือนราง มังจากะเลค่อยๆ ปล่อยฆ้อนให้ตกลงพื้นอย่างช้าๆ ดวงตาของขุนพลเฒ่าเบิกโพลง พร้อมกับเลือดสีคล้ำที่ทะลักจากปากออกมาเป็นลิ่มๆ ...ที่คอของเขาถูกปักด้วยเศษกริชลงอาคมของสิงห์ ปักเข้าที่รอยแผลกัดจากวิชา หัวใจพยัคฆ์ ของเขา ตัดหลอดลมและเส้นเลือดใหญ๋จนทะลุออกมาอีกด้านนึง...มังจากะเลค่อยๆ ทรุดลง ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มที่แทงเขาจากทางด้านหลังโดยไร้ร่องรอย ปากที่เต็มไปด้วยโลหิตขยับพยายามพูดอะไรบางอย่าง
" ...เจ้า...เจ้า...ขะ ข้าไม่ยอมรับ! ...ข้าไม่ยอ---- " ก่อนที่เขาจะล้มครืนลงราวกับภูผาทลาย
...มังจากะเล...อดีตโจรป่าใจทมิฬผู้ก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดในฐานะแม่ทัพทัพหน้าของพระเจ้าอลองพญาสิ้นลมหายใจแล้ว...ดวงดวงตาที่เหลือกโพลงอย่างค้างคาใจ!...
...ตาย ตาไม่หลับ !!! ...
" ...สู่สุคติเถอะนะ ... "
" ก...ไกร?!! " สิงห์เบิกตากว้างอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าเขาพึ่งจะเห็นอยู่คาตาว่าเพื่อนร่วมห้องขังของเขา ที่ไม่รู้ผ่ากองทหารคุ้มกันเข้ามาได้อย่างไร พึ่งจะสังหารมังจากะเล และช่วยชีวิตเขาเอาไว้
...ม...ไม่ใช่...ถึงจะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นไกร...แต่สัญชาตญาณและลางสังหรณ์บางอย่างในตัวของสิงห์กลับบอกเขาว่าชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ไกร...หรืออย่างน้อยในช่วงเวลานี้ เขาไม่ใช่ไกรที่สิงห์รู้จักแน่นอน!...
ชายหนุ่มตรงหน้าหันสายตาที่ว่างเปล่าจนน่ากลัวมาหาสิงห์อย่างช้าๆ ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาของเขาจะเหลือกโพลงจนเหลือแต่ตาขาวพร้อมๆ กับที่ร่างนี้นค่อยๆ ทรุดลงอย่างช้าๆ
" ฮ...เฮ้ย?! " สิงห์ลืมความเจ็บปวดของตนไปชั่วขณะ...เขาพุ่งไปรับร่างของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ยังคงไม่สร่างตะลึง ก่อนที่เสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกจะปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์กลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง
เขาใช้มีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้นกรีดกระโจมออกเป็นทางยาว ก่อนจะกึ่งแบกกึ่งลากผู้ที่พึ่งจะช่วยชีวิตเขามาสดๆ ร้อนๆ ออกมาด้านนอก...โดยแทบไม่สนใจทหารพม่าเกือบ 20 คนที่เริ่มพากันล้อมเข้ามาก่อนจะหยิบกระบอกโลหะที่เหน็บอยู่ด้านหลังออกมากระแทกกับพื้นอย่างแรง
ฟิ้ว---------------------------ว ปุ้งงง !!
...ไกลออกไป...
" พลุสัญญาณ ! นั่นไงศกุนตลา สิงห์อยู่ตรงนั้น !! " อนาสตาเซียร้องลั่นพลางชี้ไปให้ดูตำแหน่งที่พลุพูกจุดขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี แต่เมื่อเธอหันกลับมาอีกครั้ง เธอก็เห็นเพียงม้าเปล่าๆ โดยที่คนขี่มันไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้แล้ว
" ปัดโธ่เอ้ย! ...ปากบอกว่าไม่สนๆ ที่แท้เธอก็เป็นห่วงเขามากกว่าใครเลยไม่ใช่รึไงกัน " หญิงสาวยิ้มพรายพลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใอยู่คนเดียว
แกว่กกกกกกกกก !!!
เสียงร้องอันโหยหวนยาวนานของนกอัปมงคลอย่างนกแสกที่บินโฉบลงมา ทำเอาทหารพม่าที่ตั้งวงล้อมเตรียมรุมขยี้สิงห์และไกรอยู่ถึงกับชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่พริบตาต่อมา กองทัพนกนับร้อยนับพันที่ประกอบไปด้วยนกตัวเล็กๆ อย่างนกกระจิบ ไปจนถึงแร้งตัวขนาดมหึมาก็พุ่งวูบจากฟากฟ้าลงมาราวกับห่าฝนลูกธนู ลงมารุมจิกตีสร้างความโกลาหลและกลียุคให้แก่ทหารพม่าไปทั่วทั้งค่าย ในขณะที่ฝูงนกอีกกลุ่มหนึ่งจะบินวนรอบๆ สิงห์และไกร สร้างกำแพงร่างแหอย่างหยาบๆ ขึ้นมา
" ข้ามารับแล้ว...สิงห์... " หญิงสาวนามว่าศกุนตลาที่อยู่ๆ ก็โผล่มาอยู่ด้านหน้าสิงห์อย่างไรก็ไม่ทราบได้พูดเรียบๆ พลางค่อยๆ ยื่นมามาประคองสิงห์ให้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน
สิงห์พยักหน้าซีดๆ จากการตกเลือดของเขาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะฝืนพูดขึ้นอย่างยากลำบากว่า
" พ...พา...พาชายคนนั้นไปด้วย "
" ว่าอย่างไรนะ?! "
" ข้าบอกว่าพา...เขาไปกับเราด้วย...เขาเป็นผู้ฝ่าทหารคุ้มกันเข้ามาสังหารมังจากะเล...ทั้งยังเป็นผู้ช่วยชีวิตข้าด้วย...นอกจากข้าจะเป็นหนี้เขาแล้ว ข้ายังอยากรู้ว่าเขาทำได้อย่างไรด้วย " สิงห์พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะก้มลงกระอักเลือดอีกครั้ง
" หวังว่าเจ้าจะมีเหตุผลที่น่าฟังพอเมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านนะ...ไม่เช่นนั้นต่อให้เจารอดจากที่นี่ได้ พอถึงหมู่บ้านท่านผู้เฒ่าก็คงได้ทำพิธีฝังเจ้าทั้งเป็นอยู่ดี "
" เถอะน่า...ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเขาเอง " สิงห์หันมาฝืนยิ้มอย่างเซียวๆ ในขณะที่ศกุนตลามองหน้าสิงห์อย่างชั่งใจครู่นึง ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือก
" ก็ได้...สิงห์...ถ้าลงเจ้าพูดขนาดนี้...เราจะพาเขากลับไปหมู่บ้านยุคันตวาตก็ได้ "
" ใช่แล้ว...ศกุนตลา...กลับ บ้าน เรากันเถอะ "
วูบบบบบบ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
......................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ