ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
107)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
" เอ้า! ให้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจ ๑๐ นาที แล้วก็ลงไปที่ลานกว้างซะล่ะ " โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ท่านอาจารย์ของท่านผู้เฒ่าที่มีนามอันคุ้นหูของใครหลายๆคนว่า กวนอิ๋นผิง ก็พูดห้วนๆพร้อมกับเดินนำออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง...ท่าทีขวานผ่าซากของเธอที่ทำออกมาทำให้ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยชินกับการถูกออกคำสั่งซักเท่าไหร่ แต่เขาก็ระลึกได้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือผู้ที่ผ่านยุคสมัยมามากเกินกว่าที่ผู้ใดจะนึกถึงได้ พูดตรงคืออาจจะแก่กว่าปู่ย่าตายาย หรือปู่ของปู่ ย่าของย่าของเขามากเกินกว่าจะจินตนาการได้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างช้าๆทันที
" ข...เข้าใจแล้วขอรับ "
" หืม? " ท่านผู้เฒ่าที่ยืนกอดอกและกำลังห้ามปากตัวเองไม่หาวออกมายังถึงกับเลิกคิ้วและครางออกมาเบาๆกับท่าทีของไกร ...เมื่อผู้เป็นอาจารย์ของเขาเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาก็พูดขึ้นต่อช้าๆทันที
" ดูเหมือนเจ้าจะยอมรับเรื่องราวได้อย่างง่ายดายจนน่าประหลาดใจเลยนะ ทั้งๆที่โดยปกติแล้วข้าคะเนเอาว่าเจ้าจะโวยวายออกมาอย่างไม่ยอมรับ และก็คงจะถูกท่านอาจารย์ทุบน่วมเป็นกระท้อนไปแล้วแท้ๆ...แปลกดี "
" ถ้าสิ่งที่ท่านพูดเป็นเรื่องจริง และนางเป็น กวนอิ๋นผิง คนเดียวกับที่ข้ารู้จัก...นางจะเกิดอยู่ในช่วงประมาณช่วงปลายยุุคสามก๊ก หรือประมาณหนึ่งพันปีก่อน...ท่านอยู่ในระดับโบราณสถานเลยนะ...คือ ประมาณว่าถ้าเกิดเป็นเรื่องจริง ท่านอยู่ในระดับสูงจนข้าคิดไม่ถึงเลยล่ะ "
" หือ? ข้าไม่เคยถามหรอกนะ แต่...ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? " แม้แต่ท่านผู้เฒ่ายังถึงกับทึ่งๆในการประมาณของไกร ในขณะที่ไกรพยักหน้ารับเบาๆ
" เท่าที่ข้าจำได้ ประวัติที่บันทึกเกี่ยวกับเธอค่อนข้างคลุมเครือ ออกจะแยกเรื่องจริงกับนิยายไม่ออกเลยด้วยซ้ำ...คือ...ออกจะถามแปลกๆไปบ้าง แต่ไปไงมาไงเธอถึงได้กลายเป็นแบบเดียวกับท่านได้ล่ะขอรับ ท่านผู้เฒ่า? "
" อืม " ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหลับตาและส่ายหน้าช้าๆ " ...ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรในเรื่องนี้กับท่านหรอกนะ แต่ว่า เท่าที่ข้าบอกได้ก็คือความไม่แก่ไม่ตายของท่านอาจารย์มีลำดับชั้นที่สูงกว่าของข้าโดยไม่อาจจะเทียบได้เลย...ตัวข้าเองถึงจะบอกว่าไม่แก่ไม่ตาย แต่ถ้าหากถูกแทงเข้าหัวใจกว่าจะฟื้นสภาพได้ก็ต้องรอหลายนาที หรือถ้าหากหนักหนาสาหัสถึงขนาดถูกตัดหัวหรือแยกธาตุออกเป็นชิ้นๆ ก็คงต้องเข้าสู่ภาวะจำศีลไปหลายปีกเลยกว่าจะกลับสู่ปกติได้...แต่สำหรับท่านอิ๋นผิง อาการบาดเจ็บอะไรที่ว่านั่นแทบจะไม่มีผลกับท่านเลย ส่วนบาดแผลก็แทบจะหายไปในเสี้ยววินาทีที่เกิดขึ้นเลย "
" ... " ไกรได้แต่กระพริบตาปริบๆ ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ในขณะนี้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเกาหัวแกรกๆพร้อมกับทำสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
" ...คือ...ถือว่าข้าขอล่ะกันนะ ถึงภายนอกท่านจะดูเหมือนสตรีที่แก่กว่าพวกอนาสตาเซียไม่เท่าไหร่ แต่ท่านอาจารย์น่ะผ่านโลกมามากจนกระทั่งไม่เห็นหัวใครหรือจะเอาขนบใดๆมาตัดสินท่านไม่ได้แล้ว ทั้งท่านก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหมู่บ้านยุคันตวาตตั้งแต่รุ่นแรกๆและยังเป็นผู้คิดค้นกระบวนดาบยุคันตวาต กระบวนดาบที่เป็นกระบวนดาบพื้นฐานของเจ้าอีกด้วย... เพราะฉะนั้นถ้าหากเป็นไปได้ อะไรๆที่ท่านทำเรื่องเสียมารยาทกับเจ้าก็ขอให้ปล่อยผ่านไปโดยถือซะว่าเห็นแก่ข้าเถอะนะ "
" ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ เรื่องนั้นข้าเข้าใจดีเลย " คราวนี้ไกรกลับพยักหน้าและรับคำอย่างว่าง่ายจนท่านู้เฒ่าร้องทวนคำออกมาเบาๆอย่างประหลาดใจ
" เอ๋? "
' กวนอิ๋นผิง...บุตรีแห่งกวนอู ถ้าจะพูดให้ถูกหรือพูดอย่างละเอียดก็คือ เธอน่าจะเกิดช่วงประมาณปลายยุคสามก๊กคือ พ.ศ.๘๒๐ กว่าๆ เมื่อลบปีปัจจุบันคือ พ.ศ.๒๓๐๓ ออก ก็เกือบๆจะหนึ่งพันห้าร้อยปีเลยก็ว่าได้...ไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นผ่านอะไรมาบ้าง ไม่สิ...เดาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ที่เรารู้แน่คือเธอไม่ใช่คนที่เราจะสามารถพูดเล่นหัวได้อย่างสิงห์หรือคนอื่นๆแน่นอน ' ไกรพยายามคำนวณออกมาอย่างละเอียด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่บอกในสิ่งที่เขารู้ออกไปทั้งหมด เพราะขืนบอกไปคงได้โกลาหลแน่ๆ
ไกรพยายามลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ แต่อาการปวดกล้ามเนื้อก็เล่นงานชายหนุ่มอีกครั้งจนเขาต้องเผลอครางออกมาเบาๆอย่างเจ็บปวด ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่เหมือนจะเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เขาจึงเข้ามาใกล้พร้อมกับถือวิสาสะจับแขนของไกรขึ้นมาดู ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที
" หืม...ร่างกายฉีกหลายแห่งเลยนะ อย่างนี้คงเคลื่อนไหวหรือจับศาสตราไม่่ได้ไปอีกพักใหญ่ๆเลย "
" แปลว่าโดนท่านอาจารย์ของท่านเล่นงานหนักจริงๆ และไอ้เมื่อคืนนั่นก็ไม่ใช่ความฝันสินะ เน่...สิงห์ ไม่มีไอเท็ม---หมายถึงยาวิเศษอะไรดีๆที่พอกินปุ๊ปก็หายเจ็บหายปวดปั๊ปมั่งเลยหรือ? " ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับพยายามลุกขึิ้นอีกครั้ง...ในขณะที่เมื่อได้ยิน ท่านผู้เฒ่าและสิงห์ก็หันไปสบตามองกันทันที
" ของอันสะดวกดายเช่นนั้นมันจะไปมีได้อย่างไรล่ะเฟ้ย! " สิงห์โคลงหัวพร้อมกับครางออกมาเบาๆ
' แล้วอีกอย่าง...นี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บอย่างธรรมดา แต่เป็นอาการบาดเจ็บทางวิญญาณ...ของแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาในการรักษา ไม่ใช่การรักษาด้วยหยูกยาใดๆด้วย '
" ท่านผู้เฒ่า...แน่แท้แก่ใจแล้วนะขอรับที่จะทำเช่นนี้ " สิงห์หันไปถามท่านผู้เฒ่าที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆช้าๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเองก็หลับตาลงและถอนหายใจเฮือกอย่างเสียไม่ได้ทันที
" ช่วยไม่ได้นี่ ก็มันเป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ผิง แม่ของเจ้าเองนี่...ต่อให้ไมยอมรับเหตุผลแต่ขืนไม่ทำก็คงมีหวัง... " ท่านผู้เฒ่าเองก็ครางออกมาเบาๆ ...และก่อนที่ไกรจะได้ทันว่าอะไร ท่านผู้เฒ่าก็ขยับดาบฟ้าฟื้นซึ่งยังมีสภาพเป็นดาบเล่มเก่าๆมอๆเข้ามาใกล้ๆอย่างช้าๆ
" ท่านผู้เฒ่า? "
" ในนามของผู้ลั่นดาลปิดตาย...ข้าขอปลดผนึก "
" เอ๋? " ไกรครางออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยอมให้ท่านผู้เฒ่าเข้ามาใกล้และแตะฝักดาบเข้าที่ตัวของเขาแต่โดยดี และเมื่อดาบเล่มนั้นแตะตัว เขาก็ได้ยินเสียง ซู่ว! เบาๆดังกังวานไปรอบห้อง พร้อมๆกับที่ร่างกายอันหนักอึ้งและแทบไม่อาจจะขยับได้นั้นจะค่อยๆเบาลงและดูเหมือนจะเจ็บปวดน้อยลงอยางประหลาดจนไกรถึงกับต้องขมวดคิ้วอย่างงงงวยทันที
" ท่านผู้เฒ่า? นี่มัน ท่านรักษาข้าอย่างนั้นหรือ? " ไกรพูดเบาๆอย่างสำนึกบุญคุณ แต่ท่านู้เฒ่าเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัย ก่อนจะหันไปสบตากับสิงห์ที่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อย่างช้าๆ
' เจ้าสิ่งที่เราช่วยกันผนึก สิ่งที่พยายามครอบงำไกรกลับช่วยไกรรักษาร่างกายที่บาดเจ็บ ถึงจะไม่ได้รวดเร็วเท่าการรักษาร่างกายของพวกคงกระพันชาตรีอย่างสิงห์ก็เถอะ แต่...เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าวิญญาณเถื่อนจะมีพลังถึงขนาดนี้ '
" นี่...แน่แท้แก่ใจแล้วสินะ ท่านผู้เฒ่า " สิงห์หันมาถามอีกครั้ง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" ก็แม่เจ้านั่นแหละ ที่บังคับให้ข้าทำเช่นนี้ "
" อ...เอ๋?! แม่?! " ไกรที่ยังไม่รู้ถึงความนัยในเรื่องนี้ถึงกับร้องออกมาเสียงดังลั่น ในขณะที่สิงห์ที่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ยังเป็นปริศนายักไหล่อย่างไม่คิดจะอธิบายอะไรเลย แต่ไกรก็ไม่มีโอกาสได้ถามอะไรต่อ เพราะท่านผู้เฒ่าตัดบทด้วยการพูดขึ้นเรียบๆว่า
" ถ้าร่างกายพอจะเคลื่อนไหวได้แล้วก็ผลัดผ้าเสียเถอะ ไกร...ปล่อยให้ท่านอาจารย์รอคอยเนิ่นนานไม่เป็นผลดีสำหรับเจ้านะ "
" ข...เข้าใจแล้วขอรับ "
ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับถอยห่างออกไปเป็นเชิงเปิดช่องให้กับไกรพร้อมกับหลับตาลงและคิดในใจทันที
' ขอให้ท่านคิดไม่ผิดทีเถอะนะ ท่านอาจารย์อิ๋นผิง '
...เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น และก็ใกล้จะได้เวลาที่ท่านอาจารย์ของท่านผู้เฒ่า (และถ้าไกรฟังไม่ผิด ดูเหมือนเธอจะมีความสัมพันธ์อย่างประหลาดๆกับสิงห์ด้วย) ไกรจึงลุกขึ้นพร้อมกับหยิบเสื้อแสงที่ถูกเตรียมวางไว้ขึ้นมาสวมและไม่ลืมหยิบดาบสดายุที่ถูกวางอยู่อย่างเรียบร้อยที่หัวเตียงมาด้วย ก่อนจะออกไปสมทบกับท่านผู้เฒ่าและสิงห์ที่ยืนรออยู่ด้านนอกห้องนอนของเขา
เฟี้ยว...ฉึก!
เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาเดินออกมาจากประตูห้อง ลูกธนูยาวสีดำสนิทก็พุ่งผ่านหน้าไกรพร้อมกับไปปักเด่อยู่ข้างๆประตูห้องของเขาอย่างแรงถึงขนาดขนเหยียวที่ประดับเป็นหางเสืออยู่ยังสั่นพริ้ว...ไกรกระพริบตาปริบๆอย่างตกตะลึง ก่อนจะร้องออกมาเสียงหลงทันที
" ว...เหวอ! "
" เฮ้อ...เอาแล้ว " ท่านผู้เฒ่าที่เวลานี้พุ่งเข้าไปหลบอยู่หลังเสาถึงกับครางออกมาเบาๆราวกับรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่าไอ้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ในขณะที่เมื่อตั้งสติได้ ไกรก็พึ่งจะสังเกตเห็นว่าลูกธนูที่พุ่งเฉียดหน้าเขาไปดอกนั้นคือลูกธนูดำประจำกายของอเทตยา เขาจึงร้องออกมาทันที
" ธนูวัชระ? พวกเราโดนจู่โจมเหรอ?! " ไกรร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับทำท่าจะชักดาบในมืออกมาอย่างลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสิงห์ที่หลบอยู่อีกด้านนึงส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับยิ้มแหยๆใส่
" คือ...ไม่ใช่หรอก คิดว่าแม่คงจะหาเรื่องเล่นอีกแล้วน่ะ "
" หา? "
ไกรทวนคำเบาๆ ก่อนที่เขาจะพุ่งไปที่ส่วนของระเบียงบ้านเพื่อให้เห็นลานกว้างหน้าจวนของตัวเองชัดๆ
เคร้ง!
ภาพที่เขาเห็นคือภาพของอเทตยาที่เวลานี้อยู่ในชุดตะเบงมานอย่างทะมัดทะแมงพร้อมกับห้อยไว้ด้วยกระบอกธนูยาวที่ผูกข้างเอวคอดไว้ ในขณะที่ในมือของเธอเวลานี้ถือด้วยธนูวัชระอันเป็นศาสตราประจำกายพร้อมกับน้าสายตึง และปล่ยอลูกธนูสีดำออกมาอีกครั้งโดยที่แทบไม่มีจิตสังหารเล็ดรอดออกมาจากการยิงธนูนี้เลย ...แต่ลูกธนูที่พุ่งอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเส้นสีดำๆเท่านั้นกลับถูกปลายง้าวที่ยังคงหุ้มด้วยฝักหนังในมือของท่านกวนอิ๋นผิงที่ยืนตั้งมั่นดั่งหินผาอยู่กลางลานปัดทิ้งอย่างง่ายดาย ในขณะที่เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเด็กหนุ่มๆทั้งหลายที่เหล่าขุนนางพากันมาฝากเป็นลูกศิษย์ลูกหาประจำบ้านของเขาก็ถึงกับครางฮือออกมาพร้อมกันทันที
" อ...อะไรอีกล่ะเนี่ย? " ไกรครางออกมาเบาๆ ในขณะที่เดินลงจากเรือนมาพร้อมกับท่านผู้เฒ่าและสิงห์ โดยคอยสอดส่ายสายตาระวังไอ้ลูกธนูลูกหลงที่เผื่อท่านอาจารย์ผิงจะปัดแบบเอาแค่ปัดให้พ้นตัวพุ่งเข้ามาอีก ก่อนจะเดินเข้ามาสมทบกับอนาสตาเซียและศกุนตลาที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งที่น่าจะเป็นมุมปลอดภัยช้าๆ
" ก็...ท่านอาจารย์บอกว่าจะลองดูฝีมือของคนอื่นๆที่ท่านไม่ได้รู้จักมาก่อนน่ะ ข้าพยายามบอกแล้วว่าอเทตยาไม่ได้เป็นหนึ่งในมือสังหารของหมู่บ้าน แต่ว่า ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ " อนาสตาเซียหันกลับมาตอบชายหนุ่มโดยที่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไรเท่าไหร่นัก ในขณะที่เป็นฝ่ายไกรเองที่ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถามต่ออย่างช่างสังเกตว่า
" ท่านอาจารย์? ตกลงท่านกวนอิ๋นผิงเป็นอาจารย์ของเธอด้วยอย่างนั้นเหรอ? "
" พูดอะไรของเจ้าน่ะไกร ท่านอาจารย์น่ะเป็นอาจารย์ของทุกคน และเป็นผู้คิดค้นวิชาดาบยุคันตวาตเชียวนะ...คนในหมู่บ้านต่างก็รู้จักท่านดั่งเทพผู้พิทักษ์ประจำหมู่บ้านทั้งนั้นแหละ " อนาสตาเซียหันมาต่อว่าเขาด้วยตาใสแป๋วและใช้ดวงตานั้นมองไปที่ท่านกวนอิ๋นผิงที่ยังคงยืนนิ่งและใช้ง้าวมังกรเขียวประจำกายปัดป้องลูกธนูที่ถูกยิงมาจากธนูวัชระของอเทตยาที่ยืนอยู่ตรงหน้าราวกับมองดูดาราดังยังไงยังงั้น ...ในขณะที่ศกุนตลาที่ยืนอยู่อีกด้านนึงกลับไม่ได้มีท่าทีหลงไหลได้ปลื้มอะไรกับหญิงสาวผู้เป็นอาจารย์ของทุกๆคนมากนัก...ตรงกันข้าม เธอแทบจะไม่อยากจะมองหน้าท่านอาจารย์ู้นี้เลยด้วยซ้ำ ก่อนที่ในที่สุดศกุนตลาจะครางออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาที่สุดว่า
" ก็แค่...เคยเป็นดั่งเทพทิทักษ์เท่านั้นแหละ "
" โธ่...ศกุนตลา เจ้าก็รู้ดีว่าเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนนั้นไม่ได้เป็นความผิดของท่านแม้แต่น้อย " อนาสตาเซียหันกลับมาเถียงแทนอ่อยๆ ในขณะที่สิงห์ที่มีความสัมพันธ์กับหญิงสาวผู้นั้นมากกว่าศิษย์และอาจารย์อยู่ในสภาพน้ำท่วมปากไม่สามารถพูดอะไรได้...ส่วนศกุนตลาเมื่อได้ยินคำแก้ตัวนั้นก็เงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหลับตาลงและพูดเรียบๆว่า
" เรื่องผิดหรือไม่...ตัวข้าเป็นผู้ตัดสินเอง "
' ยิ่งฟังยิ่งงงเฟ้ย...ตกลงเรื่องราวในอดีตของยัยพวกนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ? ' ไกรที่ยืนฟังอยู่เงียบๆได้แต่เอียงคอพร้อมกับคิดในใจอย่างสงสัย แต่เขาก็ไม่อาจจะเสียมารยาทพอจะเอ่ยปากถามไปได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเลี่ยงบทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ด้วยการหันกลับไปมองทั้งท่ากวนอิ๋นผิงและอเทตยาที่ยืนอยู่กลางลานกว้างอีกครั้ง
เคร้ง!
" อื้อฮือ "
" มันน่าตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอฟะเนี่ย? " ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆพร้อมกับมองไปที่เหล่าเด็กหนุ่มที่เป็นเหมือนลูกศิษย์ลูกหาของพวกเขาที่มีท่าทีตื่นเต้นและฮือฮาทุกครั้งที่หญิงสาวพร้อมกับง้าวในมือปัดลูกธนูได้ เพราะถึงจะดูน่าตื่นเต้นราวกับมายากล แต่สำหรับนักดาบอย่างไกร หรือคนที่มีฝีมืออย่างพวกสิงห์แล้ว การปัดลูกธนูที่ถูกยิงมาต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะยากจนไม่อาจจะทำได้
" หืม? เจ้าคิดเช่นน้นจริงๆหรือ? ไกร " อนาสตาเซียหันกลับมาถามเบาๆ ซึ่งไกรก็พยักหน้าช้าๆ
" เทียบกับที่ท่านอิ๋นผิงทดสอบข้าที่เล่นเอาแทบปางตาย ที่ทำอยู่นี่มันทดสอบอเทตยาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะการยืนให้เห็นต่อหน้าอย่างนี้มันทำให้จุดเด่นที่สุดของอเทตยาอย่างการปิดจิตสังหารไม่มีผล และเมื่อเห็นอยู่ชัดๆ ต่อให้ธนูวัชระเร็วกว่าธนูทั่วไป แต่การปัดป้องก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย "
" "
" อ้อ...เรื่องนี้นี่เอง...ไอ้เรื่องที่ว่ายากหรือไม่นั้น ดูที่ท่านอิ๋นผิงดีๆก่อนก็ยังไม่สายนะ "
" หืม? " ไกรครางออกมาเบาๆอย่างงงงวย แต่พอเขาหันกลับไปมองที่หญิงสาวชาวจีนผู้เป็นอาจารย์ของเหล่ามือสังหารทุกคนอีกครั้ง เขาก็เข้าใจความหมายพร้อมกับที่เขาต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงทันที
" เป็นไปไม่ได้! "
ผ้าปิดตา...หญิงสาวผู้กำลังปัดป้องลูกธนูที่ออกมาจากมือของมือฉมังธนูสาวที่อาจจะเก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยใช้เพียงง้าวในมือที่ไกรปรามาสว่าน่าจะทำได้อย่างไม่ยากเย็น กลับผูกไว้ด้วยแถบผ้าปิดตาที่หนาเกินกว่าจะมองลอดออกมาได้ นั่นทำให้โอกาสในการมองเห็นลูกธนูที่พุ่งเข้ามาเป็นศูนย์ เมื่อรวมกับการใช้ประสาทสัมผัสที่หกไม่อาจจะค้นพบจิตสังหารและนาสิกประสาทไม่สามารถกระสากลิ่นอายของอเทตยาได้ นั่นทำให้กวนอิ๋นผิงใช้เพียงหูหรือโสตประสาทในการปัดป้องลูกธนูเท่านั้น
" บ้าแล้ว...ใช้แค่การฟังเสียงเนี่ยนะ?! "
" เสียง?...กะไว้แล้วเชียว " คำอุทานที่ไม่ใช่เบาๆของไกรทำให้อเทตยาที่ยืนจังก้าเงื้อสายธนูอยู่นั้นขมวดคิ้วพร้อมกับครางออกมาเรียบๆอย่างจับสังเกตได้ ในขณะที่ลูกสาวขุนพลจีนผู้เกรียงไกรอย่างกวนอิ๋นผิงหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" คิกๆ เจ้าน่ะ...ปากมากเสียจริงนะ ไกร ...แน่นอน กระบวนท่านี้เรียกว่า ขงเบ้งฟังลม อย่างไรล่ะ! "
" ไอ้กระบวนท่านั้นมันมีซะที่ไหนล่ะเฟ้ย! อย่าเอาตำนานขงเบ้งเรียกลมมามั่วเอาเองสิ! "
" คิดเรื่องหยุมหยิมกับกระบวนท่าของข้าอีกแล้ว ตัด ๒ แต้ม! "
" เดี๋ยวสิ! กระบวนท่าอีกแล้วเหรอ?! " ไกรขัดขึ้นอย่างห้ามปากไม่อยู่ ซึ่งก็ได้ผลทันตาเห็น เพราะท่านกวนอิ๋นผิงเลิกตั้งท่าป้องกันพร้อมกับหันกลับมาหาไกรทั้งๆที่ผูกผ้าปิดตาอยู่ทันที
" ก็ข้าบอกเจ้าไปแล้วอย่างไรว่าการพูดชื่อกระบวนท่าออกมาสามารถสร้างความรุนแรงได้มากขึ้นถึง ๕-๖ ส่วนทีเดียว "
" ของแบบนั้นมันช่วยได้ก็แปลกแล้วเฟ้ย! "
เคร้ง! เคร้ง!
ทั้งๆที่ยังหันหลังอยู่ แต่อาจารย์อิ๋นผิงกลับยังสามารถควงง้าวให้ปัดป้องลูกธนูสีดำสองดอกที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดได้อย่างงดงามและไร้ที่ติ ส่งผลให้ลูกธนูทั้งสองดอกที่พุ่งหมายจุดสำคัญของหญิงสาวเฉออกไปปักเด่อยู่บนพื้นอีกครั้ง
" ไม่ลังเลเลยที่จะยิงใส่ข้าจากด้านหลังสินะ...คิกๆ เจ้านี่มันช่างเลือดเย็นถูกอกถูกใจข้าเสียจริงนะ อเทตยา...บวก ๓ แต้ม " กวนอิ๋นผิงพูดพร้อมกับหันกลับไปยิ้มยิงฟันใส่อเทตยาที่ยืนทำหน้าขัดอกขัดใจอยู่ที่การจู่โจมทีเผลอของเธอไม่ได้ผล แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดอย่างผู้เป็นเสมือนอาจารย์สาวก็ทำให้มือฉมังธนูมอญฝืนยิ้มออกมาบางๆ
" ข้าจะขอถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกันนะเจ้าคะ "
" ป...ปัดได้ด้วย?! "
" ก็บอกแล้วอย่างไรว่านี่คือสุดยอดกระบวนท่าขงเบ้งฟังลม! "
" ก็บอกแล้วไงว่าไอ้กระบวนท่านั่นมันมีซะทีไหนล่ะเฟ้ยขอรับ! "
" กังขาข้าอีกแล้ว ตัดอีก ๓ แต้ม! "
อเทตยาเงื้อธนูโลหะสีดำที่สูงท่วมหัวในมือและทำท่าจะส่งลูกธนูมาจู่โจมใส่หญิงสาวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ตรงหน้าอีกครั้ง แต่เงื้ออยู่ชั่วครู่นึงเธอก็ถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกับลดคันธนูลงอย่างช้าๆ
" ข้ายอมแพ้แล้วเจ้าค่ะ ท่านอิ๋นผิง "
" อ...เอ๋? "
" พูดโดยสัตย์จริง ต่อให้มีธนูวัชระทมิฬช่วยเหลือ แต่นี่ก็เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่ข้าจะสามารถยิงลูกธนูได้โดยไม่มีจิตสังหารหลุดรอดออกมาแล้ว และถ้าลูกศรที่ถูกยิงแบบไร้สัมผัสยังไม่อาจจะทำร้ายท่านได้ ลูกศรลูกต่อไปที่ข้าไม่อาจปิดบังจิตสังหารได้ก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน...ข้าขอยอมแพ้เจ้าค่ะ " อเทตยาพูดอย่างสงบพลางค่อยๆพับธนูสีดำของเธอเก็บอย่างช้าๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะพูดด้วยเหตุผลในการยอมแพ้ที่ไม่อาจจะเถียงได้ แต่กวนอิ๋นผิงกลับดูเหมือนยังไม่ค่อยพออกพอใจกับผลที่ออกมาในรูปแบบนี้อยู่ดี
หญิงสาวผู้อยู่เหนือกฎแห่งวัฏสงสารแบบเดียวกับท่านผู้เฒ่าค่อยๆใช้มือข้างเดียวถอดแถบผ้าปิดตาออก ก่อนจะใช้ดวงตาสีอ่อนที่ใช้มองโลกใบนี้มาแล้วนับพันปี มองไปที่หญิงสาวชาวมอญตรงหน้า ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกและพาดง้าวพลางเดินเข้าไปใกล้อเทตยาอย่างช้าๆ...ด้วยความที่เธอสูงกว่าอเทตยาเล็กน้อย ทำให้เธอค่อยๆก้มลงไปจนกระทั่งริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเข้าไปใกล้หูของอเทตยา...ก่อนที่อเทตยาจะได้ทันว่าอะไร กวนอิ่นผิงก็กระซิบเบาๆจนกระทั่งมีเพียงแค่อทเตยาคนเดียวที่ได้ยินว่า
" ข้ารู้นะ ว่าเจ้ามีดีมากกว่าที่รูปลักษณ์อันเสแสร้งภายนอกของเจ้าแสดงออกมา "
คำพูดของกวนอิ๋นผิงทำให้อเทตยาขมวดคิ้ววูบจนเกือบจะควบคุมสีหน้าตัวเองไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมาเธอจะกลับสู่ปกติพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ
" ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร ท่านอิ๋นผิง "
" หืม? ...เจ้าเด็กไกรสินะ...เสี้ยววินาทีที่ข้าพูด เจ้าเหลือบมองไปที่เด็กนั่น " กวนอิ๋นผิงแสยะยิ้มพร้อมกับใช้ประโยชน์จากประสบการณ์อันล้นเหลือมองทะลุหน้ากากของหญิงสาวตรงหน้าได้ในพริบตา นั่นทำให้อเทตยาถึงกับออกอาการทันที
" ท...ท่าน! "
" ข้ามีความลับจะบอกเจ้า เด็กน้อย...ความลับของเด็กไกรนั่น และเป็นความลับที่สำคัญมากที่สุดที่อาจจะเกี่ยวพันถึงชีวิตของเจ้านั่นเลยก็ว่าได้ "
" ว...ว่าอย่างไร--- "
" หลังจากที่เจ้าเรียกเลือดออกจากข้าได้เพียงหยดเดียว อเทตยา...เพียงหยดเดียว " กวนอิ๋นผิงแสยะยิ้มพร้อมกับถอยหลังออกไปช้าๆ ก่อนที่เธอจะผูกผ้าปิดตาอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้เธอกลับควงง้าวมังกรเขียวพร้อมแยกขาเพื่อลดจดศูนย์ถ่วงของตัวเองให้ต่ำลงและอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อมรบที่สุด
...เพราะเธอแก่พรรษาพอจะรู้อย่างชัดแจ้ง ว่าการต่อสู้กำลังจะเปลี่ยนกระแสไปอย่างสิ้นเชิง
" ดี... " กวนอิ๋นผิงแสยะยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมกับดวงตาที่อยู่ภายใต้แถบผ้าปิดตาจะส่องประกายวาววับ " ...ความรู้สึกที่หมายจะเอาจนถึงแก่ชีวิตนี่แหละ ที่ข้าไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน...สิ่งนี้แหละที่ทำให้ข้ามีชีวิตอีกครั้ง "
" หวังว่านี่คงไม่ได้เป็นแค่คำโกหกของท่านเพื่อยั่วยุข้าหรอกนะเจ้าคะ ท่านกวนอิ๋นผิง " อเทตยาพูดออกมาช้าๆ พร้อมกับที่จิตสังหารตกค้างจากการปิดกันจิตสังหารที่กักเก็บไว้จะค่อยๆปะทุออกมาจนกระทั่งบรรยากาศรอบๆถึงกับหนาวเยือกลงชั่วขณะ...จิตสังหารที่ชัดเจนจนแม้แต่พวกเด็กหนุ่มลูกศิษย์ลูกหาของไกรที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ยังสัมผัสได้เลยทีเดียว
" ข้าให้สัตย์เลยว่านั่นเป็นความจริง...คำพูดของข้าหนักเท่ากับทองพันชั่ง...แค่ทำข้าเลือดตกได้แม้แต่เพียงหยดเดียว อเทตยา...ข้าจะบอกทุกอย่างแก่เจ้า "
" บอก? ...เรื่องอะไรกัน? " ไกรที่ไม่รู้ความนัยใดๆได้แต่ครางออกมาเบาๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขาก็ไม่มีโอกาสถามต่อ เพราะอเทตยาสะบัดกางคันธนูโลหะสีดำสนิทออกมาอีกครั้งพร้อมกับจิตสังหารอันแหลมคมที่ปะทุพรวดจนกระทั่งทุกคนถึงกับต้องถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างตกใจทันที
" ถ้าเช่นนั้น...ข้าต้องขอล่วงเกินท่านแล้ว...ท่านกวนอิ๋นผิง "
วูบ! เคร้ง!
" เห็นไหม? ถ้าตั้งใจจริงๆก็ทำได้นี่ " หญิงสาวผู้เป็นอาจารย์ในเชิงยุทธของมือสังหารทุกคนแสยะยิ้มอย่างถูกอกถูกใจอีกครั้ง เพราะความเร็วและความรุนแรงของลูกธนูสีดำที่พุ่งเข้ามาคราวนี้มันรุนแรงจนกระทั่งแค่ใช้การฟังอย่างเดียวเริ่มไม่เพียงพอเสียแล้ว แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดพูดไปอย่างกะทันหันพร้อมกับพุ่งม้วนตัวหลบลูกธนูที่อยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นพุ่งมาจากทางด้านข้างในระยะแทบจะประชิด ทั้งเมื่อหลบลูกธนูที่หมายอวัยวะสำคัญของเธอเสร็จ จิตสังหารอันรุนแรงก็พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังทันที
เปรี้ยง!
คราวนี้ไม่ใช่ลูกธนู แต่เป็นคันธนูโลหะในมือของมือฉมังธนูสาวที่ฟาดเข้าใส่หมายบริเวณก้านคอของเธอ จนกระทั่งกวนอิ๋นผิงต้องใช้เท้าที่หุ้มด้วยสนับแข้งหนังเตะสกัดคันธนูคันนั้นทันที
" เวรเอ้ย! " การจู่โจมแบบไม่คาดคิดของอเทตยาถึงกับทำให้กวนอิ๋นผิงกัดฟันสบถสาบานออกมาเบาๆ...นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมีจิตสังหารอันรุนแรงนำมาก่อน ป่านนี้การฟาดด้วยคันธนูนั่นมีหวังฟาดเธอที่ต่อให้อีกฝ่ายด้วยการผูกผ้าปิดต่าไว้จนลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้วแน่ๆ
" โปรดระวังด้วยนำเจ้าคะ ท่านอิ๋นผิง...ประเดี๋ยวเกิดเลือดตกยางออกขึ้นมาจะโทษข้าไม่ได้เชียว "
" คิกๆ ปากกล้าดีนักนะ...นัง เด็ก เวร! "
เคร้ง!
.........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ