ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
59) บทที่ ๕๙: คู่หมั้นคนที่สองกับการต่อสู้ ณ ตลาดน้ำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕๙
[บรรยายโดยตัวละครชาย เด็กชายพงสณะ ไซนี]
คู่หมั้นคนที่สองกับการต่อสู้ ณ ตลาดน้ำ
ไม่ค่อยมีใครมาชมพิพิธภัณฑ์นัก ผมรู้สึกว่าบรรยากาศวังเวง ศรีมีท่าทีหวาดระแวงผมอาจเพราะอยู่กับผู้ชายเช่นผมตามลำพังคงคิดว่าไม่รู้จะโดนทำอะไรหรือเปล่ากระมัง
ตุบๆ
ผมได้ยินเสียงใครบางคนเดินตามหลังแต่พอหันกลับไปดูก็ไม่พบใคร ผมจับๆ ลูบๆ ปืนเพื่อเตรียมจะชักออกมายิงเผื่อว่าเป็นศัตรูของผู้ลักมีด
“ศรี เราไปตรงนั้นกันเถอะ” ผมกระซิบบอก ศรีพยักหน้าแต่ดวงตาฉายความฉงนเหมือนจะถามว่าทำไมผมต้องกระซิบด้วย ผมไม่ได้เอ่ยอะไรอีกนอกจากเร่งการเดิน
ตุบๆๆ
ท่าทางคนที่ตามมาจะรู้เลยเดินไวๆ บ้าง ผมมองซ้ายทีขวาทีก่อนพาศรีเข้าไปที่ห้องแห่งหนึ่ง
ตุบ…
คนที่ตามมาหยุดเดิน ผมไม่เห็นหรอกเพราะอยู่ในห้องแต่ไม่ได้ยินเสียงเดินแล้วเลยคาดได้ ศรีทำท่าจะเอ่ยแต่ผมปิดปากเธอไว้ก่อนแล้วใช้นิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงว่าอย่าเอ่ยอะไรซึ่งเธอก็เข้าใจแต่ก็ไม่วายแสดงความสงสัยผ่านแววตา
“หึ… อยู่แถวนี้สินะศรี… พงสณะ”
เสียงนี้… หรือว่า
ผมนึกถึงเด็กชายผมสีดำซีดแซมสีขาวประปราย ดวงตานั้นเป็นสีดำออกเทาขอบตาคล้ำ ริมฝีปากที่มักจะแย้มยิ้มแบบคนโรคจิต เด็กชายผู้ที่คลั่งเส้นผมยิ่งกว่าอะไรไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย…
ก๊อกๆ
“ห้องนี้หรือเปล่า?”
อีกฝ่ายมีมารยาทมาก แค่เปิดประตูดูข้างในก็ได้ไม่ใช่เรอะ!
โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้เคาะห้องผม เขายังทำแบบนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงห้องที่ผมและศรีอยู่
“กลิ่นแบบนี้ …ฉันจำได้ เธออยู่ในนี้กับมันสินะ… ศรี?”
เฮือก!
จมูกอีกฝ่ายดีมากครับขนาดศรีอยู่ในห้องมันยังได้กลิ่นเลย! เอ๊ย! ไม่สิ! ตอนนี้อีกฝ่ายมาอยู่หน้าห้องแล้ว ทำ ‘ไงดีๆ
“เสียงนี้ ใช่นายหรือเปล่า?!”
“!!” ผมมองศรีอย่างคาดไม่ถึง ก็ผมบอกเธอผ่านภาษามือแล้วนี่ว่าอย่าพูด! ศรีเปิดประตูออกไป เผยให้เห็นร่างของเด็กชายที่ผมนึกถึง
…ใช่จริงด้วย!!
“ศรี…” เด็กชายคนนั้นพึมพำก่อนจะกระโจนหาทว่าเธอเบี่ยงตัวได้ทันมันเลยล้มไปกับพื้น “ทำอะไรของนายเนี่ย!” เธอถามอย่างไม่พอใจ จะว่าไปผมก็เคยทำแบบนั้นเหมือนกันนะ เด็กชายคนนั้นลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซมาหาศรีแล้วจับผมเธอก่อนจะดอมดมอย่างหลงใหลมืออีกข้างก็จับแขนเธอเพื่อดึงเข้ามาใกล้ๆ…
อะ อ้ายบ้านี่!!
ในขณะที่ผมจะเข้าไปกระชากตัวมันศรีก็จับแขนของมันแล้วเหวี่ยงอย่างแรงจนพื้นเป็นหลุมบ่อ
ตูม!!
“อ้าก!!”
“อ้ายคนโรคจิตฉันคิดแล้วเชียวว่าคนอย่างแกถ้าเจอฉันต้องลวนลามเป็นอันดับแรก!!” ศรีโกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้น นี่ถ้าเป็นการ์ตูนอาจเห็นเขี้ยวงอกออกจากปากแล้วกระมัง
“แบ่งนิด… แบ่ง… อึก… น่ะ หน่อยก็ไม่ได้……” เด็กชายคนนั้นเอ่ยอย่างลำบาก หูย! ถ้าผมโดนขนาดนั้นไม่แคล้วตายเป็นผีซากแล้วครับ (บางทีก็เวอร์ไปเนอะ)
“ฮึ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าแตะต้องเนื้อตัวมากเกินไป ที่ผ่านมาอยู่กับพงสณะฉันก็ขนพองสยองเกล้าแล้วนะ อย่าสร้างความวุ่นวายให้ฉันนักเลย!”
เอ่อ… ที่พูดจะว่าฉันไปเลยด้วยใช่ไหมที่รัก?
“ก็ได้ๆ” แน่ะ ยังลุกขึ้นไหวด้วย เด็กชายคนนั้นลุกขึ้น …ในขณะนั้นก็ส่งสายตาแข็งกร้าวให้ผม
หึๆ ลืมไปเลยนะเรา อ้ายนี่ก็เป็น…
“อย่าคิดนะว่าเป็นคู่หมั้นแล้วจะทำแบบนี้ได้” น้ำเสียงเริ่มสงบลงแต่ยังดุดันอยู่ …ใช่แล้วจากที่ศรีพูดเมื่อกี้เด็กชายคนนั้นเป็นคู่หมั้นอีกคนของศรีแต่ใช่ว่าเรียนจบแล้วจะแต่งงานทีเดียวสามคนนะ ทางผู้ใหญ่ให้ผมกับเด็กชายหาวิธีมัดใจศรีถ้าใครทำได้ก็ได้ศรีไป
ท่าทางจะง่ายแต่ขอพูดสามคำครับ มัน! ยาก! มาก!
“ฉันว่าเราไปที่เรือนภาคกลางดีกว่านะ”
“ฉันจะดูที่นี่ต่อไว้เสร็จแล้วค่อยไปละกัน” ศรีเอ่ยก่อนจะก้าวผ่านผมและเด็กชายคนนั้น พอเธอเดินออกจาหห้องแล้วเลี้ยวหายลับไปผมกับอีกฝ่ายก็จ้องไม่วางตา
“ศรีเป็นของฉัน”
“ของฉันต่างหาก”
“ของฉันสิ!”
“ศรีเป็นของฉันนะ!”
ผมกับอีกฝ่ายก็ถกเถียงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งศรีเดินกลับมาแล้วต่อยผมกับมันไปคนละทีก่อนจะจากไปอีกหน…
ผมได้แต่เดินตามหลังศรีหน้าบอกบุญไม่รับพร้อมกับเด็กชายคนนั้น (หมอนี่ชื่อทุม มีเชื้อชาติไทยกับโปรตุเกส …แหมช่างเผอิญเสียจริงผมเองก็ลูกครึ่ง แต่ผมลูกครึ่งไทยกับอังกฤษ) ทุมเองก็ไม่ต่างจากผมแต่ผมเป็นบางครั้งว่าเขาลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ แน่ะ จะลวนลามศรีน่ะ ฮึ! ในเมื่อมันทำได้ผมก็ทำได้! (ฮะ?!!)
ผมละความสนใจจากมันไปมองศรีแต่เพราะเธอเดินอยู่ข้างหน้าก็ได้เพียงแค่ดูข้างหลัง เอาเถอะแค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว
อืม… ผมยาวถึงเอวสีดำสนิทเป็นเงางามมากจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นผมหรือไหมกันแน่ สะโพกที่ส่ายน้อยๆ เพราะการเดินไม่ได้ยั่วแต่อย่างใดแต่มันช่างเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก ผิวขาดผุดผ่องที่ได้เห็นเพียงช่วงแขนและช่วงขาล่าง …แต่น่าเสียดายจริงนี่ถ้าเธอใส่กางเกงขาสั้นไม่ก็กระโปรงมันจะดีมากเลยล่ะ
(บอกตามตรงเลยนะผมไม่ชอบที่ศรีนุ่งห่มใส่ยาวถึงเข่าไม่ก็ถึงข้อเท้าเพราะแม่คุณเล่นไม่ยอมอวดผิวต้นขาเลย ผู้หญิงหัวโบราณเป็นงี้กันหมดรึเปล่าเนี่ย?)
เมื่อเราสามคนเดินดูกันทุกที่แล้วก็เดินจากเรือนพิพิธพัณฑ์ไป (อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องดูด้วยซ้ำเพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่พ่อแม่ผมเป็นเจ้าของร่วมกับเรือนพิพิธพัณฑ์แบบภาคกลางที่เป็นของพ่อแม่ทุมเพราะฉะนั้นการที่ผมกับทุมจะได้เห็นกันก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก)
“ต่อจากนี้จะไปที่เรือนภาคกลางไหม?” ทุมถามศรีพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมเข้าไปหามันก่อนจะกระชากออกมาแล้วถลึงตาใส่ซึ่งเจ้าตัวก็เป็นเช่นเดียวกัน ผมเหลือบเห็นว่าศรีส่ายหน้าเหมือนระอาก่อนที่เธอจะเข้ามาดึงเสื้อผมแล้วหันไปตอบทุม
“คราวหน้าละกันนะ ฉันกลัวเพื่อนๆ ที่เหลือจะเป็นห่วงน่ะ”
“งั้นเหรอ…” ทุมตอบเสียงอ่อย ฮึ! สมแล้วล่ะ
ศรียิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลสะท้อนแสงดุจดวงดาราฉายความรู้สึกผิด ทุมนิ่งเคลิ้มมองเธอไปสักพักเหมือนต้องมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้นแหละ
แต่อย่าว่าแต่มันเลยขนาดผมเองยังเคลิ้ม!
เราสามคนนั่งพายเรือแล่นกลับ ศรีมองไปรอบๆ โดยไม่สนใจผมกับทุมแม้แต่น้อย น่าเบื่อจริงจะลวนลามก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนซัดอีกนี่ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่ลวนลามอย่างน้อยคนรอบข้างก็ต้องเข้าใจวัยรุ่นก็เป็นเช่นนั้นแต่นี่ไม่ใช่เลย
เมื่อเรือจอดเทียบท่าผมก็เดินขึ้นฝั่งคนแรกก็จะช่วงพยุงศรีส่วนทุมนั้นก็ตามมาไม่ห่างนัก ทว่าผมนึกอยากแกล้งให้สาแก่ใจที่มาขัดจังหวะเที่ยวกันสองต่อสองเลยใช้เท้าดันเรือให้ห่างๆ จากฝั่งจนมันเสียการทรงตัวร่างล้มไปคะมำกับพื้นฝั่ง
ผมมองแล้วยิ้มเหี้ยมส่วนศรีมีท่าทีวิตกกังวลจะเข้าไปช่วยแต่ผมขวางไว้แล้วจูงมือเธอไปเสียดื้อๆ เดินไปได้สองสามก้าวมองไม่วายหันไปยิ้มเย้ยหยันให้ส่วนอีกฝ่ายก็ได้แต่ชี้หน้าปากอ้าจะด่าผมแต่ก็ไม่ออก
ในระหว่างเดินศรีก็พยายามเอามือออจากมือผมแต่ผมไม่ยอม ผมบีบมือแน่นขึ้นเล็กน้อย อันที่จริงไม่อยากทำร้ายคนรักหรอกนะแต่มันช่วยไม่ได้นี่ …หึๆ
“ปล่อยนะไม่งั้นฉันต่อยจริงด้วย!”
“ถ้าจะต่อยก็ต่อยมาสิสำหรับฉันถ้าเธอทำอะไรมันก็นุ่มมากกว่าเจ็บนั่นแหละ” ผมยิ้มกรุ้มกริ่มมองศรีอย่างมีเลศนัย
“ฮึ!” ศรีฮึดฮัดไม่พอใจแต่ผมไม่สนหรอกเดี๋ยวเธอก็หายโกรธเองแหละ
ศรีไม่เอ่ยอะไรต่อได้เพียงแต่ให้ผมจูงมือแล้วเดินไปพร้อมกันเรื่อยๆ ผมมองซ้ายทีขวาทีเพื่อไม่ให้จับตัวจากสามสาวนั่นด้วย
แต่… โชคไม่เข้าข้างเมื่อพี่อสุรายืนขวางทางหน้าครั้นพอจะเดินไปอีกทางก็ถูกดาบขว้างมาขวางผมหลบได้ทันส่งผลให้ดาบปักกับผนังไม้ ผมลอบยิ้มอย่างนึกสนุก …จริงด้วยสินะ พี่อสุรารักศรีในเชิงชู้สาวทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องสายเลือดแท้แถมยังเป็นผู้หญิง ถ้าจะลองต่อสู้เพื่อพาศรีไปกับตนก็น่าสนุกดี
“ว่า ‘ไงครับ อยากได้น้องสาวคืนเหรอ?”
“แน่นอน” ระหว่างตอบพี่อสุราก็กวักมือที่เรืองแสงให้ดาบมาหาตนเองก่อนที่จะจับมันไว้ให้มั่นแล้วตั้งท่าชี้ปลายดาบมาทางผมพลางมองอย่างเกรี้ยวกราด
ผมยักไหล่แล้วปล่อยมือศรีก่อนจะชักปืนออกมากจาซองที่ติดกับเข็มขัดชุดนักเรียนมาตั้งท่า นิ้วเหนี่ยวไกเตรียมจะยิงได้ทุกเมื่อ
พี่อสุราฉายความกังวลผ่านดวงตาสีดำชั่วหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเช่นเดิม เธอกวักมือเป็นเชิงว่าให้เริ่มก่อน ก็ได้ๆ อย่างไรผมก็เป็นเด็กกว่าน่ะนะ ไม่รอช้าผมยิงกระสุนออกไปสองสามนัด พี่อสุราตั้งดาบรับไว้ก่อนจะสะบัดดาบแล้วพุ่งมาหาก่อนจะฟัน ผมหลบหลีกแล้วยิงไปอีกพี่อสุราหลบก่อนจะเข้าหาอีกครั้งแล้วเตะเท้าผมอย่างแรงส่งผลให้ผมล้มไปกับพื้น
พี่อสุราจะแทงดาบใส่แต่ผมยิงเข้าไปที่มือส่งผลให้เผลอปล่อยดาบ ผมรีบลุกขึ้นแล้วชกใส่ท้องแล้วยิงแต่เธอหลบได้ก่อน พี่อสุราถอยหลบหลีกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมหยุดไปชั่วหนึ่งเธอก็เข้ามาประชิดตัวและจับมือไว้สองข้างแล้วบิดข้อมือผมข้างหนึ่ง ปืนร่วงลง ผมร้องเสียงครวญแต่ก็ยังฝืนใจ เหวี่ยงกายขึ้นใช้หัวเข่าเสยคางอย่างแรงจนเจ้าตัวต้องปล่อยผมและผมก็ตีลังกากลับมายืนเช่นเดิม
“ชิ” พี่อสุราส่งเสียงไม่พอใจ เธอรีบไปหยิบดาบแล้วพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่ามีผู้คนมาดูเราสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครเอ่ยอะไร แต่ดีนะที่วันนี้มีคนมาตลาดน้ำน้อย ถ้ามากกว่านี้ได้ต่อสู้เก้ๆ กังๆ เพราะสายตาผู้คนแน่
ระหว่างนั้นเองผมก็เหลือบเห็นว่าวและแววไพร เอาล่ะสิ เพิ่มมาอีกสองแล้ว…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ