ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

93) บทที่ ๙๒: สังหารผิดกับคดีที่ต่อเนื่องจากอดีต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

บทที่ ๙๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

สังหารผิดเป้าหมายกับคดีที่ต่อเนื่องจากอดีต

                 พอทานอาหารเสร็จอสุรากับศรีก็ไปล้างภาชนะด้วยกัน ล้างเสร็จอสุราก็ติดต่อทางโทรศัพท์ไปขออนุญาตพ่อแม่ ซึ่งทั้งสองก็อนุญาตให้เธอกับน้องสาวไปเรียนได้

               “เฉาก๊วย รู้ไหมว่าทางโรงเรียนเปิดสมัครวันไหน” อสุราติดต่อไปหาเฉาก๊วย ในขณะที่ศรีดูโทรทัศน์เป็นเพื่อน “หืม? พรุ่งนี้เหรอ เปิดสมัครเร็วจังเลยนะ ว่าแต่แนวข้อสอบที่นั่นเป็นอย่างไรเหรอ?”

               “[ก็แบบเดียวกับที่นี่แหละครับ แต่จะเพิ่มวิชาภาษากัมพูชากับคาถาอาคมไปด้วย รวมถึงการใช้อาวุธและประวัติความเป็นมาประมาณนี้น่ะครับ ว่าแต่พอจะเคยศึกษามาบ้างไหมครับ ผมจะได้ช่วย]”

               “ไม่เป็นไร พี่กับศรีก็เคยเรียนมาอยู่บ้าง …อืม จะว่าไปเฉาก๊วยไปอาศัยอยู่กับใครเหรอ หรือว่าอยู่ที่มิติสามัญแล้วค่อยข้ามไปที่มิตินั้นตอนไปเรียน” อสุราถามต่อ เฉาก๊วยเงียบไปพักหนึ่งเพื่อคิดก่อนจะตอบ “[จริงๆ ทำอย่างนั้นก็ได้อยู่หรอกครับ แต่มันจะกินพลังวิญญาณไปมาก ผมเลยว่าจะไปอยู่หอพักของทางโรงเรียนแทนครับ]”

               “หอพัก… ค่าห้องรวมทั้งค่าอย่างอื่นประมาณเท่าไหร่”

               “ต่อเทอม ๕,๐๐๐ บาท ครับ” อสุราพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “ขอบคุณสำหรับคำตอบ ไว้มีอะไรอีกต้องขอรบกวนด้วยนะ” ทางฝั่งเฉาก๊วยเขาก็ยิ้มอย่างยินดี เขากล่าว “[ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย]”

               “แค่นี้นะ” กล่าวจบอสุราก็วางสายไป ศรีเขยิบเข้าไปใกล้ๆ อสุราก่อนจะถาม “ได้ความอะไรบ้างคะ”

               “เรื่องแรกนะ สอบเข้าจะมีวิชาภาษากัมพูชากับพวกคาถาอาคมเข้าไปด้วย รวมทั้งอาวุธต่างๆ เรื่องที่สอง ถ้าเกิดไม่อยากเสียพลังวิญญาณในการเปิดประตูมิติก็ต้องไปอยู่หอพัก ค่าห้องและอย่างอื่นรวมแล้วต่อเทอม ๕,๐๐๐ บาท ถ้ารวมกับค่าเทอมก็เทอมละ ๒,๐๐๐ บาท พ่อกับแม่น่าจะพอให้เราไปจ่ายได้” ศรีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะกล่าว

               “เรื่องการสอบเข้าอีกสองสามวันก็สอบใช่ไหมคะ? ถ้าอย่างนั้นเราก็ยังพอมีเวลาทบทวนอยู่ ส่วนที่พักอาศัยระหว่างไปเรียนที่มิติผกาย หนูก็พออยู่หอพักได้ค่ะ” อสุรายิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว

               “อืม… ลืมถามไปเลยว่าอยู่ห้องเดี่ยวได้หรือไหม พี่เองก็ไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่ ที่มิติผกายอันตรายกว่าที่นี่อีก …แต่ถ้าเกิดอยู่ห้องเดี่ยวก็คงต้องจ่ายแพง…” สีหน้าของอสุราแสดงความครุ่นคิด ศรีมองพี่สาวตนเองที่เบือนหน้าไปทางอื่น เธอยิ้มบางๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปจับใบหน้าของอสุราอย่างอ่อนโยน แล้วขยับให้หันมาหาตนเอง อสุราเบิกตาด้วยความแปลกใจที่จู่ๆ ศรีทำเช่นนี้ ริมฝีปากบางแย้มน่าหลงใหลกับสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือศรี ทำให้ใจอสุราเต้นแรง ใบหน้าที่ถูกจับนั้นแดงระเรื่อ ในใจเผลอคิดไม่ซื่อกับน้องสาว ที่ตนเองรักในเชิงชู้สาวโดยที่ศรีไม่รู้มาตลอด

               “อย่ากังวลเลยค่ะ ในโรงเรียนอาจจะปลอดภัยมากกว่าเดิมก็ได้นะ อีกอย่าเราได้เรียนที่เดียวกัน หนูกับพี่อสุราก็ไปมาหาสู่กันได้นี่คะ” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ศรีเอ่ยออกมา ทำให้อสุราเริ่มหมดกังวล เธอขยับมือมากุมมือของน้องสาว ก่อนจะเอ่ย

“นั่นสินะ ถ้าอยู่ไม่ห่างกันก็คงไม่มีอะไรหน้ากังวลจริงๆ นั่นแหละ”

 

          จังหวัดกรุงเทพฯ

                “ผมถามจะรอบที่ร้อยแล้วนะ บอกมาว่าไปไหนมา รู้ไหมว่าผมอยู่ลำบากนะ ก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมทำอาหารไม่เป็น ต้องต้มโจ๊กกับบะหมี่กิน เกือบโดนน้ำร้อนลวกทุกครั้งเลย แล้วนี่กว่าจะโทรฯ มาก็ช้ามาก ไม่รู้ล่ะ วันนี้ทำกับข้าวของโปรดผม ทำสุดฝีมือด้วยล่ะ”

           เกือบจะเป็นรอบที่ร้อยแล้วกระมังที่ ทันตะ อรุณทิพย์ (ทันตะ) บ่นกับธันนะซึ่งเป็นพี่ชายของตนเอง ผู้เป็นพี่ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วทำตามที่น้องชายบอกทุกอย่าง แล้วก็ตกลงสัญญาที่ทันตะบอกว่าเทอมหน้าต้องให้เงินมากกว่าเดิมด้วย แต่นั่นไม่พอ ทันตะยกเรื่องที่ธันนะหายตัวไปมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่ตนเองจะได้สิ่งที่ต้องการ ตามจริงธันนะก็รู้แก่ใจ แต่เพราะรู้สึกผิดที่ให้น้องชายตนเองอยู่ที่บ้านตามลำพังเลยยอมทำตามทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ทันตะอยากทานอาหารแพงๆ เกินงบประมาณที่บ้านตนเองมีอยู่ ถ้าเกิดเป็นไปได้ธันนะก็คงกัดลิ้นตนเอง แล้วนำเลือดมาเขียนในสมุดรายรับ-รายจ่ายแทนปากกาแล้วล่ะ

                “ชักได้คืบจะเอาศอกแล้วนะ อ้ายนี่ พี่หายไปแค่สิบกว่าวันอย่าทำเป็นพูดให้มากนักเลย” ถึงจะรู้สึกผิดแต่ก็อดกล่าวไม่ได้จริงๆ ในขณะที่ตนเองกำลังล้างภาชนะหลังจากทานอาหารเสร็จ ทันตะนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะทานอาหาร พลางมองพี่ชายตนเอง “แล้วไงอะ มันลำบากจริงๆ นะพอพี่ไม่อยู่น่ะ”

                “ก็หัดทำตัวดีๆ บ้างสิ ตามจริงแล้วกลับมาก็ได้หรอก แต่นึกถึงแกแล้วมันไม่อยากกลับ เลยปล่อยให้อยู่คนเดียวเผื่อจะสำนึกได้บ้าง”

                “ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมาแล้วพี่จะรู้สึก”

                “แน่นอน พี่ต้องรู้สึกยินดี” ธันนะกล่าวเสมือนว่าตนเองเลือดเย็น ทันตะทำหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ด้วยความคิดที่ว่าหากพี่ชายยินดีจริงคงไม่เลี้ยงเขามาจนทุกวันนี้หรอก “ไม่เชื่อ ใจจริงเป็นห่วงผมล่ะสิ”

                “สำคัญตัวผิดไปกระมัง! ใครบ้างล่ะอยากมีน้องแบบแก ที่เลี้ยงมาจนทุกวันนี้ก็เพราะไม่อยากมีบาปติดตัวต่างหาก ใครรู้เข้าจะครหาว่าพี่เลือดเย็น”

                “พี่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ เดี๋ยวนี้กลัวแล้วเหรอที่จะถูกคนอื่นว่าน่ะ?” ทันตะถามอย่างล้อเลียน ธันนะเกือบจะหยิบจานมาขว้างใส่แล้วหากไม่ติดว่าเงินที่มีอยู่นั้นน้อยแล้วต้องมาเสียกับค่าภาชนะอีก

                “เรื่องของฉัน แกเองก็เถอะ เดี๋ยวนี้ริอาจจะมีอริแล้วเรอะ”

                “หึๆ … ข้อดีของผมคือ บางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ในตัวพี่มันถ่ายทอดมาถึงผมด้วยน่ะ” ธันนะหันกลับมาจ้องน้องชายอย่างเอาเรื่อง ดวงตาที่ฉายความเย็นชาอยู่แล้วยิ่งเยือกเย็นเข้าไปใหญ่ ทันตะเห็นท่าไม่ดีเลยอ้าปากจะกล่าวแต่ถูกธันนะแทรกก่อน

                “อ้ายทันตะ เรื่องอื่นแกไม่เชื่อที่พี่พูดยังพอได้ แต่ขอเถอะ เรื่องทะเลาะแล้วสร้างศัตรูนี่อย่ามีเลยได้ไหม?” น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทันตะเงียบไป น้ำเสียงของพี่ชายตนเองยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด ธันนะเห็นว่าทันตะไม่เอ่ยอะไรเลยกลับไปล้างภาชนะต่อ ระหว่างนั้นทันตะก็กล่าวขึ้นเบาๆ

                “แต่แรกก็ไม่อยากมีเรื่องหรอก แต่อริของพี่พอมันรู้ว่าผมเป็นน้องชาย ก็เลยเริ่มแกล้ง ถ้าผมไม่สู้ก็คงมีสภาพไม่ต่างกับผักช้ำๆ หรอก” กล่าวจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนที่จะออกจากห้องครัวไป ธันนะหันกลับไปมองหลังจากที่น้องชายตนเองเดินจนลับตาไป

                “…ถ้าเกิดพ่อแม่อยู่เราก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก… ทันตะ” พึมพำโดยที่ไม่หวังให้อีกฝ่ายได้ยิน เผลอนึกถึงพ่อแม่ตนเองที่หายไปจนแทบจะจำใบหน้าไม่ได้ ไม่สิ เขาลืมสนิทเลย ว่าทั้งสองมีหน้าตาเป็นอย่างไร

                รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว ดวงตาชื้นขึ้นมา ธันนะรีบไล่ความฟุ้งซ่านในความคิดและจิตใจให้หายไป …หากช้ากว่านี้น้ำตาคงไหลอาบแก้มแน่…

 

                ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงไฟสลัวจากเสาไฟให้พอมองเห็นลางๆ เด็กชายตัดผมทรงนักเรียนสวมสร้อยมีจี้รูปใบโพธิ์ กำลังเดินอย่างสบายๆ พร้อมกับดื่มน้ำในถุงที่มีตัวถือเป็นหนังยาง ริมฝีปากที่สีอ่อนเป็นสีแดงเพราะน้ำแดงในถุง บรรยากาศเย็นเชียบยามวิกาลให้ความรู้สึกขนลุกเล็กน้อย ภาพของเขาตกอยู่ในสายตาของเด็กชายผมสีแบบสนิมเหล็ก สวมชุดนักเรียนพันด้วยผ้าพันคอหลวมๆ เขายืนอยู่บนกิ่งต้นไม้อย่างน่าหวาดเสียว มือถือปืนไรเฟิลซุ่มยิง ตาข้างหนึ่งจ้องไปที่กล้องเล็ง นิ้วเตรียมเหนี่ยมไก ริมฝีปากยิ้มบางๆ ทว่าแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

                ฮึ เดินสบายใจจังนะ อยากรู้จริงถ้าวิญญาณออกจากร่างแกจะเป็นอย่างไร

                ปัง!!

                ลูกกระสุนพุ่งออกไปทะลุร่างของเด็กชายเบื้องล่าง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุด เลือดไหลจากตรงที่ลูกกระสุนทะลุเข้าไป ความเจ็บปวดที่ไม่เคยรู้สึกมากขนาดนี้ ทำให้เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะร้องครวญคราง หรือแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้ ร่างของเขาล้มลงไปนอนอย่างน่าเวทนาโดยที่เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด

                ทำไมมันตายง่ายขนาดนี้นะ ทุกทีก็หลบได้ตลอดนี่ หรือคราวนี้ปล่อยใจละเลยจนประมาทกัน?

นึกถามตนเองแล้วลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะกระโดดลงไป เดินไปหาร่างในหนองเลือดอย่างช้าๆ และระมัดระวัง พอมาถึงเขาก็พินิจอย่างไม่ค่อยวางใจ ดูว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจจริงๆ หรือไม่ พลันสายตาเหลือบเห็นจี้ใบโพธิ์ที่ห้อยกับสร้อยสีเงิน เด็กชายผมสีสนิมเหล็กเอื้อมมือไปจับจี้ขึ้นมาพินิจ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกด้วยความแปลกใจ

                “หมอนี่ใส่สร้อยแบบนี้เมื่อไหร่?…” พึมพำจบก็ปล่อยจี้ให้ไปนอนบนอกของเด็กชายตัดผมทรงนักเรียน หลังจากที่มองทุกส่วนของร่างกายเรียบร้อยแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ไม่ใช่ว่าเรายิงผิดคนนะ …คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกกระมัง” ถึงจะสรุปเช่นนั้นแต่ก็อดที่จะสำรวจสิ่งที่เป้าหมายของตนเองมีไม่ได้ เขาปลดกระดุมเม็ดหนึ่งก่อนจะดึงปกเสื้อเพื่อให้มันเผยสิ่งที่เป้าหมายมี …แต่มันกลับไม่มี หลับตาแล้วลืมขึ้นอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งที่เป้าหมายมี

                รอยสักยันต์… ไม่มี …ไม่จริงน่า จะมีคนหน้าเหมือนมันขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

 ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา ใบหน้าที่เย็นชาเริ่มซีด เมื่อนึกถึงกฎของมิติผกาย

                ห้ามฆ่าคนมิติสามัญ

                เด็กชายผมสีสนิมเหล็กค่อยๆ ลุกขึ้น ก่อนจะนึกได้ถึงความผิดปรกติของคนแถวๆ นี้ เขาหันไปมองรอบด้านที่มีบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียว นอกนั้นก็ต้นไม้ตามรายทาง

                บ้านที่อยู่ข้างหลังถัดไปทำไมถึงคนในนั้นไม่ได้ยินเสียงปืน? …คงจะออกไปทำธุระกระมัง

                คิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน

                จะว่าไปปล่อยไว้แบบนี้ท่าจะไม่ดี เฮ้อ… ลืมไปเลย น่าจะลากมันเข้าที่ลับตาแล้วเชือดคงจะสะดวกกว่าแท้ๆ แล้วนี่เลือดจะจัดการอย่างไร?

                “เลือดน่ะเหรอ? ให้ฉันจัดการสิคะ ส่วนศพหมอนั่นมาใส่ในโลงนี่ เดี๋ยวฉันกับคุณช่วยกันลากไปค่ะ” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลังเขา เด็กชายผมสีสนิมเหล็กหันมาตามต้นเสียง ก็พบว่าเป็นเด็กหญิงเกล้าผมสองข้าง คาดผ้าผ่านหน้าผากที่ประดับด้วยกะโหลกด้านข้าง

                “เธอเองหรอกเหรอ …เปิดโลงสิ ฉันจะได้ใส่ลงไป” กล่าวจบก็อุ้มร่างเปื้อนเลือดมาใส่ไว้ในโลงศพ โลงศพนั้นพันด้วยโซ่ที่เด็กหญิงถือไว้ “แล้วเลือดจะทำอย่างนั้นล่ะ?”

                “ก็…” หยุดไว้เท่านั้น ก่อนที่ก่อนที่ดอกไม้จันทน์ซึ่งทำจากเนื้อไม้แห้งสำหรับเผาศพจะปกคลุมหนองเลือด จากนั้นลมปริศนาก็พัดผ่านก่อนที่ภาพพื้นไร้ซึ่งเลือดจะปรากฏ เด็กชายผมสีสนิมเหล็กเลิกคิ้วด้วยความสนใจก่อนจะเอ่ย

                “ดีนี่”

                “ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงคนนั้นกล่าวพลางยิ้มน่าขนลุก ทว่าไม่เป็นผลกับเด็กชาย เขาหยิบสายโซ่อีกฝั่งมาถือไว้ก่อนจะลากไปด้วยพลังที่เด็กวัยประถมไม่น่าทำได้ เด็กหญิงเห็นดังนั้นก็ดึงโซ่อีกเส้นไปลากบ้าง ก่อนที่โซ่อาจจะตึงเพราะต่างคนต่างก็ไม่ได้ทำพร้อมๆ กัน ระหว่างนั้นเองเด็กหญิงก็กล่าวเบาๆ ด้วยเสียงที่แหบพร่า

                “…ระวังนะคะ …ถ้าเกิดยังไม่อยากติดคุก” เด็กชายใจหายวาบขึ้นมา เขาทำเป็นไม่ได้ยินโดยที่ตนเองยังคงลากโลงศพต่อไป

 

                มิติผกาย

                กลางคืน

                หิมะโปรยปรายลงมา สีขาวบริสุทธิ์ที่มองได้แม้ในความมืดนั้นน่าแปลกใจนัก ราวกับมันเรืองแสงได้ ผู้คนที่ยังอยู่นอกที่พักอาศัยต่างกล่าวเสียงดังด้วยความตกตะลึงและฉงน …หนึ่งในนั้นก็มีกาสะลองที่ออกมาเดินเล่นด้วย

                “บ้าน่า… ประเทศไทยจะมีหิมะตกได้อย่างไรกัน …ฤๅว่ามันจะต่อเนื่องกับคดีนั้น” นางกล่าวเบาๆ ดวงตายังคงจดจ้องที่หิมะขาวบริสุทธิ์

                ‘สมุทรพลันปรากฏที่ภาคเหนือ

                ภูผาปรากฏที่ภาคใต้

                ความร้อนและความแห้งแล้งบังเกิดที่ภาคกลาง

            นั่นคือคำกล่าวของคดีที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว กาสะลองไม่เคยไปทำภารกิจนั้นแต่ก็จำได้ถึงความโศกเศร้าของประชากรในแต่ละภาค ที่อยู่ๆ สภาพอากาศและภูมิภาคได้เปลี่ยนไปจนตั้งตัวไม่ทัน บางคนตั้งถิ่นฐานถาวรก็ทำงานลำบาก จะให้ไปทำที่อื่นก็ไม่สะดวก อย่างทะเลที่เกิดขึ้นในภาคเหนือก็มีน้ำเข้ามาจนพืชเมืองหนาวต่างตายเกือบหมด อากาศก็ไม่เย็นพอที่จะเยียวยาได้ ภูเขาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ก็กั้นระหว่างพื้นดินชายฝั่งกับทะเลจนไม่สามารถทำการประมงได้

                …คดี มันจะเริ่มใหม่อีกแล้วฤ?

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา