love mission ภารกิจรัก ทดแทนหัวใจนายจอมกวน
7.7
เขียนโดย พรสิริ
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.13 น.
55 ตอน
8 วิจารณ์
53.34K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 18.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
52)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หญิงสาวเดินเข้ามาในสวนหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น สวนที่เธอเคยคิดว่ามันวังเวงนั่นเอง
แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ลงมาสู่ดอกไม้เล็กๆเบื้องล่าง สร้างความสุขใจให้แก่ผู้พบเห็นไม่น้อย มุมพักผ่อนเล็กๆใต้ต้นไม้คือจุดหมายหลักของเธอ ชายท่าทางใจดีกำลังนั่งตัดแต่งต้นบอนไซแสนรักบนโต๊ะเหล็กดัดตัวเก่า เสียงเพลงภาษาไม่คุ้นหูถูกขับขานเบาๆอย่างสบายอารมณ์ เธอนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กดัดใกล้ๆกับเขา พลางมองการกระทำของเขาแล้วยิ้มอย่างสุขใจ ต้นไม้เล็กๆในกระถางน่ารักถูกนำออกมารับแสงแดดยามเช้าจนเต็มโต๊ะ ทุกต้นล้วนแข็งแรงจากการดูแลอย่างดีของลุงแหมบ เธอมองเขาดูแลเหล่าต้นไม้อย่างเพลินตา
“ลุงแหมบชอบต้นไม้หรือคะ”
“ครับ เวลามองไปที่พวกมันทีไร รู้สึกจิตใจสงบทุกที”
“นี่ต้นอะไรหรือคะ ใบน่ารักจังเลย”
เธอจับไปที่กระถางกระเบื้องเคลือบสีชมพูเล็กๆที่มีต้นไม้เป็นกอๆยื่นออกมาจากกระถางอย่างยุ่งเหยิง แต่ใบของมันกลับเป็นกลีบรูปหัวใจหลายดวง ซึ่งเป็นต้นไม่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าเธอจะชอบปลูกต้นไม้ในกระถางแต่ก็มีแค่ต้นกระบองเพชรหรือต้นไม้เล็กๆที่เป็นไม้ยืนต้นเท่านั้น ไม่เคยเห็นการปลูกไม้กอๆในกระถางน่ารักแบบนี้เลยสักครั้ง
“เขาเรียกใบโคลเวอร์ครับ เป็นพืชคลุมดินที่ไม่ค่อยพบเห็นในแถบร้อน ที่นี่เลยไม่ปลูกกันน่ะครับ”
“ออ อย่างนี้นี่เอง แต่ลุงแหมบสามารถดูแลในสภาพอากาศแบบนี้ได้ เก่งมากเลยนะคะ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เพียงแค่เอาออกมารับแสงแดดบ้างก็เท่านั้น ส่วนใหญ่คุณหนูจะเป็นคนดูแลมากกว่า”
‘คุณหนู!! นายนั่นอะนะจะใจเย็นพอดูแลสิ่งเล็กๆบอบบางแบบนี้ได้ ฉันไม่อยากจะเชื่อ’
“ต้นนี้เป็นของคุณหนูของลุงหรือคะ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ครับ คุณหนูหวงมากเพราะคุณหนูมิซึกิให้มา ถึงขนาดเอามาที่นี่ด้วยเลยนะครับ คงจะเอาไว้ดูให้หายคิดถึงกันล่ะมั้งครับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆเหือดแห้งลงทุกที เพียงเพราะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ อยู่ดีๆหัวใจของคนฟังก็รู้สึกแป้วๆขึ้นมา
“คุณหนูมิซึกิเธอเป็นใครหรือคะ เห็นนายนั่นพูเถึงบ่อยๆ”
“พูดถึงหรือครับ!!!”
ลุงแหมบเอ่ยขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เขาไม่รู้หรอกว่า คุณหนูของเขาเจออะไรมาถึงได้เป็นคนเก็บตัวแบบนี้ แต่ก็แน่ใจว่าต้นเหตุนั้นมาจากคุณหนูมิซึกิแน่นอน เพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้คุณหนูของเขาเป็นเดือดเป็นร้อนได้
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรือคะ”
ถึงแม้ว่าเรื่องของมิซึกิจะทำให้เธอเจ็บปวด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ต่อมเผือกทำงานลดลงเลยสักนิด ลุงแหมบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาลังเลใจไม่น้อยว่าจะเล่าความหลังของคุณหนูให้เธอฟังดีหรือไม่ เรื่องราวมันอาจจะแย่หรือดีกว่านี้ก็ได้ แต่ใครกันล่ะ!! ใครที่จะดี ใครที่จะแย่ ใครที่จะเจ็บปวดที่สุดกับเรื่องนี้ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งทำให้เธออยากรู้เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้มากยิ่งขึ้น
ณ ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจ ชายหนุ่มนั่งเงียบๆคนเดียวราวกับมองไม่เห็นผู้คนรอบข้าง หญิงสาวร่างบางเดินเข้ามานั้งตรงที่ว่างข้างๆเขา เธอยิ้มดีใจที่เจ้าของโต๊ะกลับมาเติมเต็มความว่างเปล่าเสียที หลังจากที่เขาหายไปสองอาทิตย์เต็มพร้อมกับอดีตเจ้าของโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ทำให้ทุกคนในห้องต่างสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่วันนี้เธอหมดความสงสัยในตัวเขาแล้ว เพราะเขามาโรงเรียนตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนยัยอดีตเจ้าของโต๊ะที่เธอนั่งจะเป็นอย่างไรเธอไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้หัวใจของหญิงสาวกำลังพองโตราวกันได้เจอดาราขวัญใจในระยะประชิด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รับความสนใจจากเขาแต่เธอก็ยังคงนั่งจ้องใบหน้าราวเทพบุตรนั้นต่อไป
“นี่ วาฟเฟิล หายไปไหนมาตั้งหลายวัน”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหยุดความคิดเพ้อฝันลงทันที เธอหันไปส่งสายตาอาฆาตใส่เจ้าของเสียงนั้น เจ้าของชื่อเมื่อถูกถามก็หันไปมองต้นเสียงด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มรูปร่างกระตุ้งกระติ้งแสนคุ้นตากำลังมุ่งหน้ามาทางเขาราวกับเจอแหล่งน้ำเย็นชื่นใจกลางทะเลทราย
“ไปธุระมานิดหน่อย”
เขาพูดสั้นๆ ก่อนจะสังเกตได้ว่า ที่นั้งข้างๆตนไม่ว่างเสียแล้ว
“เธอเป็นใคร!!”
เขาเหล่ตามองเธออย่างไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
“นี่เรซี่ เธอมานั่งอะไรตรงโต๊ะเพื่อนฉันย่ะ”
เป็นยัยม่อนเองที่ตอบคำถามของชายหนุ่มและถามคำถามคนที่กำลังบุกลุกพื้นที่ส่วนบุคคลของเพื่อนเธออยู่
“ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเพื่อนเธออีกต่อไปแล้วย่ะ แม่นั่นยกที่ตรงนี้ให้ฉันตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว”
เธอตอบยัยม่อนก่อนจะหันกลับมายิ้มสดใสให้ชายหนุ่มที่นั้งข้างๆเธอ
“อย่ามาตลก ถ้าเพื่อนฉันมาแล้วจะนั่งตรงไหนไม่ทราบ”
ยัยม่อนเริ่มหงุดหงิดกับการปกป้องถิ่นฐานของเพื่อน ยัยนี่คงไม่ยอมถอยง่ายๆ อย่างนี้พ่อเทพบุตรของฉันต้องถูกยัยแมวขโมยฉกฉวยไปแน่
‘ยอมไม่ได้แน่ๆ’
“ก็ที่ฉันไง แม่นั่นบอกว่าจะยายไปนั่งที่ฉันแทน”
“แต่ที่ตรงนั้นเธอนั่งอยู่กับแฟนเธอไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึง…”
“เราเลิกกันแล้วล่ะ”
หญิงสาวพูดขัดขึ้นอย่างเศร้าๆ พลางส่งสายตาเหงาหงอยไปทางเทพบุตรของตน ทั้งชายหนุ่มและยัยม่อนต่างก็หันไปมองโต๊ะเดิมของสาวเรซี่เป็นตาเดียว ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มมาดเข้มรูปร่างบึกบึนสมชายกำลังมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก
“เลิกกันแล้ว ก็ไม่เห็นต้องมานั่งตรงนี้เลย ทำแบบนี้เพื่อนฉันเดือดร้อนรู้ไหม”
คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดเห็นทีคงเป็นตัวเขาเองกระมัง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้เธอนั่งที่นี่แน่นอน
“หล่อนเองรึเปล่าที่อิจฉาฉันยัยใส้เดือนดอย อย่าเอาเพื่อนเธอมาอ้างเลยย่ะ แค่อ้าปากฉันก็เห็นไปถึงซีรีบรัมของหล่อนแล้ว”
ทั้งสองเริ่มเปิดศึกที่ไม่รู้ว่าชิงโต๊ะเรียนหรือชิงเทพบุตรกันแน่ แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจศึกไร้สาระนั้นเลย เขาเก็บคำพูดของหญิงสาวข้างๆมาคิดมากกว่า
“ยกให้งั้นหรือ ยัยนั่นคิดจะทำอะไรอีกล่ะ”
ไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย อาจารย์สอนคาบแรกก็เข้ามาพอดี สงครามน้ำลายจึงสงบลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อแดดยามเช้าหมดลงลุงแหมบก็ได้ฤกษ์เก็บต้มไม้เข้าที่เข้าทาง หญิงสาวช่วยลุงแหมบถือกระถางต้นไม้เล็กๆเดินตามหลังไปติดๆ
“ลุงแหมบชอบอ่านนิทานแนวเทพนิยายไหมคะ”
“แนวเจ้าหญิงเจ้าชายหรือครับ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว จะแนวไหนผมก็อ่านหมดครับ”
“จริงหรือคะ งั้นลุงช่วยหนูแต่งบทละครหน่อยได้ไหมคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
เธอดีใจแทบอยากกระโดดกอดลุงแหมบ เพราะบทละครของเธอไม่ได้ดำเนินมานานแล้ว แถมเรื่องราวเทพนิยายต่างๆที่เธอเคยอ่านที่หอสมุดก็เลือนลางเสียจนแทบจำไม่ได้ ครั้นจะให้อ่านอีกรอบก็คงเสียเวลาไปกันใหญ่
‘อาทิตย์หน้า ฉันต้องไปโรงเรียนพร้อมบทละครเวทีที่เสร็จสมบูรณ์’
“งั้นลุงแหมบช่วยรอหนูอยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวหนูไปเอาจอมโหดมาก่อน”
หญิงสาวร้องบอกอย่างดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องของตนด้วยความเริงร่า
ไม่นานเธอก็ลงมาพร้อมโน๊ตบุ๊คใหม่เอี่ยมที่มีนามว่าจอมโหดตามนิสัยของคนซื้อนั่นเอง ลุงแหมบนั่งรอเธออยู่ในห้องรับแขกที่มีโซฟาหนานุ่มตั้งอยู่ โทรทัศน์จอใหญ่ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนทันที
“ทำไมมานั่งที่นี่ล่ะคะ”
ลุงแหมบกดเล่นหนังเกี่ยวกับเทพนิยายทันทีเมื่อหญิงสาวเข้ามาในห้อง เขาหันมายิ้มให้เธอพร้อมแว่นตาประจำตัวของเขา
“ผมคิดว่า ถ้าดูหนังน่าจะเห็นภาพชัดกว่านะครับ”
“ออ ดีค่ะ จะได้ดูเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมด้วยเลย ลุงแหมบนี่เจ๋งไปเลยค่ะ”
หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้เขารัวๆ เพื่อให้ลุงแหมบรู้ว่ามันช่างเป็นอะไรที่ดีงามมาก
“ลุงแหมบคะ ทำไมลุงแหมบถึงชื่อลุงแหมบล่ะคะ ฟังแล้วก็ไม่น่าจะใช่ชื่อญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย”
“แหมบเป็นชื่อที่พ่อค้าส้มตำตั้งให้ครับ มันดูไทยๆดี”
ลุงแหมบตอบยิ้มๆ หญิงสาวได้แต่หัวเราะชอบใจให้กับความคิดของเขา
“ไทยมากเลยค่ะลุงงงงงง”
ช่วงพักกลางวันมาถึง ชายหนุ่มยังคงทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับแก๊งฟินิกส์ เพียงแต่กิจกรรมเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการเรียนเลยแม้แต่น้อย การจับกลุ่มส่องสาวๆคือกิจกรรมหลักของพวกเขา ทุกๆพื้นที่ที่แก๊งฟินิกส์ผ่านมักจะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาเสมอ
“ นายหายไปไหนมาวะ พวกฉันคิดว่านายกับยัยข้าวหลามนั่นแอบหนีไปด้วยกันแล้วนะ เล่นหายไปพร้อมกันเลย”
ตุ้มเม้ง หัวหน้าห้องและเป็นหนึ่งในสมาชิกฟินิกส์ถามขึ้น
“พอดียัยนั่นไม่สบาย เลยต้องดูแลน่ะ”
ชายหนุ่มพูดออกไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่มันกลับทำให้ทุกคนในกลุ่มอ้าปากค้างเบนสายตาหื่นๆกลับมามองเจ้าของคำตอบเป็นตาเดียว
“ถึงขนาดอยู่ดูแลกันเลยหรอวะ อย่าบอกนะว่าพวกนายอยู่ด้วยกันน่ะ”
เป็นแฟนต้าที่ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับพยักหน้ายอมรับอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาการสะดุ้งตกใจหรือลนลานแต่อย่างใด ทำราวกับว่าในชีวิตนี้ไม่รู้จักคำว่าความลับแม้แต่น้อย
“ไม่เบาเลยเว้ยเฮ้ย ไม่อยากจะเชื่อว่านายจะเสร็จยัยข้าวหลามนั่นซะได้ ไม่เบาๆ”
ชายหนุ่มคิดเพียงว่ามันเป็นเรื่องจริง เขาไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไร เรื่องราวเริ่มลุกรามใหญ่โต จากความสงสัยเล็กๆนำไปสู่การเข้าใจความหมายที่ต่างไปจากความจริงอยู่มากโข ความหมายในความคิดของพวกหื่นตัวแม่ ความหมายที่ทำให้พวกเขาต้องมองยัยปิศาจยากจนเสียใหม่
ช่วงเย็นของวันที่สุดแสนจะสบายของหญิงสาว เธอนั่งจมจ่อมอยู่กับบทละครเวทีจนลืมวันเวลา ลืมกินยา ลืมทุกสิ่งอย่าง ลุงแหมบขอตัวไปทำอาหารเย็น ปล่อยให้เธอนั่งงมบทพูดที่คัดลอกมาจากหนังเกือบทั้งหมดคนเดียว
“อีกเดี๋ยวนายนั่นคงกลับมาแล้ว รีบเก็บของดีกว่า”
เธอพูดกับตัวเองพลางบิดตัวเพื่อไล่ความปวดเมื่อยออกจากร่างกาย เธอเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้วปิดหนังที่ดูมาเกือบสี่รอบเห็นจะได้ ก่อนจะเดินไปช่วยลุงแหมบทำอาหารในครัว กลิ่นหอมของเนยและชีสอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ลุงแหมบกำลังรังสรรค์อาหารอิตาเลี่ยนอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอทำได้เพียงแค่เป็นลูกมือหยิบโน่นนี่ให้เขาเท่านั้น ไม่วายลุงแหมบก็เอ่ยปากสอนวิธีการทำให้เธออย่างออกรสออกชาติ เครื่องปลุกชื่อแปลกๆถูกยัดเข้ามาในหัวของเธอราวกับเอ็มสิบหกที่กำลังรัวยิงใส่สมองศัตรู
รถยนต์สีคุ้นตาขับเข้ามาจอดตรงที่ที่มันเคยอยู่ ก่อนเจ้าของร่างจะลงมาจากรถด้วยความไร้อารมณ์ ชุดนักเรียนสุภาพถูกทำให้หลุดลุ่ยเพื่อสร้างความสะดวกสบายต่อผู้สวมใส่ แต่น่าแปลกที่มันทำให้คนใส่ดูน่ามองมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
อาหารถูกตระเตรียมจนเสร็จ เหลือแค่เพียงตั้งโต๊ะรอชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้าบ้านเท่านั้น
“นี่ นายหิวรึยัง วันนี้ลุงแหมบทำอาหารสุดฝีมือเลยนะ”
หญิงสาวนำเสนอเต็มที่เพราะเธอเองก็มีส่วนร่วมในการปรุงอาหารครั้งนี้ ถึงแม้จะแค่ช่วยหยิบเฉยๆก็เถอะ
“อาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวลงมา”
ชายหนุ่มตั้งท่าจะเดินขึ้นห้องแต่ก็ต้องหยุดเท้าไว้ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“ออ!! วันนี้ได้กินยาบ้างรึเปล่า”
เขาหันกลับมาจ้องหน้าเธอด้วยสายตาจับผิด จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับว่าจะมองเข้าไปถึงสมองที่เก็บความจริงเอาไว้ เธอทำได้แต่มองไปทางอื่นอย่างเนียนๆ
“อือฮึ”
เธอตอบได้แค่นั้นจริงๆ เพราะสายตาจับผิดรุนแรงของเขายังคงแสกนหาพิรุธจากอาการของเธอ
คำตอบของเธอไม่ได้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้เลยแม้แต่น้อย เธอละเลยเรื่องที่เขาสั่งเสมอ
“เห็นทีเรื่องไปโรงพยาบาลคงไม่ใช่แค่เรื่องขู่แล้วล่ะ”
“กินสิ วันนี้ฉันพักผ่อนทั้งวันตามที่นายสั่งเลยนะ แหม แหย่เล่นแค่นี้คิดจริงจังไปได้”
เธอพูดพลางหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างสุดแสนจะอารมณ์ดี ถึงแม้ว่าตลอดการสนทนาเธอจะไม่สบตาเขาเลยก็ตาม
“งั้นก็ดี เพราะฉันก็ไม่อยากลาหยุดให้เธออีกแล้วล่ะ เพื่อนของเธอน่ะ คิดถึงเธอมากเลยนะจะบอกให้”
ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปชั้นบนอย่างไม่ใส่ใจคนที่ทำตาโตเมื่อได้ยินเรื่องเพื่อนที่สุดแสนจะคิดถึงของตน
“ยัยม่อนน่ะหรือ นี่ยัยนั่นเป็นยังไงบ้าง ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อย”
เธอตะโกนตามไปด้วยความอยากรู้ โลกที่สดใสของเธอกลับยิ่งสดใสขึ้นไปอีก รอยยิ้มผุดขึ้นทั่วใบหน้าราวกับว่าเธอพึ่งได้รู้ว่าตนเองถูกรางวัลที่หนึ่ง
‘อีกไม่นานฉันก็จะได้พบเพื่อนที่สุดแสนจะคิดถึงแล้ว’
หญิงสาวกลับมาจัดอาหารต่อพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข ลุงแหมบแอบยิ้มให้กับความสุขเล็กๆที่ตลบอบอวลอยู่ภายในบ้าน ‘ผู้หญิงคนนี้จะทำให้คุณหนูกลับมาเหมือนเดิมไหมนะ’ นั่นคือคำถามในใจที่ไม่อาจคาดเดาคำตอบได้เลย
“ต้นไม้ของฉันอยู่ไหน!!! ต้นโคลเวอร์ของฉันอยู่ที่ไหน!!!”
เสียงกัมปนาทดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกเท้าลงบันไดอย่างรีบรน
……….โปรดติดตามตอนต่อไป…………
แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ลงมาสู่ดอกไม้เล็กๆเบื้องล่าง สร้างความสุขใจให้แก่ผู้พบเห็นไม่น้อย มุมพักผ่อนเล็กๆใต้ต้นไม้คือจุดหมายหลักของเธอ ชายท่าทางใจดีกำลังนั่งตัดแต่งต้นบอนไซแสนรักบนโต๊ะเหล็กดัดตัวเก่า เสียงเพลงภาษาไม่คุ้นหูถูกขับขานเบาๆอย่างสบายอารมณ์ เธอนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กดัดใกล้ๆกับเขา พลางมองการกระทำของเขาแล้วยิ้มอย่างสุขใจ ต้นไม้เล็กๆในกระถางน่ารักถูกนำออกมารับแสงแดดยามเช้าจนเต็มโต๊ะ ทุกต้นล้วนแข็งแรงจากการดูแลอย่างดีของลุงแหมบ เธอมองเขาดูแลเหล่าต้นไม้อย่างเพลินตา
“ลุงแหมบชอบต้นไม้หรือคะ”
“ครับ เวลามองไปที่พวกมันทีไร รู้สึกจิตใจสงบทุกที”
“นี่ต้นอะไรหรือคะ ใบน่ารักจังเลย”
เธอจับไปที่กระถางกระเบื้องเคลือบสีชมพูเล็กๆที่มีต้นไม้เป็นกอๆยื่นออกมาจากกระถางอย่างยุ่งเหยิง แต่ใบของมันกลับเป็นกลีบรูปหัวใจหลายดวง ซึ่งเป็นต้นไม่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าเธอจะชอบปลูกต้นไม้ในกระถางแต่ก็มีแค่ต้นกระบองเพชรหรือต้นไม้เล็กๆที่เป็นไม้ยืนต้นเท่านั้น ไม่เคยเห็นการปลูกไม้กอๆในกระถางน่ารักแบบนี้เลยสักครั้ง
“เขาเรียกใบโคลเวอร์ครับ เป็นพืชคลุมดินที่ไม่ค่อยพบเห็นในแถบร้อน ที่นี่เลยไม่ปลูกกันน่ะครับ”
“ออ อย่างนี้นี่เอง แต่ลุงแหมบสามารถดูแลในสภาพอากาศแบบนี้ได้ เก่งมากเลยนะคะ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เพียงแค่เอาออกมารับแสงแดดบ้างก็เท่านั้น ส่วนใหญ่คุณหนูจะเป็นคนดูแลมากกว่า”
‘คุณหนู!! นายนั่นอะนะจะใจเย็นพอดูแลสิ่งเล็กๆบอบบางแบบนี้ได้ ฉันไม่อยากจะเชื่อ’
“ต้นนี้เป็นของคุณหนูของลุงหรือคะ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ครับ คุณหนูหวงมากเพราะคุณหนูมิซึกิให้มา ถึงขนาดเอามาที่นี่ด้วยเลยนะครับ คงจะเอาไว้ดูให้หายคิดถึงกันล่ะมั้งครับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆเหือดแห้งลงทุกที เพียงเพราะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ อยู่ดีๆหัวใจของคนฟังก็รู้สึกแป้วๆขึ้นมา
“คุณหนูมิซึกิเธอเป็นใครหรือคะ เห็นนายนั่นพูเถึงบ่อยๆ”
“พูดถึงหรือครับ!!!”
ลุงแหมบเอ่ยขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เขาไม่รู้หรอกว่า คุณหนูของเขาเจออะไรมาถึงได้เป็นคนเก็บตัวแบบนี้ แต่ก็แน่ใจว่าต้นเหตุนั้นมาจากคุณหนูมิซึกิแน่นอน เพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้คุณหนูของเขาเป็นเดือดเป็นร้อนได้
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรือคะ”
ถึงแม้ว่าเรื่องของมิซึกิจะทำให้เธอเจ็บปวด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ต่อมเผือกทำงานลดลงเลยสักนิด ลุงแหมบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาลังเลใจไม่น้อยว่าจะเล่าความหลังของคุณหนูให้เธอฟังดีหรือไม่ เรื่องราวมันอาจจะแย่หรือดีกว่านี้ก็ได้ แต่ใครกันล่ะ!! ใครที่จะดี ใครที่จะแย่ ใครที่จะเจ็บปวดที่สุดกับเรื่องนี้ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งทำให้เธออยากรู้เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้มากยิ่งขึ้น
ณ ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจ ชายหนุ่มนั่งเงียบๆคนเดียวราวกับมองไม่เห็นผู้คนรอบข้าง หญิงสาวร่างบางเดินเข้ามานั้งตรงที่ว่างข้างๆเขา เธอยิ้มดีใจที่เจ้าของโต๊ะกลับมาเติมเต็มความว่างเปล่าเสียที หลังจากที่เขาหายไปสองอาทิตย์เต็มพร้อมกับอดีตเจ้าของโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ทำให้ทุกคนในห้องต่างสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่วันนี้เธอหมดความสงสัยในตัวเขาแล้ว เพราะเขามาโรงเรียนตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนยัยอดีตเจ้าของโต๊ะที่เธอนั่งจะเป็นอย่างไรเธอไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้หัวใจของหญิงสาวกำลังพองโตราวกันได้เจอดาราขวัญใจในระยะประชิด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รับความสนใจจากเขาแต่เธอก็ยังคงนั่งจ้องใบหน้าราวเทพบุตรนั้นต่อไป
“นี่ วาฟเฟิล หายไปไหนมาตั้งหลายวัน”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหยุดความคิดเพ้อฝันลงทันที เธอหันไปส่งสายตาอาฆาตใส่เจ้าของเสียงนั้น เจ้าของชื่อเมื่อถูกถามก็หันไปมองต้นเสียงด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มรูปร่างกระตุ้งกระติ้งแสนคุ้นตากำลังมุ่งหน้ามาทางเขาราวกับเจอแหล่งน้ำเย็นชื่นใจกลางทะเลทราย
“ไปธุระมานิดหน่อย”
เขาพูดสั้นๆ ก่อนจะสังเกตได้ว่า ที่นั้งข้างๆตนไม่ว่างเสียแล้ว
“เธอเป็นใคร!!”
เขาเหล่ตามองเธออย่างไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
“นี่เรซี่ เธอมานั่งอะไรตรงโต๊ะเพื่อนฉันย่ะ”
เป็นยัยม่อนเองที่ตอบคำถามของชายหนุ่มและถามคำถามคนที่กำลังบุกลุกพื้นที่ส่วนบุคคลของเพื่อนเธออยู่
“ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเพื่อนเธออีกต่อไปแล้วย่ะ แม่นั่นยกที่ตรงนี้ให้ฉันตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว”
เธอตอบยัยม่อนก่อนจะหันกลับมายิ้มสดใสให้ชายหนุ่มที่นั้งข้างๆเธอ
“อย่ามาตลก ถ้าเพื่อนฉันมาแล้วจะนั่งตรงไหนไม่ทราบ”
ยัยม่อนเริ่มหงุดหงิดกับการปกป้องถิ่นฐานของเพื่อน ยัยนี่คงไม่ยอมถอยง่ายๆ อย่างนี้พ่อเทพบุตรของฉันต้องถูกยัยแมวขโมยฉกฉวยไปแน่
‘ยอมไม่ได้แน่ๆ’
“ก็ที่ฉันไง แม่นั่นบอกว่าจะยายไปนั่งที่ฉันแทน”
“แต่ที่ตรงนั้นเธอนั่งอยู่กับแฟนเธอไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึง…”
“เราเลิกกันแล้วล่ะ”
หญิงสาวพูดขัดขึ้นอย่างเศร้าๆ พลางส่งสายตาเหงาหงอยไปทางเทพบุตรของตน ทั้งชายหนุ่มและยัยม่อนต่างก็หันไปมองโต๊ะเดิมของสาวเรซี่เป็นตาเดียว ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มมาดเข้มรูปร่างบึกบึนสมชายกำลังมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก
“เลิกกันแล้ว ก็ไม่เห็นต้องมานั่งตรงนี้เลย ทำแบบนี้เพื่อนฉันเดือดร้อนรู้ไหม”
คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดเห็นทีคงเป็นตัวเขาเองกระมัง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้เธอนั่งที่นี่แน่นอน
“หล่อนเองรึเปล่าที่อิจฉาฉันยัยใส้เดือนดอย อย่าเอาเพื่อนเธอมาอ้างเลยย่ะ แค่อ้าปากฉันก็เห็นไปถึงซีรีบรัมของหล่อนแล้ว”
ทั้งสองเริ่มเปิดศึกที่ไม่รู้ว่าชิงโต๊ะเรียนหรือชิงเทพบุตรกันแน่ แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจศึกไร้สาระนั้นเลย เขาเก็บคำพูดของหญิงสาวข้างๆมาคิดมากกว่า
“ยกให้งั้นหรือ ยัยนั่นคิดจะทำอะไรอีกล่ะ”
ไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย อาจารย์สอนคาบแรกก็เข้ามาพอดี สงครามน้ำลายจึงสงบลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อแดดยามเช้าหมดลงลุงแหมบก็ได้ฤกษ์เก็บต้มไม้เข้าที่เข้าทาง หญิงสาวช่วยลุงแหมบถือกระถางต้นไม้เล็กๆเดินตามหลังไปติดๆ
“ลุงแหมบชอบอ่านนิทานแนวเทพนิยายไหมคะ”
“แนวเจ้าหญิงเจ้าชายหรือครับ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว จะแนวไหนผมก็อ่านหมดครับ”
“จริงหรือคะ งั้นลุงช่วยหนูแต่งบทละครหน่อยได้ไหมคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
เธอดีใจแทบอยากกระโดดกอดลุงแหมบ เพราะบทละครของเธอไม่ได้ดำเนินมานานแล้ว แถมเรื่องราวเทพนิยายต่างๆที่เธอเคยอ่านที่หอสมุดก็เลือนลางเสียจนแทบจำไม่ได้ ครั้นจะให้อ่านอีกรอบก็คงเสียเวลาไปกันใหญ่
‘อาทิตย์หน้า ฉันต้องไปโรงเรียนพร้อมบทละครเวทีที่เสร็จสมบูรณ์’
“งั้นลุงแหมบช่วยรอหนูอยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวหนูไปเอาจอมโหดมาก่อน”
หญิงสาวร้องบอกอย่างดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องของตนด้วยความเริงร่า
ไม่นานเธอก็ลงมาพร้อมโน๊ตบุ๊คใหม่เอี่ยมที่มีนามว่าจอมโหดตามนิสัยของคนซื้อนั่นเอง ลุงแหมบนั่งรอเธออยู่ในห้องรับแขกที่มีโซฟาหนานุ่มตั้งอยู่ โทรทัศน์จอใหญ่ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนทันที
“ทำไมมานั่งที่นี่ล่ะคะ”
ลุงแหมบกดเล่นหนังเกี่ยวกับเทพนิยายทันทีเมื่อหญิงสาวเข้ามาในห้อง เขาหันมายิ้มให้เธอพร้อมแว่นตาประจำตัวของเขา
“ผมคิดว่า ถ้าดูหนังน่าจะเห็นภาพชัดกว่านะครับ”
“ออ ดีค่ะ จะได้ดูเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมด้วยเลย ลุงแหมบนี่เจ๋งไปเลยค่ะ”
หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้เขารัวๆ เพื่อให้ลุงแหมบรู้ว่ามันช่างเป็นอะไรที่ดีงามมาก
“ลุงแหมบคะ ทำไมลุงแหมบถึงชื่อลุงแหมบล่ะคะ ฟังแล้วก็ไม่น่าจะใช่ชื่อญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย”
“แหมบเป็นชื่อที่พ่อค้าส้มตำตั้งให้ครับ มันดูไทยๆดี”
ลุงแหมบตอบยิ้มๆ หญิงสาวได้แต่หัวเราะชอบใจให้กับความคิดของเขา
“ไทยมากเลยค่ะลุงงงงงง”
ช่วงพักกลางวันมาถึง ชายหนุ่มยังคงทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับแก๊งฟินิกส์ เพียงแต่กิจกรรมเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการเรียนเลยแม้แต่น้อย การจับกลุ่มส่องสาวๆคือกิจกรรมหลักของพวกเขา ทุกๆพื้นที่ที่แก๊งฟินิกส์ผ่านมักจะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาเสมอ
“ นายหายไปไหนมาวะ พวกฉันคิดว่านายกับยัยข้าวหลามนั่นแอบหนีไปด้วยกันแล้วนะ เล่นหายไปพร้อมกันเลย”
ตุ้มเม้ง หัวหน้าห้องและเป็นหนึ่งในสมาชิกฟินิกส์ถามขึ้น
“พอดียัยนั่นไม่สบาย เลยต้องดูแลน่ะ”
ชายหนุ่มพูดออกไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่มันกลับทำให้ทุกคนในกลุ่มอ้าปากค้างเบนสายตาหื่นๆกลับมามองเจ้าของคำตอบเป็นตาเดียว
“ถึงขนาดอยู่ดูแลกันเลยหรอวะ อย่าบอกนะว่าพวกนายอยู่ด้วยกันน่ะ”
เป็นแฟนต้าที่ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับพยักหน้ายอมรับอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาการสะดุ้งตกใจหรือลนลานแต่อย่างใด ทำราวกับว่าในชีวิตนี้ไม่รู้จักคำว่าความลับแม้แต่น้อย
“ไม่เบาเลยเว้ยเฮ้ย ไม่อยากจะเชื่อว่านายจะเสร็จยัยข้าวหลามนั่นซะได้ ไม่เบาๆ”
ชายหนุ่มคิดเพียงว่ามันเป็นเรื่องจริง เขาไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไร เรื่องราวเริ่มลุกรามใหญ่โต จากความสงสัยเล็กๆนำไปสู่การเข้าใจความหมายที่ต่างไปจากความจริงอยู่มากโข ความหมายในความคิดของพวกหื่นตัวแม่ ความหมายที่ทำให้พวกเขาต้องมองยัยปิศาจยากจนเสียใหม่
ช่วงเย็นของวันที่สุดแสนจะสบายของหญิงสาว เธอนั่งจมจ่อมอยู่กับบทละครเวทีจนลืมวันเวลา ลืมกินยา ลืมทุกสิ่งอย่าง ลุงแหมบขอตัวไปทำอาหารเย็น ปล่อยให้เธอนั่งงมบทพูดที่คัดลอกมาจากหนังเกือบทั้งหมดคนเดียว
“อีกเดี๋ยวนายนั่นคงกลับมาแล้ว รีบเก็บของดีกว่า”
เธอพูดกับตัวเองพลางบิดตัวเพื่อไล่ความปวดเมื่อยออกจากร่างกาย เธอเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้วปิดหนังที่ดูมาเกือบสี่รอบเห็นจะได้ ก่อนจะเดินไปช่วยลุงแหมบทำอาหารในครัว กลิ่นหอมของเนยและชีสอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ลุงแหมบกำลังรังสรรค์อาหารอิตาเลี่ยนอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอทำได้เพียงแค่เป็นลูกมือหยิบโน่นนี่ให้เขาเท่านั้น ไม่วายลุงแหมบก็เอ่ยปากสอนวิธีการทำให้เธออย่างออกรสออกชาติ เครื่องปลุกชื่อแปลกๆถูกยัดเข้ามาในหัวของเธอราวกับเอ็มสิบหกที่กำลังรัวยิงใส่สมองศัตรู
รถยนต์สีคุ้นตาขับเข้ามาจอดตรงที่ที่มันเคยอยู่ ก่อนเจ้าของร่างจะลงมาจากรถด้วยความไร้อารมณ์ ชุดนักเรียนสุภาพถูกทำให้หลุดลุ่ยเพื่อสร้างความสะดวกสบายต่อผู้สวมใส่ แต่น่าแปลกที่มันทำให้คนใส่ดูน่ามองมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
อาหารถูกตระเตรียมจนเสร็จ เหลือแค่เพียงตั้งโต๊ะรอชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้าบ้านเท่านั้น
“นี่ นายหิวรึยัง วันนี้ลุงแหมบทำอาหารสุดฝีมือเลยนะ”
หญิงสาวนำเสนอเต็มที่เพราะเธอเองก็มีส่วนร่วมในการปรุงอาหารครั้งนี้ ถึงแม้จะแค่ช่วยหยิบเฉยๆก็เถอะ
“อาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวลงมา”
ชายหนุ่มตั้งท่าจะเดินขึ้นห้องแต่ก็ต้องหยุดเท้าไว้ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“ออ!! วันนี้ได้กินยาบ้างรึเปล่า”
เขาหันกลับมาจ้องหน้าเธอด้วยสายตาจับผิด จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับว่าจะมองเข้าไปถึงสมองที่เก็บความจริงเอาไว้ เธอทำได้แต่มองไปทางอื่นอย่างเนียนๆ
“อือฮึ”
เธอตอบได้แค่นั้นจริงๆ เพราะสายตาจับผิดรุนแรงของเขายังคงแสกนหาพิรุธจากอาการของเธอ
คำตอบของเธอไม่ได้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้เลยแม้แต่น้อย เธอละเลยเรื่องที่เขาสั่งเสมอ
“เห็นทีเรื่องไปโรงพยาบาลคงไม่ใช่แค่เรื่องขู่แล้วล่ะ”
“กินสิ วันนี้ฉันพักผ่อนทั้งวันตามที่นายสั่งเลยนะ แหม แหย่เล่นแค่นี้คิดจริงจังไปได้”
เธอพูดพลางหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างสุดแสนจะอารมณ์ดี ถึงแม้ว่าตลอดการสนทนาเธอจะไม่สบตาเขาเลยก็ตาม
“งั้นก็ดี เพราะฉันก็ไม่อยากลาหยุดให้เธออีกแล้วล่ะ เพื่อนของเธอน่ะ คิดถึงเธอมากเลยนะจะบอกให้”
ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปชั้นบนอย่างไม่ใส่ใจคนที่ทำตาโตเมื่อได้ยินเรื่องเพื่อนที่สุดแสนจะคิดถึงของตน
“ยัยม่อนน่ะหรือ นี่ยัยนั่นเป็นยังไงบ้าง ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อย”
เธอตะโกนตามไปด้วยความอยากรู้ โลกที่สดใสของเธอกลับยิ่งสดใสขึ้นไปอีก รอยยิ้มผุดขึ้นทั่วใบหน้าราวกับว่าเธอพึ่งได้รู้ว่าตนเองถูกรางวัลที่หนึ่ง
‘อีกไม่นานฉันก็จะได้พบเพื่อนที่สุดแสนจะคิดถึงแล้ว’
หญิงสาวกลับมาจัดอาหารต่อพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข ลุงแหมบแอบยิ้มให้กับความสุขเล็กๆที่ตลบอบอวลอยู่ภายในบ้าน ‘ผู้หญิงคนนี้จะทำให้คุณหนูกลับมาเหมือนเดิมไหมนะ’ นั่นคือคำถามในใจที่ไม่อาจคาดเดาคำตอบได้เลย
“ต้นไม้ของฉันอยู่ไหน!!! ต้นโคลเวอร์ของฉันอยู่ที่ไหน!!!”
เสียงกัมปนาทดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกเท้าลงบันไดอย่างรีบรน
……….โปรดติดตามตอนต่อไป…………
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ