นางพญาปิศาจจิ้งจอก

8.0

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.

  21 ตอน
  11 วิจารณ์
  29.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ตอนที่ 13 วันตายของจงเซิ่น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 13 วันตายของจงเซิ่น

 

นางจิ้งจอกแปดหางแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยอาการร่าเริงอย่างไม่อาจเก็บอาการได้ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับจงเซิ่น – แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ใจนางเต้นรัวและหางส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้ฟ่อก๊กที่ช่วยแต่งตัวลำบากไม่น้อย

“ข้าน่ารักพอรึยัง” ต๋าจีหมุนตัวก่อนจะชายตาถามฟ่อก๊ก ที่ยิ้มน่ารักและตอบว่า

“นายท่านงามเลิศเหนือผู้ใดในปฐพีขอรับ” ต๋าจีกอดฬ่อก๊กและหอมให้รางวัลก่อนจะเกาหลังหูเร็วๆ และออกเดินทางไปสู่ตำหนักเจ้าแม่หนี่วาบนสวรรค์

“ข้าน้อยต๋าจี – ถวายบังคมแม่หนี่วาเพคะ” ปิศาจจิ้งจอกถวายบังคมเจ้าแม่ด้วยอาการสง่างามน่ารักใคร่ต่อสีพระพักตร์ที่ประหลาดพระทัยของเจ้าแม่หนี่วา

“ตัวมาแห่งนี้ด้วยเรื่องเดือดร้อนประการใดหรือ” เจ้าแม่ตรัสถามด้วยพระเมตตาเพราะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงกำหนดรายงานของโลกมนุษย์

“ข้าน้อยต๋าจีขอบังอาจทวงถามพระพรที่พระแม่เคยตรัสให้ไว้เพคะ”

“อ๋อ – เรื่องนั้นจะเป็นไรมี บอกความประสงค์ของตัวมาเถิด” เจ้าแม่แย้มพระโอษฐ์ อย่างอ่อนโยน

“พรอื่นหมื่นแสน แลแก้วแหวนเงินทองล้นฟ้าหาเทียบได้กับการรับใช้เจ้าแม่ไม่ ตัวข้าน้อยประจักษ์ดังนี้ จึงภักดีแลกระทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ – แต่ทว่าน้องชายของข้าน้อยซึ่งสันดานยังเป็นปิศาจหนุ่มติดการท่องเที่ยว จึงออดอ้อนวอนขอให้ข้าน้อยพาท่องเที่ยวในแคว้นเย่นั้นอยู่มิขาด แต่ข้าน้อยเกรงว่าสันดานปิศาจของน้องชายนั้นจะก่อความเดือดร้อนแก่มนุษย์ด้วยความเยาว์ ข้าน้อยจึงตัดสินใจจะออกไปดูแลควบคุมน้องชาย – และเป็นการพักผ่อนไปในตัว ดังนี้ข้าน้อยจึงบังอาจมาทวงถามขอเวลาพักกับพระแม่เพคะ”

“แค่นั้นเองฤา – ” เจ้าแม่ตรัสถามด้วยสีพระพักตร์หลากพระทัยก่อนจะเอ่ยอย่างทรงพระเมตตาว่า “เช่นนั้นก็จงพักตามสบายเถิด เราให้เวลาพักตัวสักร้อยปีตามเวลาโลกมนุษย์จะว่ากระไร น้อยไปฤาไม่”

นางจิ้งจอกรีบโขกหน้าผากและกล่าวว่า “มิได้เพคะ ข้าน้อยนั้นไม่อาจทิ้งภาระอันยิ่งใหญ่ได้นานเกินไป – ขอแค่ยี่สิบปีตามโลกมนุษย์ก็เพียงพอแล้วเพคะ”

นางจิ้งจอกซึ่งได้รับพระอนุญาตรีบลงจากสวรรค์พุ่งดิ่งไปยังโลกมนุษย์ทันที

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

จงเซิ่นขา ข้ามาแล้วนะ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ

 

ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย ณ. โลกมนุษย์

จงเซิ่นเข้าประชุมและรับหน้าที่รักษาด่านทิศใต้ จงป้านำทัพออกซุ่มตามแผนการที่วางไว้ จงเหลงยืนม้าอยู่หน้าทัพนอกกำแพงเมือง ไซ่ฮัวก็คุมกำลังอยู่เหนือกำแพงนั้น และเมื่อทัพของติวอ๋องมาถึง จงเหลงก็ส่งเสียงเรียกฮองเต๊กดังลั่น ฮองเต๊กในเกราะสีแดงก็กระทำคำนับและรำง้าวออกมา จงเหลงกระตุ้นม้าออกไป เสียงกลองรบดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้นแต่ก็หาเทียบกับเสียงดั่งฟ้าฟาดของง้าวทั้งสองที่ปะทะกันในแต่ละครั้งมิได้

การรบของแม่ทัพทั้งสองราวกับเทพสงคราม ทั้งงดงาม ดุดันและตระการตา ทั้งสองรุกรับกันอย่างรวดเร็วและเหี้ยมหาญดึงรั้งสายตาของทุกคนไปอย่างมิอาจต้านทานได้ – แต่มีเพียงแม่ทัพเกราะน้ำเงินผู้หนึ่งยังคงกระซิบกับคนสนิทและเพ่งตามองไปยังกำแพงด่านก็เห็นไซ่ฮัวนั่งบัลลังก์เสืออยู่ลิบๆ ทหารบนกำแพงก็มิได้เดินยาม ต่างเพ่งมองการต่อสู้ของเสือทั้งสองเบื้องล่างอย่างลืมหายใจ

แม่ทัพซุยหยางในผมสีดำประกายน้ำเงินยิ้มอย่างอดขำมิได้ การที่ติวอ๋องส่งซุยหยางกับฮองเต๊กมานั้นช่างน่าสงสารเสือหนุ่มขนแดงเสียนี่กระไร ที่ต้องเสียผลงานทั้งปวงตกสู่มังกรเกร็ดน้ำเงินผู้นี้ทั้งหมด คนสนิทวิ่งมากระซิบอีกครั้ง ซุยหยางก็ถอยมาสั่งทหารกองหลังให้แบ่งกองกำลังและค่อยๆยกไปทางด่านทิศใต้อย่างเงียบเชียบ

“ยิง!!!” จงเซิ่นตะโกนดังลั่น ทหารที่ซุ่มอยู่ก็ยิ่งธนูราวห่าฝน ทหารที่ยกมายังกำแพงด่านด้านนอกก็ล้มตายระเนระนาด จงเซิ่นเพ่งมองเห็นแม่ทัพเกราะน้ำเงินกำลังสั่งให้ถอยทัพอย่างอลหม่านก็ยกธนูคู่มือขึ้นมาและเหนี่ยวธนูออกไปทันที – โดยที่ไม่ทันกระพริบตา – โดยที่ไม่อาจต่อต้าน ลูกศรพุ่งทะลุศีรษะแม่ทัพผู้นั้นก่อนจะตกหลังม้า ดิ้นได้สักสามครั้งก็แน่นิ่งไป ทหารเห็นตัวนายสิ้นชีพดังนั้นก็แตกระส่ำหายไป ทหารบนกำแพงสรรเสริญฝีมือเกาทัณฑ์ของจงเซิ่นเป็นอันมาก จงเซิ่นก็โบกมือรับขวัญทหารก่อนจะพาทหารน้อยตัวออกไปเพื่อตัดหัวของซุยหยางแม่ทัพร้อยกลยุทธ์ มังกรที่ต้องมาตายน้ำตื้นฉะนี้

“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”

ทหารเฮลั่นวิ่งสวนเข้ามาล้อมจงเซิ่นไว้ แม่ทัพคนหนึ่งที่ใส่เกราะน้ำเงินไม่ต่างกับคนที่เป็นศพนอนกลิ้งอยู่บนพื้นเดินม้าออกมาและมองแม่ทัพหนุ่มอย่างเย้ยหยันก่อนจะกล่าวว่า

“ความคิดของจงป้า อุปมาดังเด็กน้อย ข้าซุยหยางเจนจบพันศาสตร์หมื่นคัมภีร์ มีหรือจะแพ้ความคิดเท่าหางอึ่งฉะนี้” ว่าแล้วซุยหยางก็ยกศีรษะที่ถูกตัดชูขึ้น จงเซิ่นตกใจแทบสิ้นสติ – นั่นเป็นศีรษะของจงป้า น้าของเขา – “ฆ่ามันซะ” สิ้นเสียงประกาศของซุยหยางทหารนับร้อยก็กรูเข้าใส่จงเซิ่นที่มีทหารติดมาเพียงสิบกว่านั้น –

จงเซิ่นเห็นจวนตัวจะตีฝ่าเข้ากลับเข้าด่านก็ไม่ทันการ จึงชักดาบพุ่งม้ากระโจนเข้าหาซุยหยางหวังไปตายเอาดาบหน้า

 

ฉึก!!!

 

เสียงทวนสีน้ำเงินทะลวงเกราะจนทะลุร่างดังไปทั่วบริเวณนั้น ก่อนร่างของชายหนุ่มจะร่วงสู่พื้นช้าๆ –

 

“เจ้าคือจงเซิ่น บ้านเลขที่สาม ตำบลไป่ถง เมืองไป่เสว อายุ ห้าสิบปี หกเดือน สิบสี่วันใช่หรือไม่” เสียงทรงพลังเสียงหนึ่งเอ่ยถามมาจากเหนือร่างของเขา จงเซิ่นลุกขึ้นนั่งคุกเข่า – ในร่างวิญญาณ และเหลียวไปมองร่างทะมึนสองร่างนั้น 

“ใช่ขอรับ -- ข้าน้อยคือจงเซิ่น” จงเซิ่นตอบย่างเหม่อลอย

“ประเดี๋ยวก่อน -- ” ร่างทะมึนร่างหนึ่งขัดขึ้น “เจ้าอายุเท่าไหร่”

“ข้าน้อย อายุยี่สิบแปดขอรับ” ทุกหนแห่งในรอบตัวของจงเซิ่นพล่ามัว เขาพยายามนึกว่าตัวเองทำอะไรอยู่แต่ก็นึกไม่ออก

“น่าแปลก -- ” ร่างหนึ่งพึมพำ

“เขายังไม่ถึงที่ตาย – เราต้องปล่อยเขาไปก่อน” อีกร่างบอก ทันใดนั้นทั้งสองร่างก็ค่อยๆเลือนหายไป เป็นจังหวะเดียวกับทิวทัศน์รอบตัวของจงเซิ่นชัดเจนขึ้น จงเซิ่นพบว่าตัวเองนอนอยู่ ทวนโดนกระชากออกจากร่างไปแล้ว ปากแผลก็มีเลือดไหลไม่หยุด จงเซิ่นหันไปมองด้านบนก็พบ จงเหลงกำลังรบติดพันกับซุยหยางและฮองเต๊กที่มีสีหน้าไม่พอใจ

“เจ้างูโสโครก กล้าดีอย่างไรถึงสังหารลูกกับน้องข้า” จงเหลงตวาดและฟาดง้าวใส่ซุยหยางอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซุยหยางทำได้แค่ใช้ทวนปัดป้อง ฮองเต๊กเห็นว่าหากไม่ช่วย ซุยหยางคงถึงที่ตายจึงช่วยรบ แม้จะไม่พอใจที่ซุยหยางใช้เล่ห์ลอบกัดข้างหลังผู้อื่นโดยใช้ฮองเต๊กบังหน้าอีกครั้งก็ตาม

“วันนี้แม่ทัพตระกูลจงต้องตายทั้งหมดกระบวน เลขสาม!!” ซุยหยางตะโกนใส่ฮองเต๊กซึ่งควบม้าออกไปและกระหนาบจงเหลงไว้ตรงกลางก่อนจะฟาดง้าวใส่ จงเหลงไม่อาจหนีจากกระบวนทัพได้ ด้านซ้ายก็มีซุยหยาง ด้านขวาก็มีฮองเต๊ก จงเหลงฟาดง้าวรุกรับทั้งง้าวแดงและทวนน้ำเงินเป็นพัลวันต้องละมือจากบังเหียนม้าเพื่อให้ใช้ง้าวถนัด – แต่ก็ยากเกินไปสำหรับง้าวที่รุนแรงและแม่นยำจากฮองเต๊ก และทวนที่พุ่งแทงอย่างรวดเร็วและรุนแรงจากซุยหยาง

บาดแผลของจงเหลงค่อยๆเพิ่มขึ้นที่ละนิดๆ จงเหลงนึกเศร้าใจที่ตนต้องมาตายเช่นนี้ ทั้งอิจฉาติวอ๋องที่มีแม่ทัพที่ทั้งเก่งและมีความสามารถขนาดนี้

จู่ๆฮองเต๊กก็หยุดโจมตีและยืนม้าอยู่เฉยๆ น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งรินทาบสองแก้ม “ทำอะไรของท่านฮองเต๊ก จงเหลงใกล้เสียทีแล้ว ท่านจะปล่อยมันไปหรือกระไร” ซุยหยางตวัดทวนไปพลางตะโกนถามฮองเต๊กไปพลาง

“ข้าไม่อาจทำสิ่งที่ฝืนความรู้สึกได้อีกต่อไปแล้ว ข้าคือเสือ มิใช่สุนัข – ข้าไม่อาจรุม --”

“เจ้าจักเป็นกบฎต่อติวอ๋องหรือกระไร” ซุยหยางตวาดไปพลางและรุกโจมตีจงเหลงไปพลาง ฮองเต๊กก้มมองง้าวในมือ ก่อนจะถอยม้าออกมา ลงม้า ถอดเกราะและสั่งทหารมัดตัวเองไว้ ซุยหยางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่ฮองเต๊กรบทัพราวกับเด็กอมมือที่คิดแต่จะชนะอย่างใสสะอาดดังนี้ แต่จงเหลงเองก็ใกล้สิ้นแรงแล้ว จึงโหมโจมตีต่อไป – เมื่อชนะแล้วจะได้พิจารณาโทษของฮองเต๊กต่อ

 

ฉึก!!

 

ลูกศรปักไหล่ซ้ายของซุยหยางทำให้ล้มลงตกม้า จงเซิ่นไม่รอช้าขึ้นลูกศรพาดและเล็งยิงลูกต่อไปทันที เป็นเวลาเดียวกับ ไซ่ฮัวที่ยกทัพกระหนาบจากด้านหลังและหน้ากำแพงด่านออกมาล้อมไว้ พวกทหารก็กรูเข้าไปอุ้มซุยหยางและตีฝ่าออกไปทันที เหลือเพียงฮองเต๊กที่มัดตัวเองไว้

“ลูกพ่อ -- ” จงเหลงกระโดดลงม้าและวิ่งเข้าไปสวมกอดลูกชาย ทั้งพ่อและลูกเต็มไปด้วยรอยเลือด – แต่ไม่ตาย

ไซ่ฮัวให้หมอรีบมารักษาสองแม่ทัพพ่อลูกและคุมตัวฮองเต๊กกลับเข้าด่านไป

 

สามวันต่อมา

จงเหลง และจงเซิ่นถูกประคองมายังที่ว่าการประจำด่านตามคำสั่งของไซ่ฮัว ที่ทำการคาราวะและเชิญทั้งสองนั่งลงก่อนจะเรียกตัวฮองเต๊กออกมาเพื่อพิจารณาโทษ

“ฮองเต๊ก เป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพใหญ่ของพระเจ้าโจ้วหลาง หากเราประหารเสียก็จะเป็นการข่มขวัญทัพของพระเจ้าโจ้วหลางได้ อีกทั้งเพื่อเป็นการเซ่นสรวงดวงวิญญาณของจงป้า จึงขอให้ท่านจงเหลงและจงเซิ่นมาเป็นพยานในการประหารฮองเต๊กในครั้งนี้ด้วย”

ฮองเต๊กก้มหน้านิ่งยอมรับชะตากรรม จงเหลงก็ใจหายวาบเพราะเสียดายกำลังของฮองเต๊ก จึงหันหน้าไปมองบุตรชายที่มองฮองเต๊กด้วยสีหน้าสนใจ ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นบุตรชายลุกไปคุกเข่าต่อหน้าไซ่ฮัวซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่และกล่าวว่า

“ซึ่งท่านไซ่ฮัวจะประหารแม่ทัพทั่วๆไปนั้นก็สมควรอยู่ หากแต่แม่ทัพฮองเต๊กนั้นไม่ควรเลย”

“ทำไมเล่า” ไซ่ฮัวเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เหตุนั้นมีสามประการ” จงเซิ่นเอ่ยออกมาด้วยเสียงหนักแน่น “หนึ่ง แม่ทัพฮองเต๊กนั้นมีน้ำใจลูกผู้ชาย ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อต้องปฏิบัติตามคำสั่งให้รุมสู้กับบิดาข้าพเจ้าเพราะการกระทำนั้นขัดต่อจิตใจของนักสู้ ยินดีมัดตัวเองเพื่อรอรับโทษ มากกว่าที่จะเอาชัยชนะ สองหากประหารแม่ทัพฮองเต๊กจริงแทนที่จะเป็นที่ครั่นคร้ามของพระเจ้าโจ้วหลางกลับกลายเป็นราดน้ำมันบนกองไฟต่างหาก ทัพของพระเจ้าโจ้วหลางย่อมยกมาแก้แค้น ไม่เป็นผลดีต่อเราเลย และสาม แม่ทัพฮองเต๊กนั้นมีความสามารถ ควรเราจะรับไว้ในทัพของไซ่เอวี๋ยนอ๋องจะดีกว่า”

ไซ่ฮัวได้ยินดังนั้นก็คิดได้ จึงพยักหน้าเข้าใจ จงเหลงจึงลุกขึ้นไปแก้เชือกที่มัดออกและพยุงฮองเต๊กลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้านั้นรักใคร่ท่านแต่ครั้งแรกที่ได้ประง้าวด้วย ยิ่งนึกยิ่งเสียดายที่เราอยู่กันคนละฝ่าย เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้แล้วก็ขอให้ท่านปลงใจอยู่กับเราเถิด”

ฮองเต๊กคารวะทั้งสามแม่ทัพก่อนจะ คุกเข่าต่อและเอ่ยว่า “เกิดมาเป็นชาติชายจะตายก็ตามเถิด แต่จะให้ข้านั้นเป็นข้าขายเจ้าบ่าวขายนายนั้น ข้าพเจ้าอับอายยิ่งกว่าความตายเสียอีก”

จงเซิ่นกระชากตัวฮองเต๊กลุกขึ้นและพูดจังๆตอกหน้าว่า “ลืมตาเสียเถิดสหาย พระเจ้าโจ้วหลางนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นทรราชแห่งแผ่นดิน โบราณว่าแม้นนกยังเลือกกิ่งไม้เกาะ ท่านจะจงรักภักดีต่อทรราชต่อไปนั้นมิไยจะได้แต่เสียงก่นด่าจากอาณาประชาราชย์ แลท่านเป็นเท้าเป็นมือให้พระเจ้าโจ้วหลางนั้นก็จะยิ่งต่อความทุกข์ร้อนให้ขยายกว้างออกไปใช่หรือไม่” ฮองเต๊กทราบดีถึงพระทัยของเจ้านายจึงได้แต่นิ่งเงียบ “ข้านั้นช่วยท่านออกจากขุมนรกที่ท่านจะตกไปแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้ท่านกลับไปอีกแล้ว – แต่หากท่านจะดึงดันกลับไปจริง ข้าก็ขอตายเสียดีกว่าจะเห็นท่านไปต่อแขนต่อขาให้คนชั่วอีก”

ฮองเต๊กซึ้งในน้ำใจจึงคุกเข่าร่ำไห้ต่อหน้าคนทั้งปวงและเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “แม่ทัพไซ่ฮัว ข้าพเจ้านั้นต้องโทษตาย แต่ก็ได้ท่านจงเซิ่นช่วยให้รอดชีวิตมาได้ ความผิดที่มีส่วนในการตายของแม่ทัพจงป้า ข้านั้นไม่อาจปฏิเสธได้ จึงจะขอเป็นข้ารับใช้ในไซ่เอวี๋ยนอ๋องไปจนตัวตาย เพื่อไถ่บาปต่อแม่ทัพจงป้า และอาณาประชาราชย์ทั้งปวง”

ไซ่ฮัวได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะได้แม่ทัพที่เก่งกาจมาช่วงใช้จึงคิดอุบายผูกใจฮองเต๊กและทหารทั้งปวงไม่ให้เคลือบแคลงฮองเต๊ก ต่อไปภายหน้าจะได้ทำการโดยสะดวกจึงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว ท่านจงสาบานตนต่อหน้าเหล่าทหารเสีย อีกอย่างหนึ่งวันนี้เป็นวันดี ราวกับสวรรค์ดลใจให้ท่านจงเซิ่นช่วยชีวิตท่าน หากท่านจงเหลงไม่ว่ากระไร ให้ทั้งสองสาบานเป็นพี่น้องกันจะดีหรือไม่”

ถ้อยคำของไซ่ฮัวกระทบเข้ากลางใจจงเหลง จึงยิ้มร่าและให้ทั้งสองไล่วันเดือนกัน ปรากฏว่าฮองเต๊กอ่อนกว่าจงเซิ่นไปปีกว่าๆ ฮองเต๊กจึงเรียกจงเซิ่นว่าพี่ จงเซิ่นก็เรียกฮองเต๊กว่าน้องเรา ทั้งสองสวมกอดกันและกระทำพิธีสาบานต่อหน้าเหล่าทหารทั้งปวง

ทัพของไซ่เอวี๋ยนอ๋องเติบโต กล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ

 

จากแม่ทัพตระกูลจง ที่ถึงที่ตายทั้งสามคน กลับตายแค่หนึ่งคน ทว่ากลับได้แม่ทัพฮองเต๊กที่มีความสามารถมาแทน – ลิขิตสวรรค์ถูกบิดเบือนอีกครั้ง – โดยปิศาจจิ้งจอกเพียงสองตัว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา