นางพญาปิศาจจิ้งจอก
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.
แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) ตอนที่ 12 พักผ่อน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 12 พักผ่อน
จงเหลงนำกองทัพสองพันเพื่อออกซุ่มโจมตีในเวลาใกล้ยามสองที่ป่าแขมสูงท่วมหัวสองข้างทาง ไซ่ฮัว แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นบุตรของไซ่เอวี๋ยนอ๋องเข้าที่ซุ่มและเป็นกองซุ่มกองที่สองตามแผนการที่ได้วางไว้เมื่อยามค่ำ พลันนั้นเสียงย่ำกีบเท้าม้าก็ดังสนั่นตามมาด้วยกองม้าที่วิ่งฝุ่นตลบ จงป้า แม่ทัพชั้นตรีน้องของจงเหลงก็ทำหน้าที่เป็นกองล่อให้นายทัพของข้าศึกขับม้าตามมา จงเหลงเพ่งตามมาผ่านแสงเดือนไปยังแม่ทัพหนุ่มที่ขับทหารม้าผ่านกองซุ่มของไซ่ฮัว ก็เห็นทิวธงจารึกว่า แม่ทัพปราบตะวันตก ฮองเต๊ก ไล่ตามตีกองของจงป้าเรื่อยมา เมื่อถึงจุดซุ่มจงเหลงก็ให้ทหารจุดประทัดสัญญาณและนำกองซุ่มออกสกัดฮองเต๊กผู้ซึ่งชักม้าหยุดอย่างตกใจ จงป้าเมื่อเห็นว่ากองซุ่มออกสกัดแล้วจึงพาทหารกลับลำไปและสั่งทหารโจมตีพร้อมๆกันสองทาง
แม่ทัพฮองเต๊กเห็นว่าต้องอุบายของข้าศึกจึงสั่งทหารถอยกลับไปยังค่ายทันที แต่ถอยมาได้ไม่ไกลนักก็เจอกองทหารของข้าศึกสกัดทางไว้ ทำให้กองทหารของฮองเต๊กโดนกระหนาบ ฮองเต๊กจึงตีแหวกกองของไซ่ฮัวอย่างดุเดือด
“อ้ายลูกสุนัขผมแดง วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” จงเหลง ตะโกนก่อนจะสั่งทหารเข้าตีกองของข้าศึกอย่างดุเดือด ไซ่ฮัวเห็นเกราะแดงประจำตัวฮองเต๊กไวๆจึงขับม้ารำทวนออกไป หวังจะสังหารแม่ทัพใหญ่ของข้าศึกที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องพละกำลังด้วยมือของตน
“ท่านไซ่ฮัว” จงป้าร้องเสียงหลงเมื่อเห็นไซ่ฮัว ขับม้าผละจากกระบวนล้อมข้าศึกออกไปหาฮองเต๊กซึ่งยืนม้าเหลียวไปมารอบทิศ เมื่อเห็นแม่ทัพเกราะทองนายหนึ่งขับม้าพุ่งมาจึงกระตุ้นม้าให้พุ่งทะยานออกไปเพื่อตอบรับการรบบนหลังม้า ไซ่ฮัวประง้าวกับฮองเต๊กได้ไม่ถึงเพลงก็ทานกำลังไม่ไหวจึงขับม้าหนี ฮองเต๊กเห็นได้ทีจึงไล่ตามเมื่อได้จังหวะก็เงื้อง้าวและฟาดใส่ไซ่ฮัวทันที
แกร๊ง!!
จงเหลง พุ่งม้าเข้ามาทันและฟาดง้าวรับไว้ทัน ทั้งฮองเต๊กและจงเหลงจึงรบกันบนหลังม้าถึงร้อยเพลง เลยถึงยามเช้า ม้าของจงเหลงก็สิ้นกำลังลง ฮองเต๊กจึงหยุดม้าแล้วกล่าวว่า
“ข้าน้อยฮองเต๊กเลื่อมใสแม่ทัพปราบตะวันออกในไซ่เอวี๋ยนอ๋องมานาน วันนี้ได้ประมือ ถือเป็นบุญยิ่งนัก ขอเชิญท่านเปลี่ยนม้า และกลับมาสัประยุทธ์กันต่อเถิด” ฮองเต๊กกล่าวพร้อมกับกระทำคำนับ จงเหลงก็ชื่นชมนิยมในฝีมือและความเป็นลูกผู้ชายของฮองเต๊ก จึงเปลี่ยนม้ากับจงป้าและออกไปรบกับฮองเต๊กต่อ ทั้งสองฝ่ายตีเพลงกลองรบ อันเป็นธรรมเนียมของการรบด้วยแม่ทัพนั้นดังกังวานลั่นไปทั่วป่า เมื่อรบเสร็จอีกร้อยเพลงก็กลับไปเปลี่ยนม้าและออกไปรบอีกร้อยเพลง จนถึงเวลาบ่าย ก็มีกองทหารแตกหนีเข้ามาแจ้งกับไซ่ฮัวและจงป้าว่า ค่ายใหญ่และกองเสบียงถูกลอบโจมตีด้วยแม่ทัพเจ้ากลยุทธ์ ซุยหยาง และกำลังยกหารตามมาถึงนี่ ไซ่ฮัวกับจงป้าได้ยินดังนั้นก็ตกใจตีม้าล่อเรียกจงเหลงให้กลับมา ก่อนจะนำทัพถอยไปอีกสามร้อยเส้นและให้ตั้งค่ายไว้
จงเหลงนั้นกึ่งหงุดหงิดกึ่งดีใจที่ถูกเรียกกลับ ใจที่หงุดหงิดก็เพราะกำลังประง้าวอย่างเมามันกับฮองเต๊ก อีกกึ่งที่ดีใจก็เพราะพละกำลังเริ่มลดน้อยถอยลงแล้ว ต่างกับแม่ทัพฮองเต๊กที่ยังคงจู่โจมได้รุนแรงและแม่นยำราวกับเพิ่งเริ่มรบไม่นาน ในใจก็นึกชื่นชมแม่ทัพฮองเต๊กที่มีเรี่ยวแรงพละกำลังมากมายมหาศาลสมคำร่ำลือ
“ท่านแม่ทัพใหญ่ตีม้าล่อเรียกข้ากลับด้วยเหตุใด ข้าพเจ้าใกล้จะเด็ดศีรษะของฮองเต๊กได้อยู่เทียว” จงเหลงกล่าวเมื่อถึงค่ายของไซ่ฮัว ซึ่งจงป้าก็อยู่ด้วย
“ค่ายใหญ่ของเราถูกตี และเผาเสบียงเสียหมด เราจึงต้องถอยมา เพราะเกรงว่าหากเรายังรบติดพันกับแม่ทัพฮองเต๊กอยู่ แม่ทัพซุยหยางอาจตลบตีเราอีกได้” จงป้าบอกแล้วเขียนบอกสถานการณ์ลงบนกระบะทราย “ติวอ๋องก็ช่างร้ายเหลือ ส่งแม่ทัพสองคนนี้มาได้ ฮองเต๊กรบพุ่งได้ราวมีทหารร้อยหมื่น ซุยหยางก็รุกรับร้อยกลยุทธ์ – ซุยหยางคงคาดการณ์แล้วว่าฮองเต๊กจะสามารถถ่วงเวลาทัพใหญ่เราได้จึงฉวยโอกาสปล้นค่ายในตอนที่เราเผลอ – สองแม่ทัพที่รบโดยไม่อาศัยแผนการ หากแต่รุกรับตามสถานการณ์เช่นนี้ช่างรับมือยากยิ่งนัก”
“แล้วเราจะทำประการใดได้เล่า เสบียงก็ใกล้หมด แลอีกไม่ถึงร้อยเส้นเราก็จักถูกดันให้กลับเข้าไปในด่าน พวนเก๋งแล้ว หากถูกข้าศึกประชิดด่านได้ ท่านอ๋องคงไม่พอพระทัยเป็นแน่” ไซ่ฮัวบอกอย่างข่มขื่น
“อย่าห่วงไปเลยขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่” จงป้าบอก “อันจงเซิ่น ทหารตรี เจ้าเมืองไป่เสว บุตรชายของแม่ทัพจงเหลงนั้น เชี่ยวชาญเกาทัณฑ์กว่าผู้ใดในแคว้นเย่ เราจักล่อข้าศึกเข้าไปใกล้ด่านแล้วแสร้งให้ท้ารบแบบแม่ทัพ ฮองเต๊กนั้นย่อมรับคำอยู่แล้ว แต่ซุยหยางนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์จ้องหาทีได้ เราจะวางกำลังทหารทิศใต้ให้เบาบางและให้จงเซิ่นคอยคุมไว้ เมื่อซุยหยางทราบว่าทหารทิศใต้เราเบาบางแลติดพันที่หน้าด่านก็จะแบ่งทัพออกไปลอบตี แลเมื่อซุยหยางเข้ามาได้ระยะก็ให้จงเซิ่นระดมยิงธนูสกัดไว้ หากสังหารซุยหยางได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ข้าพเจ้าจะยกพลไปซุ่มรอไว้ก่อนที่เนินเขาพวนเก๋งนั้น หากว่าซุยหยางแตกทัพมา ข้าพเจ้าก็จักยกตามตี หรือหากแม้ซุยหยางตายหรือถูกจับได้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะยกพลออกตีด้านหลังของข้าศึก เมื่อเห็นว่าทัพท้ายของข้าศึกเอะอะโวยวาย ท่านแม่ทัพใหญ่และแม่ทัพจงเหลงก็จงยกทัพออกตามตี ข้าศึกจักระส่ำระสาย เพราะฮองเต๊กนั้นเป็นแต่รบพุ่ง มิได้เป็นกลยุทธ์ เมื่อตีกระหนาบสามทางพร้อมกัน ชัยชนะก็จะตกสู่เราโดยง่าย”
ทั้งไซ่ฮัว และจงเหลงต่างเห็นชอบต่อแผนการนั้น จึงสั่งทหารเตรียมรื้อค่ายและถอยกลับสู่ด่านพวนเก๋ง จงเหลงรับหน้าที่ระวังหลังก็สั่งทหารดูแลค่ายเป็นอย่างดี เพื่อรอถอยทัพในยามค่ำ
“จะว่าไป ตัวเราก็เปรียบดังฮองเต๊กที่มีแต่พละกำลัง แลน้องเราก็เป็นดังซุยหยางที่เป็นยอดเจ้ากลยุทธ์ หากขาดน้องเรา พระบัญชาของท่านอ๋องไซ่คงบิดเบือนไป” จงเหลงกล่าวชื่นชมน้องชายที่มีสีหน้าเจ็บปวด
“ข้านั้นเทียบกับซุยหยางคงได้เพียงกึ่งหนึ่ง ซุยหยางคงรู้แน่ว่าเราจักถอนกลับไปในด่านคืนนี้ และแน่นอนว่าเราจักต้องถูกตามตี ข้าจึงผิดต่อพี่ใหญ่ที่ต้องให้พี่ขัดตาทัพเยี่ยงนี้”
“อันการของแผ่นดิน ข้ายินดีพลีชีพ หากต้องตายก็ขอเอาเลือดทาแผ่นดินให้ชื่อปรากฏ” จงเหลงทุบเกราะอกอย่างฮึกเหิม เรียกรอยยิ้มของน้องชายได้เล็กน้อย “หรือเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจอีก จึงทำหน้าเช่นนั้น”
“ข้านั้นไม่เคยปิดพี่ใหญ่ได้เลยจริงๆ” จงป้าถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะกล่าวว่า “อันจงเซิ่นนั้นก็ใกล้สามสิบปีแล้ว ยังไม่เคยสัมผัสไออุ่นของสตรี ก็ต้องออกรบเสียแล้ว -- หากจงเซิ่นเป็นอะไรเพราะแผนการของข้า แม้นตายไปข้าก็มิอาจมองหน้าบรรพชนได้เลย”
“น้องเรานั้นคิดมากเกินไปแล้ว – อาเซิ่นแม้นยังหนุ่มแต่ก็มีใจรักชาติไม่น้อยกว่าเราทั้งสอง – แต่หากเจ้ากังวลนักเมื่อเสร็จศึกครานี้กลับไป เราค่อยไปดูสตรีในเมืองเพื่อหาว่าที่สะใภ้ตระกูลจงดีไหมเล่า” จงเหลงกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงห้าว จงป้าเองก็ยิ้มออก ก่อนจะมอบสารให้ม้าเร็ว เพื่อเรียกจงเซิ่นมายังด่านพวนเก๋ง
กล่าวถึงนางปิศาจที่สัมผัสไอเทพจนซึมเข้าทุกอณูแห่งร่างกาย แต่มิอาจซึมซับถึงจิตใจ เมื่อรู้ว่าฬ่อก๊กไม่ว่าอะไรเรื่องที่นางแอบหลงรักมนุษย์ อันเป็นเรื่องผิดกฎของสวรรค์และกฎของปิศาจที่หลงรักอาหาร – แต่ตอนนี้นางไม่ได้เป็นปิศาจ – ไม่ได้เป็นเทพ และไม่ได้เป็นมนุษย์ – แม้ว่าพื้นฐานของนางจะเป็นปิศาจแต่นางก็ถือกำเนิดจากมนุษย์และได้สัมผัสไอเทพอยู่เนืองนิตย์ ความรู้สึก ความนึกคิดและการกระทำของนางจึงค่อนข้างที่จะนอกเหนือความเข้าใจของคนทั่วไปนัก
ลัน ลัน ลา อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก ฮิ ฮิ ไม่เจอหน้า ท่านจงเซิ่นมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย
ตายจริง จะกลายเป็นหนุ่มหล่อขนาดไหนกันนะ ฮิ ฮิ ฮิ
“ท่านต๋าจีขอรับ ข้าเตรียมตำหนักให้พร้อมแล้วขอรับ” อ๊ะ น่ารักจริงเชียวเจ้าหมาน้อยตัวนี้ จู่ๆก็ร่าเริงขึ้นมาเหมือนกันนะยะ “ท่านต๋าจีท่าทางอารมณ์ดีนะขอรับ”
“เหรอ -- ” ต๊าย นี่ข้าแสดงออกขนาดนั้นเชียว
“ดูนั่นสิขอรับ ท่านจงเซิ่นมาแล้ว -- ”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ต๊าย หล่อระเบิด ตอนเป็นหนุ่มน้อยล่ะน่าจิ้ม ตอนนี้กลับน่าเคี้ยว ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
ว้าย ว้าย ว้าย อกข้าจะระเบิดออกมาแล้วนะยะ คนอะไรหล่อได้หล่อดี อุ๊ย!! ข้าเผลอส่ายหลังรึเปล่า –
“ข้าแต่เจ้าแม่หนี่วา ข้าน้อยจงเซิ่น ได้รับสารจากชายแดนเมื่อเย็นวาน ว่าบิดาแห่งข้ากำลังต้องการข้า ด้วยข้าศึกมารานรอนดินแดนแห่งบรรพชนแห่งเรา ข้าพเจ้าขอให้เจ้าแม่หนี่วาจงอวยชัยให้ข้าพเจ้าได้เป็นกำลังกับชาติ ให้ปกป้องบ้านเมืองจากการย่ำยีของข้าศึก แม้นต้องตาย ชีวิตนี้ข้าไม่เสียดาย -- ” ข้าเสียดายย่ะ “ – หากเพื่อปกป้องมาตุภูมิ ข้ายินดีพลีชีพ หากต้องตายก็ขอเอาเลือดทาแผ่นดินให้ชื่อปรากฏ”
โถๆ คนอะไร้ หล่อ เริด น่ารัก ภักดีต่อชาติบ้านเมือง – คงเป็นที่มาของกลิ่นหอมๆนี่สินะ
“เย็นวันนี้ ข้าจะไปถึงชายแดน ขอเจ้าแม่หนี่วา โปรดปกปักษ์ให้บิดาของข้าพ้นเคราะห์ภัยและกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด”
แหม – ขอให้แต่พ่อตัวเองแบบนี้ ชักจะอิจฉาอีตาจงเหลงซะแล้วสิ
เอ ถ้าข้ามีลูกก็อยากได้ลูกแบบนี้แหละนะ – ที่สำคัญขอพ่อแบบอีตาจงเซิ่นนี่แหละ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
“แล้วก็ -- ” หือ อะไรอีกล่ะยะ
อ้าว ทำไมไม่อธิษฐานต่อล่ะ ทำเป็นชะเง้อมองอะไรเข้ามาข้างในนี้ยะ คงเห็นอยู่หรอกนะ ก็ผ้าแพรมันบังซะขนาดนี้น่ะ อีตาบ๊องนี่ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
“ท่านต๋าจีขอรับ” ว้าย!! อีตาหมาน้อยนี่ – อะไรอีกยะ ไหนว่าจะไม่งอนแล้วไง “หางที่สั่นส่ายไปมานั่น – ทำให้ผ้าแพรขยับนะขอรับ”
อุ๊ย ว้าย ตายจริง แหม ไม่รู้ตัว – ถึงว่าชะเง้อมองอะไร ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
เลยถึงยามเย็น คนที่มากราบไหว้ที่ศาลก็ลดน้อยลง จนเหลือหญิงแก่คนเดียวที่นอนคุดคู้อยู่นอกศาล – เธอตายแล้ว
พลันนั้นชายร่างใหญ่สองคน คนหนึ่งมีหัววัว คนหนึ่งมีหัวม้า ก็ปรากฏใกล้ๆหญิงผู้นั้นซึ่งยังคงนอนหมอบอยู่ ก่อนจะพลิกบัญชีนรกและเอ่ยว่า “จางเอ๋อ อายุ เจ็ดสิบห้าปี สี่เดือน สองวัน อยู่บ้านเลขที่เจ็ด ตำบลไป่ถง เมืองไป่เสว – ใช่หรือไม่”
หญิงชราคนนั้นราวกับสะดุ้งตื่นและเงยหน้าคนมามองชายทั้งสองตัวสั่น – ในร่างวิญญาณ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“เจ้าหมดอายุไขแล้ว” ยมทูตหัววัวบอก
“เจ้าค่ะ” วิญญาณยอมรับ “วานนี้เทพจิ้งจอกที่เฝ้าศาลก็เข้าฝันบอกข้าน้อยเช่นกันว่าวันนี้คือวันตายของข้าน้อย ให้ข้าน้อยทำเรื่องที่ค้างคาใจให้เสร็จสิ้น และให้มาสวดขอบคุณเจ้าแม่หนี่วาจนถึงแก่ความตายที่หน้าศาลเพื่อลดหนี้สินเวรกรรมที่เคยก่อ -- ”
“จวนจะตายแล้วถึงสำนึกต่อเวรกรรมหรือ – เจ้ามิใช่รายแรกดอก” ยมทูตหัวม้าจ้องเขม็ง “การสวดขมาจากใจจริง ลดหนี้สินเวรกรรมได้จริง แต่กระนั้นก็หาทำให้มันหมดจดไปได้ไม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องลงไปนรกภูมิเพื่อตัดสินที่นั่น”
“ข้าน้อยทราบดีค่ะ – แต่ข้าน้อยลืมเตือนลูกชายไปอย่างหนึ่ง – ”
“ไม่ได้ – เจ้าต้องไปแล้ว” ยมทูตหัววัวบอกและล่ามแขนของหญิงแก่นั้น
“โปรดรอสักครู่เถิด ท่านยมทูตทั้งสองผู้มีเมตตา” เสียงหวานของสตรีนางหนึ่งลอยออกมาจากในศาล ต๋าจีก้าวออกมาในชุดชาวสวรรค์ที่งามสง่า และกระทำคำนับต่อยมทูตทั้งสองอย่างนอบน้อม ใบหน้ารูปสวยนั้นแย้มพรายเป็นภาพที่มีมนต์เสน่ห์อย่างประหลาด “จากกันมานาน ท่านยมทูตทั้งสองจดจำข้าได้หรือไม่”
“เจ้า – ท่าน คือปิศาจจิ้งจอกเมื่อตอนนั้น” ยมทูตหัวม้าดูงงๆไป ยมทูตหัววัวก็เผลอจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา
“เพราะคำเตือนที่แฝงด้วยเมตตาของท่าน จึงได้กลับตัวกลับใจประพฤติตัวละชั่วใฝ่ดี ประกอบกับพระแม่หนี่วาทรงเมตตา จึงให้ข้ารักษาดูแลศาลเจ้าแม่ที่แคว้นเย่นี้” ต๋าจีคำนับอีกครั้งด้วยกริยาอ่อนหวาน ท่าทีของยมทูตทั้งสองอ่อนลง“หญิงชราผู้นั้น หมั่นมากราบไหว้เจ้าแม่หนี่วาอยู่ไม่ขาด มีศรัทธามั่นคง – เห็นแก่ข้า ได้โปรดสนองคำขอของนางเถิด”
“มิได้ดอก” ยมทูตหัววัวบอก “วานนี้ก็ท่านฬ่อได้ว่ากล่าวทีหนึ่งแล้ว – เรามิอาจต่อชีวิตของนางมากไปกว่านี้แล้ว”
“หาใช่ต่อชีวิตนางไม่ – แต่ให้นางได้เข้าฝันสั่งเสียลูกหลานต่างหากเล่า” ต๋าจีหันหน้าไปด้านข้าง ฬ่อก๊กก็คำนับยมทูตทั้งสองซึ่งคำนับตอบ “ท่านฬ่อจะรับผิดชอบพานางไปสั่งเสียครอบครัวเอง ระหว่างนั้นข้าน้อยอยากเลี้ยงโต๊ะขอบคุณท่านทั้งสองที่ทำให้ข้ามีวันนี้ได้ – ขอเชิญท่านทั้งสองที่ตำหนักแห่งข้าน้อยเถิด – เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น”
ยมทูตทั้งสองมีท่าทีอึกอัก แต่เมื่อสบดวงตาคู่สวยของต๋าจีก็ยอมโดยง่าย และยิ้มกริ่มตามนางไปพักผ่อนที่ตำหนักใต้ศาลนั้น ฬ่อก๊กมองเจ้านายอย่างใจหายหน่อยๆก่อนจะพาหญิงชราไปยังบ้านของนาง
และก็เป็นไปตามแผนของสองจิ้งจอก ยมทูตทั้งสองถูกมอมเมาด้วยสุราสวรรค์ที่หมักบ่มด้วยของคาวทำให้เกิดอาการเมามายได้ง่ายยิ่งนัก กล่าวว่าสุรานี้แม้เปิดไหเฉยๆวางไว้กลางแดด ทั้งคน สัตว์ ปิศาจ ไม่เว้นเทพ ที่อยู่ในรัศมีสองร้อยเส้นต่างต้องเมามายเพียงเพราะสูดดม ยมทูตทั้งสองก็ต่างเมาหลับไปอย่างเป็นสุขด้วยสุราที่เลอโฉมรินให้
ต๋าจีลองให้นิ้วแตะๆดูก่อนจะดึงบัญชีนรกออกมาดูเมื่อแน่ใจว่ายมทูตทั้งสองหลับลึกไปแล้ว หลังจากพลิกเร็วๆ นางก็พบ
จงเซิ่น บ้านเลขที่สาม ตำบลไป่ถง เมืองไป่เสว อายุ ยี่สิบแปดปี หกเดือน สิบสี่วัน เสียชีวิตในสนามรบ
นางจิ้งจอกคำนวณวันเวลาและก็พบว่าวันตายของจงเซิ่นคือวันพรุ่งนี้ นางถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะค้นตัวของยมทูตหาหมึกขาวและหมึกดำก่อนจะลบและลังเลอยู่หน่อยๆเรื่องเปลี่ยนอายุ
เอ – มนุษย์เนี่ยเริ่มหน้าเหี่ยวเมื่อไหร่ยะเนี่ย สักเจ็ดสิบรึเปล่า – แหวะ จงเซิ่นตัวเหี่ยวๆเหรอ ไม่เอาล่ะ
อย่างน้อยตอนตายขอหล่อๆดีกว่ามั้งยะเนี่ย อืม – เอาสัก ห้าสิบปีดีกว่า –
“นายท่าน -- ” กรี๊ด ตกใจหมด!! เจ้าหมาน้อยตัวนี้จะทำข้าตกใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจยะ “ – เสร็จหรือยังขอรับ นี่ยาถอนพิษ สุราขอรับ”
เออๆ เสร็จแล้วย่ะ –
จงเซิ่น บ้านเลขที่สาม ตำบลไป่ถง เมืองไป่เสว อายุ ห้าสิบปี หกเดือน สิบสี่วัน เสียชีวิตอย่างสงบในบ้าน
“เรียบร้อย” เอาล่ะเก็บยัดเข้าใส่เสื้อซะเลย “อ้าว – แล้ววิญญาณมนุษย์ตัวนั้นไปไหนแล้วล่ะ”
“อ๋อ – ข้าล่ามไว้กับเสาของศาลน่ะขอรับ” ต๊าย มนุษย์นะยะไม่ใช่วัวใช่ควาย ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
ไม่นานนัก ยมทูตทั้งสองก็ตื่นขึ้นมาในสภาพสะลึมสะลือและเคลิบเคลิ้ม นางจิ้งจอกแสร้งบอกว่าทั้งสองฟุบหลับไปประเดี๋ยวหนึ่ง คงเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป นางจึงบริการนวดผ่อนคลาย ก่อนจะเนรมิตวงมโหรีขับกล่อม และยกน้ำชาแก้พิษสุราต่อให้ สารพัดจะเอาใจปรนนิบัติพัดวียมฑูตทั้งสองนั้น
ยมทูตทั้งสองเดินออกมานอกศาลด้วยอาการมึนเมา – ที่มิใช่เมาสุรา
ต๋าจีคำนับลาด้วยกิริยาหยาดเยิ้ม ยมทูตทั้งสองยังต้องกลืนน้ำลายเสียดายอยู่หลายครั้งก่อนจะพาวิญญาณหญิงแก่ที่พร่ำขอบคุณไม่ขาดปากไปนรก
“ท่านต๋าจี ต่ออายุให้ท่านจงเซิ่นไปแค่ยี่สิบปีเองหรือขอรับ” ฬ่อก๊กถามอย่างไม่เชื่อหู “นั่นมันประเดี๋ยวๆก็หมดแล้วนะขอรับ”
“งั้นเหรอ” ต๋าจีนอนเล่นในสระน้ำอุ่นและให้ฬ่อก๊กหวีแปรงหางให้หมดจากกลิ่นสุรา
“ใช่สิขอรับ – ท่านต๋าจีขึ้นสวรรค์ทีหนึ่งบางทีก็เป็นเดือนบางทีก็เป็นปีและบางทีก็เป็นสิบปีก็มี” ฬ่อก๊กบอกก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดแล้วชะโลมน้ำหอมก่อนจะแปรงขนหางฟูๆของต๋าจีต่อ
“นั่นสินะ – ชีวิตมนุษย์นั้นแสนจะสั้น -- ” อยู่ๆต๋าจีก็เงียบไปและทำท่าคิด “ใช่ – เวลาแค่แปบเดียว” นางจิ้งจอกมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“นายท่านคิดอะไรออกเหรอครับ” ฬ่อก๊กถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเจ้านาย
“ข้าจะลาพัก”
“หา”
“ข้าจะลาพัก – และใช้ชีวิตกับจงเซิ่นอีกยี่สิบปีที่เหลือในฐานะภรรยาของเขา”
“อะไรนะขอรับ” ฬ่อก๊กร้องอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ท่านจะแต่งงานกับมนุษย์เหรอ!?”
“ใช่สิยะ” ต๋าจียิ้มอย่างเป็นสุข “เจ้าแม่หนี่วาให้พรข้าไว้ และบอกว่าข้าจะกลับไปขอเมื่อไหร่ก็ได้ – ข้าจะขึ้นไปขอพักตามเวลาโลกมนุษย์ยี่สิบปี และใช้เวลานั้นกับจงเซิ่นให้คุ้มค่า -- ”
จู่ๆนางจิ้งจอกหน้าแดงและกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหางของตัวเองไปมาในสระน้ำนั้น
ฬ่อก๊กหน้าซีดกึ่งยิ้ม – เขาทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากและสนุกขึ้นมาในเวลาเดียวกันซะแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ