love mission ภารกิจรัก ทดแทนหัวใจนายจอมกวน
เขียนโดย พรสิริ
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.13 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 18.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
51)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ไฟในห้องค่อยๆลดแสงลงอย่างช้าๆจนมืดไปทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงแสงสลัวจากจอโทรทัศน์เท่านั้นที่นำทางชายหนุ่มมายังโซฟาตัวเดิม ครั้งนี้เขาเลือกที่จะนั่งชิดริมโซฟาซึ่งมันห่างไกลจากจุดที่หญิงสาวนั่งรอเขาอยู่ ยิ่งไฟในห้องดับลง ความน่ากลัวของหนังก็เพิ่มขึ้นอีกล้านเท่า ระบบเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทางยากที่จะรอดพ้น มีเพียงหมอนอิงเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเธอในยามนี้ เธอก้มหน้าซุกไปที่หมอนอิง มือเล็กๆพยายามจะปิดหูไม่รับฟังสรรพเสียงใดๆตราบที่หนังยังคนเล่นอยู่ เวลาแต่ละนาทีช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอแอบหันไปมองชายหนุ่มข้างๆอย่างแสนคับแค้นใจ
‘รอให้หนังจบก่อนเถอะ!!! ไอ้โรคจิต’
ปั้ง!!!
เสียงประตูด้านหลังปิดลงอย่างรุนแรง ทำให้หญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาซุกหมอนด้วยความกลัว ตกใจ เธอสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะโดดออกมานอกอก ร่างกายอันสั่นเทาตะกุยตะกายหาสิ่งที่สามารถทำให้เธอปลอดภัยที่สุด ซึ่งมันก็มีอยู่อย่างเดียวในตอนนี้ คือตักของชายหนุ่มนั่นเอง เธอมุดหน้าไปที่อกกว้างทันทีเพื่อไม่ให้มองเห็นอะไรที่เป็นต้นเหตุของเสียงประตูนั้น หญิงสาวทำได้เพียงขึ้นไปนั่งบนตักชายหนุ่มพยายามเก็บคองอเข่าไม่ยื่นส่วนใดของร่างกายออกไป ก่อนจะจับมือชายหนุ่มให้โอบเธอไว้เพื่อความปลอดภัยของตน ในยามนี้คงมีเพียงความอบอุ่นและกลิ่นกายของชายหนุ่มเท่านั้นที่ทำให้จิตใจของเธอสงบลงได้
“กลัวจะช็อคตายแล้วหรอ”
ชายหนุ่มกระซิบข้างหูเธออย่างสบายอารมณ์
“พรุ่งนี้นายต้องสอนทุกอย่างที่นายเรียนมาให้ฉันด้วย รู้ไหม!!”
หญิงสาวกัดฟันพูดด้วยความเจ็บใจ อยากจะหนีไปจากจุตรงนี้สักที แต่ก็ทำไม่ได้ เธอได้แต่ปลอบใจตัวเองต่างๆนาๆ
‘ทนมาได้ตั้งนาน ทนต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป’
“ขอประทานโทษครับ...”
เสียงเย็นๆของลุงแหมบส่งผ่านมาตามอากาศ หญิงสาวแอบมองไปยังต้นเหตุผ่านไหล่ของชายหนุ่ม ตอนนี้เธอยังไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนอกจากนายวาฟเฟิลจึงยังไม่ได้ลุกออกไปจากตักเขา ลุงแหมบยืนส่งยิ้มให้ทุกคนท่ามกลางความมืด เธอได้แต่เงียบไม่ได้ทักลุงแหมบแต่อย่างใด
‘จะใช่ลุงแหมบจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นผีแปลงกลายเป็นลุงแหมบก็ได้’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็ก้มหน้าซุกอกชายหนุ่มอีกครั้งพลางเอามือไปปิดปากชายหนุ่มเพื่อไม่ให้ตอบอะไรออกไป
‘อย่าตอบอะไรออกไปนะ ไม่งั้นนายถูกพาไปอยู่ด้วยแน่’
“หนูข้าวตอกเป็นอะไรไปหรือครับ หรือว่าอาการกลับมาอีก”
ลุงแหมบสอบถามด้วยความห่วงใยท่ามกลางความมืด หญิงสาวได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่บนตักของชายหนุ่ม เธออยากจะตอบลุงแหมบใจจะขาดว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร แต่อีกใจดันนึกถึงเรื่องเล่าสยองขวัญที่ยัยม่อนมักจะพูดกรอกหูเธอเสมอ
‘คิดจะหลอกให้ฉันตอบคำถามแล้วเอาวิญญาณฉันไปเป็นตัวตายตัวแทนสินะ ต้องขอโทษด้วยเพราะฉันมีภูมิต้านทานเรื่องพวกนี้อยู่มาก สมองฉันสามารถจำเรื่องพวกนี้แม่นยิ่งกว่าเรื่องที่จะออกสอบเสียอีก’
“หนูข้าวตอกเป็นอะไรหรือครับคุณหนู”
เมื่อไม่ได้คำตอบกลับมาจากหญิงสาว ลุงแหมบจึงหันไปทวงคำตอบจากชายหนุ่มแทน
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่โรคเพ้อเจ้อกำเริบน่ะ”
เขาตอบลุงแหมบไปด้วยรอยยิ้มขบขัน ลุงแหมบเองก็ส่งรอยยิ้มกลับมาให้อย่างขบขันเช่นกันก่อนจะวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา
“โกโก้ร้อนๆก่อนนอนครับ จะได้หลับสบาย”
หญิงสาวจึงเงยหน้าจากอกอุ่นขึ้นมามองทั้งสองคนด้วยสายตาไม่พอใจนักที่หาว่าเธอเพ้อเจ้อ เธอแอบหยิกที่เอวของชายหนุ่มด้วยความหมันไส้
‘เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่อก็อย่าได้ลบหลู่เชียว นี่คงจะมาในรูปแบบเอาของมาให้แต่พอกินเข้าไปแล้วก็พาไปอยู่ด้วยแน่ๆ เรื่องนี้ฉันเคยได้ยินมา’
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบแก้วที่ภายในเต็มไปด้วยโกโก้ร้อนมาถือไว้ หญิงสาวจึงรีบห้ามด้วยความเป็นห่วง
“อย่ากินนะ อยากตายรึไง ห้ามกินเด็ดขาดเลยนะ”
“ทำไมฉันจะกินไม่ได้ แค่นี้เอง”
ว่าจบชายหนุ่มก็กระดกโกโก้ร้อนลงคอจนหมดแก้ว หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจทำอะไรไม่ถูก
‘ทำไงดี!! ฉันจะทำยังไงดี นายนี่ดันตะกละไม่รู้เวล่ำเวลา เขาต้องโดนเอาวิญญาณไปแน่ๆ’
“คายออกมา เอาออกมาให้หมดไม่งั้นนายตายแน่”
หญิงสาวเอามือทั้งสองข้างบีบคอเขาอย่างแรง ชายหนุ่มได้แต่ไอแคกๆอย่างคาขาดอากาศหายใจ
“ฉันจะตายก็เพราะเธอนี่แหละยัยบ้า บีบมาได้”
เขาจับมือบางมารวบไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะลงมือฆ่าเขาอีกครั้ง
“ไม่ใช่นะ ฉันแค่จะให้นายเอาโกโก้ร้อนออกมาให้หมดเท่านั้นเอง นายรู้ไหมว่ามันเป็น…..”
คำอธิบายของหญิงสาวหยุดลงแค่นั้น เพราะตอนนี้ชายหนุ่มกำลังทุรนทุรายกับอะไรบางอย่าง เขาได้แต่เอามือจับไปที่คอราวกับคนขาดอากาศหายใจ
“นี่!! อย่าล้อเล่นนะ นายเป็นอะไร ฉันไม่ได้บีบคอนายแล้วนะ”
หญิงสาวตกใจกับอาการของเขา เธอพยายามดึงมือที่ชายหนุ่มใช้บีบคอตัวเองออกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ผล เขายังคงบีบคอตัวเองไม่ยอมปล่อย
“นี่ๆ!! ปล่อยสิ นายจะตายเอานะ รีบปล่อยมือออกสินายวาฟเฟิล”
น้ำตาแห่งความกลัวไหลลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอมองหาร่างลุงแหมบที่เคยยืนอยู่ในความมืดเพื่อถามถึงอาการของนายวาฟเฟิล แต่ร่างนั้นก็หายไปเสียแล้ว
“หะ!! หายใจมะ!! ออก”
เธอหันมามองชายหนุ่มที่ตอนนี้อาการไม่ค่อยดีนัก
“ปล่อยสี!!! ปล่อยมือสิ ขอร้องล่ะ อื่อๆๆ”
เธอพูดกับเขาพลางปล่อยโฮเต็มที่ มือเธอก็พยายามจะแกะมือเขาออกอย่างเต็มที่ แต่มันก็ไม่ขยับเลยสักนิด
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”
เธอรีบผละออกจากตักอุ่นก่อนจะวิ่งตรงไปที่ประตูเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวจนก้าวขาแทบไม่ออกก็ตาม
“อย่าไป อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว”
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยอาการเหนื่อยหอบพลางเอามือไขว่คว้าไปบนอากาศ หญิงสาวทนเห็นภาพนั้นไม่ไหวจึงเดินเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยน้ำตานองหน้า เธอเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่ได้ไปไหน แค่จะตามคนมาช่วยนายไง ถ้าไม่อยากให้ฉันไปไหนก็เลิกบีบคอตัวเองสักทีสิ อื้อออ”
เธอพูดพลางพยายามดึงมือชายหนุ่มออกอย่างไม่ยอมแพ้ เขายิ้มให้เธอนิดๆก่อนจะค่อยๆปล่อยมือออกจากคอของตนแล้วหลับตาลงราวกับง่วงมานานแสนนาน หญิงสาวเห็นก็ตกใจ หัวใจเธอหล่นวูบลงไปกองที่ตาตุ่ม เธอพยายามเรียกเขาอย่างสุดกำลัง ทั้งตีหน้าและ ทุบเขาแรงๆเพื่อให้เขาฟื้นคืนสติ แต่ก็ไม่เกิดผล เขายังคงแน่นิ่งเช่นเดิม
“นายวาฟเฟิล อย่าหลับนะ อย่าพึ่งไปกับพวกเขานะ นายวาฟเฟิล อย่ามาทิ้งกันสิ ตื่น”
เธอคิดว่าชายหนุ่มคงจะกำลังถูกพาวิญญาณไปอยู่ด้วยแน่ๆ เพราะเรื่องการเอาดวงวิญญาณของคนที่ยังมีชีวิตไปคอยรับใช้นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ เธอค่อนข้างเชื่อเรื่องพวกนี้เพราะหลายคนนั้นต่างก็พูดตรงกัน ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์ที่ก้าวไกลจะพิสูจน์ไม่ได้ แต่เธอก็ไม่เคยลบหลู่เรื่องพวกนี้เลยสักครั้ง ปู่ย่าตายายชอบเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติให้เธอฟัง และสอนให้เธอกลัวบาปกรรมที่เราได้ทำลงไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องที่กำลังเกิดกับชายหนุ่มด้วย ถึงเธอจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่มากแต่พวกท่านก็ไม่เคยสอนวิธีแก้ไขให้เธอเลย แล้วตอนนี้เธอจะทำยังไงดีล่ะ
‘ถ้าพวกนั้นพานายวาฟเฟิลไปในที่ที่ฉันตามไปไม่ได้ล่ะ ฉันต้องรีบพาเขากลับมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม’
ร่างกายรู้ทันความคิด หญิงสาวหยิบโกโก้ร้อนที่ตอนนี้ใกล้จะเย็นสนิทขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เธอนั่งรอให้มีอาการเหมือนนายวาฟเฟิลอยู่นาน แต่ทุกอย่างก็เงียบสงบ และไม่นานหลังจากที่เธอดื่มโกโก้ร้อนไป ชายหนุ่มก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง เขาบิดขี้เกียจราวกับคนพึ่งตื่นจากห้วงนิทรา หญิงสาวได้แต่นั่งยิ้มปาดน้ำตาอยู่ข้างๆเขา
“การทำให้เธอดื่มโกโก้แก้วนั้นยากจังนะ เล่นเอาฉันเหนื่อยเลย”
นั่นคือคำพูดของคนที่เธอคิดว่าพึ่งจะกลับมาเข้าร่าง
“หะ!!!”
เธอพูดได้แค่นั้นก่อนจะรู้ว่าถูกทุกคนรวมหัวกันหลอกอย่างสนุกสนาน ดวงตาบวมช้ำมองชายหนุ่มด้วยสายตาตำหนิ ความรู้สึกห่วงใยเมื่อครู่กลับศูนย์ค่าอย่างรวดเร็ว
“เล่นบ้าอะไรกันฮะ!!! ไม่ตลกเลยสักนิดเดียว”
สองมือของเธอเอาแต่ทุบตีเขาไปเรื่อยๆให้หายเจ็บใจ เขาได้แต่รวบมันไว้อย่างเคยๆ เพราะรอยตบบนหน้ายังไม่จางเลยสักนิด
“ก็จะสอนให้บางคนเลิกเพ้อเจ้อสักทีไงล่ะ”
“เพ้อเจ้องั้นหรือ อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย มันคือมรดกความรู้ที่คนเถ้าคนแก้สั่งสอนมา เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่ามาดูถูกกัน”
หญิงสาวฟาดเข้าที่อกเขาไปเต็มแรงก่อนจะลุกจากตักเขาอย่างรวดเร็ว เธอเดินออกไปจากห้องรับแขกอย่างเงียบๆ และไม่หันไปมองชายหนุ่มอีกเลย
“เฮ้ย!!! จะขึ้นไปนอนแล้วหรือ เธอยังไม่ได้กินยาสักเม็ดเลยนะ!!!”
ชายหนุ่มได้แต่ตะโกนถามเธอออกไปอย่างคนหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาทำผิดอะไรนักหนา เธอถึงไม่พอใจขนาดนี้ ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย
เธอเดินขึ้นห้องอย่างหงุดหงิด ที่ตนเองดันกลายเป็นของเล่นให้กับนายนั่นอย่างไม่รู้ตัว พอเธอได้ขึ้นมาอยู่คนเดียวในห้อง อารมณ์หงุดหงิดก็พลันหายไปในพริบตา
‘รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง แต่ก็ชั่งมันเถอะ’
โก้ๆร้อนของลุงแหมบทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะไม่แม้แต่จะทำให้เธอคิดฟุ้งซ่านเรื่องสยองที่พึ่งดูได้แล้ว เธอยังหลับลึกชนิดที่สามารถระลึกชาติได้อีกด้วย
เช้าแรกหลังจากที่เธอได้กลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เสียงนกร้องที่แสนจะคุ้นหูทำให้เธอสดชื่นกระปี้กระเป่า เธอรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปช่วยลุงแหมบจัดอาหารเช้า ถึงแม้ว่าเธอจะยังงอนๆลุงแหมบเรื่องเมื่อคืนอยู่ก็ตาม
“อรุณสวัสดิ์ครับหนูข้าวตอก วันนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนก็น่าจะนอนต่ออีกหน่อยนะครับ”
เสียงลุงแหมบเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี พลางง่วนกับการทำอาหารเช้า
“ไม่ไหวหรอกค่ะ หนูนอนมามากแล้ว เบื่อจะแย่”
เธอพูดพลางเดินไปช่วยลุงแหมบจัดโต๊ะอาหาร
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ทางนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว หนูข้าวตอกขึ้นไปดูคุณหนูเถอะครับ”
ลุงแหมบสั่งให้เธอไปทำหน้าที่หลักของเธอ ซึ่งเธอหลีกเลี่ยงมาตั้งแต่ออกจากห้อง เพราะยังเจ็บใจกับเหตุการณ์เมื่อคืนไม่หาย แต่เธอก็ไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้
ก๊อกๆๆ
เธอเคาะประตูเบาๆสองสามครั้งโดยที่ไม่พูดอะไร และไม่นานนักชายหนุ่มในชุดนักเรียนแสนคุ้นตาก็เปิดประตูออกมาพร้อมรอยยิ้มสุดร้ายกาจ หญิงสาวเผลอยิ้มตอบเขาราวกับถูกสะกดจิต แต่เพียงไม่นานนักเธอก็รีบหุบยิ้มลงทันที
“อรุณสวัสดิ์ เช้านี้ช่างดีจริงๆเนอะ”
‘ยังจะมีหน้ามาเนอะอีกหรือ นายไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสินะ’ เธอได้แต่งึมงำในใจ
“หึ...”
หญิงสาวหันหลังเดินนำไปทันทีโดยไม่รอให้เขาพูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่ก็ไม่วายเดินตามมาแซวเธออย่างกวนๆ
“ไปกินรังแตนมาจากไหนแต่เช้าเลย”
“กินมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วจ่ะ พ่อหนุ่ม”
เธอพูดตัดบทก่อนจะเดินลิ่วลงบันไดไป โดยมีชายหนุ่มติดตามมาใกล้ๆ
“อ้อ!! เมื่อคืนนี้ฉันลืมบอกเธอสนิทเลย …”
‘หึ!! คิดจะมาขอโทษตอนนี้ก็สายไปแล้วย่ะ ฉันไม่ยกโทษให้นายง่ายๆหรอก’
“เมื่อคืนเธอไม่ได้กินยาเลยแม้แต่เม็ดเดียว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันคงต้องพาเธอไปโรงพยาบาลบ่อยๆแล้วล่ะ”
หญิงสาวรีบหันไปทำตาโตราวกับเจอทองคำใส่เขา เธอลืมเรื่องสำคัญมากขนาดนี้ไปได้อย่างไร ถึงแม้ว่าในใจจะคอยต่อต้านเขาบ้างก็เถอะ
“แหม… อย่าใจร้อนนักสิพ่อหนุ่ม ฉันแค่ลืมกินยาแค่ครั้งเดียวเอง เอะอะก็จะจับส่งโรงพยาบาลทุกที ฉันไม่ใช่คนบ้านะ”
เธอหันมาพูดเสียงอ่อนใส่เขาทันทีเมื่อได้ยินชื่อโรงพยาบาล รอยยิ้มร้ายๆผุดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มทันที หญิงสาวได้แต่เดินนำเขาไปยังโต๊ะอาหารด้วยความเจ็บใจ เธอไม่เคยเอาชนะผู้ชายคนนี้ได้เลยสักครั้ง ‘แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจพลางหัวเราะออกมาด้วยความสะใจอยู่คนเดียว
“วันนี้ไม่ต้องไปส่งนะ ฉันจะไปเอง”
“ครับคุณหนู”
ลุงแหมบตอบยิ้มๆ เขาเข้าใจเหตุผลของคุณหนู ที่ไม่อยากปล่อยให้หญิงสาวต้องอยู่บ้านคนเดียว หากคุณหนูของเขาเลือกได้คงจะไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตาอีกเป็นแน่
“นี่ยัยข้าวหลาม อยู่บ้านก็พักผ่อนมากๆ อย่าลืมกินยาเข้าใจไหม ไม่งั้นได้ไปนอนโรงพยาบาลอีกรอบแน่”
ชายหนุ่มไม่วายออกคำสั่งก่อนไปโรงเรียน
“อยากตายคาโต๊ะอาหารใช่ไหม”
เธอพูดพลางชูส้อมไปที่เขาด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่ก็ได้รับเพียงรอยยิ้มดูถูกกลับมา
หลังจากชายหนุ่มขับรถพ้นจากสายตา เธอรู้สึกเหมือนได้รับอิสระกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกทำให้ชีวิตของเธอกลับมามีสีสันอีกครั้ง อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปไหนก็ได้ไป ไม่มีอะไรจะสุขใจกว่านี้อีกแล้ว
‘วันนี้แหละ จะเป็นวันของฉันนนนนน’
หน้าต่างบานเล็กๆถูกเปิดออกจนสุดบานเพื่อรับแสงแดดอบอุ่นเข้ามา ห้องนอนขนาดกะทัดรัดถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กสาวนั่งหัดเขียนหนังสืออยู่ตรงมุมเล็กๆของห้อง มุมที่เต็มไปด้วยหนังสือที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของมัน
“แม่จ๋า ทำไมพี่สาวไม่ยอมไปเที่ยวกับเราล่ะคะ แล้วตอนนี้พี่สาวไปไหนล่ะคะ หนูคิดถึงพี่สาวจัง”
ผู้เป็นแม่ที่กำลังทำความสะอาดห้องได้แต่ยิ้มให้ลูกสาวอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“พี่สาวของเราต้องไปทำภารกิจพิเศษจ่ะ อีกไม่นานก็คงกลับมาอยู่กับพวกเราแล้วล่ะ”
เธอพูดให้ลูกสาวตัวน้อยฟังแต่ในใจกลับเป็นห่วงเธอแทบขาดใจ หลังจากที่เธอได้รับข่าวร้ายเรื่องลูกสาวจมน้ำก็รีบกลับจากการเที่ยวญี่ปุ่นทันที เธออยากจะไปหาลูกสาวเหลือเกิน อยากไปดูแลในฐานะแม่ แต่ด้วยสัญญาที่เธอได้ให้ไว้กับคนที่เธอรัก เธอจึงทำได้แค่เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆเท่านั้น
‘ช่วยดูแลลูกของเราด้วยนะคะคุณ’
เธอได้แต่ขอให้สามีที่จากเธอไปนานแสนนานคุ้มครองลูกสาวเท่านั้น
น้ำตาแห่งความเป็นห่วงเริ่มคลออยู่ที่ดวงตา เธอยังคงจัดห้องนอนเล็กต่อไป ถึงแม่ว่ามันจะเป็นรอบที่สิบแล้วหลังจากที่กลับจากญี่ปุ่นก็ตาม
…………………โปรดติดตามตอนต่อไป.....................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ