Hello My Brother แอบปิ๊งสักนิดไม่ผิดมั้ง
เขียนโดย จูออน
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 20.08 น.
แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) Go to ‘Satorie Scary Park’
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 9 Go to ‘Satorie Scary Park’
ปิ๊งป่อง~
เสียงออดหน้าบ้านดังปลุกเรียกมาสักพักและก็สักพักใหญ่ๆ ด้วยแหละ!! แล้วพี่ปั้นจั่นหายหัวไปไหนของเขากันนะ ทำไมถึงไม่ไปเปิดประตูรับคนเนี่ย หนวกหูจริงๆ-*-
ฉันบิดตัวมาอีกทางให้ห่างจากหน้าต่างห้องมากที่สุดก่อนจะเอาหน้าซุกเข้าไปในหมอนอุดตัวเองไว้แบบนั้น
ปิ๊งป่องๆๆๆ~!!
“โอ๊ย เลิกกดสักทีเถอะ!”
ด้วยเหลืออดฉันจึงโผล่หน้าออกไปหมายจะด่าให้เงิบสักหน่อยแต่เด็กน้อยน่ารักก็ยืนส่งยิ้มแป้นแล้นมาให้จนไม่กล้าพูดอะไร
ฉันเดินลงมาเพื่อเปิดประตูให้ จำได้ว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกที่เมื่อวานมีปัญหาเกี่ยวกับฟูฟี่ แล้ววันนี้ยังจะมาเอาอะไรอีกนะเนี่ย?
“ขอโทษนะจ้ะ ที่รบกวน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฉันแอ๊บยิ้มหวานหยดให้หารู้ไม่ว่าในใจนั้นอยากบอกเหลือเกินว่ารู้ตัวด้วยเหรอคะ
“พอดีจากเมื่อวาน หนูทำให้ฉันคิดได้ ก็เลยอยากจะมาขอไอพอดคืนน่ะ”
“ฮะ?”
“หนูฟังไม่ผิดหรอกฉันจะมาขอไอพอดคืน จริงๆ วันนี้เราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่เพราะน้องไอโฟนบอกว่าถ้าไม่มีไอพอดก็จะไม่ไปก็เลยอยากช่วยหน่อยเถอะนะจ้ะ ฉันมีลูกชายแค่คนเดียว” คุณแม่ของน้องไอโฟนถึงกับยกมือไว้ฉันจนต้องยกมือไหว้ตอบ
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณสัญญาว่าจะดูแลมันอย่างดีจริงๆ หนูก็จะให้”
“จ้ะ สัญญา”
“งั้นรอก่อนนะคะ” ^^
ฉันหันไปอมยิ้มกับน้องไอโฟนทีนึงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปอุ้มเอาเจ้าฟูฟี่ที่ชื่อว่าไอพอดตามเจ้าของเดิมเรียกนี่ออกมาโดยเร็ว
“ไอโฟนดีใจด้วยนะ ดูแลมันดีๆ ล่ะ” ฉันลงไปนั่งยองๆ พร้อมลูบหัวไอโฟนที่กำลังฉีกยิ้มไม่หุบเพราะได้เจ้าไอพอดกลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
“ขอบคุณมากนะ งั้นพวกเราไปกันเถอะได้เวลาออกรถแล้ว”
สองแม่ลูกเดินจากไปอย่างมีความสุขทิ้งไว้เพียงความประทับใจกับคนข้างหลังอย่างฉันโดยหารู้ไม่ว่าหายนะกำลังคลืบคลานเข้าใกล้
“ปั้นยิ้ม!!” เสียงเจ้าปีศาจที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายร้องเรียกซะลั่นแบบนั้น คงไม่พ้นใช้งานตามเคย
“มีอะไรเจ้าคะ!” เดินมาถึงฉันก็กระแทกเสียงประชดไปที
“ฟูฟี่ล่ะ”
“อ๋อ คืนแม่ลูกนั่นไปแล้วน่ะ”
“หมายความว่าไง”
“ก็เมื่อเช้าเขามากดออดที่บ้าน พอฉันลงไปเขาก็ขอคืน...”
“แล้วเธอก็ให้” พี่พูดขัดน้ำเสียงเข้มจนน่ากลัว
“ชะ...ใช่” ฉันรู้ตัวว่าตอนนี้สีหน้าตัวเองคงเจื่อนสนิทเพราะได้เหยียบเข้ากับกับระเบิดลูกเบอเริ่มเข้าให้แล้ว ไม่ทันได้คิดก่อนว่าพี่เองก็รักฟูฟี่มากมายขนาดนั้นเพราะมัวแต่ดีใจกับไอโฟนเลยลืมนึกถึงพี่ไปซะสนิทเลย โฮกกก...I’m Sorryyy!! TTOTT
“เธอนี่มัน...ฮึ่ย!” พี่ดูท่าจะเก็บกดอารมณ์โกรธนั้นไว้สุดขีด ฉันรู้สึกได้ว่าพี่โมโหมากจริงๆ ถึงที่ผ่านมาจะเคยโดนโกรธหรืออะไรมาบ้างแต่คราวนี้สัมผัสรังสีอัมหิตได้จนขนลุกซู่เลยล่ะ
ถึงเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ พี่ก็ยังคงเงียบอยู่แบบนั้น เงียบ...โดยที่ฉันเองยังไม่กล้าแม้จะกลืนน้ำลายให้ได้ยินจนเสียงบางอย่างดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกงของพี่
‘ตู้ดดด...ตู้ดดด...’
‘ตู้ดดด...ตู้ดดด...’
“เอ่อ...พี่ไม่คิดจะรับโทรศัพท์หรอ” ฉันยิ้มแหยก่อนจะชี้ให้พี่หันไปมอบหายนะให้กับผู้โชคร้ายที่โทรเข้ามาคนนั้นแทน อิ๊ๆ อย่างน้อยถ้าได้คุยกับคนนั้นสักพักอารมณ์โกรธคงจะลดน้อยลงสักนิด(มั้ง)
“ฮัลโหล...เออ...เรื่องอะไรจะให้นายมาทำงานเขียนฉันพังล่ะ ต่อให้ผู้กำกับสั่งนอกบทก็เถอะยังไงนายก็ต้องเล่นตามที่ฉันเขียนเท่านั้น...อืม เดี๋ยวไปดู...อ้อ อย่าลืมที่เคยคุยกันนะ...ก็เอาสิ ถ้าตาแก่นั่นคิดว่าการนอกบทมันเป็นสไตล์ของหนังที่ดีนักล่ะก็ ได้เจอฉีกหน้าแน่...เออ วางไปเถอะ!”
ปิ๊บ!
เอิ่ม...พี่เรานี่โหดชะมัดถึงขั้นข่มผู้กำกับได้นี่ถือว่าไม่ธรรมดาแฮะ -.,-
“ส่วนเธอ” หลังคุยเสร็จแทนที่อารมณ์โกรธจะลดกลับเพิ่มเดซิเบลความอัมหิตขึ้นมากกว่าเดิมซะงั้นอะ งือออ ใครจะช่วยฉันได้มั้ยเนี่ย
“ส่วนหนูทำไมหรอคะ พี่ชายสุดหล่อ แหะๆ”^____^ ฉันบีบนวดให้พี่อย่างจนใจ ฝืนยิ้มหวานใส่ให้มากที่สุดเท่าที่จะบรรเทาอารมณ์ให้ได้
“ไม่ต้องมาประจบ ยัยหมูไม่ฉลาด”
อึก ว่าหมูไม่พอมาว่าหมูไม่ฉลาดด้วยง่า ใจร้าย~
“แหม...ถึงจะไม่ฉลาดแต่ก็น่ารักน้า ดูดีๆ ดิ”
ฉันจับหน้าของพี่ให้มองหน้าฉันตรงๆ ชัดๆ จะได้รับรู้สักทีว่าพี่พูดผิดและฉันคิดว่าตัวเองสวยถูกมาโดยตลอด แต่พอมองลึกลงไปในนัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มของพี่แล้วราวกับถูกดึงดูดให้เข้าใกล้เรื่อยๆ ฉันที่มัวแต่จ้องมองตาพี่อย่างสนใจไม่รู้ตัวเลยว่าคนตรงหน้าแอบหน้าแดงขึ้นมาอย่างมากมาย
“พอแล้วยัยบ้า ไปแต่งตัวไปจะพาไปสวนผี”
“หา อะไรนะ สวนผี”
“เออ ถ้าไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า รีบไปได้แล้ว”
แล้วฉันก็พยักหน้ารับรีบขึ้นไปแต่งตัวโดยเร็ว ถึงแม้จะติดใจกับชื่อชวนสยองพองขนนั่นแต่ต่อมความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีมากกว่าจนอยากจะพิสูจน์ให้รู้กันไปว่าสวนผีนั้นมันคืออะไร?
ตอนแรกฉันคิดว่ามันน่ากลัวแต่พอเดินเข้ามาแล้วก็เปรียบสถานที่ที่พี่เรียกมันว่าสวนผีนี้เป็นสวนสนุกดีๆ นี่เอง ซึ่งชื่อของมันก็แสนจะฟังดูดีอย่าง ‘Satorie Scary Park’
“เร็วๆ หน่อยสิ ไม่ได้พามาเดินแบบนะ”
“จ้า” ฉันยิ้มยียวนกวนประสาทไปพี่ก็ทำท่าหันมาจะเขกมะเหงกทันที
“ยัยนี่!”
“โอ๊ะ...” แต่สายตาของฉันก็พลันไปเห็นเข้ากับกองถ่ายละครซะก่อน หลังจากสแกนไปซะทั่วแล้วสิ่งที่เป็นเป้าสายตาของฉันมากที่สุดก็คือ...เรนโบว์
“กรี๊ดดด...เรนโบว์”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนยัยปั้นยิ้ม”
ฉันไม่ฟังเสียงนกเสียงกาที่ไหนทั้งนั้นเพราะตอนนี้หัวจิตหัวใจสั่งให้พุ่งเข้าหาเรนโบว์แต่เพียงผู้เดียว มีกลุ่มแฟนคลับมายืนโบกป้ายอยู่ห่างๆ แต่มีหรือคนอย่างฉันจะยอมแพ้กะอีแค่อุปสรรคแค่นี้ ฉันฝ่าดงคนพวกนั้นมุดแทรกบีบตัวให้เล็กที่สุดลอดเข้าไปอย่างเบียดเสียด จนในที่สุดก็ได้มายืนเจ๋อปั้นหน้างามๆ ปานนางสาวไทยร้องเรียกเรนโบว์ได้สมใจ
“เรนโบว์ เรนโบว์ ปั้นยิ้มอยู่นี่”(^O^)/ ฉันโบกมือไปมาอย่างแรงเพื่อเรียกความสนใจของเขาแบบออกหน้าหารู้ไม่ว่าไอ้การกระทำเสล่อแบบนี้วอนโดนบาทานับสิบจากสาวๆ ที่กำลังเท้าสะเอวใส่อย่างไม่พอใจ
มุมที่ฉันยืนจากที่มีแต่เสียงร้องเชียร์กลับเงียบกริบและสายตานับสิบที่หันมามอบรังสีน่ากลัวใส่ฉัน เมื่อรู้เช่นนั้นฉันจึงแกล้งดี๊ด๊าชวนคุยกับยัยอ้วนที่คิดว่าตัวฉันอยู่ใกล้เท้าเธอมากที่สุดเพื่อผูกมิตร
“แหะๆ พวกเธอไม่เชียร์เค้ามั่งหรอ FC เรนโบว์ ชูป้ายสิ คนสวย เย้ๆ”
เงียบ!~ บรรยากาศแบบนี้เล่นเอาฉันกลืนน้ำลายดังเอื้อก อยากจะขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาจากไหนเพราะล้อมรอบมีแต่บาทาเต็มไปหมด
หมับ! เอาแล้วไง มีหนึ่งคนในนี้จับตัวฉัน!! และต่อจากนี้ก็คงไม่พ้นลงไปนอนกองสลบเหมือดกับพื้นเป็นแน่
“ปั้นยิ้ม มานี่เร็ว” เสียงทุ้มต่ำเรียกให้ฉันกล้าเงยหน้าขึ้นมอง เรนโบว์กำลังฉุดฉันออกมา เขามาช่วยฉัน กรี๊ดดด...ฮีโร่สุดที่รักของฉัน น่ารักที่สุดเลยอ่า>////<
“ขอบคุณมากนะคะ”
หลังจากที่คิดว่าปลอดภัยเพราะเรนโบว์พาฉันมายืนหลบอยู่ปะปนกับคนในกองถ่ายแล้วฉันก็ได้ทีแอ๊บสวยใสน่าเอ็นดูใส่ซะเลย
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่มาคนเดียวหรอ”
“ป่าวหรอก มากับพี่น่ะค่ะ”
“ปั้นยิ้ม ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ยัยบ้า!!” ยืนคุยกับเรนโบว์ได้ไม่ถึงสิบวิเสียงของพี่บ้าก็เรียกซะลั่นเลย จอมขัดจังหวะชะมัด อ่านบรรยากาศเป็นมั้ยเนี่ย?
“ว้า~ อดพาเที่ยวเลย งั้นไว้เลิกงานเมื่อไหร่จะแอบไปอุ้มมานะ”
เรนโบว์ทิ้งท้ายคำพูดชวนให้ใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูก นี่เขาจีบฉันแล้วหรือเปล่านะ เฮ้ย...บ้าๆๆๆ ฝันแล้วแกยัยปั้นยิ้ม>.<
“ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ ยัยหมูตัวแสบ” จากที่กำลังฟินกับคำพูดของเรนโบว์อยู่ดีๆ มันก็หายวับไปกับถ้อยคำกวนประสาทนั่นทันที
“ก็นิดนึงน่ะ”
“หึ วันหลังถ้าเป็นแบบนี้จะไม่พามาแล้ว อุตส่าห์คิดว่าจะพามาเที่ยวเปิดหูเปิดตาซะหน่อยแต่ดันวิ่งโร่เข้าหาไอ้บ้านั่นซะงั้น” พี่พูดแถมกดอกหันไปอีกทาง นั่นเขาเรียกอาการงอนใช่มั้ย!? นี่ฉันผิดอีกแล้วสินะ
“แหม พี่จ๋า อย่างอนเลยนะ นะๆๆ” ฉันเอาหน้าไปคลอเคลียกับแขนพี่ตามแบบฉบับการง้อทุกทีและมันก็ได้ผลดีซะด้วย
“คิก พอเลย เข้าไปข้างในกันได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่า แต่แววตากับรอยยิ้มนั่นดูแล้วทำให้ฉันรู้สึกติดใจมันอย่างน่าประหลาด เสียงตึกตักบางอย่างดังขึ้นจากที่ไหนสักที่อีกแล้ว ดังจนน่าหนวกหูชะมัดเลยแฮะ
สถานที่แรกที่พี่พาฉันมาคือ!!...ร้านขนมสายไหม? -.- เอิ่ม นี่มันน่าตื่นเต้นตรงไหนยะเนี่ย มาสวนสนุกผีสิงทั้งทีก็ต้องเข้าบ้านผีสิงซี่
“ขอสีชมพูสองไม้ครับ”
หลังจากซื้อเสร็จสถานที่ที่สองที่พี่พามาก็คือ!!...ร้านป๊อปคอร์น!? -*-
“เฮ้ย นี่พี่มาสวนผี(แอบติดคำพูดพี่มา)เพื่ออะไรเนี่ย ซื้อของกินแบบนี้แถวบ้านก็มีขายมั้ง” -O-
“งั้นหรอ เออ...กลับเถอะ”
“เฮ้ย ได้ไงยังไม่ได้เที่ยวเลย”
“งั้นหรอ...อืม ไปนั่งม้าหมุนตรงนั้นก็ได้นะน่าสนุกดี”
“พี่!” ฉันตวาดเสียงขึ้นและนั่นทำให้ฉันเห็นสีหน้าบางอย่างของพี่ ว้ายๆๆ กลัวผีสินะเนี่ย มิน่าล่ะถึงเลือกเลี่ยงตลอด แบบนี้มันต้องแกล้งสักหน่อยแล้ว
“พี่จ๋า ปั้นยิ้มอยากเข้าบ้านตรงนู้นสักหน่อยอะ ถ้าพี่เป็นพี่ที่สามารถปกป้องน้องได้ พี่ควรจะเข้าไปเป็นเพื่อนน้องสาวคนนี้หน่อยนะ นะๆๆๆ”
“จะดีหรอ ปิดแล้วม้างงง...”
“งั้นถ้าพี่จ๋าไม่ยอมเข้าด้วย น้องไปชวนเรนโบว์แทนก็ได้นะ ดูท่าเขาคงจะเต็มใ...”
“ไม่ต้อง ให้ฉันเข้าเป็นเพื่อนเอง” ฮ่ะๆ ถึงกับขัดขึ้นมาทันควัน เข้าแผนจนได้สินะ โฮะๆ
“สำเร็จ!” ฉันแอบดีใจกับตัวเองก่อนจะดันหลังพี่ที่พยายามฝืนตัวอย่างมากเข้าบ้านผีสิงไปด้วยกัน
ภายในมืดมิด มองไม่เห็นแม้ทางเดิน มีเพียงสีเรืองแสงเป็นทางยาวให้เดินตามเข้าไป ในตอนแรกฉันไม่กลัวแต่พอมันมืดแบบนี้ฉันชักเริ่มกลัวนิดๆ แล้วแฮะ
“จับมือพี่ไว้นะ อย่าปล่อยเด็ดขาด”
“อือ”
ครืนนนน~
“กรี๊ดดดด” มีเสียงร้องระงมมาตลอดทางทั้งของฉันและคนอื่นที่ร่วมทางมาด้วยกัน ฉันได้แต่กำมือพี่ไว้แน่น สมชื่อสวนผีจริงๆ นี่มันไม่สนุกสักนิด น่ากลัวชิบล่ะสิไม่ว่า
“พี่ปั้นจั่น ปั้นยิ้มกลัว รีบเดินออกไปหน่อยได้มั้ย” ฉันหันไปพูดกับคนข้างๆ ที่จับมือไว้แน่นแต่พอมองให้เห็นชัดๆ เขากลับไม่ใช่พี่ปั้นจั่น แล้วพี่ปั้นจั่นหายไปไหนล่ะเนี่ย ไม่นะอย่าปล่อยฉันไว้คนเดียว
“กรี๊ดดดด/วะฮ่าๆๆ” ทั้งเสียงผีเสียงคนร้องดังโหยหวนน่าหวาดกลัวจนฉันเข่าอ่อนเดินไปเองไม่ไหว ไม่นะอย่าปล่อยฉันไว้คนเดียว ไม่เอานะ พี่ปั้นจั่น...ช่วยด้วย
“ปั้นยิ้ม อยู่ไหน”
“พี่ปั้นจั่น” รู้สึกมีความหวังอีกครั้ง ฉันลุกขึ้นยืนโบกมือให้กับพี่ปั่นจั่นที่กำลังวิ่งมาจากด้านหลังของกลุ่มคน แต่มันไม่ใช่แค่พี่ปั้นจั่นเท่านั้นที่วิ่งมาหาเพราะเงาตะคุ่มๆ ดำทะมึนพร้อมเลือดท่วมตัวและเสียงเครื่องยนต์เลื่อยหนักๆ นั่นกำลังวิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ด้วย
“กรี๊ดดด...ผี!”
“เฮ้ย”
ฉันไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วได้แต่หลับตาปี๋ให้กับเหตุการณ์ตรงหน้า ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องหลอกแต่มันก็สมจริงเกินกว่าจะบอกตัวเองได้ว่ามันคือการแสดงของเขา เสียงกรีดร้องพร้อมฝีเท้าของกลุ่มคนที่รีบวิ่งหนีตายอุตหลุดจากซอมบี้ถือเลื่อยนั่นยิ่งทำให้ขวัญฉันกระเจิดกระเจิงไปสิ้น น้ำตาไหลรินเพราะกลัวมันไล่ตามทันและฆ่าตายอย่างช่วยไม่ได้
“ฮือออ~”
“ไม่เป็นไรนะปั้นยิ้ม อดทนหน่อยพี่จะพาเธอออกไปเอง”
ฉันได้ยินแค่นั้นเพราะเสียงอย่างอื่นฉันไม่อยากจะรับรู้มันอีกแล้ว สัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจเหนื่อยแฮ่กของพี่ปั้นจั่น สัมผัสได้ถึงแสงที่ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ
“ออกมาได้แล้ว โว้โฮ้ จ้างให้ก็ตามไม่ทันหรอกเว้ย!”
มารู้ตัวอีกทีฉันก็อยู่ในอ้อมกอดของพี่ปั้นจั่น นี่พี่เขาอุ้มฉันมาตลอดทางเลยหรอเนี่ย เหงื่อที่ไหลชุ่มนั่นก็คงเป็นคำตอบให้กับฉันได้อย่างดี สีหน้าของพี่ที่ดูสะใจนั้นทำให้ฉันถึงกับหลุดขำออกมาด้วย
“ฮ่ะๆๆ”
พอรู้ตัวว่าถูกจ้องมองพี่ปั้นจั่นก็หันมาตีหน้าขรึมใส่ก่อนจะรีบวางฉันลงแล้วชักชวนเล่นเครื่องเล่นอื่นต่อ เมื่อก่อนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าการมีพี่ชายมันดียังไง เห็นแต่เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่ามันดีแบบนั้นแบบนี้จนได้มาสัมผัสเองฉันจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วแหละว่า...การมีพี่ชายมันดีแบบนี้นี่เอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ