ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

95) บทที่ ๙๔: ศพในโลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทที่ ๙๔

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ศพในโลง

          “น่าเบื่อจังเลย ยิ่งเป็นเช่นนี้มันยิ่งน่านอนนะ”

           เสียงหวานใสเอ่ยโดยหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มดัดลอนไม่มากนัก ผมส่วนหนึ่งถักเป็นเปียเล็กๆ แล้วม้วนๆ ทั้งสองข้างคล้ายกับมวยผม ประดับด้วยกนกไทยมีอัญมณีห้อย ดวงตาสีชมพูอมม่วงนั้นกลมโต ร่างอ้อนแอ้นนั้นสวมชุดสีม่วงเข้มปกใหญ่ยาวสีขาว มีกรอบเล็กๆ ลายไทยสีม่วงประดับด้วยลูกไม้ ทับเสื้อด้านในคอตั้งที่มีลูกไม้ มีลายตารางสีม่วงอ่อน ตรงแขนเสื้อที่เป็นแบบตุ๊กตาไม่มีลายตาราง แต่มีลายสะเปากลับด้านแทน ใส่สร้อยยาวจี้ทรงกลมมีอัญมณีเล็กๆ ห้อย  สวมถุงมือลูกไม้สีดำ ขอบเป็นรูปฟันปลาเพราะใช้ลูกไม้ นุ่งโจงกระเบนสีม่วงอ่อน ประดับด้วยผ้าผืนบางที่ห้อยไว้แล้วผูกส่วนหนึ่งเป็นริบบิ้นด้านข้าง สวมรองเท้าคัทชูแบบชายสีดำ ทว่ามีปรับเปลี่ยนให้หนังหน้ารองเท้าที่ยาวคล้ายปกนั้นมีลูกไม้ล้อมรอบ และมีอัญมณีประดับ

          …นามของหญิงสาวผู้นี้คือ วนิดาวัชระ ปัณณพรญาดา (วนิดา) นายิกาประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ มีอุปนิสัยชอบอ้อน ขี้เล่น และชอบแมวมาก การนอนเป็นกิจวัตรที่มักจะทำมากกว่าอะไร …ตอนนี้ใบหน้ามนดูเยาว์นั้นฉายความง่วงและเกียจคร้าน

          ขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่อาบน้ำหรือเปลี่ยนชุดก่อน บวกกับความเย็นนั้นทำให้รู้สึกไม่กระตือรือร้นจนเกียจคร้าน ในห้องที่สลัวนี้มีแมวหลากพันธุ์เดินอย่างเชื่องช้าคล้ายย่องมาหาหญิงสาว บางตัวกระโดดขึ้นบนเตียงแล้วแทรกร่างเข้าไปแนบชิดกับร่างของนาง ขนปุยๆ เรียบนุ่มนั้นสัมผัสผิวกาย แมววิเชียมาศตัวหนึ่งนอนบนร่างของหญิงสาว ก่อนที่มือในถุงมือสีดำลูกไม้จะดึงมันเข้าไปกอด นางซุกกายกับผ้าห่มที่ลวกๆ กับตุ๊กตาขนนุ่มนิ่ม ดวงตาปิดลงเตรียมเข้าสู่นิทราอย่างผ่อนคลาย ทว่าหลับได้ไม่นานห้องก็ถูกเปิดออก

          “หลับอยู่ฤ?”

          ผู้ที่เข้ามาคือหญิงสาวผมสีดำ เกล้าผมเป็นมวยใหญ่ๆ ทั้งสองข้าง (บ่งบอกว่าเป็นคนผมยาว) ประดับด้วยรัดเกล้าอันใหญ่เป็นทรงกนกไทย ปล่อยส่วนที่เหลือถึงบ่า ดวงตาสีดำมักจะมีแววสดใสตลอดเวลา ห่มตะเบงมาน สวมเกราะทรงกนกไทยตรงสะโพก นุ่งผ้าซิ่นยาวถึงเข่า ล้อมรอบด้วยผ้าที่ห้อยลงมาหลากหลายลาย ทั้งลายซิ่นและไทย มีอัญมณีห้อยลงมา ข้อมือข้างหนึ่งสวมกำไลสีเงิน นางเดินเข้าไปหาวนิดาอย่างเงียบๆ ก่อนจะนั่งบนเตียง ระหว่างนั้นแมวบางตัวก็ตามหญิงสาวมาด้วย

          หญิงสาวผู้นี้คือ วิฬาร สุพรรณโกเมศ (วิฬาร) รองนายิกาของวนิดา มีอุปนิสัยร่าเริง ขี้เล่นเหมือนวนิดา แต่ขี้แกล้ง โดยเฉพาะวนิดาจะแกล้งบ่อยที่สุด …ซึ่งก็รวมถึงครานี้ด้วย ในความคิดของนางตอนนี้มีคำว่า แกล้ง เต็มไปหมด ดวงตาจดจ้องที่เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรดวงสายตาที่ให้ความรู้สึกอันตราย

          ถ้าเกิดจับแก้ผ้าจะรู้สึกตัวไหมนะ?

          นางคิดก่อนจะเลิกผ้าห่มพลางสอดมือเข้าไปใต้ล่างวนิดาก่อนจะรูดซิบลงแล้วดึงเสื้อ เผยให้เห็นร่างเปลือยผิวขาวดุจดอกมะลิ เพียงแวบๆ แวมๆ นางหยุดเพียงแค่นั้นเพื่อดูอาการของอีกฝ่าย วนิดาควานมือไปมาเพื่อจับชายผ้าห่ม ก่อนจะดึงมันมาคลุมร่าง ร่างของนางสั่นเพราะความหนาว เหตุที่ทำให้ต้องเช่นนี้ก็เป็นที่ทราบดีอยู่ …รองนายิกาของตนเองนี่เองที่เป็นผู้แกล้ง

          “หนาว…” สีหน้าไม่ดีนั้นทำให้วิฬารเริ่มรู้สึกผิด นางเลิกแกล้งโดยการสวมเสื้อให้วนิดาดังเดิม ก่อนจะนอนลงไปแล้วซุกเข้าไปในผ้าห่มที่ผืนเดียวกับวนิดา นางกอดนายิกาของตนเองไว้ ความอบอุ่นแผ่ออกมาจนแทบจะลืมความหนาว ภายในห้องที่สลัวนั้นพอมีไอความเย็นจากหิมะและอากาศด้านนอก ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกไร้ชีวิตชีวา

          อืม… เรื่องงานไว้คุยทีหลังละกัน

          ทีแรกวิฬารจะมาคุยงานกับวนิดา แต่เห็นว่านายิกาของตนเองนอนเสียแล้วเลยแกล้งให้ตื่น (และเพราะความสนุก) พออีกฝ่ายไม่ตื่นแถมมีสีหน้าไม่ดีจึงหยุด นางกอดวนิดาไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้อีกฝ่ายและตนเอง

          .

          .

          .

          ม่ะ เมื่อใดท่านวนิดาจะตื่นเสียที

          นางนั่งคิดหลังจากที่ตื่นไม่นาน เวลาผ่านมาได้กว่า ๒ ชั่วโมงแล้ววนิดาก็ยังไม่ตื่นเลย นางเห็นว่าปล่อยไว้เช่นนี้คงไม่ได้สนทนาเรื่องงานแน่ จึงตัดสินใจปลุกวนิดาโดยไม่กลัวว่าเจ้าตัวจะโมโหหรือไม่ วนิดาลืมตาปรือๆ ก่อนจะหลับต่อ

          “ท่านวนิดา ตื่นเถิดเจ้าค่ะ เราต้องคุยเรื่องงานนะเจ้าคะ มีคดีเกิดขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

          “………คดี เรื่องหิมะตกน่ะฤ? … ก็ดีแล้วนี่… อากาศเย็นๆ … เช่นนี้ทำให้นอนสบายกว่าเดิม…………”

          น้ำเสียงงัวเงียไม่มีความกังวลแฝงอยู่ วนิดาไม่รู้สึกเดือดร้อนกับคดีแปลกประหลาดนี้เลย นางออกจะชอบเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป ที่อากาศเย็นเชียบเช่นนี้ทำให้นอนหลับง่ายกว่าเดิม วิฬารถอนหายใจ ถึงนางจะขี้เล่นและชอบแกล้งแต่พอมีงานอะไรก็ตั้งใจกับงานนั้น และครานี้ก็เช่นกัน นางตั้งใจจะช่วยให้คดีนี้สำเร็จลุล่วง …ถ้าไม่ติดว่ามีปัญหาตอนนี้คือความง่วงและความเกียจคร้านของนายิกาตนเองจนไม่ได้คุยเรื่องงานกันเสียที

          “ตื่นเถิดเจ้าค่ะ!” วิฬารกล่าวเสียงดังด้วยน้ำเสียงจริงจัง คราวนี้ได้ผลเมื่อวนิดาลืมตาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นนั่ง สติยังครบถ้วนเพราะความง่วงยังไม่หมดไป ริมฝีปากสีอ่อนๆ ขยับเอ่ยเบาๆ “เธอเองฤ?”

          “เจ้าค่ะ” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้มสดใส “ข้าจะมาคุยเรื่องคดี…” กล่าวไม่ทันจบวนิดาก็ล้มลงนอนอีกครั้ง สีหน้าที่สดใสแปรเปลี่ยนเป็นโกรธ “ลุกขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ!” ได้ผลอีกเช่นเคย สัญชาตญาณของวนิดาบอกว่าถ้าไม่ลุกขึ้นภายในห้าวินาทีตนเองได้ถูกฝังในหลุมหิมะแน่

          “มีอันใดเล่า? จริงจังนักเชียว”

          “คดีน่ะเจ้าค่ะ แต่ก่อนที่เราจะคุยกัน ข้าว่าท่านไปล้างหน้าล้างตาเสียให้ตาสว่าง จะได้สดชื่น” วนิดาส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ไปล้างหน้าก่อนจะเอ่ย “ว่ามาสิ ฉันจะได้นอนต่อเสียที”

          “ตั้งใจฟังล่ะเจ้าค่ะ คดีนี้มีนายิกาและรองนายิกาหลายท่านบอกว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีเมื่อหลายปีที่แล้ว คดีครานั้นคือ เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ภาคเหนือมีทะเล ภาคใต้มีภูเขา ภาคกลางเกิดความร้อนและความแห้งแล้ง คล้ายกับว่าสลับภูมิประเทศและภูมิอากาศ ซึ่งก็คล้ายกับคดีที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ท่านวนิดาก็ทราบแล้วว่าหิมะตกในประเทศไทยทั้งๆ ที่ประเทศเราอยู่ในเขตร้อน …ด้วยเหตุนี้ถึงมีหลายท่านบอกว่าคล้ายกัน”

          “หืม?” ตาที่ปิดๆ เปิดๆ ก็พลันลืมเต็มหลังจากฟังเรื่องจบ สีหน้าง่วงหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความสนใจใคร่รู้ ดวงตาเป็นประกายราวกับเจอเรื่องสนุกๆ “คดีของพลับพลึงยังมิจบเลย คดีใหม่ก็มาเสียแล้ว”

          “นั่นน่ะสิเจ้าคะ ยังจับพลับพลึงมาแยกวิญญาณมิได้เลยเจ้าค่ะ เฮ่อ… แต่ก็ดีแล้วที่กลับมาเป็นปรกติ เอ๊ะ มิใช่สิ มีดอรัญญิกยังมิถูกคืนเลย” น้ำเสียงแฝงด้วยความไม่สบายใจ วนิดายิ้มบางๆ เมื่อนึกอะไรได้

          “สักวันคงมาอีกนั่นแหละนะ อืม ฟังเรื่องที่เจ้ากล่าวเกี่ยวกับหิมะที่ตกในประเทศไทย ฉันก็เผลอนึกถึงตำนานและเทพนิยายขึ้นมาเลยล่ะ”

          “ตำนานและเทพนิยาย?” วิฬารทวนคำ วนิดาพยักหน้าก่อนจะกล่าว “ตำนานยูกิอนนะ[1]กับเทพนิยายเรื่องราชินีหิมะ[2]ที่ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เสน เป็นผู้ประพันธ์ …อืม เธออยากฟังไหม ฉันรู้สึกว่าสองเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีก็ได้นะ” วิฬารเงียบไปพักหนึ่ง นางลังเลว่าจะฟังดีหรือไม่เพราะเกรงว่าจะเสียเวลากับเรื่องที่อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคดี อีกใจก็บอกว่าลองฟังดูก็ไม่เสียหาย ถือเสียว่าผ่อนคลายมานั่งฟังอะไรเพลินๆ ละกัน คิดได้ดังนั้นนางก็พยักหน้า

          “คิดดีแล้วฤ? ตำนานยังพอว่านะ แต่นิทานนี่สิที่ยาว อดทนฟังได้ฤๅ?” วนิดาถามเพื่อความมั่นใจ เนื่องจากไม่อยากหยุดกลางคันหากอีกฝ่ายไม่อยากฟังแล้ว วิฬารพยักหน้าเบาๆ ทว่าให้ความรู้สึกหนักแน่นก่อนจะตอบ

          “ถือเสียว่าแก้เครียดน่ะเจ้าค่ะ เผื่อว่าสองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับคดีเช่นที่ท่านวนิดาคาดไว้” ได้ยินเช่นนั้นวนิดาก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะเล่า “เช่นนั้นก็…”

          …หลังจากนั้นหนึ่งตำนานกับหนึ่งนิทานก็ถูกเล่าผ่านโดยนายิกาประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ เวลาผ่านไปได้สักพักวิฬารก็เริ่มลืมคดีไป ใจที่ร้อนรนจะทำคดีนั้นก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายเมื่อได้ฟังอะไรสนุกๆ

 

          โลงศพถูกนำมาฝังไว้ใต้ดิน ช่างขัดกับสีหน้าเรียบเฉยนัก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของเด็กหญิงเกล้าผมสองข้าง เขาตัดสินใจเดินถอยออกมาจากบริเวณที่ฝังโลงศพพร้อมกับเด็กหญิง

          “ปัญหามาอีกแล้ว ครานี้ข้าต้องช่วยไหม?” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์เอ่ยจากครุฑขนสีแดง สีหน้านั้นแสดงความไม่พอใจโดยไม่ปิดบัง เด็กชายผมสีสนิมเหล็กถอนหายใจก่อนจะตอบ “ไม่ต้องช่วยก็ได้นะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

          “อย่าบอกนะว่าจะไปหาวิญญาณของอ้ายนั่นน่ะ …ตลกตายล่ะ! เอ็งจะบ้าฤ? วิญญาณของมันมิใช่แบบมิติผกายนะ ถึงจะได้ตามกลับมาง่ายๆ !”

          “ใจเย็นก่อนสิคะ” เด็กหญิงคนนั้นกล่าวเสียงเรียบ ในขณะที่ใบหน้าซีดนั้นมีรอยยิ้มแย้มอยู่ ให้ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียน เด็กชายทั้งสองคนหันมามองเธอก่อนที่ครุฑจะถาม “ถ้าคุณไม่อยากช่วย ฉันช่วยเขาเองก็ได้ค่ะ”

          “หืม? จะว่าไปเอ็งเป็น… ประธานนักเรียนของโรงเรียนดอกคูนมิใช่ฤ แล้วไฉนถึงมาช่วยโรงเรียนเราล่ะ? คงมิได้วางแผนการใดไว้ดอกใช่ไหม?” เด็กหญิงหัวเราะเมื่อได้ฟังคำถามนั้น ดวงตาสีดำเป็นประกายชวนให้หวาดหวั่น

          “จะคิดเช่นนั้นก็ได้นะคะ แต่ฉันคงไม่หลอกใช้คุณขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า ทำให้ครุฑตนนั้นรู้สึกขนลุกเล็กน้อย ดวงตาที่แทบไม่เห็นตาขาวนั้นฉายความระแวดระวัง

          “ยอมรับเช่นนั้นคงมิคิดดอกใช่ไหม ว่าข้าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า มิใช่สิ รัชตะต่างหากที่ต้องขอความช่วยเหลือ” เด็กชายผมสีสนิมเหล็กเจ้าของนาม รัชตะ มองครุฑนิ่งๆ ก่อนจะกล่าว

          “ก็นะ แต่ยังไงฉันก็ไม่ขอความช่วยเหลือจากอาสัญหรอกน” เด็กหญิงเจ้าของนาม บุปผาอาสัญ (อาสัญ) เหยียดยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะกล่าว “ฉันช่วยคุณได้จริงๆ นะคะ”

          “เฮอะ! ให้คนที่คุยกันไม่กี่ครั้งแถมเป็นศัตรูอีกมาช่วยนี่ ไม่เหมือนกับขุดหลุมฝังตนเองหรืออย่างไร? ไม่รู้ล่ะ ฉันจะจัดการเองคนเดียว” กล่าวจบก็เดินไปทิ้งให้อีกสองคนมองตาม ครุฑตนนั้นถอนหายใจก่อนจะกางปีกแล้วบินขึ้นไป เหลือเพียงอาสัญที่ยังยืนอยู่โดยไม่ขยับไปไหน

          “…ถือเสียว่าฉันมอบน้ำใจให้แล้วนะคะ …คิกๆๆ …” เธอเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่ากับรัชตะที่เดินออกห่างไปได้ค่อนข้างไกลแล้ว ก่อนจะสลายร่างกลายเป็นเถ้าธุลี ทิ้งให้ศพในโลงเย็นชืดไปเรื่อยๆ …

 

          เสียงกิ่งไม้บนพื้นหัก ใบไม้ถูกบี้ดังขึ้นจากการที่เด็กชายคนหนึ่งเดินย่ำ เขามีผมสีขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะ สวมแว่นตากันแสงอาทิตย์ สวมชุดนักเรียนโดยไม่ติดกระดุมแม้เพียงเม็ดเดียว ใส่สร้อยที่เป็นโซ่ห้อยด้วยจี้ที่เป็นแม่กุญแจ ข้อมือทั้งสองข้างเองก็สวมด้วยห่วงโซ่แทนกำไล มือถือไม้หน้าสามที่ลงยันต์ไว้ เขามุ่งไปยังที่ๆ หนึ่งอย่างเร่งรีบ …ทว่าต้องหยุดเพราะรู้สึกถึงไอพลังวิญญาณที่บางเบามาก หากไม่ใช่เพราะว่าเพ่งจิตก็จะไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณนี้ เด็กชายผมสีขาวมองไปรอบๆ ผ่านแว่นตาป้องกันแสงอาทิตย์ เมื่อไม่เห็นอะไรที่ผิดแปลกจึงตัดสินใจนั่งคุกเข่าด้วยขาข้างหนึ่ง ก่อนจะพนมมือไว้ ท่องคาถาเบาๆ แล้ววางมือกับพื้นดินที่ชื้นเล็กน้อย ฉับพลันก็ปรากฏเป็นวงเวทยันต์ตรงที่เขายืนอยู่

          “มีศพอยู่ตรงนี้เรอะ?”

          ถามกับตนเองก่อนจะอัญเชิญโซ่หลายๆ เส้นที่ยาวมาก ปลายที่มีใบมีดนั้นทะลุกับพื้นดินแล้วชอนไชราวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โซ่พวกนั้นต่างตวัดมัดโลงศพ เมื่อเด็กชายผมสีขาวรู้สึกว่ามันหนักก็ดึงโซ่ด้วยแรงที่ไม่น่าเชื่อสำหรับเด็กวัยประถมที่กำลังจะขึ้นมัธยม ดินที่กลบนั้นต่างพุ่งเมื่อโลงศพโผล่พ้นจากใต้ดิน เขาดึงอย่างสุดแรงจนพาโลงศพมาอยู่บนพื้นดินได้

          “ดีเลย มื้อนี้คงเป็นศพเจ้านี่ล่ะ” สิ่งที่เขากล่าวถ้าคนมิติสามัญมาได้ยินคงกลัวและกล่าวหาว่าเขาเป็นบ้าแน่ แต่ถ้าคนมิติผกายมาได้ยินก็จะรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นเรื่องธรรมดามากที่มิตินี้จะทานเนื้อมนุษย์ด้วยกัน ด้วยความที่มิติผกายมีสายเลือดอมตะเป็นเสียส่วนใหญ่ แถมส่วนมากหากพิการบางอย่างไปเนื้อก็จะงอกออกมาจนกลับเป็นปรกติ

          “หึๆ …” หัวเราะในลำคอด้วยเสียงที่น่ากลัว มือเปิดโลงศพเผยให้เห็นร่างเด็กชายเปื้อนเลือด ก่อนจะหยิบมีดเล่มเล็กในกระเป๋ากางเกงนักเรียนออกมา …ทว่าไม่ทันจะได้เฉือนเนื้อมือก็ถูกบางสิ่งบางอย่างตรึงไว้

          “?”

 

         [1] ยูกิอนนะ (ในภาษาญี่ปุ่น  雪女 yuki onna) ในภาษาไทยชื่อ เจ้าหญิงหิมะ บ้างก็เรียกว่า สตรีหิมะ, ภูตหิมะ ,ปีศาจหิมะ  ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม กล่าวกันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงใหลในความงามของนางไปสู่ความตาย เรื่องเล่าของสตรีหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสตรีหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสตรีหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย

[2] ราชินีหิมะ เป็นเทพนิยายที่ประพันธ์โดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เสน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา