ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

75) บทที่ ๗๕: นั่งคุยสัพเพเหระในร้านกาแฟโบราณ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ ๗๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
นั่งคุยสัพเพเหระในร้านกาแฟโบราณ
                พาฬเห็นหลายครั้งแล้ว…
                ย้อนกลับไปเมื่อวันอังคารที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ พบรอยอักขระยันต์เป็นวงเวทปรากฏตามที่ต่างๆ อาทิ พื้นดิน ผนัง บนผิวน้ำ ฯลฯ นางเคยลองใช้อาคมไปตรวจสอบแต่ก็จับถึงพลังวิญญาณไม่ได้ การลงยันต์นั้นค่อนข้างซับซ้อนจนนางดูไม่ออกว่าเป็นยันต์ไว้ทำอะไร พลังวิญญาณก็รู้แค่ว่าอยู่ในกลุ่มธาตุมืด
                “ข้าอดคิดมิได้ว่ามันจะเกี่ยวกับคดีนี้” พาฬกล่าวขึ้นหลังจากเล่าเรื่องที่นางไปเจอเกี่ยวกับยันต์ ในที่ประชุมนี้ไม่มีใครเอ่ยอะไร ทุกคนต่างครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะคมกฤชที่แสดงสีหน้ากังวลจนคชินทร์ที่นั่งข้างๆ อดถามไม่ได้จึงหยิบกระดาษขึ้นมาเขียน
                สีหน้าเจ้าดูกังวล อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้อันใด?
                คมกฤชที่ได้อ่านข้อความนั้นก็หน้าซีด นายิกาทุกคนเห็นนางมีสีหน้าเช่นนั้นก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่าคมกฤชรู้อะไร จนกระทั่งนางกลืนน้ำลายอึกหนึ่งถึงได้กล่าวคลายความสงสัย
                “…ข้าน่าจะเห็นนานแล้ว… อาคมนั้นคืออาคมดูดพลังวิญญาณ ถึงมิแตะมันก็จะดูดพลังวิญญาณของคนที่อยู่ใกล้ๆ หากปล่อยให้มันลามไปกว่านี้แม้จะอยู่ไกลเพียงใดก็มิรอดแน่”
                “มิบอกให้เร็วกว่านี้ล่ะเจ้าคะ?” กุมภิลถามด้วยความไม่พอใจ คมกฤชใช่ว่าจะโกรธแต่กลับรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เรื่องมันบานปลาย
                “…ข้า… ข้า…” คมกฤชกล่าวติดๆ ขัดๆ ทุกคนเงียบเหมือนกับรอให้นางกล่าวจบ ทว่าพาฬก็ชิงกล่าวก่อน
                “อย่าไปกดดันนางสิ มิว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเรื่องมันก็ผ่านมา ข้าว่าเรามาหาเหตุผลที่พลับพลึงทำเช่นนี้นอกจากดูดพลังวิญญาณจะดีกว่า” พาฬส่งสายตาตำหนิให้กุมภิลจนอีกฝ่ายซึมไป นางรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะสยบกุมภิลได้ก็คือพาฬเอง
                ธัญ นายิกาแห่งจังหวัดลพบุรีคิดถึงความเป็นไปได้ในการใช้วงเวทนั้นขณะเดียวกันก็เหลือบมองหญิงสาวข้างกายเหมือนจะขอความเห็น อีกฝ่ายสวมเสื้อลูกไม้แขนยาวทับด้วยสไบผ้าแพรเกล้ามวยผมฝรั่ง สวมสร้อยไข่มุกสองเส้นและเครื่องประดับอื่นๆ นุ่งโจงกระเบน ดูเหมือนหญิงสาวจะรู้สึกตัวเลยหันมามองพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
                “มีอันใดฤๅเจ้าคะ?”
                “มุจลินทร์ เจ้าคิดว่าพลับพลึงทำเช่นนี้เพราะเหตุใด” พอได้ฟังคำถามนั้นหญิงสาวเจ้าของนามมุจลินทร์ก็ลอบยิ้มมุมปากก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว
                “ท่านธัญนึกถึงคดีที่ท่านพลับพลึงเสียชีวิตสิเจ้าคะ ภารกิจคือให้ปิดประตูนรก แต่วิธีปิดของมันคือต้องสังเวยชีวิตของใครสักคน”
                “แล้วอย่างไร?”
                “มีความเป็นไปได้ว่าท่านพลับพลึงจะใช้ทะเลในภาคใต้เป็นทางไปสู่นรกและนั่นคือประตู ทะเลกว้างใหญ่นักหากจะทำพิธีให้ประตูฟื้นขึ้นมาก็ย่อมต้องใช้พลังวิญญาณมิใช่น้อย ย่อมหมายความว่าที่ท่านพลับพลึงดูดวิญญาณไปอาจจะใช้เป็นพลังเปิดประตูก็ได้” พอนางกล่าวจบเกือบทุกคนที่หันมาฟังทั้งสองคุยกันก็มีสีหน้าตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง โดยเฉพาะคมกฤชที่แสดงสีหน้าไม่สบายใจมาก
                คมกฤชหายใจอย่างยากลำบากจนหญิงสาวข้างกายนามวิรงรองซึ่งเป็นรองนายิกาของนางเป็นห่วง นางแต่งชุดราชประแตนคาดด้วยผ้าตรงเอว ผ้าสีอ่อนพันรอบคล้องคอปล่อยชายที่ด้านหน้าและหลัง มีชายผ้าไว้ตรงกลางของโจงกระเบนเหมือนเป็นจีบหน้านางไว้ผมม้าแบบตัดเท่ากัน ปอยผมด้านข้างโค้งเล็กน้อย ผมที่เหลือเกล้าทรงหางม้าสูงระดับกลาง ดวงหน้ามนเหมาะกับดวงตาที่หางตาตกให้ความรู้สึกอ่อนโยน ดวงตาสีดำสดใสฉายความอ่อนโยนนั้นทำให้คมกฤชลืมความเจ็บปวดในจิตใจลงไปได้หน่อย
                “คมกฤช… ไหวฤๅไม่จะได้ออกจากที่ประชุมก่อน”
                “มิเป็นไรดอก ข้า… ข้ายังไหว” ท่าทางคมกฤชจะไม่ยอม วิรงรองเลยทำได้เพียงกุมมือคมกฤชไว้เบาๆ แน่นอนว่านางไม่ได้กุมบนโต๊ะแต่กุมไว้ใต้ล่าง
                หลังจากนั้นก็นายิกาคนอื่นๆ ก็สนทนาพักหนึ่งแล้วจึงจบการประชุม บางคนเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน ไม่ได้เหนื่อยกายแต่เหนื่อยใจ คมกฤชกับวิรงรองออกจากที่ทำการนายิกาและขึ้นรถเทียมม้าเมื่อมาถึงเรือนที่เช่าอยู่ชั่วคราววิรงรองก็กล่าวขึ้นหลังจากที่ลงมาและรับคมกฤชที่กำลังลงจากรถ
                “ข้าว่าข้าจะต้องโดนสังหารแน่”
                “?” คมกฤชมองวิรงรองอย่างฉงนว่าทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นทั้งๆ ที่พลับพลึงก็จะฆ่าทุกคนแต่ที่วิรงรองกล่าวเหมือนจะบอกว่านางจะต้องโดนแตกต่างจากคนอื่น “ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น?”
                “ในเมื่อข้ามาแทนที่พลับพลึง อย่างไรเสียนางก็คงจะแค้นข้าเป็นแน่”
                “…นั่นสินะ หากข้าเป็นเช่นนางก็คงแค้นมิแพ้กัน พอถูกคนอื่นแทนที่ก็คงจะเจ็บใจมิใช่น้อย” คมกฤชกล่าวด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง วิรงรองมองอย่างเห็นใจ รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้ความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายและอดีตรองนายิกาเป็นเช่นนี้
                “ข้าผิดสินะ…”
                “มิใช่ดอก อย่างไรเสียก็ต้องมีใครสักคนมาแทนที่ มิเช่นนั้นก็จะทำงานร่วมกันมิได้” คมกฤชกล่าวเมื่อหยุดเดิน พอได้ฟังเช่นนั้นวิรงรองก็ยิ้มมุมปากนางเข้าไปโอบกอดคมกฤชแล้วกระซิบ
                “นี่… คมกฤช เจ้าคิดกับนางเพียงแค่สหายฤๅคนรัก?” คำถามนั้นทำให้คมกฤชสะอึกไป มือเผลอจับมือที่วิรงรองเอื้อมมือมากอดไว้ อึดอัดในอกเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนของตนเองและพลับพลึง นางตัดสินใจจบการสนทนาด้วยคำพูดต่อมา “ข้าว่าเราหยุดพูดเรื่องนี้เถิด ไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ” พอกล่าวจบคมกฤชก็ดึงมือของวิรงรองออกแล้วเดินไป ทว่าเดินได้ไม่ถึงห้าก้าวก็ถูกวิรงรองดึงเข้าไปกอดไว้
                “เจ็บฤ?” มือข้างหนึ่งเลื่อนมาทาบบนอกด้านซ้ายแล้วบีบเบาๆ คมกฤชเริ่มใจคอไม่ดีเพราะรู้สึกได้ถึงไอบางอย่างที่แผ่ซ่านจากวิรงรอง “อืม…”
                “แล้วตกลงเจ้าคิดกับพลับพลึงในฐานะอันใด? คนรัก? สหาย??”
                “ข้ามิรู้”
                “มิรู้ฤ?” วิรงรองถามพลางยิ้มมุมปาก นางปล่อยให้คมกฤชเป็นอิสระ ในขณะที่คมกฤชกำลังจะเดินหนีนางก็ถูกวิรงรองจับใบหน้าไว้แล้วประทับริมฝีปากลงมา ริมฝีปากบางสีอ่อนนุ่มนิ่มบดริมฝีปากสีเข้มของคมกฤชเบาๆ ทว่าในความรู้สึกของคมกฤชช่างดุดันนัก สัมผัสนุ่มนวลอุ่นร้อนทำให้ในหัวขาวโพลนไปหมด สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนแม้แต่ความคิดที่จะขัดขืนก็ไม่มี ทั้งๆ ที่แรงของนางก็ไม่ด้อยกว่าอีกฝ่ายแต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้ วิรงรองค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกก่อนจะกระซิบข้างหูคมกฤช
                “ข้าตัดสินให้ก็ได้ เจ้าเป็นสหายกับพลับพลึง …แต่ในฐานะคนรักเจ้าต้องเป็นกับข้า”
                “?!” คมกฤชเบิกตาด้วยความตะลึง ใบหน้าเรียวงามที่ก้มพลันเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “เจ้า… ที่ผ่านมาคิดกับข้าในฐานะ… คนรัก?” วิรงรองพยักหน้าก่อนจะกล่าว
                “ใช่ ที่ผ่านมาข้าคิดกับเจ้าเช่นนั้น ตอนที่เข้ามาเป็นรองนายิกาก็คิดจะเชยชมเจ้าแก้เบื่อ …แต่พอยิ่งอยู่ใกล้ชิด เชยชมมากเท่าใด ความรู้สึกก็พลันแปรเปลี่ยน”
                “…แล้วสามีเจ้าล่ะ? ถึงเขาจะตายไปแล้วแต่ถ้าเจ้าทำเช่นนี้…”
                “ช่างมันสิ สามีพรรค์นั้นข้ามิอยากได้อยู่แล้ว มันเป็นเพียงเรื่องในอดีต …แล้วตอนนี้ปัจจุบันข้าก็มีเจ้าแล้วด้วย” มือของวิรงรองเข้ามากุมต้นแขนคมกฤชไว้ก่อนจะดึงผ้าคลุมไหล่ขนาดใหญ่ผืนหนาให้เลื่อนลงไปเผยให้เห็นต้นแขนขาวนวล ดวงตาสีดำของคมกฤชจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจและแปลกใจมาก วิรงรองที่นางรู้จักนั้นใจดี อ่อนโยน ความเจ้าเล่ห์นั้นก็ไม่มี ความคิดที่ชั่วร้ายก็ไม่มี ริมฝีปากสีอ่อนนั้นก็ไม่เหยียดมุมปากยิ้มน่าหวาดหวั่นเหมือนตอนนี้ ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนวิรงรองคนเดิมเลยสักนิด
                “เจ้า… เจ้ามิใช่คนแบบนี้นี่ วิรงรองที่ข้ารู้จักมิได้เป็นเช่นนี้” คมกฤชกล่าววกวน สีหน้าของนางซีดลงเรื่อยๆ รู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายขึ้นมา “เจ้าเป็นใคร?”
                “ข้าก็คือข้านั่นแหละคมกฤช เพียงแต่เป็นด้านมืด ที่เจ้าเห็นทุกวันเป็นด้านสว่าง” น้ำเสียงของวิรงรองช่างเย็นเยียบนักจนคมกฤชหวาดกลัวกว่าเดิม นางตัดสินใจผลักอีกฝ่ายออกอย่างแรงก่อนจะวิ่งออกไป
                “หึๆ เจ้ามองเพียงแค่ผิวเผินเองฤ? ประมาทไปนะคมกฤช”
                .
                .
                .              
                คมกฤชเริ่มหยุดวิ่งเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ตามมา นางยืนพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปในร้านกาแฟโบราณ เป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่ไม่ได้ตกแต่งหรูหราหรือทันสมัยจึงให้ความรู้สึกอบอุ่น นางสั่งชาเย็นมาหนึ่งแก้วก่อนจะนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ สักพักเครื่องดื่มที่สั่งก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ คมกฤชดูดน้ำจากหลอดพลางมองไปรอบๆ รสชาติหวานกลมกล่อมกำลังดีแต่เย็นเชียบเพราะใส่น้ำแข็งรวมถึงอากาศที่เย็นเพราะฝนตกแล้วทำให้น้ำเย็นกว่าเดิม คมกฤชดึงผ้าคลุมไหล่มาคลุมไว้ดังเดิมเพื่อคลายความหนาว
                 เมื่อดื่มหมดแล้วนางก็สั่งชาเขียวร้อนมาอีกแก้ว พอเครื่องดื่มมาแล้วนางก็ดูดน้ำพลางคิดเรื่องต่างๆ รสชาติหวานที่ขมเล็กน้อยทำให้คมกฤชรู้สึกดีกว่าชาเย็นเมื่อครู่ ความร้อนจากน้ำที่ไหลลงสู่คอทำให้ในร่างกายร้อนขึ้นมาคลายความหนาวลงไปได้
                คมกฤชมองไปรอบๆ ก็เผอิญเห็นธัญกับมุจลินทร์กำลังทานขนมปังสังขยาอยู่ โดยที่มุจลินทร์ป้อนขนมให้ธัญอย่างเอาอกเอาใจชวนให้คนอยากมีคนรักอิจฉาเล่นๆ
                ดีจังเลยนะ…
                “สวัสดีเจ้าค่ะท่านคมกฤช” จู่ๆ มุจลินทร์ก็ทักทายคมกฤชทำให้คนถูกทักแทบพ่นน้ำออกมาแต่ดีที่คมกฤชยั้งไว้ได้เลยหันมายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างแนบเนียน
                “สวัสดีทั้งสองคน”
                “มากินขนมกับพวกเราสิ” ธัญกล่าวเชิญพลางยิ้มบางๆ คมกฤชลังเลเพราะรู้จักมุจลินทร์ดีว่าเจ้าตัวไม่ชอบให้ใครเป็นก้างขวางคอเพื่อที่จะได้จู๋จี๋กับธัญ แต่พอมองตาของมุจลินทร์ที่บอกถึงความเต็มใจคมกฤชจึงยอมไปนั่งโต๊ะเดียวกับนายิกาและรองนายิกาแห่งจังหวัดลพบุรีด้วย
                “สีหน้าท่านดูมิดีเลย กังวลเรื่องพลับพลึงฤๅเจ้าคะ?” มุจลินทร์ถาม คมกฤชพยักหน้าก่อนจะตอบ “ใช่ ข้ามิสบายใจและรู้สึกผิดจริงๆ ที่เห็นสหายของตนเองทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้”
                “อย่ากล่าวเช่นนั้นสิคมกฤช” ธัญกล่าวเบาๆ พลางตบบ่าคมกฤชไปด้วย หลังจากนั้นธัญกับมุจลินทร์ก็ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อจะให้คมกฤชลืมเรื่องนั้น ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะคมกฤชเองก็เผลอยิ้มและคุยอย่างขบขันกับเรื่องที่คุยกับอีกฝ่าย
                ดีจริงที่หนีออกมา ผ่อนคลายได้ไปเยอะเลย
               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา