ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
81) บทที่ ๘๑: เฝ้ารอถึงคนที่แค้นตนเอง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เฝ้ารอถึงคนที่แค้นตนเอง
“ถ้าจำมิผิด ข้าจำได้ว่าตนเองเคยพูดว่าอะไร” พินทุกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ช่างขัดกับน้ำเสียงที่ออกจะเบื่อหน่ายนัก ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือถอนหายใจก่อนจะถาม “พูดความว่าอันใด?”
“…ข้ามิชอบนิยายที่น่าเบื่อนี่เลย เรื่องดูท่าจะจบง่ายไปนะ”
“อ้ายนี่ ชีวิตจริงนะมิใช่นิยายที่เจ้าอ่าน ถึงจะได้มีการวางโครงเรื่องอะไรนั่น”
“โชคชะตาลิขิต” พินทุพึมพำโดยที่ไม่สนใจผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือที่ทำหน้าไม่พอใจ “อีกอย่างนะ นั่นก็เป็นไปตามความต้องการของยายพลับพลึงด้วย นางยอมร่วมมือกับพวกข้าแต่ก็มิได้บอกจุดประสงค์จริงๆ ของนางว่าคืออันใดกันแน่ ฉะนั้นแล้วก็ต้องรอดูต่อไปว่านางจะให้เรื่องจบลงแบบไหน”
“เจ้าอยากรู้ตอนจบไหมล่ะ บัดเดี๋ยวข้าจะบอกให้” พินทุกล่าวเนิบนาบ ผิดนิสัยที่นางมักจะร่าเริง ขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ “ข้ามิอยากรู้ตอนจบอันใดนั่นดอก เอาเพลานี้ไปช่วยคิดว่าหากแผนเสียจะต้องรับมืออย่างไรจะดีเสียกว่านะ”
“มิเอาล่ะ ข้าจะมิอยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น”
“แต่อย่างไรเสีย ถ้าต้องเลือกเจ้าก็จะเลือกนายิกาใช่ไหม?”
“ก็มิรู้สินะ” พินทุตอบอย่างกวนๆ อารมณ์กลับมาดีอีกครั้งเมื่อนึกอะไรได้ในระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน ก่อนที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะไม้ไผ่แล้วสลายร่างกลายเป็นดอกพญาเสือโคร่ง โดยที่ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือตามไปไม่ทัน หญิงสาวกำมือแน่นด้วยความโกรธกับนิสัยชอบทำลายเส้นประสาทผู้อื่น
“กวนให้มันได้ตลอดเถิดนางพินทุ!”
“ลั้ลลัลลา…”
พินทุเอื้อนเสียงร้องด้วยความดีใจที่นึกอะไรสนุกๆ ได้ ร่มบ่อสร้างที่ปลายด้ามถือมีแท่งเหล็กเสียบอยู่บังแสงแดดได้ดี กระนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ลอดผ่านเข้ามาในกระดาษสาและรอบๆ กายตนเอง ระหว่างนั้นสายตานางสะดุดกับร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตนเองนัก ร่างนั้นเป็นหญิงสาวเกล้ามวยผมสีดำประดับดวงใบไม้ไหวสีเงินสามใบ โพกผ้าสีขาว ผมปอยหน้าปรกหน้าทำให้ใบหน้าที่เรียวอยู่แล้วดูเรียวกว่าเดิม ดวงตาสีดำฉายประกายราวกับเจอเรื่องสนุกๆ ตลอดเวลา ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ นางคาดผ้าหน้าอกสีเข้มๆ คลุมทับด้วยเสื้อแขนยาว ทว่านางสวมเสื้อคลุมนั้นเพียงข้างเดียวอีกข้างนั้นปล่อยไว้ คาดเข็มขัดที่มีตัวห้อยหลายจุด นุ่งผ้าซิ่นหลวมๆ แยกให้เห็นขาข้างซ้ายที่ขาวผุดผ่อง มือเรียวนั้นกำลังดีดบรรเลงพิณเพี๊ยะ[1] เกิดเสียงนุ่มนวลกังวาน
พินทุเลื่อนสายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนก้อนหินพิงกับต้นไม้ด้านหลัง นางมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด พินทุพินิจหญิงสาวคนนี้ว่าเป็นใคร หญิงสาวเกล้ามวยผมไว้ข้างขวาประดับด้วยปิ่นแม่แจ่ม ถักผมส่วนหนึ่งเป็นเปียเล็กๆ ปล่อยไว้ด้านหน้า สวมชุดไทลื้อแขนยาวที่ตัวสั้นจนเผยให้เห็นหน้าท้อง ผ้าที่นุ่งท่อนล่างนั้นครึ่งบนเป็นผ้าธรรมดาที่ผักลายสวยงามส่วนครึ่งล่างเป็นผ้าระบายจับจีบเล็กน้อย คาดเข็มขัดที่เป็นห่วงร้อยๆ เรียงกันห้อยด้วยชิ้นเหล็กที่มีลูกปัดห้อยระย้า มือกุมร่มบ่อสร้างที่ตั้งกับพื้น
…นึกๆ ดูแล้วพินิจไปเรื่อยๆ ก็นึกได้ว่าทั้งสองเป็นใคร หญิงสาวคนแรกคือนายิกา ส่วนหญิงสาวคนที่สองคือรองนายิกา ทั้งสองประจำการที่จังหวัดเชียงรายเป็นพี่น้องต่างสายเลือด ตามจริงพี่น้องหรือแม่ลูกหรือญาติที่มีสายเลือดเดียวกันจะเป็นนายิกาหรือรองนายิกาไม่ได้ แต่หากคนใดคนหนึ่งไปประจำการอีกจังหวัดก็อนุโลม ทว่าต้องอยู่คนละตำแหน่งกัน อาทิ คนพี่เป็นนายิกา แต่คนน้องเป็นรองนายิกาซึ่งประจำการคนละจังหวัด แต่หากใครไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวสายเลือดก็สามารถดำรงตำแหน่งด้วยกันได้ อย่างสองพี่น้องคู่นี้ นายิกากับรองนายิกาประจำจังหวัดเชียงรายก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน เพราะคนพี่นั้นเป็นลูกบุญธรรมซึ่งพ่อแม่ หรือเรียกให้ถูกคือพ่อแม่ของรองนายิกาประจำจังหวัดเชียงรายรับคนพี่มาเป็นลูกบุญธรรมก็ถือว่าไม่มีสายเลือดเดียวกัน
“เอ๊ะ นั่นท่านพินทุนี่เจ้าคะ สวัสดีเจ้าค่ะ” ฟองจันทร์ (นามสกุลไม่เปิดเผย) รองนายิกาประจำจังหวัดเชียงรายกล่าวเมื่อสังเกตว่าพินทุยืนไม่ห่างจากนางกับพี่สาวนัก ผู้เป็นพี่ เกตถวา (นามสกุลไม่เปิดเผย) หยุดบรรเลงพิณเพี๊ยะก่อนจะหันไปมองว่าใครมา เมื่อพบว่าเป็นพินทุก็ยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะกล่าวอย่างสนิทสนม
“สวัสดี เจ้าเองก็มาร่วมคดีด้วยฤ?”
“ใช่แล้ว ว่าแต่เจ้าสองคนเจอพลับพลึงฤๅยัง?” พินทุถามด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นไม่ต่างจากเกตถวา …น้อยคนนักที่จะพอใจในตัวพินทุเพราะนางมักจะมีท่าทียียวน เล่ห์เหลี่ยมและมีลับลมคมในทำให้คนส่วนใหญ่ไม่พอใจหรือไม่ไว้ใจ แต่เกตถวาไม่ใช่ เพราะนางเองก็มีอุปนิสัยคล้ายๆ พินทุ ด้วยเหตุนี้แหละทำให้ทั้งสองเข้าใจกันและกัน (กระนั้นเกตถวาก็ยังมีคนที่พอใจในตัวนางมากกว่าพินทุเสียอีก อาจด้วยเพราะว่าไม่ค่อยมีลับลมคมในกระมัง)
“ยังเลย ข้าว่าพลับพลึงคงมิปรากฏตัวออกมาดอก จะว่าไปนางวางแผนอันใดไว้? นี่ข้ากับฟองจันทร์เดินวนไปวนมา ไปทางโน้นทีทางนี้ทีจนถึงตรงนี้แล้วก็ยังมิมีอันใดเกิดขึ้นเลย มิรู้ว่านายิกากับรองนายิกาคนอื่นๆ จะเจออะไรกันบ้างนะ ที่เดินมานี่ก็มิเจอใครเลย คนแรกก็เจ้านี่แหละพินทุ”
“เช่นนั้นฤ…” พินทุถามเปรยๆ นางมองไปรอบๆ เผื่อจะเจออะไรบ้าง ตอนแรกที่เดินมาเพราะจะไปหาพลับพลึง …คงจะสงสัยสินะว่านางปกปิดอะไรไว้ ทั้งคำพูดที่ดูเหมือนว่านางจะรู้เรื่องทั้งหมดดี และน่าจะรู้ทางไปหาพลับพลึงหรือวิธีออกจากมิตินี้ …ก็คงต้องดูไปเรื่อยๆ ว่าแท้จริงแล้วนางคือใคร มีจุดประสงค์อันใดกันแน่
“ว่าแต่เจ้าจะไปไหนฤ?” เกตถวาถาม พินทุยิ้มมุมปากเมื่ออีกฝ่ายถามเช่นนั้น “ว่าจะไปเยี่ยมใครบางคนหน่อย คุยเรื่องงานไว้ แต่มันก็นานแล้วเลยมิได้คุยกันอีก”
“งาน?” เกตถวาทวนคำด้วยความสงสัย พินทุที่เกรงว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาถามจึงสลายร่างกายเป็นดอกพญาเสือโคร่ง กลีบดอกปลิวว่อนไปทั่วก่อนที่ร่างของนางจะหายไป
“ให้ตายสิ มีลับลมคมในเยอะจังนะ… พินทุ”
“อยู่ที่นี่เองฤ?”
พินทุถามเมื่อดอกพญาเสือโคร่งลอยมารวมตัว ณ ที่ห้องแห่งหนึ่งในเรือนไทยจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภายในห้องนี้มีหญิงสาวสวมชุดโทนสีดำกับหญิงสาวสวมหน้ากากแบบหุ่นกระบอกไทย ดวงตาที่อยู่ใต้หน้ากากเหลือบมองนิ่งๆ ก่อนจะมองไปที่อื่น หญิงสาวสวมชุดโทนสีดำซึ่งนอนอยู่บนเตียงมีสีหน้าที่ไม่พอใจเมื่อเห็นว่าใครคือผู้มาเยือน
“…”
“เฮ้อ… น่าเบื่อจริงๆ สายตาแบบนั้นน่ะ” ถึงจะกล่าวอย่างเบื่อหน่ายทว่ารอยยิ้มก็ยังไม่จางหาย พินทุเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าเองก็เดินดูมาเรื่อยๆ จนล่าสุดเจอกับนายิกาและรองนายิกาประจำจังหวัดเชียงราย ส่วนใหญ่ที่ถามมามีแต่คนบอกว่าทำไมพลับพลึงถึงมิจู่โจม ลอบฆ่าหรืออะไรก็ตามแต่เลย ถึงที่ข้าจะลองไปดูมาเจ้าใช้ภาพลวงตาซึ่งก็คือภาพอดีตของแต่ละคนมาสะกดให้คิดฆ่าฟันกันเองแต่สุดท้ายก็รอดมาได้ …ข้าจึงสงสัยว่าเจ้าน่าจะทำได้มากกว่านี้ แต่เจ้ากลับมิทำเลยจะถามว่าเจ้าน่ะ… ต้องการอันใดกันแน่”
พอนางกล่าวจบทั้งห้องที่เงียบอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ พลับพลึงเบือนหน้าหนีเหมือนจะหนีความต้องการจริงๆ ของตนเอง สีหน้าที่แสดงความลำบากใจ กังวลแฝงด้วยความไม่พอใจกับคำถามของอีกฝ่าย พลับพลึงรู้ว่าแท้จริงแล้วพินทุเองก็ทราบคำตอบแต่ก็ยังจะถามเพื่อกดดันพลับพลึง
“รู้ทั้งรู้ก็ยังจะะถามอีกนะ”
“อันใดกันล่ะ เจ้ามีหลักฐานอันใดว่าข้ารู้คำตอบของเจ้า” พินทุถามอย่างยียวน พลับพลึงเผลอกัดริมฝีปากด้วยความไม่พอใจที่ทวีขึ้น ทว่านางก็ยังคงตอบเสียงเรียบเพราะไม่อยากให้พินทุได้ใจมากไป “มีฤที่อิสตรีเช่นเจ้าซึ่งอยู่มาก่อนสมัยสุโขทัยจะมิรู้ถึงความปรารถนาที่ซ้ำซากของผู้คน”
“กล่าวยังกับว่าข้าแก่มากเลยนะ เจ้าเองก็เกิดในสมัยอยุธยา ผ่านโลกมามากแล้วก็น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร …แต่อย่างว่าล่ะนะ ถ้าเกิดผ่านมาโดยที่มิเข้าใจมันก็เท่านั้นแหละ”
“ก็คงมิจำเป็นเสมอไปกระมัง…” หญิงสาวสวมหน้ากากที่ไม่ได้กล่าวอะไรเลยจู่ๆ ก็กล่าวขึ้นเบาๆ พินทุละความสนใจจากพลับพลึงมาที่หญิงสวมหน้ากาก
“ว่าแต่เจ้าเถิด เกิดมาเมื่อใดล่ะ?”
“สมัยรัตนโกสินทร์ …แล้วก็มิต้องถามดอกนะว่าเกิดสมัยรัชกาลใด” หญิงสวมหน้ากากบอกดักก่อนที่พินทุจะได้ถาม พินทุหัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าว “เจ้าเองก็ดูมีลับลมคมในนะ …ที่มาเป็นผู้อาวุโสนี่มีจุดประสงค์อันใดฤ?”
“ทุกคนล้วนมีความต้องการที่บอกใครมิได้ เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าอย่าถามข้าอีกเลย”
พินทุเหยียดยิ้มมากขึ้น แหม แต่ละคนนี่มีความปรารถนาที่บอกมิได้กันหลายคนเลยนี่ อยากรู้จริงว่าจะเฉลยปมเช่นไร …เช่นกับผู้อาวุโสคนนี้แล้วถ้าเกิดบอกว่าตนเองเป็นใครกับศรี เด็กคนนี้จะรู้สึกอย่างไรนะ? …
“ว่าแต่เรื่องของเจ้ากับศรีไปถึงไหนแล้วล่ะ? ช่วงนี้ไปเยี่ยมบ้างไหม?” พินทุถามเพื่อกดดันอีกฝ่ายเผื่อว่าเจ้าตัวจะเผลอหลุดปากบ้าง ทว่าไม่เป็นไปตามคาดเพราะหญิงสาวรู้ดีว่าพินทุต้องการอะไรนางจึงพยายามทำใจให้สงบ ไตร่ตรองความคิดเป็นคำพูดออกมา
“ก็เคยไปดูมาบ้าง …เด็กคนนั้นเสียตาไปข้างหนึ่งแล้วก็เพราะพลับพลึงนี่แหละ” ไม่พูดเปล่าเหลือบตาใต้หน้ากากมองหญิงสาวบนเตียงอีกด้วย แม้หน้ากากจะปกปิดซ่อนสีหน้าไว้แต่พลับพลึงรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่แผ่ปกคลุมอย่างเยือกเย็น มือเผลอกำแน่นบนตักบ่งบอกได้ดีว่าอารมณ์คุกรุ่นเพียงใด พินทุแสยะยิ้มออกมาแวบหนึ่งก่อนจะกล่าว
“เอาน่า อย่างไรเสียพลับพลึงก็คืนให้อยู่แล้วล่ะ… จริงไหมพลับพลึง?” พินทุมองพลับพลึง ทั้งห้องเงียบไปเมื่อคนถูกถามไม่ตอบสักพักพลับพลึงก็ตอบด้วยเสียงเรียบๆ
“ถ้าเกิดข้าตายก็เอาคืนได้เลย” พลับพลึงบอกก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่ประตู โดยมีสายตาสองคู่มองมาด้วยความฉงน “เจ้าจะไปไหน?” หญิงสวมหน้ากากถาม พลับพลึงที่หยุดยืนหันหลังให้เข้าหาประตูยิ้มบางๆ พลางตอบ
“ไปหาสหายรักน่ะ”
เจ้าอยู่หนใด… พลับพลึง?
คมกฤชเดินรอบๆ บริเวณพระราชวังได้เป็นร้อยรอบแล้วกระมัง เดินไปก็ไม่พบใครเลยแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็ไม่มี ให้ความรู้สึกเคว้งคว้างชอบกล แสงอาทิตย์ที่ทอลงมาให้ความรู้สึกอบอุ่น อย่างน้อยก็มีเพียงพืชต้นไม้และแสงอาทิตย์นี่แหละที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตในมิติความฝันนี้
พอเข้ามาในมิตินี้นางก็พร่ำถึงพลับพลึงตลอด ลืมรองนายิกาของตนเองไปเสียสนิท ในขณะนั้นเองที่นางเดินจนมาถึงต้นราชพฤกษ์วิงรองที่เดินหาคมกฤชมานานก็เห็นเข้า รอยยิ้มปรากฏขึ้นเมื่อเห็นนายิกาของตนเอง นางไม่รอช้าเดินเข้าไปหาคมกฤชก่อนจะโอบกอดเบาๆ
“มาอยู่นี่เอง ทำข้าใจเสียเลยนะ”
“…”
คมกฤชเงียบ ดวงตาสีดำเหม่อลอยมองไปยังท้องฟ้าราวกับว่าวิญญาณสหายรักของตนเองจะอยู่บนสวรรค์ วิงรงรองถอนหายใจด้วยความหวังที่เริ่มริบหรี่ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีคมกฤชก็ยังคงไม่ลืมสหายรักของตนเอง บางครั้งวิงรงรองก็นึกอยากสังหารอดีตรองนายิกาของคมกฤช (ซึ่งก็คือพลับพลึง) ด้วยความอิจฉาริษยา ถึงนางจะมาทีหลังแต่ก็อดถือตัวเองไม่ได้ว่าเป็นคนใหม่ …แต่ช่างน่าเสียดายนักที่คมกฤชผูกพันกับคนเก่าจนสายสัมพันธ์นั้นยากจะตัดขาด
สายสัมพันธ์หากเกิดเป็นเส้นด้ายเพียงแค่ใช้พระขรรค์ตัดก็คงได้ แต่มันมันไม่ใช่เส้นด้ายจึงตัดยากหากจะตัดก็ต้องเชื่อมสายสัมพันธ์ให้อีกฝ่ายอยู่กับตนเอง เมื่อนั้นสายสัมพันธ์เก่าถึงจะตัดขาด
“…นี่วิงรงรอง” คมกฤชพึมพำเบาๆ ทว่าวิงรงรองกลับได้ยินชัดเจน เมื่อเห็นนายิกาของตนเองรู้ถึงตัวตนของตัวเองจึงยิ้มด้วยความดีใจ ทว่าคำพูดต่อมาของคมกฤชทำให้วิงรองชะงักไป “หากนางกลับมาหาข้าได้ก็คงจะดีสินะ”
“…” คราวนี้วิงรงรองเงียบไปบ้าง ดวงตาที่มักจะฉายความอ่อนโยนเดี๋ยวนี้กลับฉายความเกรี้ยวกราดมากขึ้นเกือบทุกวัน จะบอกว่านางเสแสร้งก็คงได้ทว่าแต่เดิมนางเองก็เป็นคนที่อ่อนโยนจริงๆ แต่ก็อย่างว่าแหละนะที่มนุษย์เราย่อมมีอารมณ์ที่เสมือนไฟลุกโชนในใจกันทุกคนนั่นแหละ คนบางคนเป็นคนดีก็สามารถกลายเป็นคนเลวได้
ไฟลุกโชนในใจเงียบๆ โดยที่คมกฤชไม่รู้สึกถึงมัน วิงรองพยายามยิ้มให้ดูอ่อนโยนมากที่สุดก่อนจะกล่าว
“นั่นสินะเจ้าคะ…” พอได้ฟังคำนั้นคมกฤชก็ยิ้มบางๆ ไม่ได้ยิ้มให้วิรงรองแต่ยิ้มให้กับคนที่คาดว่าจะตายไปแล้ว “แต่นางยังมิตายนี่นะ มิแน่ว่าอาจจะกลับมาหาข้าจริงๆ ก็ได้ มิว่าจะกลับมาด้วยความคิดถึงฤๅแค้นเคืองแต่อย่างน้อยถ้านางกลับมาจริงๆ ข้าก็พอใจแล้วล่ะ”
แทนที่จะลืมนางแล้วมาเริ่มต้นใหม่กับข้า เจ้าก็ยังคงฝันลมๆ แล้งๆ อีกนะคมกฤช!
วูบ…
สายลมที่พัดผ่านมาส่งเสียงหวีดหวิวชัดเจนจนทั้งสองอดที่จะหันไปมองอย่างเผลอตัวไม่ได้ พร้อมกับกลุ่มควันที่ลอยมารวมตัวกันกายเป็นหญิงสาวสวมชุดโทนสีดำ จากดวงตาที่เหม่อลอยแปรเปลี่ยนเป็นประกายด้วยความดีใจก่อนที่คมกฤชจะเข้าไปกอดอีกฝ่าย
“ในที่สุดก็กลับมาข้า… พลับพลึง”
[1] พิณเพี๊ยะ หรือ พิณเปี๊ยะ เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองล้านนาชนิดหนึ่ง อยู่ในประเภทเครื่องดีด ลักษณะของพิณเปี๊ยะคือมีคันทวนยาวประมาณ ๑ เมตรเศษ ตอนปลายคันทวนทำด้วยเหล็กรูปหัวช้าง ทองเหลือง สำหรับใช้เป็นที่พาดสาย ใช้สายทองเหลืองเป็นพื้น สายทองเหลืองนี้จะพาดผ่านสลักตรงกะลาแล้วต่อไปผูกกับสลักตรงด้านซ้าย สายของพิณเปี๊ยะมีทั้ง ๒ สายและ ๔ สาย กะโหลกของพิณเปี๊ยะทำด้วยเปลือกน้ำเต้าตัดครึ่งหรือกะลามะพร้าวก็ได้ เวลาดีดใช้กะโหลกประกบติดกับหน้าอก ขยับเปิดปิดให้เกิดเสียงตามต้องการ เช่นเดียวกับพิณน้ำเต้าของภาคกลาง ในสมัยก่อนชาวเหนือมักจะใช้พิณเปี๊ยะดีดคลอกับการขับลำนำในขณะที่ไปเที่ยวสาว พิณเปี๊ยะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรเพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยาก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ