ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
60) บทที่ ๖๐: คู่อริในวันวาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖๐
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
คู่อริในวันวาน
“อยู่นี่เองสินะ”
เสียงเย็นเยียบเอ่ยจากแววไพร เธอกับว่าวมองพงสณะราวกับจะฉีกระชากให้ร่างแหลกเหลว แต่เขาทำเป็นไม่สนใจยิงกระสุนต่อไป หนูมองอย่างเป็นห่วง ไม่อยากให้พงสณะแลพี่อสุรามีแผลกลับไป แต่คงจะไม่ทันเสียแล้ว เลือดจากช่วงท้องไหลซึมไปกับเสื้อนักเรียนสีขาวเพราะพี่อสุราฟันดาบใส่แต่พี่อสุราก็ได้แผลเช่นกันตรงต้นขาเพราะถูกเขายิงกระสุนใส่
หนูหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูก หวังให้ใครสักคนมาห้าม หนูเองก็อยากจะใช้ดาบที่แปลกจากปิ่นปักผมเข้าไปขวางหรอกแต่กลัวมันจะมีอะไรไม่ดี้ขึ้นอีกเลยยืนนิ่งๆ อย่างเดียว
หนูเหลือบเห็นว่ามีหญิงสาวแต่งกายแบบหมอจระเข้เว้นเสียแต่ผ้าพันรอบเอวนั้นเป็นลวดลายสวยงาม ผมยาวสีดำยาวถึงเอวมัดสูงทรงหางม้า ในมือถือหอกนั่งพายเรือมา นี่ถ้านั่งแพมาละก็คงจะเป็นไกรทองร่างหญิงแน่ ข้างๆ มีหญิงสาวผมยาวถึงสะโพกเกล้าออกเป็นสองข้างตรงช่วงปลาย สร้อยคาดหน้าผากเป็นอัญมณีสีม่วง ผ้าผืนหนาใหญ่ๆ ปักเย็บประณีตสวยงามสีแดงเลือดหมูพันรอบตรงช่วงบนของผ้าถุงที่บานช่วงปลายคล้ายกระโปรงยาวจับจีบเล็กๆ มีสายสีเงินห้อยโยงประกายงดงาม
หนูมองอย่างสนใจแต่อีกใจก็ยังเป็นห่วงทั้งสองคน
“นี่ มีเรื่องวิวาทอันใดกันฤ?!” หญิงสาวแต่งกายแบบหมอจระเข้ตะโกนถามจนพี่อสุรากับพงสณะต้องละการต่อสู้มามองอย่างตกตะลึงสักพักทั้งสองก็เบิกตาโตก่อนจะเก็บอาวุธแล้วหันมายกมือไหว้ซึ่งคนอื่นๆ ก็ไหว้เช่นกัน
หืม? ยกมือไหว้แสดงความเคารพ แถมมาเป็นคู่อย่าบอกนะว่าเป็นนายิกา
“สวัสดีค่ะ/ครับ ท่านนายิกาพาฬและท่านรองนายิกากุมภิล”
“สวัสดี เมื่อครู่ทะเลาะทำไมกันฤ?” หญิงสาวแต่งกายแบบหมอจระเข้ถามพลางดูพี่อสุรากับพงสณะอย่างจดจ่อ พี่อสุรากับพงสณะมองข้างล่างเหมือนไม่กล้าสบตา สักพักพี่อสุราก็ตอบเสียงแผ่ว
“ท่านพาฬ หนู… หนูเป็นห่วงน้องสาวแท้ๆ ของหนูที่ถูกเด็กนี่พาไปเที่ยวสองต่อสอง หนูโกรธมากเลยต่อสู้น่ะค่ะ”
“ข้าเข้าใจนะว่าเจ้าเป็นห่วงน้องมากแต่ไยถึงต้องทำถึงเพียงนี้ล่ะ?”
“…” พี่อสุราไม่ตอบ ท่านมองไปทางอื่นพงสณะยิ่งหลุบตาลงต่ำมากกว่าเดิม หญิงสาวแต่งกายหมอจระเข้ที่คาดว่าชื่อพาฬไม่ถามต่อเพียงแต่มองทั้งสองคนอย่างครุ่นคิด หญิงสาวข้างกายที่น่าจะชื่อกุมภิล (จากการที่ผู้คนทักทาย) ก็กล่าวเสียงเรียบ
“อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอันขาด อสุรา เจ้าก็ระงับอารมณ์ให้ต่อสู้จนเลือดออกขนาดนั้นกับเด็กนัก ส่วนเจ้า พงสณะ ทีหลังจะไปไหนให้บอกกล่าวกันก่อน พี่สาวของเขาจะเป็นห่วงเอา”
“ค่ะ/ครับ”
“งั้นเราก็ไปกันต่อเถิด” ท่านพาฬกล่าวกับท่านกุมภิล อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะลงเรือพายแล่นไปอีกครั้ง หนูถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เรื่องจบลง
หนูเดินเข้าไปหาทั้งสองอย่างเป็นห่วง กลิ่นคาวจากเลือดทำให้หนูใจคอไม่ดี พี่อสุรายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลูบศีรษะหนู หนูยิ้มอย่างหมดห่วง พงสณะยิ้มบางๆ สีหน้าของเขาอ่อนล้าไม่ต่างจากพี่อสุรา หนูมองเขาซึ่งเจ้าตัวก็โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร
ระหว่างที่พวกเรากำลังจะเดินกลับไป
ดาบอยู่บนโต๊ะเรียน
ความยาวต่างจากปรกติทั่วๆ ไป ดาบเล่มนี้ถ้าให้เทียบก็ประมาณจากศีรษะจนถึงหัวเข่า ซึ่งหนูสูง ๑๕๗ เซนติเมตร เล่มขวามีสัลักษณ์สี่เหลี่ยมจัตุรัสกลับมุมมีแฉกยาวเท่านิ้วทรงกนกฝังอัญมณีสีแดงเลือด อีกด้ามมีสัญลักษณ์กนกสี่แฉก ใบมีดสะท้อนแสงอาทิตย์น่าหวั่นใจเสมือนกับว่ามันมีชีวิตหมายจะปลิดชีพทุกสรรพสิ่ง
หืม…? นี่คือความฝันเหรอ แต่… เห็นจะใช่เพราะตอนนี้หนูยืนอยู่ในห้องเรียนในมิติสามัญซึ่งเป็นโลกเดิมที่หนูอาศัย พอมองไปข้างนอกก็เป็นยามเย็นแล้ว ท้องฟ้าสีส้ม แดง ม่วงไล่ไปถึงสีชมพูผสมผสานเป็นความงดงามน่าพิศวง ท้องฟ้ากว้างขวางยากจะหาเส้นไร้ขอบเขตนั้นทำให้นึกถึงวันวาน
ตุบๆ
มีใครเดินเข้ามา หนูหันไปมองพบว่าเป็นคิมหันต์ เขาเป็นน้องชายสายเลือดเดียวกับเหมันต์ ดวงตาสีดำเจอสีน้ำตาลแดงเหมือนเหล็กขึ้นสนิมนั้นฉายความรู้สึกไม่มากนัก
หนูยิ้มให้ เขาพยักหน้ารับแทนการยิ้มตอบ
…อา เงียบเกินไปแล้ว ทั้งหนูและเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก อยากตื่นจากฝันนี้เร็วๆ
“คงไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
เฮือก!
หมายความว่าอย่างไร ย่ะ อย่าบอกนะว่าคิมหันต์เข้ามาในความฝันแล้วใช้อาคมไม่ให้หนูตื่นจากฝันได้
“นี่นาย---”
พูดไม่ทันจบเขาก็มาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจทราบจนหนูหายใจวาบ แต่สิ่งที่หนูแตกตื่นก็คืออยู่ดีๆ เขาก็หยิบมีดขึ้นมาแล้วกรีดข้อมือจนเลือดไหล แม้นี่จะเป็นความฝันแต่หนูอดจะเป็นห่วงไม่ได้เลยทำท่าจะเข้าไปช่วยแต่เขาเดินถอยไป …หนูรู้สึกแปลกๆ …ความกระหายในรสคาวนี่มันอะไรกัน? กลิ่นคาวดุจเหล็กขึ้นสนิมและฝนทำให้หนูแทบไม่มีสติ
“ท่านยังจำเรื่องนั้นได้ฤๅไม่?” หนูพยายามดึงสติและอารมณ์ เขามองหนูอย่างเป็นห่วงช่างขัดกับท่าทางนิ่งๆ หนูมองเขาอย่างฉงน สรรพนาม ท่าน เขากล่าวถึงใคร
“ข้ามิได้เอ่ยกับผู้ใด ข้าหมายถึงท่านนั่นแหละ”
“ฉัน? นี่นายเล่นอะไรอยู่ ฉันไม่ตลกนะ” หนูกล่าวเสียงเข้ม ทว่าสีหน้าจริงจังของเขาทำให้หนูใจเสีย …นี่กำลังจะมีเรื่องที่หนูไม่รู้ของตัวหนูอีกแล้วงั้นเหรอ? มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่เลย
ครืด…
เขากรีดเลือดอีกครั้งส่งผลให้มันไหลหยดมากกว่าเดิมและกลิ่นรุนแรงมากขึ้น หนูกลั้นหายใจอย่างลำบาก กลัวว่าถ้าสูดดมเข้าไปมากกว่านี้จะทำให้กระหายมากขึ้น
“พอได้แล้วคิมหันต์”
เสียงนั่น… เหมันต์แน่ๆ …ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ
.
.
.
เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนบนตักพี่อสุรา ท่านยิ้มให้หนูอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักใคร่ หนูยิ้มบางๆ แล้วผ่อนคลายพลางเอื้อมมือไปกอดเอว
“พี่อสุราคะ หนูหลับตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?”
“พอหนูกลับมาถึงเรือนก็หลับสนิทเลยจ้ะ …ว่าแต่เดี๋ยวนี้นอนดึกเหรอ ปรกติก็ไม่เห็นนอนช่วงบ่ายนี่?”
“เปล่าค่ะ หนูคงจะเหนื่อยเลยหลับน่ะค่ะ” พี่อสุราไม่ถามอะไรต่อแต่ลูบศีรษะหนูแทน
เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงหนูก็ลุกขึ้นก่อนจะชวนให้พี่อสุราไปเดินเล่นข้างนอก ตอนแรกท่านมีสีหน้าลำบากใจแต่พอหนูอ้อนเท่านั่นแหละท่านจึงยอม แต่ก่อนจะไปหนูนึกอะไรสนุกๆ ดื่มยาเปลี่ยนเพศแล้วหยิบชุดนักเรียนชายที่ว่าวให้ไว้มาใส่ พี่อสุราทำท่าจะค้านแต่ก็ถอนหายใจก่อนจะออกจากเรือนพร้อมกับหนู
หนูกับพี่อสุราเดินไปเรื่อยๆ ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย ๓ ใกล้เย็นแล้ว หนูไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะแม้ร่างกายจะเปลี่ยนแต่ผมที่ยาวถึงเอวทำให้ดูเป็นผู้หญิงแบบเดิม หนูละความสนใจแล้วมองไปรอบๆ อย่างเพลิดเพลิน
…สารภาพตามตรงเลยนะ หลังจากที่เพิ่งมากรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจหนูแล้วเว้นมีบ้างที่ลอบๆ มองๆ หนู โดยเฉพาะผู้หญิงมีค่อนข้างบ่อย ตอนนี้เป็นอีกครั้งแล้ว เพราะมีเด็กผู้หญิงสองกลุ่มเข้ามาหาหนูแล้วทักทายโดยผลักให้พี่อสุราอยู่วงนอก …เอ่อ มีคนสนใจมากก็ดีหรอก แต่มันอดจะนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นบางเรื่องที่มีสาวๆ รุมล้อมผู้ชายคนๆ เดียว
…หวังว่าที่ผู้หญิงกลุ่มนี้มาหาหนูจะไม่กลายเป็นฮาเร็มนะ
ระหว่างนั้นที่เพื่อนใหม่ถามหนู หนูก็เหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่งมองหนู ผมยาวแตะบ่าเล็กน้อยดูท่าจะซอยชั้นๆ เป็นสีน้ำตาลเข้มปลายสีแดง ผิวสีคล้ำเล็กน้อย มีผ้าขาวม้าคล้องคอยาวเกือบถึงเอวนุ่งโจงกระเบน ใส่ตุ้มหูข้างหนึ่งสีทองเป็นห่วงเล็กๆ
รูปลักษณ์นั้นช่างคุ้นเคย… หนูเหมือนเคยเจอเขา แต่ก็นึกไม่ออกว่าใคร เขาเองก็มองหนูอย่างครุ่นคิดไม่ต่างจากหนู
เขาออกมาจากกลุ่มเพื่อนๆ ชายที่หยุดเล่นเพราะเขาหยุดเล่น ดวงตาสีสนิมฉายแววประหลาดน่าหวาดหวั่น เพื่อนๆ หญิงที่มาใหม่หยุดถามตั้งแต่ที่เขาเดินมา พวกเธอมองไปอย่างฉงน
“เอ็งน่ะ ชื่ออะไร?” น้ำเสียงห้าวหาญไม่แตกต่างจากภาพลักษณ์ทำให้หนูเริ่มจะนึกได้ แต่ภาพในความทรงจำมันขาดๆ หายๆ
“สังรศรี วีรสังฆะจ้ะ”
“?!” เขาเบิกตาอย่างตกตะลึง เพื่อนๆ ของเขาเดินเข้ามาแล้วมองหนูสลับกับเจ้าตัวเหมือนจะถามว่าเพื่อนตนเองเป็นอะไรไป
“ยายกุมารทองเองดอกฤ?!”
ฮะ?!
หนูแทบล้มคะมำกับพื้น ความทรงจำกลับมา เสียงว่าล้อเลียน ภาพเด็กชายเบื้องหน้าในอดีตฟันหลอพลันผุดขึ้น
หมอนี่… อย่าบอกนะว่าเป็น…
“ย่ะ อย่าบอกนะว่านายคือ………… ศฤคาล!” หนูอ้ำๆ อึ้งๆ พักยาวเลยเมื่อรู้ว่าเด็กชายเบื้องหน้าคือคู่อริในวัยเด็ก ศฤคาลเงียบไปสักพักก่อนจะแสยะยิ้มก่อนจะเอ่ย
“หึๆ มาแข่งอะไรกันดีเพื่อทักทายหลังจากที่หายหน้าหายตาไปนานน่ะ”
“แน่อยู่แล้ว!”
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่หาเรื่องหนูแล้วหนูจะโต้ตอบอย่างนึกสนุก …แหม น่าคิดถึงเหมือนกันนะ คู่อริในวันวาน หนูเดินเข้าไปแล้วแสยะยิ้มเช่นกัน ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ใจ หนูกับเขายื่นขาข้างหนึ่งมาชิดกันแล้วยืดอีกข้างไปด้านหลังก่อนจะตั้งท่ายกมือแล้วก็
“ยางยิงเยาปักเป่ายิ้งฉุบ!” จากที่กล่าวมาเสียยืดยาวคงจะคิดว่าหนูต่อสู้ด้วยอาวุธคมๆ สินะ แต่ไม่ใช่ การแข่งของเราคือเป่ายิ้งฉุบต่างหากล่ะ!
ครั้งแรกหนูออกค้อน เขาออกกระดาษ
“ฉุบ!”
หนูออกกรรไกร เขาออกค้อน
“ฉุบ!”
หนูออกกรรไกรอีกครั้ง เขาก็ออกกรรไกรเช่นกัน ---เสมอ
“ฉุบ!”
หนูออกกระดาษ เขาออกกรรไกร
“ฉุบ!”
หนูออกค้อน เขาออกกระดาษ
ครั้งสุดท้าย… หนูแพ้แน่ๆ
“ฉุบ!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ