ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

74) บทที่ ๗๔: ความห่วงใย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๗๔

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ความห่วงใย

                “จะออกไปเลยไหม?” หญิงสาวสวมหน้ากากถามหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นางมาเยี่ยมอีกฝ่าย …ถ้าจะกล่าวให้ถูกคือนางมาถามความคืบหน้าของงานต่างหาก

                “ยังมิไปน่ะ ---นี่ ผู้อาวุโส ข้าขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?”

                “อันใดล่ะ?”

                “เนตรยันต์มรณะ ของเด็กคนนั้น… ข้าขอได้ฤๅไม่?”

                “!” หญิงสวมหน้ากากมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความโกรธ อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะกล่าว

                “ข้าได้มาข้างหนึ่ง แล้วถ้าเจ้ามิว่าอะไร… ข้าจะขออีกข้างได้ไหม?”

                “มิได้!!” หญิงสวมหน้ากากตะคอกตอบ นางกำมือที่สั่นแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น อีกฝ่ายหลับตาก่อนจะลืมขึ้น สบตากับหญิงสวมหน้ากากตรงๆ รอฟังว่าจะกล่าวอันใดต่อ

                “…”

                “พลับพลึง ตอนนั้นที่เจ้าสั่งให้นางยักษ์ชิงเนตรไปข้าก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว! นี่ยังขออีกข้างฤ? ที่เจ้าได้ไปตอนนั้นข้ามิสังหารเจ้าเสียก็ถือว่าเมตตามากแล้วนะ!!!”

                “…” หญิงสาวเจ้าของนามพลับพลึงมองอีกฝ่ายนิ่งๆ นางเองก็รู้ดีว่าเด็กหญิงที่กำลังพูดถึงอยู่สำคัญกับหญิงสวมหน้ากากเพียงใด ลึกๆ นางก็ขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่ฆ่าทั้งๆ ที่ชิงอวัยวะจากคนสำคัญของอีกฝ่ายมา

                “ฮึ! ข้ากลับล่ะ ---ข้าขอเตือนก่อนจาก หากเจ้าชิงมาอีกอย่าหวังจะได้ตายดี!!!” หญิงสวมหน้ากากตวาดเสียงลั่นก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไปส่งเสียงตึง!

                พลับพลึงมองจนอีกฝ่ายปิดประตูเสียงดังปัง! พลางคิดในใจไปด้วย

                …ถึงข้าจะชิงมาแต่เจ้าคงมิมีโอกาสสังหารดอก …ถ้าเกิดข้าเป็นฝ่ายแพ้ในคดีนี้น่ะนะ

 

                ศรีแตะดวงตาขวาที่ปิดด้วยผ้าพันแผลในขณะที่นอนอยู่บนฟูก สัมผัสได้ถึงเบ้าตาที่ยุบลงไปเพราะไม่มีลูกตา แม้จะเสียดวงตาไปแต่เธอก็ไม่ค่อยเสียใจสักเท่าไหร่เพราะอย่างน้อยมันก็เหลืออีกข้าง ถ้าเป็นแขน ขาก็ว่าไปอย่าง อสุราที่ถือถาดมีกาน้ำกับถ้วยวางอยู่สะดุดตาเข้ากับตาข้างขวาของน้องสาวตนเอง ความโกรธแค้นพลันกัดกินจิตใจ เธอพยายามระงับอารมณ์ มือสั่นจนสะเทือนกับถาด กาน้ำและถ้วยส่งเสียงแกร๊งๆ ศรีได้ยินเสียงนั้นก็รู้การมาเยือนของพี่สาวตน เธอเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาจะช่วยถือ ทว่าอสุรายื่นถาดหนีก่อนจะวางไว้บนโต๊ะข้างประตู แล้วโอบไหล่ศรีให้ไปนอน

                “พี่อสุราเป็นอะไรเหรอคะ?” ศรีถามอย่างไม่สบายใจหลังจากนอนแล้ว อสุรายิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไรจ้ะ นอนพักเถอะร่างกายจะได้ดีขึ้น”

                “…พี่จะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ หนูดูแลตนเองได้ค่ะ” ศรีรู้สึกผิดจริงๆ หลายต่อหลายครั้งที่เธอเข้าไปพัวพันกับเรื่องร้ายๆ โดยมีอสุราตามเข้ามาช่วยเสมอ อสุราส่ายหน้าแล้วลูบศีรษะศรีเบาๆ

                “ไม่ได้นะ มิติที่เราอยู่ก็ว่าอันตรายแล้วพี่ปล่อยให้หนูอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก”

                “หนูยังมีเฉาก๊วย พงสณะ แววไพร รพิและก็คนอื่นๆ ด้วย พวกเขาช่วยเหลือหนูได้ค่ะ”

                “แต่ดูแลไม่ได้” อสุราเอ่ยเสียงแข็ง ทำให้ศรีนิ่งไปพักหนึ่ง “แต่ว่า…”

                “ไม่มีแต่ ถ้ายังดื้อด้านอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะ” น้ำเสียงนั้นจริงจังและอ่อนโยนในความรู้สึกของศรี แม้เธอจะไม่กลัวแต่เธอก็ยังเกรงใจผู้เป็นพี่และรู้สึกผิด เพราะแบบนี้จึงไม่เอ่ยแย้งใดๆ อีก

                “…ศรี หนูน่าจะรู้นี่ว่ามีเพียงเราสองพี่น้อง พ่อแม่เราก็ไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ คนในตระกูลก็ไม่ค่อยจะยอมรับ ถึงหนูจะมีเพื่อนแต่ใช่ว่าหนูจะไว้ใจได้นี่” อสุราเอ่ยเสียงเบา ยิ่งฟังสิ่งที่เธอพูดศรีก็ยิ่งรู้สึกผิด

                “…”

                “หนูไม่ต้องรู้สึกผิดและแบกรับทุกอย่างที่เข้ามาหรอกนะ …ขอให้นึกเสมอว่าหนูยังมีพี่อยู่…”

                พี่ไม่อยากเสียหนูไปอีกแล้ว

                คำต่อมาอสุราไม่เอ่ย แต่ศรีรับรู้ได้จากแววตาที่ฉายความโศกเศร้า ความหวัง เป็นความหวังที่มีที่พึ่งพิงสุดท้าย …ซึ่งนั่นก็คือตัวศรีเอง

                ศรียื่นมือออกไปซึ่งอสุราก็ยื่นมากุมไว้เบาๆ มองพี่สาวของตนพลางยิ้มบางๆ ก่อนจะหลับตาลง สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือดวงตาสีดำที่ฉายความว้าเหว่

 

                หญิงสาวสวมผ้าคาดหน้าอก ปิดตาด้วยที่คาดสีดำข้างซ้าย  ผมที่ยาวเลยบ่าเล็กน้อยเรียบแต่โค้งช่วงปลาย มีผ้าลายไทยคาดรอบศีรษะแล้วผูกไว้ปล่อยชายด้านข้าง สวมเกราะที่แขนและตรงสะโพก มองโลงศพในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะจนต้องจามเป็นบางครั้ง สัมผัสได้ถึงความสากของฝุ่นที่ลอยในอากาศ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวผมสั้นปลายงอนคาดที่คาดผม สวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาว นุ่งผ้าซิ่น มือที่ผสานไว้และเท้าที่ชิดกันทำให้เธอดูเรียบร้อย

                “ลินินณา หยิบมีดให้แม่ที”

                “ค่ะ” หญิงสาวเจ้าของนามลินินณาหยิบมีดมาให้โยธาซึ่งเป็นแม่ของตน มองอีกฝ่ายเปิดฝาโลงแล้วใช้มีดกรีดร่างในโลงศพอย่างไม่สบายใจ รู้สึกเหมือนกำลังล่วงเกินผู้ตาย แม้จะเป็นศพฝ่ายศัตรูก็ตามที “แม่คะ อย่าดีกว่าค่ะ ทำแบบนี้เหมือนล่วงเกินผู้ตายนะคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลเตือนเบาๆ ทว่าผู้เป็นแม่ทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ตอบกลับอย่างขัดใจ

                “เฮ้อ… ก็มันช่วยมิได้นี่ อีกอย่างนะ ที่แม่เคยเห็นมาแพทย์ก็ตรวจศพแบบนี้ก็มิเห็นมีอันใดเลย”

                “…ค่ะ” ลินินณาจำต้องเงียบ เทียนหยดแหวกเนื้อภายในอย่างจริงจัง สัมผัสเย็นเชียบและกลิ่นเหม็นทำให้นางต้องกลั้นหายใจ เมื่อเสร็จแล้วนางก็วักน้ำเหนียวๆ ข้นๆ ใส่ลงไปในขวด นางไม่รอช้ารีบปิดฝาโลงศพอย่างนึกขยะแขยง นางไม่กลัวศพ แต่รังเกียจเพราะมันสกปรก

                “ได้มาแล้ว ลูกช่วยดูทีสิว่าใช่น้ำนั่นฤๅไม่?”

                “ใช่ค่ะ แล้วแม่จะนำไปทำอะไรเหรอคะ?” ลินินณาเงยหน้าถาม อีกฝ่ายเท้าเอว มืออีกข้างถือขวดพลางพินิจ

                “ก็… เก็บไว้เฉยๆ”

                “งั้นเหรอคะ…” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ โยธาละความสนใจจากขวดมามองลูกสาวที่แสดงสีหน้าไม่สบายใจ เห็นเช่นนั้นก็อดจะยื่นมือไปปลอบเสียไม่ได้

                “ลินินณา ลูกต้องยอมรับให้ได้นะ การที่เราเห็นเรื่องแบบนี้มันก็ปรกติสำหรับมิติผกายนี่”

                “…ค่ะ” เสียงตอบมานั้นแผ่วเบาแฝงความกังวลไว้ โยธาถอนหายใจเบาๆ กับนิสัยขี้กังวลของลูกสาวตนเอง  นางวางขวดไว้บนโลงศพก่อนจะดึงลินินณามากอดไว้ สูดกลิ่นกายหอมหวานแบบธรรมชาติทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ความอบอุ่นแผ่ซ่านให้ซึ่งและกัน มือข้างหนึ่งลูบศีรษะอย่างรักใคร่

                “มิพอใจแม่ฤ?”

                “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” ลินินณาตอบอย่างร้อนรน มือที่กอดแม่ของตนอยู่เผลอกำผ้าคาดหน้าอกด้านหลังของอีกฝ่ายแน่น “จริงๆ นะคะ”

                “แม่ถามไปงั้นแหละ” โยธากล่าวแล้วยิ้มบางๆ คำนั้นทำให้ลินินณาคลายความกังวลไปได้มากทีเดียว ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงจากโทรศัพท์ โยธาชักสีหน้าเพราะปลายสายขัดเวลาที่นางจะได้กอดลูก ทำใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย

                “ว่าอย่างไร?”

                “…หืม? นี่ข้ามาผิดจังหวะฤ? น้ำเสียงฟังมิสบอารมณ์เลยนะ” ปลายสายคือบัวผ่องนั่นเอง นางรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่แข็งกระด้างของอีกฝ่าย

                “…รู้ตัวก็ดี ว่าแต่มีอันใดล่ะ ว่ามา”

                “เจ้าจะร่วมด้วยฤๅไม่?”

                “คดีนั่นน่ะฤ?”

                “ใช่” บัวผ่องเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ได้ยินว่าได้เงินด้วยล่ะ” พอได้ฟังดังนั้นโยธาก็เหงื่อตกขึ้นมา เพราะเบื่อกับนิสัยของบัวผ่องที่เห็นแก่เงิน ไม่ใช่ว่านางมองในแง่ร้าย แต่บัวผ่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายครั้งต่อหลายครั้งที่บัวผ่องจะพูดถึงเงินและก็ใช้เวลาในการค้าขาย จะทำอะไรก็นึกถึงเงินเสมอ

                “แค่นี้ใช่ไหม?”

                “บะ บัดเดี๋ยวก่อน---!” ปลายสายกล่าวไม่ทันจบโยธาก็กดตัดสาย โยธาถอนหายใจ ลินินณาเมื่อเห็นแม่ของตนเป็นเช่นนั้นก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “แม่เป็นอะไรเหรอคะ?”

                “มิมีอันใดดอก วันนี้เราพอแค่นี้ก่อน กลับเรือนไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า”

                กล่าวจบโยธาก็จูงมือลินินณาเดินออกจากห้องไปมุ่งหน้าไปยังอีกเรือนเมื่อมาถึงทั้งสองก็บอกบ่าวให้ไปนำขนมมา ระหว่างนั้นนางคุยเรื่องสัพเพเหระกับลินินณาเพื่อฆ่าเวลาและคลายความเครียด จู่ๆ นางก็เหม่อไปนึกถึงเรื่องระหว่างตนเองและลูกสาว โดยที่ลูกสาวของตนเองเล่าอะไรให้ฟัง สักพักลินินณาเห็นว่าแม่ตนเองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ถือวิสาสะจับแก้มโยธาเบาๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง

                “เป็นอะไรเหรอคะ? เดี๋ยวนี้แม่ดูเหม่อบ่อยๆ นะคะ” เป็นอย่างที่ลินินณากล่าวจริงๆ เพราะที่ผ่านมาแม่ของตนเองเหม่อบ่อยมาก จนอดคิดไม่ได้ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจอยู่มาก

                “มิเป็นไรดอก” โยธายิ้มบางๆ นางใช้โอกาสนั้นมองหน้าลินินณาพลางนึกถึงเรื่องตอนที่ตนเองรับลินินณามาเป็นลูกบุญธรรม

                ในวันที่ฝนกระหน่ำตกลงมา หลังจากทำภารกิจเสร็จ โยธาก็เดินตากฝนด้วยร่างที่มอมแมมเปื้อนเลือด ความเหนื่อยล้าเสมือนโซ่ที่ทำให้ขาเดินแทบไม่ได้ นางเดินขึ้นเรือนไป น้ำฝนบนร่างหยดลงบนพื้นเป็นทาง โชคดีที่ไม่มีบ่าวคนไหนอยู่แถวนี้เพราะถ้าพวกบ่าวเจอนางจะต้องสักถาม ช่วยกันรักษาแผลและพาไปอาบน้ำให้วุ่นวายแน่ โยธาเดินเข้าไปในห้องของตนแล้วนั่งบนเตียง ท่ามกลางความมืดนั้นนางเห็นแสงเป็นจุดเล็กๆ ตรงหัวเตียง ด้วยความสงสัยนางจึงเขยิบเข้าไปดูว่ามันคืออะไรก็พบว่าเป็นเด็กทารกผู้หญิงที่สวมสร้อยคอซึ่งเรือแสงอยู่ นั่นเองที่ทำให้นางทราบถึงต้นกำเนิดแสง

                เปรี้ยง!

                “อุแว้ๆ !!” เด็กทารกคนนั้นซึ่งก็คือลินินณาร้องไห้เพราะคงจะตกใจและกลัวเสียงฟ้าร้อง โยธารีบอุ้มขึ้นมาแล้วพยายามกล่อมให้ลินินณาหยุดร้อง จนกระทั่งฝนเริ่มหยุดตก มันตกลงมาโปรยๆ แล้วค่อยๆ หยุดตก ลินินณาถึงจะหยุดร้อง ดีนะที่ฝนหยุดตกเร็วเลยหายกลัว

                “เฮ้อ… เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าเป็นบุตรของใครกันนะ....” โยธาถามแต่นางไม่ต้องการคำตอบเพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กทารกยังไม่รู้อะไรและพูดไม่ได้ศัพท์

                แปลก… เราเองก็ลงอาคมแล้วนี่ทำไมถึงมีคนนอกเข้ามาได้ ทุกคนที่อยู่ใต้ความดูแล เราก็เอาเลือดมาสร้างม่านอาคมไม่ให้ใครนอกเหนือจากนี้เข้ามาได้ ….แล้วทำไมล่ะ?

                “แม่คะ…” เสียงของลินินดึงให้โยธากลับสู่ปัจจุบัน ผู้เป็นแม่ยิ้มแห้งๆ ในขณะคนเป็นลูกมีสีหน้าความกังวล นางเลื่อนจานขนมมาให้ลินินณาแล้วป้อนขนมให้ ลินินณาอ้าปากกลืนขนมนั่นลงไปแล้วเคี้ยวด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา