ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) ....ตอนที่ ๑ ...มือสังหาร...(๓)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...
" นี่...สิงห์ ที่นายบอกว่านายจะสังหารแม่ทัพมังจา...อะไรนั่น...นายไม่ได้จริงจังใช่ไหม? " ไกรที่กำลังถอดเครื่องแต่งกายออกจากศพของหารยามหันมาถามเพื่อนที่รู้จักกันได้ไม่ถึงวันเบาๆ ในขณะที่สิงห์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย
" หือ...นึกเช่นไรเจ้าถึงได้ถามเช่นนั้น? "
" เพราะฉันเดาว่าแกแค่พูดเพียงเพื่อเอาฮา...หมายถึงเอาตลกเฉยๆ ไงล่ะ "
" เอาตลก?...เจ้าเห็นข้าเป็นพวกจำอวดแบบเจ้างั้นรึ? ...ส่วนเรื่องคำถาม...ขออภัยด้วยนะ แต่ข้าพูดตามที่ข้าคิดจริงๆ "
" ทำไมวะ? แกเป็น...เอ่อ...เป็นทหารอยุธยางั้นเหรอ? "
" ก๊าก! ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าเอาตาที่ไหนมาดูว่าข้าเป็นทหารอโยธยากันวะ?...ก็ข้าพึ่งบอกอยู่ไปเพียงครู่เดียวนี่ว่า ข้าเป็นชาวหมู่บ้าน ยุคันตวาต ไงล่ะ...หาใช่ชาวเมืองใดไม่ "
" อ้าว?...ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่าแกเคียดแค้นอะไรกับทหารพม่างั้นสินะ? "
" เฮ้อ...ดูท่าว่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจนะ...ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขับไล่กองทัพพม่า แต่มาที่นี่เพื่อสังหารมังจากะเลเท่านั้น...อ้อ...และข้าก็ไม่ได้ทำเพื่อช่วยชาวอโยธยาหรือชาวใดๆ ด้วย "
" อ้าว...แล้ว? "
" ชาวหมู่บ้านยุคันตวาตมีกฎใหญ่ข้อนึงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการชิงกันเป็นใหญ่ในแผ่นดินสุวรรณภูมินี่ พวกเราเป็น มือสังหาร หาใช่กองทัพไม่ ...ลาภ และยศฐาบรรดาศักดิ์หาใช่สิ่งที่เราปรารถนา......พวกเราดำรงอยู่ในความมืดมิดเพื่อดูแลให้แสงสว่างยังคงอยู่.......ในยามที่โลกตกอยู่ในกลียุค พวกเราเป็นเพียงแสงสว่างเดียว...ในยามที่ทุกคนเชื่อในความจริงอย่างมืดบอด พวกเราเชื่อเพียงว่าความไม่จีรังต่างหากคือความจริง...ในยามที่คนอื่นถูกจำกัดด้วยกรอบแห่งศีลธรรม...พวกเราเป็นผู้เดียวทียอมรับมัน...สำหรับพวกข้า...มังจากะเลก็เป็นเพียงผู้ที่สมควรตายเท่านั้น... "
" หมายความว่ามังจากะเลเป็นคนชั่วช้างั้นสิ? " ไกรเกาหัวแกรกๆ พยายามแปลให้เป็นภาษาที่เขาเข้าใจได้ง่ายที่สุด
" ฮ่าๆๆๆ แค่คำว่าชั่วช้าสามานต์น่ะมันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ...มังจากะเลน่ะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เรื่องความโหดเหี้ยมมาตั้งแต่ก่อนที่พระเจ้าอลองพญาจะเกณฑ์ให้มาเป็นแม่ทัพด้วยซ้ำ ...มันเป็นเสือเก่า เที่ยวปล้นฆ่ามาทั่วทั้งลุ่มอิรวดี...แม่ทัพอะแซหวุ่นกี้จับมันได้เมื่อหลายปีก่อนคิดจะฆ่ามันทิ้งอยู่แล้ว แต่ความเก่งกล้าสามารถของมันเลื่องลือไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้ามังระ จนพระองค์พระราชทานอภัยโทษและแต่งตั้งให้มันเป็นถึงทัพหน้า...แต่แทนที่มันควรจะเลิกทำสันดานโจรป่า มันกลับยิ่งจองหองพองขน เข้าใจว่าเจ้าเหนือหัวแห่งราชอาณาจักรพุกามหนุนหลังมัน เที่ยวเกะกะปล้นสะดมไปทั่วโดยไร้ซึ่งความจำเป็น ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ระทางที่ถูกมันและพรรคพวกของมันเข่นฆ่าจนถึงบัดนี้มีไม่ต่ำกว่าพันชีวิต...ทางอโยธยาก็มัวแต่หดหัวเตรียมรับศึกอยู่แต่ในเมืองหลวง....พวกเราเป็นเพียงปราการด่านสุดท้ายที่จะเป็นผู้หยุดยั้งความชั่วช้าของมันได้... " ภายใต้ท่าทีที่ดูดิบเถื่อนราวกับโจรป่าของสิงห์ อุดมการณ์ของเขาและหมู่บ้านยุคันตวาตที่เขาว่าช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ไกรคิดไว้ราวฟ้ากับดิน
" นาย...ไม่สิ...หมู่บ้านของนาย...ทำอะไรอยู่กันแน่? "
สิงห์หันมายิ้มยิงฟันจนเห็นเขี้ยวขาวสะท้อนออกมาในความมืด
" หน้าที่ขอเราก็คือ...คืนความสมดุลให้กับโลกใบนี้ยังไงล่ะ... "
.....................................................
... ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน...
...กระโจมศึกของแม่ทัพมังจากะเลถูกสร้างให้เป็นกระโจมขนาดใหญ่ 2 กระโจมเชื่อมต่อกันจนมีขนาดใหญ่สมฐานะแม่ทัพซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของทัพหน้า ตัวกระโจมส่วนหน้าซึ่งติดกับทางเข้าที่พวกเขาพึ่งผ่านเข้ามาถูกจัดให้เป็นที่ประชุมการศึกกับเหล่าแม่ทัพนายกอง และเป็นที่เก็บหีบกำปั่นที่บรรจุทรัพย์สมบัติที่พวกมันปล้นสะดมตามเบี้ยบ้ายรายทางมาได้ ในขณะที่กระโจมอีกส่วนที่เชื่อมติดกันเป็นกระโจมส่วนตัวอันเป็นที่พักของมังจากะเล...
สิงห์เหลือบไปมองไกร เพื่อนร่วมห้องขังที่กำลังค่อยๆ ค้นหีบกำปั่นทีละหีบเพื่อหาแหวนอะไรซักอย่างอันเป็นสมบัติของเขาเงียบๆ ก่อนจะหันกลับมาจ้องเขม็งไปที่ทางเชื่อมเข้าสู่กระโจมส่วนตัวของเป้าหมายของเขาด้วยม่านตาที่เบิกกว้างราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังสะกดรอยเหยื่อ...ฝีเท้าของเขาแต่ละก้าวๆ เดินผ่านแฝกไม่ได้อย่างเงียบเชียบราวกับการย่องของเสือสมิง!
...ใช่แล้ว...มันก็ไม่ได้ต่างจากงานก่อนๆ ที่เขาเคยผ่านมา...ไม่สิ...งานนี้ออกจะง่ายกว่างานก่อนๆ ด้วยซ้ำ ในกรณีที่เขาไม่จำเป็นต้องฝ่ากองทหารทั้งค่ายเข้ามา...และตอนนี้ มันก็มาถึงส่วนที่ง่ายที่สุดของงานเขาแล้ว...
" เฮ้อ...ทำไมงานก่อนๆ มันไม่ได้ง่ายเช่นงานนี้บ้างนะ " เขาอดบ่นเบาๆ ไม่ได้
สิงห์ค่อยๆ เดินฝ่าทางเข้ากระโจมส่วนตัวของมังจากะเลเข้าไปอย่างช้าๆ และไร้ซึ่งเสียงกระโตกกระตากใดๆ ...ดวงตาของ ผู้ใช้สัตว์สมิง เช่นเขาก็ไม่ต่างจากดวงตาของสัตว์เดรัจฉานที่มองเห็นในตอนกลางคืนได้ดีพอๆ กับกลางวัน...ชายหนุ่มเหลือบไปมองเกาะหนังชั้นดีอันเป็นเครื่องทรงของระดับแม่ทัพที่ถูกถอดวางกองไว้กับพื้น ก่อนจะหันไปจ้องเขม็งที่ชายที่อยู่ในวัยเร่มเข้าวัยชราที่กำลังนอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งทายได้ไม่ยากเลยว่าต้องเป็นมังจากะเล แม่ทัพพม่าผู้เป็นเป้าหมายของเขาเป็นแน่...
" ...จงอย่าหวั่นเกรงความตาย...ความตายเป็นเพียงเส้นทางสายหนึ่งที่เจ้าต้องเดินผ่านเท่านั้น...จงอย่าอาวรณ์ใดๆ กับภพภูมินี้...เพราะเจ้ากำลังจะหลุดพ้นจากภาระที่ผูกมัดเจ้าไว้ทั้งปวง...จงอย่าถือผูกพยาบาทจองเวรข้า...เพราะข้าเพียงแค่ส่งเจ้าไปในที่ๆ ซักวันข้าจะตามไปเท่านั้น... " สิงห์รำพึงคล้ายบทสวด เบาไม่เกินเสียงกระซิบพร้อมกับยืนค้ำหัวอีกฝ่ายไว้ใ..เขากุมกริชอาคมคู่ใจไว้ด้วยสองมือมั่นพร้อมกับเงื้อสูงเต็มเหยียด
" ...ไปสู่สุคติเถอะ...มังจากะเล!... "สิงห์คำรามเบาๆ อีกครั้งพร้อมกับจ้วงกริชในมือแทงหมายลำคอของเป้าหมายสุดแรงเกิด!
เคร้งงงงงง !!!!!!!
กริชลงอักขระชั้นสูงคู่ใจของเขาที่เคยตัดสายบัวได้ขาดไม่เหลือใย ถึงกับหักสะบั้นลงคาตาทันทีที่มันกะทบเข้ากับลำคอของมังจากะเล ในขณะที่แม่ทัพเฒ่าที่เห็นๆ อยู่ว่ากำลังกรนคร่อกๆ พลิกตัววูบพร้อมกับมีดสั้นที่เข้ามาอยู่ในมือเมื่อไหร่ไม่ทราบ แทงจ้วงหมายกลางลำตัวของสิงห์ด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน!!
เคร้งงงงงงง !!!!!!!!
เมื่อรู้แน่แล้วว่าลงมือพลาด ทั้งสิงห์และมังจากะเลก็รีบกระโดดพรวดออกมาคุมเชิงพร้อมกับดวงตาที่เบิกโลงในความมืดมิดของทั้งคู่!
" บ้าน่า?!...วิชาสายคงกระพันชาตรี?!! " สิงห์พึมพำอย่างไม่อนากจะเชื่อสายตาตัวเอง ในขณะที่อดีตเสือเก่าอย่างมังจากะเลไม่ยอมปล่อยให้เวาลเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เลย เพราะเมื่อรู้แน่ว่าผู้ที่ปองร้ายเขามีวิชาสายคงกระพันชาตรีเหมือนกัน เขาก็หันไปคว้าฆ้อนศึกขนาดใหญ่อันเป็นศาสตราวุธสำหรับปราบผู้ที่มีวิชาสายนี้โดยเฉพาะพร้อมกับตะโกนดังลั่น
" มือสังหาร!! พวกทหารโว้ยยย!!! มือสังหารรรร !!! "
" เฮ้อ...มันจะไม่มีงานไหนที่ง่ายเลยใช่ไหมเนี่ย!! "
....................................................
...นอกกระโจมของมังจากะเล...
" เฮ้อ...ในที่สุดก็เจอซะที... " ไกรถอนหายใจเฮือกหลังจากที่เขาพยายามอยู่นาน จนในที่สุดเขาก็เจอแหวนของเขา ถูกเก็บรวมๆ อยู่กับเครื่องประดับที่ทำจากโลหะต่างๆ ที่ไม่ได้ลงดาลแน่นหนาอะไรนัก...คงเป็นเพราะยุคสมัยนี้ยังไม่มีใครรู้จักแพลทตินัมหรือประเมิณออกว่ามันเป็นโลหะที่มีค่าเพียงใด...เขาชูแหวนขึ้นส่องกับแสงไฟสลัวๆ เพื่อตรวจสอบตำหนิที่อาจจะมี ก่อนจะสวมมันเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา พร้อมกับสูดหายใจลึกจนท้องแฟ่บ
" ซู้ด------------- กลับสู่ปัจจุบัน !!! "
. . .
" อ...เอ่อ...อะแฮ่ม...อืม...ม...มันต้องใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องสินะ...คิดสิไกร...แกเองก็ไม่ใช่คนความจำสั้น คิดสิว่าคืนนั้นแกพูดอะไรบ้างหลังจากที่สวมแหวน " ไกรเดินวนไปวนมาพร้อมบ่นพึมพำเบาๆ ...เขารู้ดีว่าตอนนี้เขาคงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนสติไม่ดีที่กำลังพูดกับตัวเอง แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขาระลึกถึงความทรงจำต่างๆ ที่เขาไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ได้
" ซู้ดดดด------------ฮ่า-----------ซู้ดดดดดด--------------ฮ่าาาาาา....เอาใหม่ๆ ...ใช่แล้วๆ...ต้องเป็นไอ้ประโยคนั้นแน่ๆ ...เอาล่ะ... " ไกรอ้าปากเตรียมจะพูดคีย์เวิร์ดอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงอื่นที่ดังแทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน!
โครมมม !!!!!
และ
" #$%%^!! #%@_*%# !!! #$%%^## !!! "
" ส...สิงห์ !? ก...เกิดห่าอะไรขึ้นในนั้นวะ ?!! " ไกรร้องถามเสียงหลง...ไม่สนว่ามันจะทำให้ทหารยามภายนอกรู้จัว เพราะยังไงเสียไอ้เสียงตะโกนภาษาพม่าเร็วปรื๋อที่ดังไป 3 บ้าน 8 บ้านก็กำลังจะทำให้ทหารทั้งค่ายแห่มาที่นี่ภายในไม่กี่วินาทีอยู่แล้ว
" ขอโทษโว้ย ! ไกร...พอดีมันผิดแผนนิดหน่อย ! " เสียงของสิงห์ที่ฟังดูขัดใจไม่แพ้กันตะโกนตอบกลับออกมาจากอีกกระโจม
" นิดหน่อยบ้านบรรพบุรุษเอ็งเด้ !!! แบบนี้ไอ้ที่ทำมาทั้งหมดก็สัญเปล่าสิฟะ !!! "
" ไอ้ที่แกว่าเป็นคำด่างั้นเหรอ?! ถ้าใช้ก็ด่าไปเลย...อย่างไรข้าก็ไม่รู้จักบรรพบุรุษของข้าอยู่แล้ว "
ไกรได้แต่สบถพึมพำเบาๆ ก่อนจะชักดาบที่ขัดอยู่กลางหลังออกมาด้วยมือซ้าย พร้อมกับใช้อีกมือหยิบดาบที่สิงห์ถอดวางทิ้งไว้ขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ทหารยามร่างยักษ์ 4 นายพร้อมอาวุธครบมือที่พุ่งผ่านทางเข้าเข้ามาด้วยท่าทีประสงค์ร้ายสุดขีด
" @^@$)_@$@!&^ !!! "
" ส...สิงห์โว้ยย...พวกมันพูดว่าอะไรวะ?! "
" มันบอกว่า กะแล้วว่าพวกเรามันน่าสงสัย แล้วบอกว่าจะแล่เนื้อเราแล้วเอาเกลือทาด้วย "
" ฟังแล้วไม่ค่อยดีกับพวกเราเลยแฮะ...งั้นก็ออกมาช่วยกันหน่อยเซ่ !! "
" ทางนี้เองก็กำลังยุ่งไม่แพ้กันแหละโว้ยย!! เจ้าช่วยตัวเองไปก่อนล่ะกันนะ !! "
" เฮ้อ! ...ฉันไม่น่ารู้จักกับแกเล้ยยย ! สิงห์ " ไกรบ่นพึมพำเบาๆ อีกครั้ง พร้อมกับควงดาบคู่ในมือ ขู่อีกฝ่ายที่กำลังยืนคุมเชิงอยู่รอบๆ ตัวเขา
" @*^)@*^*&@$^@$ !!!!! "
" ให้ตาย...สาบานเลยว่าถ้ารอดกลับไปได้ ตูจะลงเรียนภาษาใน AEC ให้ครบแบบเต็มหลักสูตรเลย ให้ดิ้นตายสิ !! "
..............................................
...ย้อนกลับมาในกระโจมของมังจากะเลอีกครั้ง...
" อืม...แบบนี้ท่าจะแย่เอาจริงๆ แล้วสิ " สิงห์มองอดีตกริชลงอาคมด้ามเก่งของตัวเองที่บัดนี้หักคึ่งจนไม่สามารถใช้การได้อย่างสุดเสียดาย ก่อนจะขว้างมันทิ้งพร้อมกับบ่นเบาๆ พร้อมกับหันไปมองเป้าหมายของเขาที่กำลังประคองฆ้อนศึกในมือและมองมาที่เขาด้วยท่าทีประสงค์ร้ายไม่แพ้กัน
' ในข้อมูลที่ยัย นาสตี้ ให้มาก็ไม่เห็นบอกเลยว่าไอ้มังจากะเลมันมีวิชาคงกระพันชาตรีในระดับสูงขนาดนี้ ...ไอ้ตัวเรารึก็ไม่ได้ถนัดสู้กับพวกที่มีวิชาสายเดียวกับเราซะด้วยสิ ...คนที่ถนัดสู้กับวิชาสายคงกระพันก็ดันเป็นยัยเลือดเย็น ศกุณตลา ที่ไม่มีทางมาช่วยเราแน่ๆ ...เอายังไงดีล่ะคราวนี้... ' ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงไร้ความรู้สึก สิงห์เริ่มคิดหาหนทางสังหารอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะนอกจากเขาจะเสียอาวุธชิ้นเดียวของตัวเองไปแล้ว สุดยอดแผนของไกรที่ทำให้พวกเขาลอบเข้ามาในนี้ได้ก็กำลังจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง...แบบนี้อีกเพียงไม่ถึงชั่วเคี้ยวหมากแหลก พวกเขามีหวังถูกล้อมกรอบด้วยทหารพม่าเรือนพันแน่ๆ
" ก...แก...ไอ้มือสังหาร ...ทางอโยธยาส่งแกมางั้นเหรอ?! "
' ทำไมถึงมีแต่คนคิดว่ามาจากฝ่ายอโยธยาวะ ...ทั้งๆ ที่รู้ก็รู้อยู่ว่าอโยธยาอ่อนแอถึงขนาดนั้นแท้ๆ ' สิงห์โคลงหัวคิดอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะยกหมัดขึ้นมากำแน่นอย่างไม่มีทางเลือก
" ...คนตาย...ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากหรอก... "
" แก !!! "
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ