ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.48K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
57) บทที่ ๕๗: ช่วงเวลาที่มี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕๗
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ช่วงเวลาที่มี
ข้าคิดผิดจริงๆ ที่มารำลึกความหลังกับมณฑา …หากสงสัยว่าทำไมข้าจึงมิเรียกว่าท่านมณฑาเพราะแท้จริงแล้วข้าเกิดก่อนนาง ข้าเกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนนางเกิดในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ ๕ (อายุห่างหลายปีเชียวล่ะ) แต่ที่ต้องเรียกว่าท่านและมีหางเสียงเพราะตำแหน่งของนางสูงกว่า
ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงคิดผิดเพราะตอนนี้มณฑาวิ่งอย่างซุกซนไปทั่ว ปีนต้นไม้บ้างล่ะ โหนกับกิ่งไม้บ้างล่ะ ดีนะที่นางจำแลงร่างเป็นเด็กวัย ๑๐ ปีมิเช่นนั้นต้นไม้ล้มแน่
“มาลองดูสิ สนุกนะ!”
“เฮ้อ…” ข้าถอนหายใจ เอาเถิด… มณฑามีความสุขแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะสมัยนางยังเยาว์วัยนั้นก็จมแต่ความทุกข์มานานขอให้นางมีความสุขข้าก็พลอยมีความสุขไปด้วย
จะว่าไปความสัมพันธ์ของเราก็อยู่ในเชิงชู้สาว แต่จะรักเพศเดียวกันข้าก็มิอาย ขอให้อยู่กับคนที่เรารักข้าก็มิต้องการอะไรอีกแล้ว จากตอนแรกที่ได้รับการจ้างวานให้ดูแลมณฑาในฐานะพี่เลี้ยงและหวังว่าจะได้เล่นกับเด็กๆ ก็ต้องผิดคาดเพราะความโหดร้ายในครอบครัวของมณฑา ทำให้ข้าสงสารนางจนใส่ใจและให้ความรักมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่ข้าเคยเป็นพี่เลี้ยง
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองตกหลุมรักมณฑาก็โตเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก ใบหน้าลูกครึ่งตะวันตกและตะวันออกเป็นความลงตัวที่น่าเหลือเชื่อ สารภาพตามตรงว่าข้าตะลึงแม้จะดูแลนางมาตลอดแต่ก็อดมิได้จริงๆ
ต่อจากนี้จะข้าจะเล่าความเป็นมาเรื่องราวของมณฑาและตัวข้า
หลังจากที่เกิดคดีฆาตกรรมมารดาของมณฑา นนทรีผู้เป็นพี่สาวก็ได้ฝึกนางให้เก่งในหลายๆ เรื่อง ทั้งการขับร้องกลอน วิชาดนตรีไทยและดนตรีสากล งานหัตถกรรม วิชาการต่อสู้ทั้งมวยไทย วิชาดาบอาทมาฏ ฯลฯ เพื่อเตรียมตัวการเป็นนายิกา
นนทรีได้พยายามให้ความรู้อย่างรวดเร็วจนบางทีข้าเห็นแล้วเหนื่อยแทนมณฑาแต่จะไปขัดก็มิได้เพราะอย่างไรเสียก็เป็นการตัดสินใจในครอบครัว
จนกระทั่งมณฑาโตเป็นสาวจึงได้เข้าร่วมการทดสอบผู้ที่จะเป็นนายิการุ่นที่ ๒ ซึ่งรุ่นแรกนั้นเสียชีวิตเพราะแพ้ศัตรูระหว่างทำภารกิจ การสอบการครั้งนี้มิได้มีเพียงเรื่องการต่อสู้แต่จะทดสอบความสามารถอื่นๆ อีกอย่างที่นนทรีได้เคยสอน ซึ่งนางก็ผ่านการทดสอบจนได้รับตำแหน่งนายิกา
…ส่วนข้าที่ได้อันดับสองเพราะข้าจงใจที่จะแพ้เลยได้เป็นรองนายิกา ส่วนเหตุผลนั้นบอกทีหลังละกัน
หลังจากนั้นนนทรีที่ทราบเรื่องนี้ก็ตบมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางบอกว่าเราสองคนว่าจะย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ข้ามิรู้ว่าทำไมนางจึงต้องไปแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร มณฑาเองก็รู้แก่ใจว่าถึงถามไปพี่สาวก็มิตอบจึงปล่อยให้นนทรีย้ายไปโดยทิ้งนางให้อยู่กับข้า
แต่ก็ดี ข้าล่ะหมั่นไส้นนทรีนานแล้ว พี่ประสาใดใจจืดใจดำทำให้น้องมีความทุกข์ ข้าเลยเพียงแค่บอกมณฑาในใจว่าอย่ารั้งคนพรรค์นั้นเลย
แต่น่าแปลก มีชั่วหนึ่งที่ข้าเห็นความเศร้าจากหัวใจฉายผ่ายดวงตาสีม่วงของนนทรี ข้ามิได้ตาฝาดแน่ ความรู้สึกนั้นเป็นของจริง
ฤๅว่า… ตลอดที่ผ่านมานนทรีเองก็รักมณฑาแต่เพราะเป็นคำสั่งของมารดาจึงต้องทำเรื่องโหดร้ายกับมณฑาในขณะที่ต้องซ่อนน้ำตาไว้……… นางมิสามารถเอ่ยปากพูดว่าตนเองรักมณฑาเพราะเรื่องมันบานปลายจนสายไป
มณฑามีสีหน้าหมองเศร้า ลึกๆ แล้วนางก็คงรักพี่นั่นแหละ อาจจะคิดว่านนทรีรักตนแต่ที่ทำไปเพราะมารดาสั่ง ข้าเองก็มิแน่ใจว่านนทรีรักมณฑา แต่ในเมื่อเป็นพี่น้องกันมันก็น่าจะมีบ้างแหละน่า
ส่วนท่านซอนั้นก็มิได้กลับมาอีก ข้ามิรู้ว่าทำไมท่านจึงต้องหลบ บางครั้งเจอมณฑาก็หลบหน้ามองไปทางอื่น ทำไมกัน ตอนแรกยังดีๆ อยู่เลยนี่ ตอนนั้นข้าเห็นว่ามณฑากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดข้ามิรู้จะทำเช่นไรจึงทำได้เพียงกุมมือไว้เบาๆ
หึๆ… ว่าไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มณฑาจะได้เป็นของข้า แม้ข้าจะเคยบอกว่าขอให้เพียงได้อยู่กับคนที่ตนเองรักก็พอแล้ว …ทว่าโอกาสมันมาถึงแล้วก็ควรจะรีบคว้าไว้ น้ำขึ้นให้รีบตัก!
ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่กับคำว่านายิกาก็ทำให้มณฑามีความสุขขึ้น เพราะยกตัวเองให้มีฐานะที่สูงส่งภายหน้าจะได้มิลำบากในขณะที่ข้าเองก็เป็นเช่นกันแม้จะมีงานเข้ามามากจนบางครั้งก็นอนหลับคาเอกสารแต่เพราะได้ทำงานร่วมกัน ได้เห็นรอยยิ้ม ช่วยเหลือสิ่งกันและกัน คอยถามด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง…
ที่กล่าวมานี่ชีวิตข้ามีความสุขเสียเหลือเกิน
“กาสะลอง!” เสียงเรียกของมณฑาทำให้หลุดจากภวังค์ในอดีต ข้าตกใจเล็กน้อยและก้มหน้ามองมณฑาที่กำลังดึงโจงกระเบนอยู่ สายตาเอาแต่ใจมีความไม่พอใจแฝงอยู่ทำให้ข้ายิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู มิว่าจะผ่านไปสักเพียงใดก็ยังเหมือนเด็ก
“มีอันใดฤๅเจ้าคะ?” ข้าถาม มณฑาตอบอย่างหงุดหงิด “ฉันเรียกนานแล้วนะ เหม่ออันใดอยู่?”
“เอ่อ… ต้องขอประทานโทษด้วยมิมีอันใดดอกเจ้าค่ะ” มิกล้าบอกว่านึกถึงเรื่องราวของเราสองคนแต่ก่อน ข้ายิ้มบางๆ แล้วอุ้มมณฑาก่อนจะเดินไปยังริมบ่อบัว ข้าเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้า มณฑาเห็นดังนั้นจึงมองตามบ้างก่อนที่จะเผยรอยยิ้มสดใสดุจดวงอาทิตย์เห็นแล้วสดชื่อจริงๆ
“นี่กาสะลอง”
“เจ้าคะ?”
“เธอคิดว่าเรื่องของเราต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรฤๅ?” ข้ามองมณฑา นางหยิกแก้มข้าแล้วดึงไปดึงมาพลางยิ้ม ข้านิ่งไปสักพักก่อนจะตอบ
“มีความสุขมากกว่าเดิมเจ้าค่ะ” ข้าตอบไปอย่างมั่นใจในขณะที่อีกใจก็หวั่นๆ ข้ามิอาจล่วงรู้อนาคตได้แต่เพื่อให้มณฑาสบายใจข้าจึงจำเป็นต้องตอบแบบนี้
“…งั้นฤ?”
มณฑาเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหลับ ข้ากระชับอ้อมกอดใหมั่นขึ้นก่อนจะพาขึ้นเรือนไป มุ่งไปที่ห้องของมณฑาแล้ววางลงบนเตียง พลันมีแสงสว่างเปล่งประกายสีขาวก่อนที่ร่างของมณฑาจะกลับเป็นหญิงสาวเช่นเดิม (แม้อายุจะมากแล้วก็เถิด)
“หลับแล้วสินะ” ข้าพึมพำพลางลูบศีษะของนางอย่างรักใคร่ก่อนจะนอนข้างๆ นางแล้วหลับ…
ข้าตื่นอีกทีประมาณ ๙ โมง ดีนะมิเหมือนคราวก่อนข้าหลับจนมาถึง ๒ ทุ่มเล่นเอาหลังจากตื่นนอนต่อมิหลับเลย ---จู่ๆ ก็มีเสียงจากโทรศัพท์ดังขึ้นข้าหยิบมากดปุ่มเพื่อรับสาย ผู้ที่ติดต่อมาคือบัวผ่องนายิกาประจำจังหวัดนครสวรรค์พอนึกถึงแล้วรู้สึกหงุดหงิดกับยายนี่ ขอเล่าอะไรหน่อยเถิด ยายบัวผ่องขึ้นชื่อการทำงานค้าขายธุรกิจ เจรจากับใครมิเคยแพ้ ได้กำไรมากกว่าจะเป็นฝ่ายเสียต้นทุน คิดถึงเงินทองมากกว่าอะไร ที่กล่าวมามันก็คือพวกหน้าเงินดีๆ นี่เอง (และนางก็ขี้งกด้วยบอกไว้ก่อน)
“สวัสดี ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจข้าเขวี้ยงโทรศัพท์จริงด้วย! “เจ้าค่ะ เชิญกล่าวได้” ถึงจะหมั่นไส้แต่ตำแหน่งข้าต่ำกว่าจึงต้องพูดอย่างมีมารยาท
“เจ้ารู้ฤๅไม่ว่าคดีลักมีดมีความเกี่ยวข้องกับคดีเมื่อก่อน”
“คดีเมื่อก่อน? คดีอันใดฤๅเจ้าคะ??”
ข้าเพิ่งจะรู้นะว่ามันเกี่ยวข้องกันด้วย ข้าเคยเข้าไปดูเอกสารที่ทำการนายิกามาบ้างซึ่งจะบันทึกว่าเคยมีคดีอะไร นายิกาคนไหนไปทำมาและภารกิจสำเร็จลุล่วงฤๅไม่ แต่ที่ข้าพอจะรู้จักจะเป็นคดีเมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๔๕--- (ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะข้ากับมณฑาเพิ่งได้ตำแหน่งช่วงนั้น) หากเป็นคดีก่อนหน้านั้นข้าก็มิค่อยได้อ่านนัก
“อืม… อะไรนะ… ที่เป็นคดีเกี่ยวกับพิธีกรรมน่ะ”
“แล้วมันคือพิธีอันใดเจ้าคะ?” คดีที่เกี่ยวกับพิธีกรรมมีมากมายเลยนะ “พิธีเปิดคุกวิญญาณ” อันใดกันนะ มิเคยได้ยิน ชื่อพิลึก
“?...” ข้าเงียบไปมิรู้จะเอ่ยอันใดต่อ เหมือนบัวผ่องจะรู้เพราะข้าได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ “เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสข้าจะนำไปให้เจ้าอ่าน ว่าแต่ตอนนี้เจ้าทำอันใดอยู่ฤ?”
“นอนเล่นเจ้าค่ะ”
“อ้อ งั้นข้ามิรบกวนแล้วนะ”
ติ๊ด
เสียงตัดสายดังขึ้น อะไรเนี่ย มาไวไปไว ข้ามองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดก่อนจะวางไว้ที่เดิม
ตื้ด… ตื้ด…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ข้าตัดสินใจออกจากห้องเพราะมิอยากรบกวนมณฑาไปมากกว่านี้ ที่ข้าคุยเมื่อกี้นางมิตื่นก็บุญไหนแล้ว
“ลืมเรื่องอันฤๅเจ้าคะถึงติดต่อมาอีกรอบ?” ข้ารับสายแล้วเปิดประเด็น บัวผ่องเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “เจ้ารู้จักนักเรียนจากฟิคซาก้อนไหม? ที่ข้ารู้มามีศารทูล ชิโนโกะ อัมพุ โซค่อน เทสโลเอล โอฟีเลีย ซีอาห์กับเซอาห์และก็ใครนะ อีกสองคนข้าจำมิได้”
“ข้ารู้จักเจ้าค่ะ แล้วพวกเขาทำไมฤๅเจ้าคะ?”
“ข้าคิดว่าคดีลักมีดมิจำเป็นต้องให้พวกนั้นต้องช่วยดอก”
ก็จริงอยู่อย่างไรเสียก็มีนายิกาตั้ง ๗๐ กว่าคน ไหนจะรวมรองนายิกาอีกขืนปล่อยให้เด็กนั่นมาช่วยคงจะเกะกะเสียเปล่าแถมยังมีนักเรียนจากโรงเรียนศาสตราราชพฤกษ์วิทยาคมและเด็กจากมิติสามัญ …จะว่าไป เด็กจากฟิคซาก้อนและราชพฤกษ์มันก็พอๆ กันแหละ ไหนซอบอกว่าให้มาช่วยสืบแต่นี่อะไรมาเล่น กิน นอน แล้วเด็กฟิคซาก้อนหายไปไหนก็มิรู้---แย่จริง!
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ”
“มิได้ถามว่าเห็นด้วยฤๅไม่ข้าจะบอกว่าให้ไปบอกเด็กพวกนั้นว่ากลับไปที่โรงเรียน ยกเลิกการสืบ” อ๋อ… ก็มิบอกนะบัวผ่อง
“เจ้าค่ะ---”
ติ๊ด
และแล้วข้าก็โดนตัดสายแบบมิทันพูดจบ…
เมื่อมณฑาตื่นข้าก็นำเรื่องที่บัวผ่องบอกมาบอกอีกที นางพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพาข้าไปทานอาหารกลางวัน แม้จะยังมิถึงเที่ยงเพราะยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงก็จะใกล้ถึงเวลา
พอมาถึงข้าก็พบว่าเด็กๆ มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ยังมิทานกันอีกฤ?”
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ต้องให้ผู้ใหญ่เปิดก่อนสิ” ข้าได้ฟังอย่างงั้นก็หัวเราะเบาๆ จริงด้วยสินะ ถ้าทานก่อนผู้ใหญ่จะเสียมารยาท ข้าให้มณฑานั่งก่อนแล้วตนเองก็นั่งตาม หลังจากนั้นพวกเราก็ทานอาหารกัน มีการพูดคุยกันบ้างเพื่อมิให้บรรยากาศเงียบ ข้ากับมณฑาเรามิค่อยได้คุยกันเพราะดูมิงาม ต้องเคี้ยวให้เสร็จก่อนนั่นแหละถึงจะพูดได้
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ข้าอดจะใจหายมิได้เพราะเคยมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นแล้วกลับมาสงบเช่นนี้ ช่างเถิด ตอนนี้ควรจะใช้เวลาที่มีให้เต็มที่มิเช่นนั้นภายหน้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น…
…อาจจะมิมีช่วงเวลานี้ก็เป็นได้
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ช่วงเวลาที่มี
ข้าคิดผิดจริงๆ ที่มารำลึกความหลังกับมณฑา …หากสงสัยว่าทำไมข้าจึงมิเรียกว่าท่านมณฑาเพราะแท้จริงแล้วข้าเกิดก่อนนาง ข้าเกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนนางเกิดในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ ๕ (อายุห่างหลายปีเชียวล่ะ) แต่ที่ต้องเรียกว่าท่านและมีหางเสียงเพราะตำแหน่งของนางสูงกว่า
ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงคิดผิดเพราะตอนนี้มณฑาวิ่งอย่างซุกซนไปทั่ว ปีนต้นไม้บ้างล่ะ โหนกับกิ่งไม้บ้างล่ะ ดีนะที่นางจำแลงร่างเป็นเด็กวัย ๑๐ ปีมิเช่นนั้นต้นไม้ล้มแน่
“มาลองดูสิ สนุกนะ!”
“เฮ้อ…” ข้าถอนหายใจ เอาเถิด… มณฑามีความสุขแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะสมัยนางยังเยาว์วัยนั้นก็จมแต่ความทุกข์มานานขอให้นางมีความสุขข้าก็พลอยมีความสุขไปด้วย
จะว่าไปความสัมพันธ์ของเราก็อยู่ในเชิงชู้สาว แต่จะรักเพศเดียวกันข้าก็มิอาย ขอให้อยู่กับคนที่เรารักข้าก็มิต้องการอะไรอีกแล้ว จากตอนแรกที่ได้รับการจ้างวานให้ดูแลมณฑาในฐานะพี่เลี้ยงและหวังว่าจะได้เล่นกับเด็กๆ ก็ต้องผิดคาดเพราะความโหดร้ายในครอบครัวของมณฑา ทำให้ข้าสงสารนางจนใส่ใจและให้ความรักมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่ข้าเคยเป็นพี่เลี้ยง
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองตกหลุมรักมณฑาก็โตเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก ใบหน้าลูกครึ่งตะวันตกและตะวันออกเป็นความลงตัวที่น่าเหลือเชื่อ สารภาพตามตรงว่าข้าตะลึงแม้จะดูแลนางมาตลอดแต่ก็อดมิได้จริงๆ
ต่อจากนี้จะข้าจะเล่าความเป็นมาเรื่องราวของมณฑาและตัวข้า
หลังจากที่เกิดคดีฆาตกรรมมารดาของมณฑา นนทรีผู้เป็นพี่สาวก็ได้ฝึกนางให้เก่งในหลายๆ เรื่อง ทั้งการขับร้องกลอน วิชาดนตรีไทยและดนตรีสากล งานหัตถกรรม วิชาการต่อสู้ทั้งมวยไทย วิชาดาบอาทมาฏ ฯลฯ เพื่อเตรียมตัวการเป็นนายิกา
นนทรีได้พยายามให้ความรู้อย่างรวดเร็วจนบางทีข้าเห็นแล้วเหนื่อยแทนมณฑาแต่จะไปขัดก็มิได้เพราะอย่างไรเสียก็เป็นการตัดสินใจในครอบครัว
จนกระทั่งมณฑาโตเป็นสาวจึงได้เข้าร่วมการทดสอบผู้ที่จะเป็นนายิการุ่นที่ ๒ ซึ่งรุ่นแรกนั้นเสียชีวิตเพราะแพ้ศัตรูระหว่างทำภารกิจ การสอบการครั้งนี้มิได้มีเพียงเรื่องการต่อสู้แต่จะทดสอบความสามารถอื่นๆ อีกอย่างที่นนทรีได้เคยสอน ซึ่งนางก็ผ่านการทดสอบจนได้รับตำแหน่งนายิกา
…ส่วนข้าที่ได้อันดับสองเพราะข้าจงใจที่จะแพ้เลยได้เป็นรองนายิกา ส่วนเหตุผลนั้นบอกทีหลังละกัน
หลังจากนั้นนนทรีที่ทราบเรื่องนี้ก็ตบมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางบอกว่าเราสองคนว่าจะย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ข้ามิรู้ว่าทำไมนางจึงต้องไปแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร มณฑาเองก็รู้แก่ใจว่าถึงถามไปพี่สาวก็มิตอบจึงปล่อยให้นนทรีย้ายไปโดยทิ้งนางให้อยู่กับข้า
แต่ก็ดี ข้าล่ะหมั่นไส้นนทรีนานแล้ว พี่ประสาใดใจจืดใจดำทำให้น้องมีความทุกข์ ข้าเลยเพียงแค่บอกมณฑาในใจว่าอย่ารั้งคนพรรค์นั้นเลย
แต่น่าแปลก มีชั่วหนึ่งที่ข้าเห็นความเศร้าจากหัวใจฉายผ่ายดวงตาสีม่วงของนนทรี ข้ามิได้ตาฝาดแน่ ความรู้สึกนั้นเป็นของจริง
ฤๅว่า… ตลอดที่ผ่านมานนทรีเองก็รักมณฑาแต่เพราะเป็นคำสั่งของมารดาจึงต้องทำเรื่องโหดร้ายกับมณฑาในขณะที่ต้องซ่อนน้ำตาไว้……… นางมิสามารถเอ่ยปากพูดว่าตนเองรักมณฑาเพราะเรื่องมันบานปลายจนสายไป
มณฑามีสีหน้าหมองเศร้า ลึกๆ แล้วนางก็คงรักพี่นั่นแหละ อาจจะคิดว่านนทรีรักตนแต่ที่ทำไปเพราะมารดาสั่ง ข้าเองก็มิแน่ใจว่านนทรีรักมณฑา แต่ในเมื่อเป็นพี่น้องกันมันก็น่าจะมีบ้างแหละน่า
ส่วนท่านซอนั้นก็มิได้กลับมาอีก ข้ามิรู้ว่าทำไมท่านจึงต้องหลบ บางครั้งเจอมณฑาก็หลบหน้ามองไปทางอื่น ทำไมกัน ตอนแรกยังดีๆ อยู่เลยนี่ ตอนนั้นข้าเห็นว่ามณฑากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดข้ามิรู้จะทำเช่นไรจึงทำได้เพียงกุมมือไว้เบาๆ
หึๆ… ว่าไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มณฑาจะได้เป็นของข้า แม้ข้าจะเคยบอกว่าขอให้เพียงได้อยู่กับคนที่ตนเองรักก็พอแล้ว …ทว่าโอกาสมันมาถึงแล้วก็ควรจะรีบคว้าไว้ น้ำขึ้นให้รีบตัก!
ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่กับคำว่านายิกาก็ทำให้มณฑามีความสุขขึ้น เพราะยกตัวเองให้มีฐานะที่สูงส่งภายหน้าจะได้มิลำบากในขณะที่ข้าเองก็เป็นเช่นกันแม้จะมีงานเข้ามามากจนบางครั้งก็นอนหลับคาเอกสารแต่เพราะได้ทำงานร่วมกัน ได้เห็นรอยยิ้ม ช่วยเหลือสิ่งกันและกัน คอยถามด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง…
ที่กล่าวมานี่ชีวิตข้ามีความสุขเสียเหลือเกิน
“กาสะลอง!” เสียงเรียกของมณฑาทำให้หลุดจากภวังค์ในอดีต ข้าตกใจเล็กน้อยและก้มหน้ามองมณฑาที่กำลังดึงโจงกระเบนอยู่ สายตาเอาแต่ใจมีความไม่พอใจแฝงอยู่ทำให้ข้ายิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู มิว่าจะผ่านไปสักเพียงใดก็ยังเหมือนเด็ก
“มีอันใดฤๅเจ้าคะ?” ข้าถาม มณฑาตอบอย่างหงุดหงิด “ฉันเรียกนานแล้วนะ เหม่ออันใดอยู่?”
“เอ่อ… ต้องขอประทานโทษด้วยมิมีอันใดดอกเจ้าค่ะ” มิกล้าบอกว่านึกถึงเรื่องราวของเราสองคนแต่ก่อน ข้ายิ้มบางๆ แล้วอุ้มมณฑาก่อนจะเดินไปยังริมบ่อบัว ข้าเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้า มณฑาเห็นดังนั้นจึงมองตามบ้างก่อนที่จะเผยรอยยิ้มสดใสดุจดวงอาทิตย์เห็นแล้วสดชื่อจริงๆ
“นี่กาสะลอง”
“เจ้าคะ?”
“เธอคิดว่าเรื่องของเราต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรฤๅ?” ข้ามองมณฑา นางหยิกแก้มข้าแล้วดึงไปดึงมาพลางยิ้ม ข้านิ่งไปสักพักก่อนจะตอบ
“มีความสุขมากกว่าเดิมเจ้าค่ะ” ข้าตอบไปอย่างมั่นใจในขณะที่อีกใจก็หวั่นๆ ข้ามิอาจล่วงรู้อนาคตได้แต่เพื่อให้มณฑาสบายใจข้าจึงจำเป็นต้องตอบแบบนี้
“…งั้นฤ?”
มณฑาเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหลับ ข้ากระชับอ้อมกอดใหมั่นขึ้นก่อนจะพาขึ้นเรือนไป มุ่งไปที่ห้องของมณฑาแล้ววางลงบนเตียง พลันมีแสงสว่างเปล่งประกายสีขาวก่อนที่ร่างของมณฑาจะกลับเป็นหญิงสาวเช่นเดิม (แม้อายุจะมากแล้วก็เถิด)
“หลับแล้วสินะ” ข้าพึมพำพลางลูบศีษะของนางอย่างรักใคร่ก่อนจะนอนข้างๆ นางแล้วหลับ…
ข้าตื่นอีกทีประมาณ ๙ โมง ดีนะมิเหมือนคราวก่อนข้าหลับจนมาถึง ๒ ทุ่มเล่นเอาหลังจากตื่นนอนต่อมิหลับเลย ---จู่ๆ ก็มีเสียงจากโทรศัพท์ดังขึ้นข้าหยิบมากดปุ่มเพื่อรับสาย ผู้ที่ติดต่อมาคือบัวผ่องนายิกาประจำจังหวัดนครสวรรค์พอนึกถึงแล้วรู้สึกหงุดหงิดกับยายนี่ ขอเล่าอะไรหน่อยเถิด ยายบัวผ่องขึ้นชื่อการทำงานค้าขายธุรกิจ เจรจากับใครมิเคยแพ้ ได้กำไรมากกว่าจะเป็นฝ่ายเสียต้นทุน คิดถึงเงินทองมากกว่าอะไร ที่กล่าวมามันก็คือพวกหน้าเงินดีๆ นี่เอง (และนางก็ขี้งกด้วยบอกไว้ก่อน)
“สวัสดี ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจข้าเขวี้ยงโทรศัพท์จริงด้วย! “เจ้าค่ะ เชิญกล่าวได้” ถึงจะหมั่นไส้แต่ตำแหน่งข้าต่ำกว่าจึงต้องพูดอย่างมีมารยาท
“เจ้ารู้ฤๅไม่ว่าคดีลักมีดมีความเกี่ยวข้องกับคดีเมื่อก่อน”
“คดีเมื่อก่อน? คดีอันใดฤๅเจ้าคะ??”
ข้าเพิ่งจะรู้นะว่ามันเกี่ยวข้องกันด้วย ข้าเคยเข้าไปดูเอกสารที่ทำการนายิกามาบ้างซึ่งจะบันทึกว่าเคยมีคดีอะไร นายิกาคนไหนไปทำมาและภารกิจสำเร็จลุล่วงฤๅไม่ แต่ที่ข้าพอจะรู้จักจะเป็นคดีเมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๔๕--- (ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะข้ากับมณฑาเพิ่งได้ตำแหน่งช่วงนั้น) หากเป็นคดีก่อนหน้านั้นข้าก็มิค่อยได้อ่านนัก
“อืม… อะไรนะ… ที่เป็นคดีเกี่ยวกับพิธีกรรมน่ะ”
“แล้วมันคือพิธีอันใดเจ้าคะ?” คดีที่เกี่ยวกับพิธีกรรมมีมากมายเลยนะ “พิธีเปิดคุกวิญญาณ” อันใดกันนะ มิเคยได้ยิน ชื่อพิลึก
“?...” ข้าเงียบไปมิรู้จะเอ่ยอันใดต่อ เหมือนบัวผ่องจะรู้เพราะข้าได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ “เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสข้าจะนำไปให้เจ้าอ่าน ว่าแต่ตอนนี้เจ้าทำอันใดอยู่ฤ?”
“นอนเล่นเจ้าค่ะ”
“อ้อ งั้นข้ามิรบกวนแล้วนะ”
ติ๊ด
เสียงตัดสายดังขึ้น อะไรเนี่ย มาไวไปไว ข้ามองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดก่อนจะวางไว้ที่เดิม
ตื้ด… ตื้ด…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ข้าตัดสินใจออกจากห้องเพราะมิอยากรบกวนมณฑาไปมากกว่านี้ ที่ข้าคุยเมื่อกี้นางมิตื่นก็บุญไหนแล้ว
“ลืมเรื่องอันฤๅเจ้าคะถึงติดต่อมาอีกรอบ?” ข้ารับสายแล้วเปิดประเด็น บัวผ่องเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “เจ้ารู้จักนักเรียนจากฟิคซาก้อนไหม? ที่ข้ารู้มามีศารทูล ชิโนโกะ อัมพุ โซค่อน เทสโลเอล โอฟีเลีย ซีอาห์กับเซอาห์และก็ใครนะ อีกสองคนข้าจำมิได้”
“ข้ารู้จักเจ้าค่ะ แล้วพวกเขาทำไมฤๅเจ้าคะ?”
“ข้าคิดว่าคดีลักมีดมิจำเป็นต้องให้พวกนั้นต้องช่วยดอก”
ก็จริงอยู่อย่างไรเสียก็มีนายิกาตั้ง ๗๐ กว่าคน ไหนจะรวมรองนายิกาอีกขืนปล่อยให้เด็กนั่นมาช่วยคงจะเกะกะเสียเปล่าแถมยังมีนักเรียนจากโรงเรียนศาสตราราชพฤกษ์วิทยาคมและเด็กจากมิติสามัญ …จะว่าไป เด็กจากฟิคซาก้อนและราชพฤกษ์มันก็พอๆ กันแหละ ไหนซอบอกว่าให้มาช่วยสืบแต่นี่อะไรมาเล่น กิน นอน แล้วเด็กฟิคซาก้อนหายไปไหนก็มิรู้---แย่จริง!
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ”
“มิได้ถามว่าเห็นด้วยฤๅไม่ข้าจะบอกว่าให้ไปบอกเด็กพวกนั้นว่ากลับไปที่โรงเรียน ยกเลิกการสืบ” อ๋อ… ก็มิบอกนะบัวผ่อง
“เจ้าค่ะ---”
ติ๊ด
และแล้วข้าก็โดนตัดสายแบบมิทันพูดจบ…
เมื่อมณฑาตื่นข้าก็นำเรื่องที่บัวผ่องบอกมาบอกอีกที นางพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพาข้าไปทานอาหารกลางวัน แม้จะยังมิถึงเที่ยงเพราะยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงก็จะใกล้ถึงเวลา
พอมาถึงข้าก็พบว่าเด็กๆ มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ยังมิทานกันอีกฤ?”
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ต้องให้ผู้ใหญ่เปิดก่อนสิ” ข้าได้ฟังอย่างงั้นก็หัวเราะเบาๆ จริงด้วยสินะ ถ้าทานก่อนผู้ใหญ่จะเสียมารยาท ข้าให้มณฑานั่งก่อนแล้วตนเองก็นั่งตาม หลังจากนั้นพวกเราก็ทานอาหารกัน มีการพูดคุยกันบ้างเพื่อมิให้บรรยากาศเงียบ ข้ากับมณฑาเรามิค่อยได้คุยกันเพราะดูมิงาม ต้องเคี้ยวให้เสร็จก่อนนั่นแหละถึงจะพูดได้
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ข้าอดจะใจหายมิได้เพราะเคยมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นแล้วกลับมาสงบเช่นนี้ ช่างเถิด ตอนนี้ควรจะใช้เวลาที่มีให้เต็มที่มิเช่นนั้นภายหน้ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น…
…อาจจะมิมีช่วงเวลานี้ก็เป็นได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ