ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
80) บทที่ ๘๐: อดีตของซอ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘๐
[บรรยายโดยนางสาวอนิล สังคีตลาวัณย์]
อดีตของซอ
ตึง!
ซอสามสายถูกกระแทกลงกับพื้น ข้ามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมากรีด ใจหายวาบเมื่อได้ยินเสียงซอสามสายกระแทกกับพื้น หูอื้อ รู้สึกว่าหน้ามืด รับมิได้กับภาพนั้น
‘ไสหัวออกไปแล้วอย่ากลับมาอีกล่ะ!’ ท่านแม่ตวาดลั่น ดวงตาสีดำฉายความเกรี้ยวกราด ข้ามองผู้เป็นแม่โดยที่พูดอะไรมิออก ร่างกายสั่นเทาพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มรินไหล ข้าปาดน้ำตาครั้งหนึ่งแล้ววิ่งลงจากเรือนไปท่ามกลางสายตาดูแคลนของศิษย์สำนักบางคนและบางคนที่สงสาร ถึงจะอับอายที่ถูกไล่ออกจากสำนักแต่ก็มิเท่าความเสียใจที่แม่ของตนเองทำในสิ่งที่ถือได้ว่าตัดสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก
ข้ามองภาพอดีตของตนเองด้วยความปวดร้าว มือบีบมือของอรัญญิกที่กุมไว้แน่นกว่าเดิม นางมิได้เตือนข้า ปล่อยให้ข้าระบายความโศกเศร้าผ่านมือ อรัญญิกโอบไหล่ข้าก่อนจะดึงเข้าไปกอดอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นนั้นชโลมใจให้เริ่มหายเศร้า ทว่าน้ำตายังคงไหลไปเรื่อยๆ จนนางต้องใช้นิ้วของตนเองปาดให้อย่างเบามือ
“ท่านยังมีข้าอยู่นี่เจ้าคะ อย่าไปพะวงภวังค์กับอดีตเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าอยากทำเช่นนั้นอยู่ดอก แต่ข้าลืมมันมิได้จริงๆ” ข้ารู้สึกมิดีขึ้นอีกที่ทำให้คนรักของตนเองต้องพลอยทุกข์ไปด้วย ข้าพยายามมิหันไปมองภาพอดีตที่ฉายอยู่ ซุกหน้ากับอกของอรัญญิกพลางกอดนางแน่นๆ ถึงจะมิเห็นภาพแต่เพียงได้ยินเสียงก็ทำให้เห็นภาพตามและพลอยนึกถึงอดีตที่ยังคงฝังแน่นในใจเสมอ
“ข้าน่ะ… รู้สึกมิดีเลยนะเจ้าคะ ที่ท่านซอต้องมาเจอแบบเดียวกับน้องสาวตนเองเช่นนี้”
พอนางกล่าวถึงน้องสาวทำให้ข้านึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ถูกไล่ออกจากเรือน …นางเป็นน้องสาวที่ท่านแม่มิค่อยพึงใจเพราะนางมักจะร่ำเรียนวิชามวยมากกว่าดนตรี ถึงท่านแม่จะดุว่าอย่างไรนางก็มิเคยที่จะหยุด บางครั้งท่านแม่ลงไม้ลงมือก็ยังมิยอมหยุดอีก กระนั้นนางก็สามารถยิ้มได้แล้วพูดว่า ‘มิเป็นไรดอก’
เมื่อนางเจริญวัยแล้วอยู่มาวันหนึ่งท่านแม่ก็ไล่ออกจากเรือน กระนั้นท่านแม่ก็มิใจร้ายขนาดนั้นท่านยังให้เงินไปสร้างเรือนอยู่กินนอนเอง ตอนนั้นข้าจะไปช่วยแต่ท่านแม่มิยอมให้ข้าทำ …ยามนั้นข้ารู้สึกผิดจริงๆ ทั้งๆ ที่นางคอยให้กำลังใจมาตลอดแม้ว่าตนเองจะทุกข์แค่ไหนนางก็ยังคงเป็นห่วงข้าก่อนตนเองเสมอ แต่พอถึงคราที่นางลำบากข้ากลับสามารถทำการใดมิได้เลยแม้นางจะเข้าใจว่าข้าถูกท่านแม่สั่งห้ามและมิกล่าวโทษข้า …ข้ายังจำภาพนั้นได้ดี รอยยิ้มสดใสให้ความรู้สึกเหมือนสุริยะทอแสงยามรุ่งอรุณเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่นางจะจากไป
…วันนั้นถึงยามของข้าแล้วที่ถูกไล่ออกจากเรือน สภาพน่าสังเวชของข้าปรากฏให้นางเห็นในวันที่ฝนตก หลังจากที่ถูกไล่ออกข้าก็มาหานางที่สำนักมวยซึ่งนางเป็นครูเจ้าสำนัก นางเพิ่งก่อตั้งได้มินานแต่ก็มีศิษย์นับถืออยู่มิน้อย ข้าขออาศัยอยู่กับนางซึ่งนางก็อนุญาตโดยที่มิถามถึงการณ์ที่ข้าถูกไล่ออก นางกลับชวนข้าทานขนมและคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างสบายๆ ทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายและลืมเรื่องเลวร้ายไปเสียสนิท ในตอนนั้นข้าก็นึกอยู่ในใจด้วยความสมเพชตนเองที่มิสามารถช่วยน้องสาวยามที่นางลำบากได้แต่พอตนเองลำบากนางกลับสามารถช่วยได้
…บางครั้งข้าก็เผลอนึกว่าตนเองเป็นน้องเสียอีก มีน้องมาดูแลพี่นี่มันให้ความรู้สึกว่าตนเองยังมิมีความรับผิดชอบในตนเองจริงๆ
“ท่าน… ท่านซอ” จู่ๆ อรัญญิกก็เอ่ยทำให้ข้าออกจากภวังค์อดีต
“มีอันใดฤ?”
“ทำไมร่างของท่านเริ่มโปร่งแสงล่ะเจ้าคะ?” น้ำเสียงของนางมีความกังวลและแปลกใจ ข้าผละออกจากนางแล้วมองตนเอง พบว่าท่องล่างตนเองเริ่มโปร่งแสงแล้วจริงๆ …ข้ากล่าวมิออกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ระหว่างนั้นภาพความทรงจำก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง ข้าเผลอทาบมือกับหน้าอกไว้รู้สึกปวดร้าวมากกว่าเดิม น่าแปลกที่ร่างของข้าเริ่มโปร่งแสงมากกว่าเดิมและสลายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนั้นเองข้าคิดขึ้นมาได้ว่าพลับพลึงอาจจะใช้วิธีให้พวกเราเห็นภาพอดีตแล้วเจ็บปวด ยิ่งเรานึกถึงมากเท่าไหร่มันจะค่อยๆ กัดกินร่างกายและวิญญาณมากเท่านั้น
แย่ล่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงต้องตายแน่ๆ ภาพอดีตมันฉายชัดกว่าเดิม ความรู้สึกยิ่งรุนแรงมากขึ้น อรัญญิกร้อนรน หันซ้ายหันขวาราวกับว่าจะเจอทางออกแล้วจู่ๆ นางก็หลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้น นางดึงข้าเข้าไปกอดไว้แน่นเสียข้าหายใจมิออก
“เหตุใด… ฮึก… ท่านจึงเป็น… เช่นนี้? นี่เราหมด… ทางรอดแล้วฤๅเจ้าคะ” นางถามด้วยเสียงที่ขาดห้วงและสะอื้นไห้
“มิใช่…” ในขณะที่ข้ากำลังจะกล่าวอรัญญิกก็กล่าวแทรกเสียก่อน “ข้าผิดเองแหละ… ถ้าข้า…” ยิ่งนางกล่าวข้าก็ยิ่งห้ามความรู้สึกมิได้ พาลร้องไห้ตามนางไปด้วย ข้าส่ายหน้าก่อนจะกล่าวแทรก
“พลับพลึง… คงจะให้เหล่านายิกาและรองนายิกาเห็นอดีตที่มิน่าจดจำ ยิ่งเรารู้สึกกับมันมากเพียงใดอาคมของมิติความฝันจะยิ่งทำลายวิญญาณ… รวมทั้งเลือดเนื้อ…” น้ำเสียงของข้าแผ่วลงเหมือนกับมันค่อยๆ หายไปตามร่างที่ใกล้สลายเต็มที อรัญญิกส่ายหน้าอย่างแรงแล้วแผดเสียงลั่น
“ท่านจะมิตาย! ท่านซอ… ท่านยังมิข้าอยู่แล้วจะไปนึกถึงอดีตทำไมกันเจ้าคะ? ข้ามิอาจสร้างความสุขให้ท่านเลยเลยฤๅเจ้าคะ?!!”
“…”
“ท่านทำเช่นนี้ก็เท่ากับมิรักข้า แล้วที่ผ่านมาท่านทำไปเพื่อการใดกัน? ทั้งที่ท่านพยายามที่จะได้อยู่กับข้า มิว่าจะด้วยวิธีใดท่านก็ยังคงเป็นฝ่ายเชื้อเชิญ ให้ความรักกับข้ามิเสื่อมคลาย พอถึงเพลานี้ท่านกล่าวยังกับว่าจะลาจากข้าไป …มิรู้ล่ะเจ้าค่ะ ครานี้ข้าจะสั่งท่านบ้าง…”
“…” จากที่เมื่อครู่ข้าหลุบตามิสบตากับอรัญญิกกลับต้องช้อนมองนางด้วยความฉงนและตื้นตันใจ …คำที่นางเอ่ยล้วนบอกว่านางเองก็รักข้ามิแพ้กัน
“จงลืมอดีตแล้วให้ความสำคัญกับข้าเสีย” นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล่าวมิถ่อมตนเอง จู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวกับคำพูดนั้น มิใช่ความโกรธแต่เป็นความดีใจที่นางกล่าวเช่นนี้ …ภาพอดีตค่อยๆ เลือนรางพร้อมกับร่างของข้าที่เริ่มชัดเจนขึ้น
“แล้วถ้าข้าขัดคำสั่งล่ะ”
“…ถ้าขัดคำสั่งข้าก็จะเพิกเฉยต่อความรู้สึกที่เจ้ามีให้” จากความดีใจเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ถึงจะรู้ว่านางมิทำเช่นนั้นจริงแต่ข้าก็ห้ามความกลัวไว้มิได้ ข้ากอดนางแน่นขึ้นพร้อมกับมือขวาเผลอกำผ้าคาดอก ข้าเพิ่งรู้สึกตัวว่าน้ำตาหยุดไหล
“เจ้าค่ะ …ท่านอรัญญิก” เราสลับบทกัน ครานี้ข้าเป็นฝ่ายรองไปเสียแล้ว กระนั้นข้าก็มิโกรธนาง กลับกันข้ารู้สึกดีใจจนความสุขเปี่ยมล้นท่วมท้น …ที่ผ่านมาแม้นางจะยอมข้าบ้าง แต่นางมิค่อยบอกคำว่ารักอย่างชัดเจนนักมีเพียงข้าที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ… แต่ครานี้นางเป็นฝ่ายเชื้อเชิญแม้จะมิเอ่ยคำว่ารักก็ตามที
อรัญญิกลูบศีรษะข้าให้ความรู้สึกอบอุ่นจนอากาศรอบกายที่เย็นยะเยือกนั้นอุ่นขึ้นมา ข้าสังเกตว่าภาพอดีตหายไปแล้วพร้อมกับร่างของข้าที่กลับมาเป็นดังเดิม อรัญญิกที่สังเกตเหมือนกันก็ขยับใบหน้าออกห่างพลางสบตาข้าด้วยความดีใจ นางมิเอ่ยอันใดราวกับว่านางสื่อความหมายแทนคำพูดเป็นสายตาแทนแล้ว
มือข้างหนึ่งโอบร่างของข้าไว้ส่วนอีกมือก็ไล้ใบหน้าข้าอย่างอ่อนโยน นางเลื่อนหน้าเข้ามาอย่างช้าๆ ขณะนั้นข้าก็พินิจดวงหน้าขาวออกคล้ำแต่เรียวได้รูป ขอบตาเรียวหรี่ลงกับดวงตาสีดำที่ฉายความรักสื่อออกมาแทนคำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกตื้นตันใจมากขึ้น ริมฝีปากบางประทับกับริมฝีปากของข้าอย่างอ่อนโยน เนื้อริมฝีปากที่นุ่มนิ่มเม้มดูดดึงริมฝีปากเบาๆ แล้วจุมพิตธรรมดาอีกครั้งทว่าให้ความรู้สึกรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ราวกับตกอยู่ในห้วงความฝันอันแสนเปรมปรีดิ์ ทว่าพอตื่นขึ้นมาก็ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายที่ย่างกรายเข้ามา กระนั้นข้าก็ยังอยากให้หยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ อยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันนานตราบชีวีจะหาไม่
…ข้ารู้ว่ามันมิอาจเป็นไปได้เมื่อบางอย่างมาขวางกั้น แต่ข้าขอเพียงเท่านี้เพราะนี่คือความสุขของข้า…
“ท่านซอเจ้าคะ”
“มีอันฤๅอรัญญิก?” เราสองคนสลับบทกลับแล้ว ขณะนี้ข้ากับอรัญญิกกำลังเดินอยู่ในมิติความฝัน แม้จะระแวงบ้างว่าจะมีภยันตรายอันใดอีกแต่ช่วงเวลานี้ข้าได้อยู่กับอรัญญิกก็มิรู้เกรงกลัวแล้วล่ะ ข้ามองอรัญญิก รอว่านางจะกล่าวอันใด
“ท่านโกรธฤๅไม่เจ้าคะที่ข้ามิถ่อมตนเอง?” น้ำเสียงของนางมีความรู้สึกอยู่ นางมิสบตาข้าช่างผิดแผกกับก่อนเพลานี้ที่นางสบตาข้าและจุมพิตอย่างรักใคร่ …เฮ้อ อรัญญิกนี่นะ ถ่อมตนเองรอรับคำสั่งมาตลอดแต่พอถึงคราที่อารมณ์เผลอไผลนี่ปล่อยเลยตามเลยเชียวนะ ถ้านางเผลอไผลได้ตลอดก็ดีสิ
“ข้ามิโกรธดอก เรื่องแค่นั้นเอง”
“แต่… แต่ว่า…” ข้าแตะนิ้วชี้กับริมฝีปากของนางที่กำลังเผยอก่อนจะกล่าวขัดนาง “นายิกากับรองนายิกาบางจังหวัดยังมิถือสูง-ต่ำเลย เพียงแค่เจ้ากล่าวมิถ่อมตนมันมิเสียหายนักนี่ …อีกอย่างนะ ข้ารักเจ้าจนข้ายอมรับความผิดที่เจ้าทำได้ทุกอย่างเลยนะ”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าพาลนึกถึงคำที่โบราณกล่าวว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ เลยนะเจ้าคะ” นางยอมสบตากับข้าพร้อมกับยิ้มมุมปากบางๆ ข้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“เจ้าก็เช่นกัน …ขนาดข้าสังหารท่านแม่ของมณฑาเจ้ายังทำเป็นมิสนใจเลย…” ข้าเผลอกล่าวถึงอดีตอีก ความเศร้าจึงพลันผุดขึ้นมา อรัญญิกยิ้มบางๆ ทว่าเต็มไปด้วยความเศร้า นางกุมมือข้าไว้ก่อนจะเอ่ย
“ลืมมันเสียเถิดเจ้าค่ะ… หากท่านยังมิลืมอีกจะถือว่าท่านขัดคำสั่งข้านะเจ้าคะ” แม้อดีตจะลืมยากแต่พอคนรักกล่าวเช่นนั้นมันทำให้ข้าลืมไปได้อย่างง่ายดาย ข้าเข้าไปกอดนางแน่นๆ อย่างรวดเร็วจนเกือบเสียหลักล้มลงไป ยังดีที่อรัญญิกรับได้ทันนางจึงประคองกอดข้าไว้
“ระวังด้วยเจ้าค่ะ บัดเดี๋ยวก็บาดเจ็บดอก”
“ขะ ขอโทษนะ ข้ากลัวว่าเจ้าจะเพิกเฉยต่อข้าน่ะ ถึงเจ้าจะมิทำจริงๆ ก็ตามแต่ข้าก็อดกลัวมิได้น่ะ”
“เฮ้อ… เพราะข้ารู้ว่าท่านจะสามารถลืมได้ข้าเลยลองพูดและมันก็ได้ผลจริงๆ ด้วย” จากสีหน้าเศร้าเปลี่ยนเป็นขบขัน ดวงตาของนางฉายความเอ็นดูเหมือนมองเด็กๆ ที่เล่นมิรู้จักระมัดระวัง นางลูบศีรษะข้าเบาๆ สักพักนางก็ปล่อยข้าให้เป็นอิสระก่อนจะเดินต่อ น่าเสียดายนักอยากให้นางทำแบบนั้นนานๆ พออยู่กับนางแล้วข้ารู้สึกว่ามิมีอะไรน่ากลัวเลย
ในขณะที่เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ โดยที่มิรู้ปลายทาง ข้าก็เห็นยันต์ปรากฏตามที่ต่างๆ ดูเหมือนว่าอรัญญิกจะสังเกตเห็นจึงถามด้วยความสงสัยและระแวง “ท่านซอ ยันต์พวกนี้มัน…”
วูบ…
มิทันที่นางจะกล่าวจบยันต์พวกนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าลอยหายไปในอากาศ เราสองคนมองตามอย่างแปลกใจ …ทำไมยันต์ถึงปรากฏขึ้นล่ะ? มันมีไว้ทำการใด? ข้าหันไปสบตากับอรัญญิกเพื่อถามนางผ่านแววตา นางส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะมองขึ้นไปอีกครั้ง
“จะว่าไปแล้วเรารอดมาได้อย่างง่ายๆ มันก็น่าแปลกใจนะเจ้าคะ มิใช่ว่านี่เป็นแผนให้เราตายใจดอกฤๅเจ้าคะ?” อรัญญิกถามในขณะที่ยังคงมองท้องฟ้า ข้าถอนหายใจเบาๆ โดยที่พยายามมิให้นางได้ยินก่อนจะตอบ
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้มันยังมิมีการณ์ร้ายอันใดก็อย่าไปวิตกมันเลย”
“…เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางฟังดูเลื่อนลอย ข้าอ้าปากจะถามว่าเป็นอันใดแต่ก็ต้องหุบเมื่อคิดว่าน่าจะปล่อยให้นางตกอยู่ในห้วงภวังค์ก่อนเผื่อจะคิดอันใดได้บ้าง
…จะว่าไปยันต์… เรื่องนี้ข้าอดสงสัยมิได้จริงๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ