ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
94) บทที่ ๙๓: การชักชวนของเด็กชาย เสไพร พงพิษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๙๓
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
การชักชวนของเด็กชาย เสไพร พงพิษ
สันนิษฐานกันว่าผู้สร้างมิติผกายไม่ได้มีเพียงผู้เดียว เพราะเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่ได้บำเพ็ญเพียรที่จะได้มีพลังมากมายได้การสร้างสรรพสัตว์และอื่นๆ ที่อยู่ในโลก ตามตำนานกล่าวว่าผู้สร้างได้รวบรวมวิญญาณมาช่วยสร้าง แต่อีกตำนานหนึ่งก็กล่าวว่าได้บำเพ็ญเพียรเป็นเวลาหลายล้านปีเพื่อจะได้ขอพรจากพระพรหม เพื่อที่ตนนั้นจะได้มีพลังในการสร้างโลก… หรือมิติใหม่ แต่ด้วยความที่ตนเองจัดการไม่ได้ทั่วถึงจึงได้ขอความช่วยเหลือวิญญาณตนอื่นๆ มาช่วยดูแล
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าผู้สร้างจะสร้างมิตินี้ขึ้นมาทำไม บางคนกล่าวว่าอาจเป็นเพราะอยากสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม โดยที่น้อยคนนักจะทราบว่าแท้จริงแล้วผู้สร้างทำไปเพราะความเบื่อหน่าย …แต่ก็น่าแปลกใจอีกนั่นแหละที่อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรหลายล้านปีเพราะเพียงแค่ไม่อยากเบื่อ ผู้สร้างสามารถมองเห็นอนาคตได้ เรียนรู้ในสิ่งที่อนาคตมีแม้ตอนนี้ยุคที่เพิ่งเริ่มนั้นจะไม่มีสิ่งใดๆ นอกจากสรรพสัตว์และธรรมชาติแล้ว ยังล่วงรู้ถึงภาษาที่มีการคิดขึ้นมา จึงได้ใช้มันจารึกไว้ในใบลานตามที่ตนเองได้เห็นในอนาคต บันทึกถึงสิ่งที่เป็นไปของมิติผกาย …แต่แล้วพอเริ่มเข้ายุคต่อมามนุษย์ก็เริ่มทำสงครามกัน
…ทว่าสงครามที่ควรจะมีแต่การฆ่าฟัน กลับกลายเป็นว่าบางคนทานมนุษย์ด้วยกันเอง ผู้สร้างโลกเริ่มวิตกกับความผิดปรกติ กาลเวลาผ่านไปยิ่งรุนแรงขึ้นจนต้องเข้าไปหลบซ่อนบำเพ็ญเพียรต่อเพื่อจะได้ขอพรจากพระศิวะ ทว่าวิญญาณของตนเองใกล้ถึงขีดสุดเพราะอยู่นานเกินไป จนไม่สามารถที่จะบำเพ็ญเพียรได้แล้ว ในขณะนั้นเอง ยมทูตตนหนึ่งก็มาพาผู้สร้างไปในนรก เนื่องจากฝ่าฝืนธรรมชาติของการเป็นมนุษย์จนทำให้สิ่งต่างๆ แปรปรวนไปหมด
ผู้สร้างถูกขังในขุมนรกที่ลึกที่สุด ความมืดไร้ซึ่งแสงว่างไม่อาจมองเห็นสิ่งใดๆ ได้อีก ในขณะนั้นเองก็มีวิญญาณที่ยังไม่หมดอายุขัยเข้าสู่ญาณขั้นสูงจนสามารถมาหาผู้สร้างได้ วิญญาณตนนั้นได้ยื่นข้อเสนอให้ว่า หากผู้สร้างได้สร้างคู่ที่ต้องมาเป็นศัตรูจะช่วยปล่อยให้ออกจากขุมนรกนี้ ซึ่งผู้สร้างก็ตกลง วิญญาณตนนั้นจึงช่วยปล่อยให้ออกจากที่นี่โดยวิธีที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่
…และแล้วก็ได้ถึงกำเนิดเด็กสองคนขึ้นมา หนึ่งคือเด็กที่มีเชื้อสายยักษ์ อีกหนึ่งเป็นเด็กเชื้อสายซาตาน หลังจากนั้นก็เกิดเป็นเรื่องราวในตำนานถึงการต่อสู้ของเด็กสองคนนี้ จวบจนปัจจุบันผ่านมาหลายชาติ เด็กสองคนนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง…
ไปไหนอีกแล้วนะ หรือว่าเราต้องฝึกนั่งสมาธิจริงๆ ?
ศรีถามกับตนเอง นับตั้งแต่อยู่ในมิติผกายเธอก็ไม่ได้พบกับเด็กหญิงในความฝันอีกเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพลางนึกถึงเด็กหญิงคนนั้น ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็แต่งกายด้วยชุดนักเรียนเพราะวันนี้ต้องไปสมัครสอบเข้า
จะว่าไปโรงเรียนที่เฉาก๊วยชวนไปด้วยคือโรงเรียนอะไรนะ?
หลังจากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่าง ได้กลิ่นอาหารโชยมาแต่ไกล ศรีเข้านั่งที่ประจำของตนเองในขณะที่อสุรานำอาหารมาพอดี พอทานเสร็จก็ออกจากบ้าน ก่อนจะพบว่าเฉาก๊วยมายืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาส่งยิ้มให้ ศรีเองก็เช่นกัน ทั้งสองคุยกันสักพักก่อนที่ทั้งสามคนจะทำการเปิดประตูมิติ (วิธีการเปิดนั้นอสุราสอนตั้งแต่เมื่อคืน) ก่อนจะเข้าไปซึ่งทำในระหว่างที่ไม่ใครมาเห็นพอดี
“โอ้โฮ สุดยอดไปเลย”
เมื่อมาถึงประตูมิติก็หายไป ก่อนที่ศรีจะอุทานด้วยความชื่นชม โรงเรียนที่มาสมัครนั้นสร้างเรือนไทยที่ประยุกต์ให้มีสองชั้นแทนอาคารแบบมิติสามัญ บางที่ก็สร้างแบบชั้นเดียวแต่เชื่อมกับเรือนอื่น มีแต่ต้นราชพฤกษ์ที่ผลิดอกบานสะพรั่ง สีเหลืองสดใสนั้นดูอร่ามตา ยิ่งพอมาแสงแดดส่องลงมาก็ให้ความรู้สึกที่สว่างไสวมากกว่าเดิม จุดศูนย์กลางของโรงเรียนเป็นหอคอยที่มีหลังคาแบบเรือนไทย มองไปรอบๆ ก็เห็นว่านักเรียนที่เดินกันขวักไขว่นั้นไม่ได้มีเพียงมนุษย์ มีอมนุษย์เช่น ยักษ์ (บางตนแปลงเป็นมนุษย์) กินรี-กินนร นรสิงห์ นาค ครุฑ (ที่บ้างก็จำแลงร่างเป็นมนุษย์) ฯลฯ และอื่นๆ อีกหลายเผ่าพันธุ์ ศรีตาเป็นเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นกับอมนุษย์ที่แต่ก่อนเคยเห็นในเพียงหนังสือหรือสื่ออื่นๆ …ตอนนี้เธอได้เห็นตัวตนจริงๆ แล้ว
“ชอบไหม?” เฉาก๊วยถาม ศรีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มด้วยความดีใจ “ชอบมากๆ เลยจ้ะ เห็นแล้วไม่อยากกลับมิติสามัญเลย”
เฉาก๊วยหัวเราะก่อนที่ทั้งสามคนจะจะเดินเข้าไปในเรือนไทยที่มีพื้นที่กว้างขวาง ถ้าให้คาดคงจะเป็นโรงพลศึกษาจากการที่ศรีเห็นอุปกรณ์กีฬาใส่ในที่เก็บ และขอบเขตพื้นที่ในการเล่นกีฬา ที่นี่มีนักเรียนหลายคนที่ต่างเขียนใบสมัครบนโต๊ะที่ทางโรงเรียนจัดให้ อีกด้านก็มีคุณครูนั่งประจำเพื่อรอรับและส่งใบสมัคร ทั้งสามคนไปขอใบสมัครแล้วมาเขียนบนโต๊ะที่ยังพอมีพื้นที่
“เจ้า ข้าขอยืมปากกาได้ไหม?” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้น ศรีหันไปพบว่าเป็นเด็กหญิงผมสีเขียวยาวเกล้าสูงในชุดนักเรียน ท่อนล่างที่ควรจะเป็นขากลับเป็นหางคล้ายงู เกล็ดสีเขียวเป็นประกายระยิบระยับยามต้องแสง เธอคนนี้เป็นนาคที่จำแลงร่างยังไม่สมบูรณ์
นาคตนจริงๆ …เห็นในระยะใกล้เลย ดีจัง ถ้าเราอยู่ที่มิตินี้ก็จะได้เห็นทุกวันสินะ
เธอจ้องอีกฝ่ายอยู่นานโดยไม่ตอบอะไรจนนาคตนนั้นต้องถามซ้ำ
“ข้าขอยืมปากกาน่ะจ้ะ”
“อ๊ะ! ขอโทษนะ นี่จ้ะ” ศรีหยิบปากกาอย่างลนลาน นาคที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู “มิต้องรีบขนาดนั้นดอก ขอบคุณสำหรับปากกานะจ๊ะ”
ศรียิ้มให้ อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็เขียนใบสมัคร ภาพเมื่อครู่อยู่ในสายตาของอสุราตลอด เธอเหลือบๆ มองเพื่อไม่ให้ศรีและนาครู้ตัว แววตาฉายความไม่พอใจแต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า จากนั้นไม่นานนักก็เขียนเสร็จ นาคตนนั้นคืนปากกาให้ก่อนจะจากไป ทั้งสามคนเดินไปยังที่รับใบสมัคร นั่งคุยกับคุณครูสักพักถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป
ก๊อกๆ
เสียงประตูถูกเคาะดังขึ้น ธันนะที่กำลังทำอาหารอยู่ได้ยินเสียงทันตะเรียกให้ไปดูว่าใครมา เขาจึงออกจากห้องครัวมาเปิดประตู ผู้ที่มาสะดุ้งเมื่อเห็นว่าธันนะถือมีดมาด้วย
“ใจเย็นก่อนนะ” ธันนะแสดงสีหน้าฉงน ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่พอเหลือบไปเห็นมีดที่ถืออยู่ก็หายสงสัย เขายิ้มมุมปาก นึกอยากข่มขวัญและแกล้ง พลางยื่นมีดชี้ปลายไปยังอีกฝ่าย ผู้ที่มาเยือนนั้นคือเสไพรนั่นเอง
“ถ้านายมาป่วนอะไรอีก นายโดนแน่”
“ฉันแค่จะมากชวนสมัครเข้าไปเรียนในโรงเรียนมิติผกายเอง”
“มิติผกาย? ทำไมถึงต้องที่นั่น?” ธันนะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เสไพรถอนหายใจที่เห็นว่าระหว่างนั้นอีกฝ่ายลดมีดลง ธันนะเห็นว่าต้องสนทนากันนานเลยกวักมือเป็นเชิงเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน พอเข้ามาแล้วก็นั่งลงบนโต๊ะไม้ยาว ก่อนที่การสนทนาจะเริ่มต้น
“ต่อ”
“เฮ่อ… ฉันก็แค่คิดว่าอยู่ที่นี่มันน่าเบื่อก็เท่านั้นเอง ที่มิติผกายมีอะไรสนุกๆ น่าตื่นเต้นกว่ากันเยอะ” สีหน้าของเสไพรแสดงความตื่นเต้นอย่างนึกสนุก ธันนะคิดว่าไม่มีสาระอะไรเลยยื่นมีดไปอีกครั้ง “กลับไปซะ”
“เดี๋ยวสิ มีอีกอย่างที่ฉันจะบอก คือถ้าเกิดนายไปเรียนคนที่นั่นก็ย่อมไม่ค่อยรู้ว่านายมีความหลังเป็นอย่างไร แล้วพอเป็นอย่างนั้นนายก็สร้างมิตรไว้กับคนอื่นๆ ทีนี้พอถูกแกล้งนายจะได้มีพวกไง” ธันนะหรี่ตามองเสไพรอย่างพินิจพลางกล่าว
“ก็ดีนะ แต่ไม่เอาดีกว่า หลายวันก่อนตอนอยู่มิติผกายพวกรุกข์มันก็มาหาเรื่อง อยู่ที่นี่กับที่นั่นมันก็ไม่ต่างกันหรอก”
“…หึๆ นายลืมไปแล้วเหรอ? ว่าตัวนายเองมีประวัติเรื่องวิวาทบ่อย จนโรงเรียนใกล้ๆ เขตเรารู้กันแล้ว เขาคงไม่ค่อยเต็มใจรับหรอก ถ้าไปไกลกว่านั้นนายก็ไม่มีปัญญา ขนาดบ้านหลังนี้ยังเอาไม่รอดเลย ให้ทันตะอยู่คนเดียวก็ไม่ได้อีก จริงไหม? ที่โรงเรียนมิติผกายมีหอให้นักเรียนอยู่ตั้งแต่ระดับชั้น ป. ๖ ถึงมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาให้นักเรียนทำภารกิจเพื่อใช้เงินเป็นค่าใช้จ่าย เผลอๆ ได้งานยากเงินก็จะได้เยอะ …ถ้าเกิดทำสำเร็จนะ” ธันนะเงียบไป เบือนหน้าไปทางอื่นพลางคิดไปด้วย เสไพรเห็นสีหน้าไม่ดีของอีกฝ่ายเลยตบบ่าธันนะเบาๆ
“เอาเถอะน่า อะ นี่ ฉันหยิบมาให้นายด้วย”
“รู้ดีจังนะ วางแผนมาแล้วล่ะสิ” ธันนะหยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะรับใบสมัครมาเซ็น เสไพรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะกล่าว “แน่นอน คนอย่างนายถ้าไม่มีเหตุผลจ้างให้ไปก็ไม่ยอมแน่” ธันนะส่ายศีรษะอย่างระอาพลางเขียนไปด้วย ดวงตาเหลือบเห็นตราสัญลักษณ์ดอกราชพฤกษ์ มีกนกไทยประกอบมุมแต่ละกลีบ มีดาบไทยและปืนไฟไขว้กันด้านหลัง เขาหยุดไปพลางนึกขึ้นได้ จดจ้องกับอักษรใต้ล่างตราสัญลักษณ์ที่พิมพ์ว่า โรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคม
“ทำไมชื่อโรงเรียนยาวจัง? แถมดูแล้วคงจะไม่ธรรมดาๆ” คำท้ายเขาเอ่ยอย่างแปลกใจเพราะเห็นมีคำว่า ศาสตรากับอาคมประกอบด้วย เสไพรยิ้มอย่างขบขันก่อนจะตอบ
“เพราะมันไม่สั้นไง” ธันนะเงยหน้ามองพร้อมแววตาเยือกเย็น เสไพรหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “ก็นะ ในเมื่อมันเป็นโรงเรียนในมิติผกายก็ย่อมไม่ธรรมดา นายเองก็พอจะรู้มาใช่ไหมว่ามิติผกายเป็นอย่างไร”
“อืม พอรู้มาบ้าง” หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก ภาพเด็กชายคนหนึ่งเขียนใบสมัครกับโต๊ะและเด็กชายท่าทางเจ้าเล่ห์ อยู่ในสายตาของทันตะ หลังจากที่เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ความคิดที่จะหาขนมมาทานระหว่างดูการ์ตูน ถูกความสงสัยก็ถูกกลบหมด เขามองพี่ชายตนเองอย่างจับผิด
“พี่เสไพรมาทีไร พี่ธันนะเจอเรื่องทุกที หวังว่าคราวนี้จะไม่เป็นอะไรล่ะ” พึมพำกับตนเองจบก็เดินไปห้องครัวอย่างเงียบๆ …ไว้เสไพรหมดเมื่อไหร่เขาค่อยกลับมาก็คงจะไม่สาย
“ธันนะ เดี๋ยวไปโรงเรียนเลยไหม?” เสไพรกระซิบถาม ธันนะแสดงสีหน้าลำบากใจก่อนจะกล่าว “ตอนนี้เลยเหรอ? ทันตะตามไปแน่ ถ้าเกิดมันไปที่มิติผกายคนสติเสียแน่”
“ไม่หรอก ขนาดนายยังไม่เป็นเลย” กล่าวไปเสไพรก็เหลือบๆ มองว่าทันตะจะมาใกล้ๆ หรือไม่ “บอกไปว่านายมีธุระละกัน”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันจะถามนายทำไม? ทันตะถ้าไม่มีเหตุผลน่าเชื่อจริงๆ มันตามสอยห้อยติดทุกที่แน่ แล้วระหว่างที่ฉันเขียนอยู่มันอาจจะได้ยินก็ได้” ธันนะกระซิบอย่างกังวลเจือระแวง
“เอ่อน่า นายแค่ล็อกประตูบ้านทุกด้าน ทันตะก็ออกมาไม่ได้แล้ว”
“หนักกว่าเดิมอีก ถ้ากลับมาฉันไม่โดนมันบ่นอีกเรอะ?” ธันนะกล่าวด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะตามมาหากทำเช่นที่เสไพรบอก และสิ่งที่ตนเองยังค้างกับทันตะเมื่อคราวก่อน เสไพรเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ธันนะขนลุกเล็กน้อย เขาแสดงสีหน้าไม่ไว้ใจ
“ให้น้องชายของนายไปด้วยสิ”
“อ้ายเสไพร!” ธันนะตวาดด้วยความไม่พอใจด้วยความเป็นห่วงน้องชายตนเอง “อยู่ที่นี่กับที่นั่นก็ไม่ต่างกัน” เสไพรกล่าวเรียบๆ แม้สีหน้าจะเจ้าเล่ห์ก็ตาม ธันนะมองซ้ายทีขวาที ดวงตาลอกแลกที่ไม่ค่อยได้เห็นทำให้เสไพรรู้สึกขบขันบอกไม่ถูก เมื่อคาดว่าธันนะลังเลกับทางเลือกตรงหน้า
“ฉัน… ทันตะ” ธันนะเผลอเอ่ยเบาๆ อย่างเหม่อลอย ดวงตาที่มักจะฉายความเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลง เสมือนน้ำแข็งละลายโดยถูกความร้อนของดวงอาทิตย์ สีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ยังคงอยู่ของเสไพรช่างขัดกับแววตาที่ไหวระริก จิตใจพลันเจ็บแปลบๆ เจ้าตัวเผลอยกมือมาทาบไว้
…อยากอยู่ด้วยกัน…
ความคิดนั้นก้องในศีรษะ ราวกับเสียงที่ร้องในถ้ำจนสะท้อน เสไพรลดมือลงก่อนที่ธันนะจะมาเห็นแล้วสงสัยว่าเสไพรเป็นอะไร
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะช่วยดูแล” เสไพรกล่าวเรียบๆ ทว่าหากตั้งใจฟังจะรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงเศร้าสร้อย ธันนะเงยหน้ามองหลังจากที่กุมขมับ “จริงเหรอ?”
“อืม”
เมื่อไหร่จะจำได้
เสไพรคิดพลางหยิบสมัครมาให้อีก ธันนะรับมาก่อนจะมองเสไพรด้วยความสงสัย
“ให้ทันตะ เสร็จแล้วมารอที่หลังบ้าน” กล่าวจบก็เดินออกจากบ้านไป ธันนะมองตามด้วยความแปลกใจ รู้สึกว่าน้ำเสียงและท่าทางของอีกฝ่ายแปลกไป เขาทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่ทันตะดูการ์ตูนอยู่
“ทันตะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ธันนะกล่าวหลังจากเปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรต่อความหงุดหงิดก็เกิดขึ้นในความรู้สึก เมื่อพบว่าพื้นเต็มไปด้วยเศษขนมและถุงขนม เขาพยายามไม่ใส่ใจแล้วเดินเข้าไปหาทันตะที่หันมามองอย่างฉงน
“มีอะไรเหรอ?”
“ฉันจะชวนแกไปเรียนที่…” กล่าวไม่ทันขาดคำทันตะก็กล่าวแทรกเสียก่อน “คราวนี้ผมขอเลือกบ้าง”
“หุบปากซะ สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้แกต้องเชื่อ ห้ามหัวเราะเด็ดขาด ถ้าหากยังไม่อยากถูกลดเงินค่าขนม” ได้ยินดังนั้นทันตะก็หุบปากเงียบ จ้องพี่ชายตนเองและเตรียมฟังโดยไม่วอกแวก
“เรื่องที่จะบอกต่อไปนี้ก็เป็นคำตอบที่แกอยากรู้ ว่าฉันหายไปไหนมา …เอาล่ะ ห้ามขำเด็ดขาดนะ ที่ฉันหายไปก็เพราะเผอิญไปช่วยคนๆ หนึ่งไว้ แต่เผอิญว่าถูก… เอ่อ ยังไงนะ เรียกว่าเข้าไปด้วยละกัน ฉันเลยไปอยู่ที่มิติผกาย… ก็… โลกอีกที่หนึ่ง มีอะไรประหลาดๆ อย่างคุณไสยฯ อมนุษย์อะไรนี้ แต่มันมีปัญหาสักอย่างเลยต้องอยู่ที่นั่น” ถึงจะบอกว่าห้ามขำเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่น่าจะห้ามทันตะได้ แต่ก็อดจะคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทันตะต้องหัวเราะแน่ ก็อย่างที่ทราบนั่นแหละ เรื่องเหนือธรรมชาติและอมนุษย์มีใครบ้างล่ะจะเชื่อหากไม่ได้เห็นกับตาจริงๆ
ทันตะเงียบไป ธันนะเองก็เงียบ ใจเต้นแรงกว่าปรกติเพื่อเตรียมกับเสียงหัวเราะที่อาจจะทำให้เขาอาย …ทว่าไม่ได้เป็นดังคาด ทันตะอ้าปากกว้างค้างไว้ ร่างสั่นเล็กน้อย ดวงตาประกายแววตื่นเต้น
“ถ้าเป็นพี่ธันนะพูด… แสดงว่าต้องไม่ใช่เรื่องโกหก”
“เฮ้ย ทำไมเชื่อง่ายจังฮะ?” ธันนะถามอย่างไม่อยากเชื่อ อีกใจที่เกือบหายระแวงก็บอกว่าน้องชายตนเองอาจจะกล่าวอย่างล้อเลียนทีหลังก็ได้ …และก็ไม่ได้เป็นดังคาดอีกเมื่อทันตะตอบด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างไม่เสแสร้ง
“คนอย่างพี่ธันนะคงไม่โกหกอะไรแบบนี้หรอก ยิ่งเรื่องเหนือธรรมชาติถ้าอย่างพี่แต่งขึ้นมาได้ แถมโกหกได้จินตนาการแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวพี่เองก็ไม่ได้ชอบอะไรที่เหมือนนิทานหลอกเด็ก ถ้าเกิดสมองพี่กระทบกระเทือน ผมคงจะกราบแทบเท้าพี่ไปไม่ก็ฟ้าผ่าแล้วล่ะ …อืม แต่ก็นะ พี่ธันนะเองก็ไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วก็ได้ ก่อนหน้าที่จะหายตัวไปก็เห็นเริ่มซื้อนิยายมาอ่าน” ทันตะตั้งข้อสงสัย ธันนะถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“พี่เองไม่ชอบเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบเรื่องจินตนาการนี่ แล้วที่พูดนี่อย่างกับรู้ดีจังนะ นิยายกับนิทานมีสาระมากกว่าที่แกคิดบอกไว้ก่อนเลย อ้อ แล้วฉันก็อ่านมันมาตั้งนานแล้วด้วยแต่แกไม่เคยสังเกต”
“ไม่เคยสังเกตอะไร ผมเห็นพี่อ่านแต่สารคดี”
“แกเห็นอย่างนั้นก็จริง แต่เผอิญว่าตอนนั้นฉันเปลี่ยนเล่มมาอ่านสารคดี แกเลยเข้าอย่างนั้นไง” ทันตะอ้าปากหวอ กะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ “เผอิญไปกระมัง”
“อืม …มา เข้าเรื่องต่อ เสไพรชวนพี่ให้ไปเรียนที่โรงเรียนมิตินั้น เพราะคิดว่าในเมื่อไม่ได้อยู่ในโลกที่ตนเองไม่ได้อยู่แต่กำเนิด ก็คงไม่มีใครรู้ถึงภูมิหลังของเรา ทีนี้จะไม่ได้ไม่มีใครแกล้ง”
“ย้ายไปต่างจังหวัดง่ายกว่านะ” ธันนะได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป เขาทบทวนความคิดใหม่
จริงด้วย ย้ายไปต่างจังหวัดก็จบ …เดี๋ยวก่อน เสไพรบอกว่าจ่ายครั้งหนึ่งต่อไปแล้วทำภารกิจอะไรนั่นก็จะได้เงิน ทีนี้ก็จะได้มีเงินมาหมุนเวียนไม่ต้องมารอเงินของพ่อแม่ที่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้หรอก ถึงทำภารกิจอะไรนั่นแล้วไม่ได้เงินมาก แต่อย่างน้อยถ้าใช้แบบจำเป็นแล้วทำภารกิจต่อ ก็จะมีใช้มาโดยไม่ต้องเป็นห่วง
“เฮ่อ… ขี้เกียจอธิบายแฮะ…”
ถึงจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ก็อธิบายให้ทันตะยอมไปเรียน เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วท้ายที่สุดน้องชายของตนเองพยักหน้าก่อนจะตอบตกลง เจ้าตัวรับใบสมัครมา เสร็จแล้วก็ออกไปที่หลังบ้านตามที่นัดไว้ แล้วพบว่าเสไพรมารออยู่ก่อนแล้ว ระหว่างที่ชมพืชอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าที่ก่อนออกจากบ้านมาเปลี่ยนเป็นสดใส พอรู้สึกถึงการมาของสองพี่น้อง เขาก็หันกลับมาพร้อมกับพยายามแสดงสีหน้าร่าเริง
“พร้อมแล้วสินะ …ไปกันเถอะ” กล่าวจบประตูมิติก็ปรากฏขึ้น ทั้งสามคนเข้าไปก่อนที่ประตูมิติจะค่อยๆ หายไป
---------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ไม่ได้ลงตั้งนานเลย (แหะๆ) ต้องขออภัยสำหรับผู้ที่ติดตามด้วยนะคะ จริงๆ แล้วที่ไม่ได้ลงไม่ใช่เพราะมีปัญหาอะไร แต่กำลังปรับปรุงให้เนื้อหาดีที่สุดเพราะในเว็บนี้แก้ไขไม่ได้ (เดี๋ยวข้อมูลยืนยันจะไม่มี) ถ้าให้ลบแล้วเพิ่มก็ต้องย้ายตอนอีกที // แอ๊ ตอนไม่ใช่น้อยๆ เลย ) อาจจะยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่เลยอยากให้อ่านเพิ่มเติมที่เว็บเด็กดีน่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
การชักชวนของเด็กชาย เสไพร พงพิษ
สันนิษฐานกันว่าผู้สร้างมิติผกายไม่ได้มีเพียงผู้เดียว เพราะเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่ได้บำเพ็ญเพียรที่จะได้มีพลังมากมายได้การสร้างสรรพสัตว์และอื่นๆ ที่อยู่ในโลก ตามตำนานกล่าวว่าผู้สร้างได้รวบรวมวิญญาณมาช่วยสร้าง แต่อีกตำนานหนึ่งก็กล่าวว่าได้บำเพ็ญเพียรเป็นเวลาหลายล้านปีเพื่อจะได้ขอพรจากพระพรหม เพื่อที่ตนนั้นจะได้มีพลังในการสร้างโลก… หรือมิติใหม่ แต่ด้วยความที่ตนเองจัดการไม่ได้ทั่วถึงจึงได้ขอความช่วยเหลือวิญญาณตนอื่นๆ มาช่วยดูแล
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าผู้สร้างจะสร้างมิตินี้ขึ้นมาทำไม บางคนกล่าวว่าอาจเป็นเพราะอยากสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม โดยที่น้อยคนนักจะทราบว่าแท้จริงแล้วผู้สร้างทำไปเพราะความเบื่อหน่าย …แต่ก็น่าแปลกใจอีกนั่นแหละที่อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรหลายล้านปีเพราะเพียงแค่ไม่อยากเบื่อ ผู้สร้างสามารถมองเห็นอนาคตได้ เรียนรู้ในสิ่งที่อนาคตมีแม้ตอนนี้ยุคที่เพิ่งเริ่มนั้นจะไม่มีสิ่งใดๆ นอกจากสรรพสัตว์และธรรมชาติแล้ว ยังล่วงรู้ถึงภาษาที่มีการคิดขึ้นมา จึงได้ใช้มันจารึกไว้ในใบลานตามที่ตนเองได้เห็นในอนาคต บันทึกถึงสิ่งที่เป็นไปของมิติผกาย …แต่แล้วพอเริ่มเข้ายุคต่อมามนุษย์ก็เริ่มทำสงครามกัน
…ทว่าสงครามที่ควรจะมีแต่การฆ่าฟัน กลับกลายเป็นว่าบางคนทานมนุษย์ด้วยกันเอง ผู้สร้างโลกเริ่มวิตกกับความผิดปรกติ กาลเวลาผ่านไปยิ่งรุนแรงขึ้นจนต้องเข้าไปหลบซ่อนบำเพ็ญเพียรต่อเพื่อจะได้ขอพรจากพระศิวะ ทว่าวิญญาณของตนเองใกล้ถึงขีดสุดเพราะอยู่นานเกินไป จนไม่สามารถที่จะบำเพ็ญเพียรได้แล้ว ในขณะนั้นเอง ยมทูตตนหนึ่งก็มาพาผู้สร้างไปในนรก เนื่องจากฝ่าฝืนธรรมชาติของการเป็นมนุษย์จนทำให้สิ่งต่างๆ แปรปรวนไปหมด
ผู้สร้างถูกขังในขุมนรกที่ลึกที่สุด ความมืดไร้ซึ่งแสงว่างไม่อาจมองเห็นสิ่งใดๆ ได้อีก ในขณะนั้นเองก็มีวิญญาณที่ยังไม่หมดอายุขัยเข้าสู่ญาณขั้นสูงจนสามารถมาหาผู้สร้างได้ วิญญาณตนนั้นได้ยื่นข้อเสนอให้ว่า หากผู้สร้างได้สร้างคู่ที่ต้องมาเป็นศัตรูจะช่วยปล่อยให้ออกจากขุมนรกนี้ ซึ่งผู้สร้างก็ตกลง วิญญาณตนนั้นจึงช่วยปล่อยให้ออกจากที่นี่โดยวิธีที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่
…และแล้วก็ได้ถึงกำเนิดเด็กสองคนขึ้นมา หนึ่งคือเด็กที่มีเชื้อสายยักษ์ อีกหนึ่งเป็นเด็กเชื้อสายซาตาน หลังจากนั้นก็เกิดเป็นเรื่องราวในตำนานถึงการต่อสู้ของเด็กสองคนนี้ จวบจนปัจจุบันผ่านมาหลายชาติ เด็กสองคนนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง…
ไปไหนอีกแล้วนะ หรือว่าเราต้องฝึกนั่งสมาธิจริงๆ ?
ศรีถามกับตนเอง นับตั้งแต่อยู่ในมิติผกายเธอก็ไม่ได้พบกับเด็กหญิงในความฝันอีกเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพลางนึกถึงเด็กหญิงคนนั้น ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็แต่งกายด้วยชุดนักเรียนเพราะวันนี้ต้องไปสมัครสอบเข้า
จะว่าไปโรงเรียนที่เฉาก๊วยชวนไปด้วยคือโรงเรียนอะไรนะ?
หลังจากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่าง ได้กลิ่นอาหารโชยมาแต่ไกล ศรีเข้านั่งที่ประจำของตนเองในขณะที่อสุรานำอาหารมาพอดี พอทานเสร็จก็ออกจากบ้าน ก่อนจะพบว่าเฉาก๊วยมายืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาส่งยิ้มให้ ศรีเองก็เช่นกัน ทั้งสองคุยกันสักพักก่อนที่ทั้งสามคนจะทำการเปิดประตูมิติ (วิธีการเปิดนั้นอสุราสอนตั้งแต่เมื่อคืน) ก่อนจะเข้าไปซึ่งทำในระหว่างที่ไม่ใครมาเห็นพอดี
“โอ้โฮ สุดยอดไปเลย”
เมื่อมาถึงประตูมิติก็หายไป ก่อนที่ศรีจะอุทานด้วยความชื่นชม โรงเรียนที่มาสมัครนั้นสร้างเรือนไทยที่ประยุกต์ให้มีสองชั้นแทนอาคารแบบมิติสามัญ บางที่ก็สร้างแบบชั้นเดียวแต่เชื่อมกับเรือนอื่น มีแต่ต้นราชพฤกษ์ที่ผลิดอกบานสะพรั่ง สีเหลืองสดใสนั้นดูอร่ามตา ยิ่งพอมาแสงแดดส่องลงมาก็ให้ความรู้สึกที่สว่างไสวมากกว่าเดิม จุดศูนย์กลางของโรงเรียนเป็นหอคอยที่มีหลังคาแบบเรือนไทย มองไปรอบๆ ก็เห็นว่านักเรียนที่เดินกันขวักไขว่นั้นไม่ได้มีเพียงมนุษย์ มีอมนุษย์เช่น ยักษ์ (บางตนแปลงเป็นมนุษย์) กินรี-กินนร นรสิงห์ นาค ครุฑ (ที่บ้างก็จำแลงร่างเป็นมนุษย์) ฯลฯ และอื่นๆ อีกหลายเผ่าพันธุ์ ศรีตาเป็นเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นกับอมนุษย์ที่แต่ก่อนเคยเห็นในเพียงหนังสือหรือสื่ออื่นๆ …ตอนนี้เธอได้เห็นตัวตนจริงๆ แล้ว
“ชอบไหม?” เฉาก๊วยถาม ศรีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มด้วยความดีใจ “ชอบมากๆ เลยจ้ะ เห็นแล้วไม่อยากกลับมิติสามัญเลย”
เฉาก๊วยหัวเราะก่อนที่ทั้งสามคนจะจะเดินเข้าไปในเรือนไทยที่มีพื้นที่กว้างขวาง ถ้าให้คาดคงจะเป็นโรงพลศึกษาจากการที่ศรีเห็นอุปกรณ์กีฬาใส่ในที่เก็บ และขอบเขตพื้นที่ในการเล่นกีฬา ที่นี่มีนักเรียนหลายคนที่ต่างเขียนใบสมัครบนโต๊ะที่ทางโรงเรียนจัดให้ อีกด้านก็มีคุณครูนั่งประจำเพื่อรอรับและส่งใบสมัคร ทั้งสามคนไปขอใบสมัครแล้วมาเขียนบนโต๊ะที่ยังพอมีพื้นที่
“เจ้า ข้าขอยืมปากกาได้ไหม?” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้น ศรีหันไปพบว่าเป็นเด็กหญิงผมสีเขียวยาวเกล้าสูงในชุดนักเรียน ท่อนล่างที่ควรจะเป็นขากลับเป็นหางคล้ายงู เกล็ดสีเขียวเป็นประกายระยิบระยับยามต้องแสง เธอคนนี้เป็นนาคที่จำแลงร่างยังไม่สมบูรณ์
นาคตนจริงๆ …เห็นในระยะใกล้เลย ดีจัง ถ้าเราอยู่ที่มิตินี้ก็จะได้เห็นทุกวันสินะ
เธอจ้องอีกฝ่ายอยู่นานโดยไม่ตอบอะไรจนนาคตนนั้นต้องถามซ้ำ
“ข้าขอยืมปากกาน่ะจ้ะ”
“อ๊ะ! ขอโทษนะ นี่จ้ะ” ศรีหยิบปากกาอย่างลนลาน นาคที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู “มิต้องรีบขนาดนั้นดอก ขอบคุณสำหรับปากกานะจ๊ะ”
ศรียิ้มให้ อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็เขียนใบสมัคร ภาพเมื่อครู่อยู่ในสายตาของอสุราตลอด เธอเหลือบๆ มองเพื่อไม่ให้ศรีและนาครู้ตัว แววตาฉายความไม่พอใจแต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า จากนั้นไม่นานนักก็เขียนเสร็จ นาคตนนั้นคืนปากกาให้ก่อนจะจากไป ทั้งสามคนเดินไปยังที่รับใบสมัคร นั่งคุยกับคุณครูสักพักถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป
ก๊อกๆ
เสียงประตูถูกเคาะดังขึ้น ธันนะที่กำลังทำอาหารอยู่ได้ยินเสียงทันตะเรียกให้ไปดูว่าใครมา เขาจึงออกจากห้องครัวมาเปิดประตู ผู้ที่มาสะดุ้งเมื่อเห็นว่าธันนะถือมีดมาด้วย
“ใจเย็นก่อนนะ” ธันนะแสดงสีหน้าฉงน ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่พอเหลือบไปเห็นมีดที่ถืออยู่ก็หายสงสัย เขายิ้มมุมปาก นึกอยากข่มขวัญและแกล้ง พลางยื่นมีดชี้ปลายไปยังอีกฝ่าย ผู้ที่มาเยือนนั้นคือเสไพรนั่นเอง
“ถ้านายมาป่วนอะไรอีก นายโดนแน่”
“ฉันแค่จะมากชวนสมัครเข้าไปเรียนในโรงเรียนมิติผกายเอง”
“มิติผกาย? ทำไมถึงต้องที่นั่น?” ธันนะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เสไพรถอนหายใจที่เห็นว่าระหว่างนั้นอีกฝ่ายลดมีดลง ธันนะเห็นว่าต้องสนทนากันนานเลยกวักมือเป็นเชิงเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน พอเข้ามาแล้วก็นั่งลงบนโต๊ะไม้ยาว ก่อนที่การสนทนาจะเริ่มต้น
“ต่อ”
“เฮ่อ… ฉันก็แค่คิดว่าอยู่ที่นี่มันน่าเบื่อก็เท่านั้นเอง ที่มิติผกายมีอะไรสนุกๆ น่าตื่นเต้นกว่ากันเยอะ” สีหน้าของเสไพรแสดงความตื่นเต้นอย่างนึกสนุก ธันนะคิดว่าไม่มีสาระอะไรเลยยื่นมีดไปอีกครั้ง “กลับไปซะ”
“เดี๋ยวสิ มีอีกอย่างที่ฉันจะบอก คือถ้าเกิดนายไปเรียนคนที่นั่นก็ย่อมไม่ค่อยรู้ว่านายมีความหลังเป็นอย่างไร แล้วพอเป็นอย่างนั้นนายก็สร้างมิตรไว้กับคนอื่นๆ ทีนี้พอถูกแกล้งนายจะได้มีพวกไง” ธันนะหรี่ตามองเสไพรอย่างพินิจพลางกล่าว
“ก็ดีนะ แต่ไม่เอาดีกว่า หลายวันก่อนตอนอยู่มิติผกายพวกรุกข์มันก็มาหาเรื่อง อยู่ที่นี่กับที่นั่นมันก็ไม่ต่างกันหรอก”
“…หึๆ นายลืมไปแล้วเหรอ? ว่าตัวนายเองมีประวัติเรื่องวิวาทบ่อย จนโรงเรียนใกล้ๆ เขตเรารู้กันแล้ว เขาคงไม่ค่อยเต็มใจรับหรอก ถ้าไปไกลกว่านั้นนายก็ไม่มีปัญญา ขนาดบ้านหลังนี้ยังเอาไม่รอดเลย ให้ทันตะอยู่คนเดียวก็ไม่ได้อีก จริงไหม? ที่โรงเรียนมิติผกายมีหอให้นักเรียนอยู่ตั้งแต่ระดับชั้น ป. ๖ ถึงมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาให้นักเรียนทำภารกิจเพื่อใช้เงินเป็นค่าใช้จ่าย เผลอๆ ได้งานยากเงินก็จะได้เยอะ …ถ้าเกิดทำสำเร็จนะ” ธันนะเงียบไป เบือนหน้าไปทางอื่นพลางคิดไปด้วย เสไพรเห็นสีหน้าไม่ดีของอีกฝ่ายเลยตบบ่าธันนะเบาๆ
“เอาเถอะน่า อะ นี่ ฉันหยิบมาให้นายด้วย”
“รู้ดีจังนะ วางแผนมาแล้วล่ะสิ” ธันนะหยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะรับใบสมัครมาเซ็น เสไพรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะกล่าว “แน่นอน คนอย่างนายถ้าไม่มีเหตุผลจ้างให้ไปก็ไม่ยอมแน่” ธันนะส่ายศีรษะอย่างระอาพลางเขียนไปด้วย ดวงตาเหลือบเห็นตราสัญลักษณ์ดอกราชพฤกษ์ มีกนกไทยประกอบมุมแต่ละกลีบ มีดาบไทยและปืนไฟไขว้กันด้านหลัง เขาหยุดไปพลางนึกขึ้นได้ จดจ้องกับอักษรใต้ล่างตราสัญลักษณ์ที่พิมพ์ว่า โรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคม
“ทำไมชื่อโรงเรียนยาวจัง? แถมดูแล้วคงจะไม่ธรรมดาๆ” คำท้ายเขาเอ่ยอย่างแปลกใจเพราะเห็นมีคำว่า ศาสตรากับอาคมประกอบด้วย เสไพรยิ้มอย่างขบขันก่อนจะตอบ
“เพราะมันไม่สั้นไง” ธันนะเงยหน้ามองพร้อมแววตาเยือกเย็น เสไพรหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “ก็นะ ในเมื่อมันเป็นโรงเรียนในมิติผกายก็ย่อมไม่ธรรมดา นายเองก็พอจะรู้มาใช่ไหมว่ามิติผกายเป็นอย่างไร”
“อืม พอรู้มาบ้าง” หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก ภาพเด็กชายคนหนึ่งเขียนใบสมัครกับโต๊ะและเด็กชายท่าทางเจ้าเล่ห์ อยู่ในสายตาของทันตะ หลังจากที่เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร ความคิดที่จะหาขนมมาทานระหว่างดูการ์ตูน ถูกความสงสัยก็ถูกกลบหมด เขามองพี่ชายตนเองอย่างจับผิด
“พี่เสไพรมาทีไร พี่ธันนะเจอเรื่องทุกที หวังว่าคราวนี้จะไม่เป็นอะไรล่ะ” พึมพำกับตนเองจบก็เดินไปห้องครัวอย่างเงียบๆ …ไว้เสไพรหมดเมื่อไหร่เขาค่อยกลับมาก็คงจะไม่สาย
“ธันนะ เดี๋ยวไปโรงเรียนเลยไหม?” เสไพรกระซิบถาม ธันนะแสดงสีหน้าลำบากใจก่อนจะกล่าว “ตอนนี้เลยเหรอ? ทันตะตามไปแน่ ถ้าเกิดมันไปที่มิติผกายคนสติเสียแน่”
“ไม่หรอก ขนาดนายยังไม่เป็นเลย” กล่าวไปเสไพรก็เหลือบๆ มองว่าทันตะจะมาใกล้ๆ หรือไม่ “บอกไปว่านายมีธุระละกัน”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันจะถามนายทำไม? ทันตะถ้าไม่มีเหตุผลน่าเชื่อจริงๆ มันตามสอยห้อยติดทุกที่แน่ แล้วระหว่างที่ฉันเขียนอยู่มันอาจจะได้ยินก็ได้” ธันนะกระซิบอย่างกังวลเจือระแวง
“เอ่อน่า นายแค่ล็อกประตูบ้านทุกด้าน ทันตะก็ออกมาไม่ได้แล้ว”
“หนักกว่าเดิมอีก ถ้ากลับมาฉันไม่โดนมันบ่นอีกเรอะ?” ธันนะกล่าวด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะตามมาหากทำเช่นที่เสไพรบอก และสิ่งที่ตนเองยังค้างกับทันตะเมื่อคราวก่อน เสไพรเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ธันนะขนลุกเล็กน้อย เขาแสดงสีหน้าไม่ไว้ใจ
“ให้น้องชายของนายไปด้วยสิ”
“อ้ายเสไพร!” ธันนะตวาดด้วยความไม่พอใจด้วยความเป็นห่วงน้องชายตนเอง “อยู่ที่นี่กับที่นั่นก็ไม่ต่างกัน” เสไพรกล่าวเรียบๆ แม้สีหน้าจะเจ้าเล่ห์ก็ตาม ธันนะมองซ้ายทีขวาที ดวงตาลอกแลกที่ไม่ค่อยได้เห็นทำให้เสไพรรู้สึกขบขันบอกไม่ถูก เมื่อคาดว่าธันนะลังเลกับทางเลือกตรงหน้า
“ฉัน… ทันตะ” ธันนะเผลอเอ่ยเบาๆ อย่างเหม่อลอย ดวงตาที่มักจะฉายความเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลง เสมือนน้ำแข็งละลายโดยถูกความร้อนของดวงอาทิตย์ สีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ยังคงอยู่ของเสไพรช่างขัดกับแววตาที่ไหวระริก จิตใจพลันเจ็บแปลบๆ เจ้าตัวเผลอยกมือมาทาบไว้
…อยากอยู่ด้วยกัน…
ความคิดนั้นก้องในศีรษะ ราวกับเสียงที่ร้องในถ้ำจนสะท้อน เสไพรลดมือลงก่อนที่ธันนะจะมาเห็นแล้วสงสัยว่าเสไพรเป็นอะไร
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะช่วยดูแล” เสไพรกล่าวเรียบๆ ทว่าหากตั้งใจฟังจะรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงเศร้าสร้อย ธันนะเงยหน้ามองหลังจากที่กุมขมับ “จริงเหรอ?”
“อืม”
เมื่อไหร่จะจำได้
เสไพรคิดพลางหยิบสมัครมาให้อีก ธันนะรับมาก่อนจะมองเสไพรด้วยความสงสัย
“ให้ทันตะ เสร็จแล้วมารอที่หลังบ้าน” กล่าวจบก็เดินออกจากบ้านไป ธันนะมองตามด้วยความแปลกใจ รู้สึกว่าน้ำเสียงและท่าทางของอีกฝ่ายแปลกไป เขาทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่ทันตะดูการ์ตูนอยู่
“ทันตะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ธันนะกล่าวหลังจากเปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรต่อความหงุดหงิดก็เกิดขึ้นในความรู้สึก เมื่อพบว่าพื้นเต็มไปด้วยเศษขนมและถุงขนม เขาพยายามไม่ใส่ใจแล้วเดินเข้าไปหาทันตะที่หันมามองอย่างฉงน
“มีอะไรเหรอ?”
“ฉันจะชวนแกไปเรียนที่…” กล่าวไม่ทันขาดคำทันตะก็กล่าวแทรกเสียก่อน “คราวนี้ผมขอเลือกบ้าง”
“หุบปากซะ สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้แกต้องเชื่อ ห้ามหัวเราะเด็ดขาด ถ้าหากยังไม่อยากถูกลดเงินค่าขนม” ได้ยินดังนั้นทันตะก็หุบปากเงียบ จ้องพี่ชายตนเองและเตรียมฟังโดยไม่วอกแวก
“เรื่องที่จะบอกต่อไปนี้ก็เป็นคำตอบที่แกอยากรู้ ว่าฉันหายไปไหนมา …เอาล่ะ ห้ามขำเด็ดขาดนะ ที่ฉันหายไปก็เพราะเผอิญไปช่วยคนๆ หนึ่งไว้ แต่เผอิญว่าถูก… เอ่อ ยังไงนะ เรียกว่าเข้าไปด้วยละกัน ฉันเลยไปอยู่ที่มิติผกาย… ก็… โลกอีกที่หนึ่ง มีอะไรประหลาดๆ อย่างคุณไสยฯ อมนุษย์อะไรนี้ แต่มันมีปัญหาสักอย่างเลยต้องอยู่ที่นั่น” ถึงจะบอกว่าห้ามขำเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่น่าจะห้ามทันตะได้ แต่ก็อดจะคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทันตะต้องหัวเราะแน่ ก็อย่างที่ทราบนั่นแหละ เรื่องเหนือธรรมชาติและอมนุษย์มีใครบ้างล่ะจะเชื่อหากไม่ได้เห็นกับตาจริงๆ
ทันตะเงียบไป ธันนะเองก็เงียบ ใจเต้นแรงกว่าปรกติเพื่อเตรียมกับเสียงหัวเราะที่อาจจะทำให้เขาอาย …ทว่าไม่ได้เป็นดังคาด ทันตะอ้าปากกว้างค้างไว้ ร่างสั่นเล็กน้อย ดวงตาประกายแววตื่นเต้น
“ถ้าเป็นพี่ธันนะพูด… แสดงว่าต้องไม่ใช่เรื่องโกหก”
“เฮ้ย ทำไมเชื่อง่ายจังฮะ?” ธันนะถามอย่างไม่อยากเชื่อ อีกใจที่เกือบหายระแวงก็บอกว่าน้องชายตนเองอาจจะกล่าวอย่างล้อเลียนทีหลังก็ได้ …และก็ไม่ได้เป็นดังคาดอีกเมื่อทันตะตอบด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างไม่เสแสร้ง
“คนอย่างพี่ธันนะคงไม่โกหกอะไรแบบนี้หรอก ยิ่งเรื่องเหนือธรรมชาติถ้าอย่างพี่แต่งขึ้นมาได้ แถมโกหกได้จินตนาการแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวพี่เองก็ไม่ได้ชอบอะไรที่เหมือนนิทานหลอกเด็ก ถ้าเกิดสมองพี่กระทบกระเทือน ผมคงจะกราบแทบเท้าพี่ไปไม่ก็ฟ้าผ่าแล้วล่ะ …อืม แต่ก็นะ พี่ธันนะเองก็ไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วก็ได้ ก่อนหน้าที่จะหายตัวไปก็เห็นเริ่มซื้อนิยายมาอ่าน” ทันตะตั้งข้อสงสัย ธันนะถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“พี่เองไม่ชอบเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบเรื่องจินตนาการนี่ แล้วที่พูดนี่อย่างกับรู้ดีจังนะ นิยายกับนิทานมีสาระมากกว่าที่แกคิดบอกไว้ก่อนเลย อ้อ แล้วฉันก็อ่านมันมาตั้งนานแล้วด้วยแต่แกไม่เคยสังเกต”
“ไม่เคยสังเกตอะไร ผมเห็นพี่อ่านแต่สารคดี”
“แกเห็นอย่างนั้นก็จริง แต่เผอิญว่าตอนนั้นฉันเปลี่ยนเล่มมาอ่านสารคดี แกเลยเข้าอย่างนั้นไง” ทันตะอ้าปากหวอ กะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ “เผอิญไปกระมัง”
“อืม …มา เข้าเรื่องต่อ เสไพรชวนพี่ให้ไปเรียนที่โรงเรียนมิตินั้น เพราะคิดว่าในเมื่อไม่ได้อยู่ในโลกที่ตนเองไม่ได้อยู่แต่กำเนิด ก็คงไม่มีใครรู้ถึงภูมิหลังของเรา ทีนี้จะไม่ได้ไม่มีใครแกล้ง”
“ย้ายไปต่างจังหวัดง่ายกว่านะ” ธันนะได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป เขาทบทวนความคิดใหม่
จริงด้วย ย้ายไปต่างจังหวัดก็จบ …เดี๋ยวก่อน เสไพรบอกว่าจ่ายครั้งหนึ่งต่อไปแล้วทำภารกิจอะไรนั่นก็จะได้เงิน ทีนี้ก็จะได้มีเงินมาหมุนเวียนไม่ต้องมารอเงินของพ่อแม่ที่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้หรอก ถึงทำภารกิจอะไรนั่นแล้วไม่ได้เงินมาก แต่อย่างน้อยถ้าใช้แบบจำเป็นแล้วทำภารกิจต่อ ก็จะมีใช้มาโดยไม่ต้องเป็นห่วง
“เฮ่อ… ขี้เกียจอธิบายแฮะ…”
ถึงจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ก็อธิบายให้ทันตะยอมไปเรียน เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วท้ายที่สุดน้องชายของตนเองพยักหน้าก่อนจะตอบตกลง เจ้าตัวรับใบสมัครมา เสร็จแล้วก็ออกไปที่หลังบ้านตามที่นัดไว้ แล้วพบว่าเสไพรมารออยู่ก่อนแล้ว ระหว่างที่ชมพืชอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าที่ก่อนออกจากบ้านมาเปลี่ยนเป็นสดใส พอรู้สึกถึงการมาของสองพี่น้อง เขาก็หันกลับมาพร้อมกับพยายามแสดงสีหน้าร่าเริง
“พร้อมแล้วสินะ …ไปกันเถอะ” กล่าวจบประตูมิติก็ปรากฏขึ้น ทั้งสามคนเข้าไปก่อนที่ประตูมิติจะค่อยๆ หายไป
---------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ไม่ได้ลงตั้งนานเลย (แหะๆ) ต้องขออภัยสำหรับผู้ที่ติดตามด้วยนะคะ จริงๆ แล้วที่ไม่ได้ลงไม่ใช่เพราะมีปัญหาอะไร แต่กำลังปรับปรุงให้เนื้อหาดีที่สุดเพราะในเว็บนี้แก้ไขไม่ได้ (เดี๋ยวข้อมูลยืนยันจะไม่มี) ถ้าให้ลบแล้วเพิ่มก็ต้องย้ายตอนอีกที // แอ๊ ตอนไม่ใช่น้อยๆ เลย ) อาจจะยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่เลยอยากให้อ่านเพิ่มเติมที่เว็บเด็กดีน่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ