ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.64K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
108)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ=================================================
' น่าประหลาดจริงๆ...เด็กนี่... ' หลังจากที่ประมือกับมือฉมังธนูสาวตรงหน้าเพียงชั่วครู่...แม้ว่าจะยังคงผูกด้วยผ้าปิดตาอยู่ แต่ด้วยความเป็นเอตทัคคะในเชิงอาวุธ กวนอิ๋นผิงถึงกับกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย อย่างประหลาดใจทันที
' เด็กนี่...นอกจากจิตสังหารที่สามารถปิดเปิดให้แข็งกร้าวหรือสาปสูญได้ดั่งใจแล้ว ยังมีทักษะในด้านศาสตราวุธในระดับสูง ไม่ใช่แค่ธนู...แต่ดูจากท่าร่างแล้วน่าจะรวมไปถึงศาสตราชนิดอื่นด้วย...อาจจะอยู่ในระดับที่สูงพอๆกับเราช่วงอายุที่เท่ากันเลยด้วยซ้ำ แต่กลับพยายามปิดซ่อนเอาไว้...แปลกดีแท้ '
เคร้ง!
หญิงสาวผู้ผ่านโลกมานับพันปีคิดในใจพลางใช้ง้าวมังกรเขียวที่ยังคงถูกหุ้มอยู่ในฝักหนังปัดลูกธนูวัชระสีดำที่หมายจุดสำคัญเธอให้เป๋ออกไป ซึ่งในเมื่ออเทตยาไม่สามารถปิดกั้นจิตสังหารได้อีกต่อไปแล้ว การปัดป้องจึงเป็นสิ่งที่ง่ายดายจากการเดาทางด้วยจิตคุกคามอันรุนแรงของอีกฝ่ายจนเธอไมจำเป็นต้องใช้การฟังเสียงเพื่อเดาการเคลื่อนไหวของลูกธนูอันแหลมคมนั้นอีกต่อไป
เคร้ง!
" พยายามให้มากกว่านี้ อเทตยา...ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าเจ้าจะมีขีดจำกัดแค่เพียงเท่านี้ เพราะถ้าหากมีเพียงเท่านี้จริงๆ เจ้าก็ทำให้ข้าผิดหวังอย่างมากเลยทีเดียวล่ะ " กวนอิ๋นผิงพูดพลางใช้ด้ามง้าวปัดคันธนูที่ฟาดเข้าหมายก้านคอของเธอออกพร้อมกับใช้แรงที่ฟาดมานั้นม้วนหมุนง้าวเพื่อจู่โจมมือฉมังธนูสาวชาวมอญบ้างเพื่อเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายปลดปล่อยพลังที่แอบแฝงไว้ออกมา แต่อเทตยาก็ยังใจเย็นจนเกินความคาดหมายของเธอ...ทั้งๆที่เธอเองก็วางทั้งลูกล่อและลูกชนเพื่อยั่วอีกฝ่ายอย่างสุดๆแล้วก็ตาม แต่จนแล้วจนรอดอเทตยาก็ยังไม่ยอมปลดปล่อยพลังที่เก็บงำไว้ออกมาอยู่ดี
' ยัยเด็กนี่...คิดจะไม่ยอมใช้ฝีมือเต็มที่จริงๆสินะ ' เมื่อเห็นว่าอดทนมานานเกินพอแล้ว ในที่สุดกวนอิ๋นผิงก็คิดในใจพร้อมกับอดชักสีหน้าออกมาเล็กน้อยอย่างผิดหวังไม่ได้ทันที เพราะมันเท่ากับว่าเธอเดาผิดไปอย่างถนัดเลยทีเดียว
...เธอคาดเดาว่าเมื่อใช้สิ่งที่อเทตยาให้ความสำคัญที่สุดเข้าล่อ...เด็กคนนี้ต้องงัดทุกอย่างออกมาใช้แน่นนอน...
' เอาเถอะ...ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจ...บางครั้งบางคราวความลับก็สำคัญเกินกว่าจะนำมาแลกจริงๆ...แต่ว่า... ' หมวยสาวผู้ครอบครองพลังแห่งความเป็นอมตะและเป็นถึงบุตรีแห่งจอมทัพผู้มีชื่อเสียงในยุคจีนโบราณใช้ง้าวประจำกายของตนปัดลูกธนูที่ยิงใส่เธอติดกัน ๓ ดอกอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนจังหวะด้วยการควงง้าวและเปลี่ยนจากการยืนตั้งมั่นรับดั่งขุนเขาโดยไม่ก้าวถอยไปไหนเลย เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้าใส่มือฉมังธนูสาวทันทีโดยไม่จำเป็นต้องถอดผ้าปิดตาเลยแม้แต่น้อย เพราะจากประสบการณ์ในการต่อสู้ที่สั่งสมมมากว่าพันปี ลำพังแค่เพียงจิตคุกคามและวิถีของลูกธนูที่ยิงประดังเข้ามาก็มากพอจะทำให้เธอคาดเดาตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของอเทตยาได้อย่างคร่าวๆแล้ว
...การกระทำของเด็กนี่ที่กล้าทำให้เธอผิดหวังต้องมีการทำโทษ...และการทำโทษั้นก็ไม่ได้จบแค่การดุด่าแน่ๆ!
" อเทตยา! ระวัง! " ในยามที่เห็นว่ากวนอิ๋นผิงเร่งเร้าพลังถึงระดับอันน่าหวาดหวั่น ไกรก็อดตะโกนเตือนมือฉมังธนูสาวผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับน้องสาวร่วมสายเลือดของเข้าไม่ได้ แต่เสี้ยววินาทีนั้น เขากลับได้เห็นรอยยิ้มของเอทตยาที่แสยะยิ้มออกมาอย่างสมใจนึกพร้อมกับกระตุกธนูวัชระสีดำของตนไปด้านหลังทันที
" ผิดท่าแล้ว ท่านอิ๋นผิง! "
แปล๊บ!
เพียงเสี้ยววินาทีที่กวนอิ๋นผิงเปลี่ยนรูปแบบจากป้องกันเป็นจู่โจมและพุ่งเข้าใส่อเทตยาด้วยระดับจิตสังหารที่ไม่ใช่ล้อเล่น กลับเป็นทั่วทั้งร่างกายของเธอก็เกิดอาการเจ็บแปล๊บเล็กๆราวกับถูกเข็มตำ ซึ่งอาการเจ็บปวดนั้นไม่ได้ร้ายแรงจนกระทั่งทำให้ผู้เป็นอมตะเช่นเธอจำต้องหยุดการโจมตีหรือชะงักใดๆเลยแม้แต่น้อย แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีที่มีคำสัญญาบางอย่างผูกพันอยู่...อาการเจ็บเล็กๆนั่นทำให้กวนอิ๋นผิงหยุดการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดพร้อมกับหยุดง้าวที่เตรียมจะใช้สันฟาดใส่อเทตยากะให้หลับยาวไปเลยโดยสิ้นเชิง ในขณะที่อเทตยาที่ยังคงจับคันธนูวัชระที่สูงท่วมหัวไว้มั่นราวกับรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก และเป็นฝ่ายที่ยืนนิ่งประดุจหินผา โดยมีปลายง้าวที่ยังคงถูกสวมไว้ด้วยถุงปลอกหนังหยุดชะงักค้างอยู่ตรงหน้าเธอเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น
...ใบหน้าอันงดงามน่ารักที่ปรากฎเหงื่อซึมชื้นจากการใช้กำลังอย่างหนักของอเทตยาปรากฏรอยยิ้มสยายกว้างอย่างมีชัย ในขณะที่กวนอิ๋นผิงที่ยัคงผูกด้วยแถบผ้าสีเข้มปิดตาอยู่กลับมีสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างทั้งขุ่นเคืองทั้งสมใจอยากทันที
มันไม่ใช่ใบหน้าที่แสดงถึงอาการเจ็บปวดทางกายภาพ แต่เป็นความเคืองขุ่นในจิตใจ ที่เธอได้รับรู้แล้วว่า...เธอพึ่งจะพลาดเหยียบเข้าไปบนกับดักของเด็กสาวหน้าเป็นตรงหน้า ที่ถูกบรรจงวางไว้อย่างแนบเนียนที่สุด
" คิกๆ โลหิตเพียงหยดเดียวสินะเจ้าคะ ท่านอิ๋นผิง "
" หึๆๆ! ยัยปิศาจน้อยตัวแสบ! "
สิ้นเสียงกระซิบแสยะยิ้มกัดฟันของกวนอิ๋นผิง ร่างของเธอก็ปรากฏรอยกรีดคล้ายรอยถูกมีดโกนบาดทั่วทั้งร่าง และทุกบาดแผลต่างก็มีโลหิตสีแดงสดซึมช้นออกมาราวกับยางบอน...ถึงแม้ว่ารอยแผลเหล่านั้นจะหายไปแทบจะในทันทีจากผลของความเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตายของเธอ แต่สำหรับการต่อสู้ที่มีเงื่อนไขนี้...โลหิตแค่หยดเดียวก็ถือเป็นสัญญาณสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว
" อ...อะไรกัน ...อเทตยา...ใช้ลูกไม้หรือเล่ห์กลปิศาจใดกัน?! " ระหว่างที่ทั้งท่านผู้เฒ่าและไกร รวมถึงคนอื่นๆยังคงนิ่งอึ้งไปอย่างตกตะลึง อนาสตาเซียก็ครางออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์อันน่าประหลาดตรงหน้าเลย...ในขณะที่ศกุนตลาที่ตลอดเวลาสีหน้าแทบไม่แปรเปลี่ยนเวลานี้กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาคมกริบข้างที่ไม่ได้ถูกปิดไว้ด้วยหน้ากากยักษ์แสยะยิ้มจะหรี่ลงอย่างเพ่งมอง ...ชั่วครึ่งอึดใจต่อมามือฉมังปืนผู้มีสายตาดีกว่าผู้ใดในที่แห่งนี้ หรืออาจจะดีกว่าผู้ใดในสุวรรณภูมิก็เบิกตากว้างพร้อมกับที่ริมฝีปากอันบางเฉียบราวกับเป็นเส้นตรงของเธอจะขยับเป็นรอยแสยะยิ้มออกมาทันที
" นังแสบเอ้ย! "
" อ...เอ๋? " ทุกคนหันไปมองหญิงสาวชาวพม่าผู้เวลานี้กลายมาเป็นสุดยอดมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตอย่างสงสัยกึ่งๆตกใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นศกุนตลาสบถอะไรออกมาเช่นนี้มาก่อน แต่ชั่วครู่ศกุนตลาก็เฉลยสิ่งที่ทำให้เธอสบถออกมาด้วยการเปลี่ยนจากยืนกอดอกเป็นชี้ไปที่เหล่าลูกธนูสีดำสนิทที่พลาดเป้าจากกวนอิ๋นผิงหรือถูกปัดป้องจนไปปักเด่อยู่เต็มพื้นเกือบ ๒๐ ดอก ซึ่งก็ไม่ได้เพิ่มความเข้าใจให้คนอื่นๆเลย
จนกระทั่งกวนอิ๋นผิงถอดผ้าปิดตาออก และใช้ส่วนด้ามของทวนหมุนปัดควงด้านหน้า แต่การควงง้าวราวกับดรัมเมเยอร์ควงคฑาของเธอกลับทำให้ลูกธนูสีดำสนิทที่ปักเรียงรายอยู่เหล่านั้นหลุดออกมาจากพื้นดินและหมุนกระจายไปคนละทิศละทางราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชากออกมาอย่างไรอย่างนั้น
...แม้เหล่าเด็กหนุ่มที่มาในฐานะลูกศิษย์ลูกหาของจวนของไกรจะยังไม่เข้าใจ แต่สำหรับคนของหมู่บ้านยุคันตวาตรวมถึงไกรที่มีเพดานบินสูงและผ่านการต่อสู้ชนิดถึงเลือดถึงเนื้อมาแล้วกลับเข้าใจอย่างกระจ่างทันที
" จริงเช่นที่เจ้าว่าศกุนตลา...ยัยแสบเอ้ย! "
เส้นเอ็น!
เส้นเอ็นหรือเส้นเชือกที่เล็กและบางเฉียบราวกับเส้นด้ายใยแมงมุม ทว่าแข็งแกร่งราวกับไหมเหล็กซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งในหลายๆสิ่งที่ถูกออกแบบมาด้วยสมองอันชาญฉลาดของสองคู่แฝดนักประดิษฐ์อย่างโคลัมบัสและออเรลลาน่า(ที่เมื่อก่อนประดิษฐ์ได้แต่เพียงระเบิด) เส้นเอ็นนี้เดิมที่พวกมือสังหารคนอื่นๆใช้เพียงต่างเชือกหรือด้ายเย็บแผลที่เหนียวแน่นเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ในมือของอเทตยา เวลานี้เส้นเอ็นกลับกลายเป็นดั่งมีดโกนอันคมกริบได้อย่างน่าอัศจรรย์
" ฉลาดนัก อเทตยา...ฉลาดนัก " หลังจากที่สะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างที่พลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจลงได้ ในที่สุดกวนอิ๋นผิงก็ครางออกมาเบาๆพร้อมกับถอดแถบผ้าปิดตาออกพลางใช้ดวงตาเพ่งมองไปที่ส่วนปลายคันธนูวัชระด้านหนึ่งที่ถูกผูกติดไว้ด้วยเส้นเอ็นบางๆหลายสิบเส้นที่ใช้เป็นกับดักเรียกโลหิตจากเธอ ก่อนจะยิ้มอีกครั้งพร้อมกับครางออกมาเบาๆ
" ผ่านบททดสอบชนิดได้ ๙ แต้มจากข้าอย่างง่ายดายเลย...ทั้งๆที่เมื่อแรกข้าเดาเอาว่าเจ้าคงจะพยายามอย่างแทบรากเลือดลงแดงเพื่อจัดการกับข้าแท้ๆ "
" สิ่งที่ท่านต้องการไม่ใช่ให้ข้าเอาชีวิตท่าน แต่เป็นเพียงโลหิตนี่เจ้าคะ "
" คิกๆ มือฉมังธนูชาวมอญรอบคอบและเป็นตัวเลวร้ายน้อยเช่นนี้ทุกคนรึเปล่านะ? " คำถามอย่างชาญฉลาดและแยบคายของกวนอิ๋นผิงทำให้หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่อเทตยาก็ยังรักษาท่าทีไว้ได้อย่างน่านับถือในความคิดของกวนอิ๋นผิง และเธอก็ไม่ได้คิดจะตอแยอีกฝ่ายในเรื่องนี้ด้วย
" หวังว่าท่านคงจะยังไม่ลืมเลือนคำสัญญาของท่านนะเจ้าคะ "
" หึ แน่นอน...คำสัญญา " กวนอิ๋นผิงยกง้าวมังกรเขียวจันทร์ฉงายของตนขึ้นพาดบ่าบางๆของเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อเทตยาอย่างช้าๆ ในขณะที่ไกรทวนคำเล็กน้อยด้วยสีหน้าสงสัยทันที
" สัญญา? "
แต่ไกรก็ไม่มีวันได้รู้เรื่อง เพราะกวนอิ๋นผิงไม่ได้ยินยอมบอกอะไรออกมาอย่างชัดเจน...ผู้เป็นเสมือนอาจารย์ของทุกคนในหมู่บ้านมือสังหารยุคันตวาตก้มหน้าลงพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างข้างๆหูของอเทตยาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ตรงกันข้ามกับอเทตยา เพราะทันทีที่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายกระซิบบอก ดวงหน้าอันน่ารักของอเทตยากลับซีดเผือดและเคร่งลงอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
คนที่มีสีหน้าเคร่งลงไม่ได้มีแต่อเทตยา เพราะข้างๆไกร อนาสตาเซียที่ยืนกอดอกอยู่ก็หรี่ตาลงพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเคร่งลงอย่างเห็นได้ชัดทันที
" นาสตี้? " ไกรที่สังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาวก็เอียงคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามต่อ
" เธอได้ยินเหรอ? " แต่คำตอบกลับห้วนสั้นและชัดเจนยิ่ง
" ไม่ได้ยิน! "
ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันถามอะไร กวนอิ๋นผิงก็หันหน้ากลับมาหาพวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับพูดอย่างเสียงดังฟังชัดว่า
" เอาล่ะ การทดสอบอเทตยาจบลงแล้ว ในขณะที่ลูกชายของข้าอย่างสิงห์ก็คงไม่ต้องทดสอบอะไรมาก...เวลานี้ถึงเวลาของเจ้าแล้ว ไกร "
" อ...เอ๋? " ไกรทวนคำเบาๆ อย่างงงๆ เพราะเขานึกว่าการทดสอบของเขาจบลงไปตั้งแต่เมื่อคืนหฤโหดนั่นแล้วซะอีก แต่อิ๋นผิงกลับยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบมองไปที่เหล่าเด็กๆที่มาฝึกดาบในจวนของไกรเล็กน้อยและพูดต่อว่า
" ที่นี่คงไม่สะดวก ไปหาที่อื่นกันเถอะ " หญิงสาวพูดพลางทำท่าจะเดินนำไป แต่เธอก็ต้องชะงักเพราะอนาสตาเซียรวบรวมความกล้าและเดินล้ำหน้าไกรพร้อมกับพูดขัดขึ้นเบาๆว่า
" อ...เอ่อ ท่านอาจารย์ แต่ว่าร่างกายของไกรเวลานี้--- "
" หืม? ที่เจ้าพูดออกหน้านี่ เจ้าถามไก่ไอ้คนที่เจ้าออกหน้าก่อนรึยัง? " กวนอิ๋นผิงพูดโดยไม่หันมามองเลย แต่คำพูดของเธอกลับทำให้ไกรต้องหันกลับมามองดูร่างกายของตัวเองอย่างพินิจอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตลอดทั้งร่างกายของเขาแทบจะไม่หลงเหลือความเจ็บปวดตกค้างใดๆที่เคยมีเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่เลย
" ป...เป็นไปได้ไงเนี่ย? " ไกรมองมือตัวเองที่ยังสั่นเทาน้อยๆอย่างงงงวย เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วเท่าไหร่ก็ไม่มีทางที่เขาจะหายจากอาการเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้แน่ๆ ในขณะที่อนาสตาเซียก็ยังไม่ยอมแพ้และพูดอีกครั้งว่า
" แต่ว่า...เขาในเวลานี้ก็คงไม่อาจจะแข็งแรงพอจะรับมือกับท่านได้อยู่ดี "
" อ้อ...เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก "
" เอ๋? "
อนาสตาเซียทวนคำเบาๆอย่างไม่เข้าใจ แต่กวนอิ๋นผิงกลับหันมายิ้มยิงฟันพร้อมกับเฉลยสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะบอกทันที
" เพราะคนที่จะจัดการกับไกรไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้าต่างหากล่ะ คุณหนูอนาสตาเซีย "
................................................
...ณ สวนซึ่งเป็นสวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ซึ่งค่อนข้างจะลับตาผู้คน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจวนที่พักของไกรมากนัก...
" เอ้า...เอาเป็นที่นี่แหละ " หลังจากเดินนำอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางมาได้ซักพัก ในที่สุดอาจารย์กวนอิ๋นผิงก็ตัดสินใจหยุดลงตรงสวนที่เหมือนกับสวนสาธารณะในยุคปัจจุบันของไกร และพูดเบาๆทันที
" สิงห์...นี่เจ้ารู้เรื่องนี่รึเปล่าเนี่ย? " ไกรที่เวลานี้ถือดาบประจำกายของเขาอย่างดาบสดายุที่ยังคงอยู่ในฝักหนังมาด้วยหันไปถามสิงห์ที่เดินทอดน่องตามมาด้วยช้าๆ ในขณะที่สิงห์ส่ายหน้าเบาๆทันที นั่นทำให้ไกรได้แต่ถอนหายใจเฮือกและพูดต่อว่า
" พูดก็พูดเหอะนะ เวลานี้ตูยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยเนี่ย " พลางเหลือบไปมองอนาสตาเซียที่เหน็บดาบนาคราชเล่นเล็กเรียวบางตามมาเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" เอาฟะ คราวนี้ก็ยังดีที่คู่ต่อสู้คือนาสตี้...อย่างน้อยก็คงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตมากอย่างตอนที่เจอท่านอาจารย์ของพวกเจ้า "
แต่คำพูดของไกรกลับทำให้สิงห์เหลือบหันมามองเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆและพูดเรียบๆว่า
" ฟังแล้วเจ้าดูแคลนนาสตี้ของพวกเราเสียจริงนะ "
" เฮ้ยๆ เปล่านะ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้ เพียงแต่--- "
" ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ ไกร...ในฐานะสหายกัน ข้าขอเตือนไว้อย่าง... " สิงห์แสยะยิ้มอีกครั้ง " ...อนาสตาเซียน่ะ ไม่ได้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตของเราได้เพราะนางเป็นบุตรบุญธรรมของท่านู้เฒ่าหรอกนะ "
" เอ๋? "
แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันว่าอะไรต่อไป กวนอิ๋นผิงก็หันไปพูดอะไรกับท่านผู้เฒ่าอย่างเคร่งเครียดอยู่ ๒-๓ คำ ก่อนที่เธอจะวาดง้าวขึ้นพาดบ่าอีกครั้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอันดังก้องว่า
" เอาล่ะ เป็นที่นี่แหละ อนาสตาเซีย ไกร พวกเจ้าเตรียมพร้อมได้เลย "
ไกรกระพริบตาปริบๆก่อนที่เขาจะหันไปหาท่านผู้เฒ่าที่ยือยู่ด้านหลังกวนอิ๋นผิงเล็กน้อย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเองก็มีสีหน้าเคร่งลง แต่เขาก็พยักหน้าให้ไกรเป็นเชิงให้เตรียมตัวเตรียมใจช้าๆ
ถึงแม้ว่าไกรจะชักดาบออกมาจากฝักและเตรียมพร้อมแล้ว แต่อนาสตาเซียกลับยังมีท่าทีรีรอ หญิงสาวทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะหันไปหากวนอื๋นผิงเล็กน้อย
" ท่านอาจารย์ "
" หืม? ว่ามา "
" เอ่อ...คือ ท่านก็เป็นผู้สอนสั่งข้าเอง และก็ได้ประมือกับไกรมาแล้ว...ท่านก็น่าจะเห็นแล้วว่าแนวดาบของไกรเป็นดาบสองมือซึ่งพัฒนาต่อยอดขึ้นจากกระบวนดาบยุคันตวาตของท่านไปไกล ในขณะที่ตัวข้าได้รับการสืบทอดเพียงดาบมือเดียว "
" แล้วอย่างไร? " กวนอิ๋นผิงย้อนถามราวกับคนโง่งม นั่นทำให้อนาสตาเซียถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อช้าๆ
" ท่านเป็นคนสั่งสอนข้าเองตั้งแต่ในวัยเยาว์...ถ้าหากฝีมือดาบใกล้เคียงหรือทัดเทียมกัน...อย่างไรดาบสองมือก็ชนะดาบมือเดียวอยู่วันยันค่ำ "
" อ่า...ข้าพูดเอง ข้าจำได้ไม่เลอะเลือนเลย " กวนอิ๋นผิงยังคงทำหน้าราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่อนาสตาเซียจะสื่ออยู่ ทำให้อนาสตาเซียถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง แต่คราวนี้ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา กวนอิ๋นผิงก็ชิงพูดเรียบๆก่อนขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า
" เจ้าเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่ง อนาสตาเซียศิษย์ข้า...ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าประลองดาบกับไกร "
" อ...เอ๋? " ทั้งอนาสตาเซียและคนอื่นๆทวนคำอย่างไม่เข้าใจ พร้อมๆกับที่กวนอิ๋นผิงแสยะยิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตที่เป็นประกายวาวโรจน์ทันที
" ข้าไม่ได้ต้องการจะให้เจ้าประลองกับไกร อนาสตาเซีย...ข้าต้องการให้เจ้าสังหารมันต่างหากล่ะ! "
.......................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ