ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

82) บทที่ ๘๒: แม้นชีวาเพื่อนผู้นี้ก็มอบให้ได้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ ๘๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

แด่สหายรัก… แม้นชีวาเพื่อนผู้นี้ก็มอบให้ได้

                พลับพลึงนิ่งไปสักพักก่อนจะผลักคมกฤชออก คมกฤชแสดงสีหน้าฉงนครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้าๆ

                “ข้าก็มิได้หวังดอกนะ ว่าเจ้าจะกลับไปเป็นดังแต่ก่อน ถ้าเกิดการสังหารข้ามันทำให้เจ้าสบายใจข้าก็ยินดี แต่อย่าได้ทำร้ายนายิกาคนอื่นเลย ข้าเป็นคนผิดเพียงผู้เดียว” คำนั้นทำให้ใจวิรงรองหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ไม่สิ เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินว่าคนที่ตนเองรักจะให้อีกฝ่ายสังหาร

                “เจ้าบ้าฤๅอย่างไร?! เจ้ามิผิดเสียหน่อย!”

                “แต่ข้าทำให้พลับพลึง…” กล่าวมิทันจบวิรงรองก็ดึงคมกฤชเข้าหาตนเองพร้อมกับร่ายคาถา ก่อนที่ม่านอาคมจะเกิดขึ้นขังคมกฤชไว้ข้างใน มียันต์สีดำปรากฏรอบๆ ม่านเพื่อผนึกไม่ให้คนข้างในออก

                “ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้นะ!” วิรงรองไม่สนใจคมกฤช นางอัญเชิญพระขรรค์ออกมาแล้วจับไว้อย่างมั่น ชี้ปลายพระขรรค์ไปยังพลับพลึง ฝ่ายถูกหมายสังหารแสยะยิ้มออกมาพลางกล่าว “คิดจะสังหารข้าเพื่อที่จะได้ครอบครองคมกฤชฤ?”

                “ถ้าใช่แล้วจะทำไม?”

                “ก็มิมีอันใดดอก เพียงแค่คิดว่าของใหม่อย่างเจ้าจะมาแทนที่ของเก่าเช่นข้าแล้วมันก็น่าใจหายน่ะ” ถึงจะกล่าวเช่นนั้นแต่น้ำเสียงมีความเศร้าสร้อย วิรงรองเผลอสงสารครู่หนึ่งทว่าความเห็นแก่ตัวที่อยากได้คมกฤชก็ทำให้นางรู้สึกเฉยๆ

                “มาประลองไหมล่ะ? คงมิต้องบอกดอกนะว่าเอาอะไรเป็นเดิมพัน” วิงรงรองกล่าวอย่างท้าทายแต่ในใจก็หวาดหวั่นเล็กน้อยว่าอาจจะแพ้ คมกฤชที่ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียภายนอกทว่านางเองก็พอคาดได้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ นางชักดาบออกมาจากฝักทั้งสองข้างแล้วฟันใส่ม่านอาคมอย่างร้อนรน

                “ฮึ! ดูท่าจะมั่นใจนะว่าตนเองจะชนะ” พลับพลึงกล่าวก่อนจะร่ายคาถาอัญเชิญวิญญาณออกมา วิรงรองเองก็ร่ายอาคมลงในพระขรรค์ก่อนที่เปลวพลังวิญญาณจะคลุมพระขรรค์เสมือนไอหมอก

                “เริ่มเลยแล้วกัน”

 

                ณ ที่ศาลาในบริเวณบ้านแบบตะวันตกสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้นมีเด็กหญิงเกล้ามวยผมถึงกลางกระหม่อมปล่อยผมที่ยาวถึงสะโพกลงมากำลังนั่งสมาธิอยู่ เธอหายใจเข้า-ออกเป็นจังหวะและท่องในใจว่า พุธโธ สายลมพัดมาเบาๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่แพ้พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ เสียงนกร้องและกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันนั้นให้ความรู้สึกร่มรื่นสงบ

                ในขณะนั้นเองรพิ (ญาติของศรี) ก็เดินเข้ามาเพื่อดูว่าพี่สาวตนเองเป็นอย่างไรบ้าง พอเห็นศรียังอยู่ดีก็หมดกังวล เขาเดินไปหาศรีก่อนจะสะกิดเล็กน้อยๆ แล้วกล่าว

                “พี่ศรีครับ นี่ก็จะหนึ่งทุ่มแล้วไปทานอาหารกันเถอะครับ” ศรีลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองในขณะที่รพิยังกล่าวอยู่ เธอยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะกล่าว “จ้ะ”

                ศรีลุกขึ้นแล้วเดินออกจากศาลาไปพร้อมกับรพิ เมื่อมาถึงแล้วก็พบว่าเพื่อนๆ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารก่อนแล้วในห้องครัว ยังมีที่นั่งเหลืออยู่เธอจึงนั่งลงซึ่งอยู่ข้างๆ กับพงสณะ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาเธอก็ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ผิดกับพงสณะที่ออกนอกหน้านอกตาระรื่น

                “เป็นยังไงบ้าง?”

                “ก็… นั่งสมาธิเฉยๆ น่ะ”

                ศรีตอบส่งๆ ไป แต่ถึงจะตอบดีๆ การนั่งสมาธิก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว พงสณะก็ไม่กล่าวอะไรอีกเพราะบ่าวนำอาหารมาแล้ว บรรยากาศสดใสทำให้การทานอาหารนั้นได้อรรถรสมากขึ้น เพื่อนๆ คุยกัน หัวเราะ จิกกัดกันทะเลาะเล่นๆ ทำให้ศรีหัวเราะตามไปด้วย โดยเฉพาะเฉาก๊วยจะชอบแกล้งขนมชั้นในขณะที่ขนมชั้นก็ค่อยบ่นและหันไปจิกกัดปักเป้า ศรีสังเกตว่าคนที่นิ่งๆ เห็นจะเป็นกลีบเย้าและธันนะ ศรีเองก็ไม่ได้คิดอคติกับสองคนนี้เพราะเข้าใจ เป็นคนนิ่งๆ เย็นชาแต่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี แม้กลีบเย้าจะทำเป็นไม่พอใจศรีแต่ศรีก็ไม่เคยเคือง เพราะเห็นว่ากลีบเย้าเป็นเช่นนั้นแค่ภายนอกแต่จริงๆ แล้วก็ใจดีและมีน้ำใจเหมือนกัน

                …ส่วนธันนะก็คงต้องดูต่อไป จากที่ศรีสังเกตพิจารณาตามมุมมองของตนเอง เธอเห็นว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยกล้านักแต่ไม่ได้หมายความว่าขี้ขลาด เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ ดูเหมือนจะเย็นชาแต่ถ้าได้คุยกัน ใกล้ชิดก็พอจะดูออกว่าที่เขาเป็นคนไม่กล้าแสดงออกตามที่ศรีเห็นจริงๆ นั่นแหละ

                “บอกแล้วไงยะว่าฉันจะป้อนให้ศรีน่ะ!”

                “พี่แววไพรตักอาหารให้พี่ศรีแล้วก็ให้หนูป้อนสิ!”

                “เอ๊ะ! อยากลองดีนักใช่ไหมยายเด็กนี่!”

                ศรีหยุดความคิดเมื่อครู่เมื่อเสียงของแววไพรและว่าวดึงความสนใจ เธอฉงนว่าที่ทั้งสองคุยกันหมายความว่าอย่างไรแต่พอดูอาหารในจานที่เริ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ก็ถึงบางอ้อ

                ขอบคุณนะ… แต่ถ้าจะให้ดีให้ฉันทานก่อนเถอะ เสียดายของ

                ศรีคิดในใจจากนั้นก็ห้ามทั้งสองคนเพราะว่าเธอและเพื่อนๆ อยู่อาศัยที่บ้านของผู้อื่นแล้วทำแบบนี้มันดูจะไร้ความเกรงใจเกินไป

                “นี่! พอเถอะทั้งสองคน ถือว่าฉันขอร้องนะ!”

                “เชอะ!”

                “ฮึ!”

                ทั้งสองสะบัดหน้าไปคนละทาง ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ศรีก็สบายใจแล้วล่ะที่หยุดทะเลาะกันได้เสียที อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าสงครามนี้ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้แน่

                เฮ้อ

 

                “จากที่ข้าเคยคุยกับท่านแม่ …ฤๅท่านพินทุที่เจ้าเรียก การฝึกสมาธิก็ช่วยควบคุมการคลายผนึกเนตรได้ แม้นเจ้าจะใส่รัดเกล้าไว้แต่ใช่ว่ามันจะผนึกได้เต็มร้อย เพราะฉะนั้นแล้วถ้าจะให้มั่นใจมากขึ้นนั่งสมาธิบ้างก็ดีเหมือนกัน” ปักเป้ากล่าวในขณะที่นั่งเสื่อตรงพื้นตรงข้ามกับศรี เธอพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ เห็นดังนั้นแล้วปักเป้าจึงอธิบายต่อ

                “หากเจ้ามีสมาธิ ควบคุมสติได้มากขึ้นก็จะช่วยกดพลังเนตรและยักษ์ให้อยู่ในการผนึก ข้ากับเพื่อนๆ คุยกันดูแล้วดูเหมือนว่าร่างยักษ์ของเจ้าจะออกมาก็ต่อเมื่อได้กลิ่นเลือด ตามปรกติยักษ์ที่มิตินี้สามารถควบคุมได้ดีมากกว่าเจ้าที่เป็นครึ่งมนุษย์และยักษ์เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็ก แต่อย่างเจ้าใช้รัดเกล้าผนึกมาตลอดโดยที่แทบมิได้นั่งสมาธิทำให้ร่างยักษ์ออกมาได้ง่ายขึ้น แถมรัดเกล้ายังต้องผนึกเนตรอีกมันก็มากเกินพอแล้ว …อืม อธิบายเท่านี้ละกัน เจ้าก็พยายามแล้วกันนะ สู้ๆ !”

                พออธิบายจบแล้วเขาก็ยิ้มให้ ท่าทีเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้ที่นั่งอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ศรียิ้มตอบก่อนจะทำสมาธิในขณะที่ปักเป้าก็เดินออกจากห้องโดยระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง ปิดประตูแล้วเขาก็มองเพื่อนๆ ที่ยืนอยู่หน้าห้อง

                “เนตรยันต์มรณะได้ข่าวว่ามันร้ายแรงมากเลยนะ” บรรพตกล่าวด้วยความไม่สบายใจ

                “อืม น่าเป็นห่วงมากเลยล่ะ ศรีเองดูแล้วก็คงมิค่อยรู้อันใดเกี่ยวกับตนเองนัก”

                “จะเก็บไว้เป็นความลับต่อไปเหรอครับ?” รพิถาม ปักเป้าถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก

                …สักพักแล้วขนมชั้นก็เป็นคนทำลายความเงียบ

                “ไว้ให้ศรีเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เถิด เรื่องแบบนี้มันก็ทำใจยากอยู่นะ ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยเล่าเรื่องอดีตของศรีเกี่ยวกับเนตรและร่างยักษ์แล้วก็คงเข้าใจใช่ไหมว่ามันเป็นแผลในใจ”

                “ครับ…” ใช่ว่ารพิจะไม่เข้าใจ เขาเองก็เข้าใจศรีไม่แพ้ใคร เขากังวลว่าหากวันใดวันหนึ่งความจริงทั้งหมดเปิดเผยจะทำให้ศรีทุกข์ทรมาน คนบางคนไม่ได้รู้ความลับแล้วเจ็บ บางคนรู้ความลับก็เจ็บ

                …เรื่องบางเรื่องปล่อยไว้ให้เป็นความลับก็คงจะดีกว่ากระมัง

 

                ‘สวัสดีจ้ะ’

                ‘!?’

                ศรีเกือบจะลืมตาขึ้นเพราะตกใจกับเสียงที่ก้องอยู่ในศีรษะ ถ้าเกิดมาจากภายนอกยังเฉยๆ แต่นี่เข้าถึงโสตประสาทเลย เสียงหวานใสที่คุ้นเคยนั้นถามต่อ ‘ทำอะไรอยู่เหรอ?’

                ‘นั่นเธอใช่ไหม?’ ศรีไม่ตอบแต่ถามในใจกลับ เด็กหญิงที่คุยกับเธอก็ยิ้มด้วยความดีใจที่ศรียังไม่ลืมทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้คุยกันจนอดคิดไม่ได้ว่าศรีจะลืมแล้ว แน่นอนว่าศรีไม่ลืมเพื่อนคนนี้และแม้จะไม่ได้ยินเธอก็คาดได้ว่าเพื่อนของเธอต้องยิ้มอยู่แน่ๆ

                ‘ใช่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ’

                ‘นั่นสินะ ขอโทษนะที่ไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ’

                ‘ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองแหละที่ผิด เพราะพอเริ่มโตขึ้นเหมือนจิตจะแยกออกจากกันจนพบกันแทบไม่ได้เลยน่ะ’ เด็กหญิงคนนั้นมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย ศรียิ้มบางๆ พลางกล่าว ‘อย่าคิดมากเลยจ้ะ’ เด็กหญิงยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นแต่แล้วร่างของเธอก็ค่อยสลายไป แน่นอนว่าศรีไม่เห็นเลยไม่รู้ เด็กหญิงคนนั้นก็ไม่ได้โกรธที่ศรีไม่รั้งเธอไว้เพราะเธอเองก็รู้ว่าต่างคนต่างมองไม่เห็นหน้ากันอยู่แล้ว

                ‘…ขอตัวลาก่อนนะ ได้เวลากลับแล้วน่ะ’

                ‘จ้ะ ไว้ถ้าจิตรวมกันได้เมื่อไหร่มาหาฉันอีกนะ’

                ‘แน่นอนจ้ะ’ เด็กหญิงคนนั้นเปลี่ยนจากสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นสดใสเมื่อนึกได้ว่าอย่างไรเสียทั้งสองคนก็ยังคงมีโอกาสพบกันอีก

                …แต่จะเมื่อใดนั่นก็อีกเรื่อง

                เธอเป็นใครกันแน่นะ เมื่อกี้ก็คุยกับเราในความคิดทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในความฝัน เธอมีตัวตนจริงๆ ใช่ไหม? ไม่ได้เป็นเพียงจิตในใจฉันใช่ไหม? ยามเมื่อเราใกล้ชิดกัน ความอบอุ่นของเธอต้องเป็นของจริงแน่นอน

                …แล้วฉันจะรอวันที่เธอจะปรากฏกายเนื้อออกมาจริงๆ …ถ้าเกิดเป็นดังที่ฉันคิด

 

                สูสีกัน

                คมกฤชคิดในใจด้วยความกังวล นางไม่รู้ว่าที่ม่านอาคมมันไม่ยอมแตกออกมันเป็นเพราะตนเองทำได้ไม่ดีพอหรือวิรงรองจะแข็งแกร่งเกินไป วิรงรองท่องคาถาและฟันพระขรรค์ใส่วิญญาณจนพวกมันเริ่มถดถอย ทว่าพลับพลึงก็ยังคงอัญเชิญวิญญาณออกมาเรื่อยๆ …ถ้าให้ดูดีๆ วิรงรองจะเสียเปรียบมากกว่า คมกฤชไม่ได้สังเกตเช่นนั้นเลยไม่กังวลมากขึ้น นางยังคงพยายามใช้ดาบฟันให้ม่านอาคมแตก หลังๆ มานางก็เริ่มร่ายคาถาบ้างก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เมื่อม่านอาคมเกิดปริรอยแตกร้าว เห็นดังนั้นคมกฤชจึงทำไปเรื่อยๆ

                เพล้ง!

                “!” เสียงของม่านอาคมที่แตกดังนั้นเรียกความสนใจจากวิรงรองและพลับพลึง พลับพลึงที่สบโอกาสก็รีบร่ายอาคมใส่วิรงรองทันที

                “วิรงรอง!” คมกฤชที่เห็นก็รีบพุ่งไปข้างหน้าคมกฤชแล้วใช้ดาบที่ร่ายอาคมแล้วใส่พลังมืดที่เข้ามา วิรงรองตกตะลึงไปครู่หนึ่งแต่เมื่อได้สติก็รีบดึงคมกฤชมาอยู่ข้างหลังก่อนจะกว่างเสียงแข็ง “มันอันตรายนะคมกฤช!”

                “พูดอย่างกับว่าเจ้าปลอดภัยจังนะ! ทำไมถึงมิให้ข้าสู้ด้วยล่ะ? รู้ทั้งรู้ว่าตนเองคนเดียวก็มิรอดอยู่แล้วก็ให้คนอื่นเขาช่วยบ้าง… ข้าเป็นห่วงนะถึงพูดเช่นนี้” คำท้ายๆ นี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งไป ดวงตาสีดำซีดของพลับพลึงฉายความหวั่นไหวและเคียดแค้น …พอห่างเหินกันไปสายสัมพันธ์มันตัดได้ง่ายถึงเพียงนี้เหรอ? วิรงรองเองก็หลุบตาลงด้วยความเจ็บปวด แม้นคมกฤชจะไม่รักแต่ก็ยังห่วงใย …นางไม่ชอบเลย ไม่ชอบเลยจริงๆ ยังจะมาเป็นห่วงทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้รัก มันเหมือนกับให้ความหวัง …เป็นฝันลมๆ แล้งๆ

                “ดูเหมือนว่าสายใยของเราจะเริ่มขาดแล้วสินะ” พลับพลึงกล่าวขึ้นเบาๆ ทว่าความเยือกเย็นในน้ำเสียงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน คมกฤชเสมองไปทางอื่นก่อนจะตอบ “คงจะเป็นเช่นนั้น”

                “เช่นนั้นก็เตรียมตัวตายได้เลย” พลับพลึงรู้สึกปวดตา ความอุ่นร้อนของน้ำที่เอ่อนั้นไม่มีใครสังเกต นางพยายามเอ่ยเสียงที่สั่นๆ ให้เป็นปรกติที่สุด ไม่อยากให้ใครรู้ว่านางเสียใจกับการที่ต้องสังหารสหายของตนที่รักกันมานานแต่ก็ยังทำใจกล้า จู่ๆ คมกฤชก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือเรียวขาวนั้นเอื้อมไปสัมผัสแก้มเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนหลังจากนั้นเสียงที่สั่นเครือก็ดังขึ้น

                “ตลอดที่เจ้าหายตัวไป เจ้าเหงาไหม?”

                “…”

                “น่าจะมาเยี่ยมกันบ้างนะ”

                “…”

                พลับพลึงมองไปทางอื่น

                “อยู่ที่อื่นแล้วสบายใจไหม?”

                “…”

                น้ำตาไหลมาหยดหนึ่ง

                “แต่ก่อนเจ้ามิปากแข็งเช่นนี้นี่”

                “ฮึก…” เสียงสะอื้นไห้ทำให้คมกฤชรู้ว่าพลับพลึงร้องไห้ “ทำไม… ฮึก เจ้าต้องมา… ฮึกๆ …ทำเป็นห่วง… ด้วย ก่อนหน้าที่ไปเยือนเจ้าก็ทำท่ากลัวข้า บางครั้งเจ้าก็ทำเหมือนกับว่าจะให้ข้าสังหารยังไงก็ได้ ที่พูดเช่นนี้คงจะหวังสินะว่าข้าจะใจอ่อน?!” คมกฤชยิ้มบางๆ ปาดน้ำตาด้วยนิ้วชี้พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “ข้าอธิบายมิถูกดอกนะ อาจเพราะว่าข้าตกใจก็ได้ ที่คิดมากตลอดว่าเจ้าตายไปแล้วมันทำให้ข้าเสียใจมาก ข้ามิสามารถช่วยเจ้าได้ ทว่าพอเจ้ากลับมาข้าก็รู้สึกผิดและกลัวเจ้า …มิได้กลัวว่าเจ้าน่ากลัวที่มีสภาพเยี่ยงศพ แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะเกลียดข้า เจ้าโกรธข้าทำใจได้ แต่ถ้าถึงขั้นต้องตัดสายสัมพันธ์ที่เชื่อมเราไว้ข้าทำใจมิได้ดอก”

                “แล้วไย… ฮึก เจ้าถึง… ยอมให้ข้าสังหารล่ะ?”

                “เพราะข้าทำตามสัญญาไว้มิได้ บอกว่าจะเป็นเพื่อนเจ้า เล่นกับเจ้า มิทำให้เจ้าต้องเสียใจ จะปกป้องแต่คำสัญญาก็กลายเป็นเพียงแค่ลมปาก ฉะนั้นแล้วโทษฐานที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ก็สมควรสังหารข้าแล้วล่ะ” วิรงรองใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ …กลัวว่าคมกฤชจะตายจริงๆ เสียใจที่นางยังคงมีเยื่อใยกับคนที่แค้นตนเองโดยอาจจะทิ้งให้นางอยู่คนเดียวในโลกคนเป็น

                “ถ้าเจ้าทำแล้วสบายใจข้าก็ยินดี …ตามที่ข้าเคยสัญญาไว้อีกอย่างหนึ่ง”

                “…” พลับพลึงเผลอสบตาคนตรงหน้า เห็นดังนั้นแล้วคมกฤชจึงยิ้มที่เพื่อนรักของตนยอมมองเสียที “ข้าจะทำให้เจ้าสบายใจ หวังว่านี่จะเป็นสัญญาข้อสุดท้ายที่ข้าให้แก่เจ้าได้นะ” คมกฤชเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล นางค่อยๆ เลื่อนดาบมาข้างหน้าตนเองก็จะกล่าวต่อโดยที่ใจของพลับพลึงและวิรงรองเต้นแรง ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วของพลับพลึงยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ วิรงรองเองก็เช่นกัน นางกับพลับพลึงมองคมกฤชด้วยหวาดหวั่น

                คมกฤช เจ้ายอมข้าง่ายไป! ทำไมเจ้าถึง…

                “สำหรับเจ้าข้าอาจเป็นเพื่อนที่เลวที่สุด …แต่ข้าก็อยากทำให้เจ้ามีความสุขบ้าง”

                ฉึก!

                “!!!”

                ของเหลวสีแดงส่งกลิ่นคาวดุจเหล็กให้สะอิดสะเอียน ไหลย้อมผ้าให้หม่นหมอง ตามด้วยหน้าท้องขาวและผ้าถุงลายสวยงามที่บัดนี้ถูกทำลายด้วยเลือด รอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นช่างขัดกับเลือดนั้นทำให้พลับพลึงหลั่งน้ำตามากกว่าเดิม ถึงทีแรกคมกฤชจะผิดแต่พอมาเห็นคนผิดที่ตนเองรักนั้นยอมรับโทษง่ายและส่งยิ้มกับแววตาที่อ่อนโยนจากใจจริงทำให้พลับพลึงตื้นตันใจ เสียใจและรู้สึกผิดขึ้นมา นางรีบดึงดาบออกจากอกก่อนจะร่ายอาคมรักษาบาดแผล

                “อย่าตายนะ!”

                “คมกฤช” เมื่อตั้งสติได้วิรงรองก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างนั้นก่อนที่จะค่อยๆ วางบนพื้นโดยให้ส่วนบนอยู่ในอ้อมแขนโดยที่มีพลับพลึงช่วยรักษาอยู่ด้วย คมกฤชยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ไว้จะมาหาในความฝันนะ ถ้าเหงาก็เรียกข้าได้เสมอ”

                ตึก…

                เมื่อนางหลับตาด้วยสีหน้าที่สงบ ความเงียบก็รายล้อมพร้อมกับความเศร้าโศกที่ปกคลุม น้ำตาของคนเป็นพรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นและกรีดร้องลั่นไปทั่วราวกับจะขาดใจตายเสียให้ได้

                “คมกฤช!!!”

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา