ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.66K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
54) บทที่ ๕๔: แสดงความรัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
แสดงความรัก
หลังจากที่พินทุออกไปแล้วอสุราก็เข้ามาพอดี เธอไม่รอช้ารีบเข้าไปหาน้องสาวอย่างร้อนรน
“ศรี… ไปทำอะไรมาถึงเป็นอย่างนี้?” น้ำเสียงไม่สบายใจทำให้ศรีแสดงความรู้สึกผิดออกมา เธอไม่กล้าสบตากับอสุราที่กุมไหล่เบาๆ ทว่าให้ความรู้สึกหนัก
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“พี่ไม่สบายใจมากเลยนะ แต่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
ศรีคิดว่าแม้ความห่วยใยจะดูเกินจริง แต่เธอรับรู้ว่าอสุราเป็นห่วงจริงๆ ศรีรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ ระหว่างนั้นอสุราก็โน้มหน้าลงมาแล้วค่อยๆ ประทับริมฝีปากบนหน้าผาก สัมผัสเบาๆ แต่รู้สึกหนักหน่วง สัมผัสจากริมฝีปากร้อนผ่าวทำให้ศรีเคลิ้ม ความคิดขาวโพลนไปหมด โดยที่ไม่รู้ตัว อสุราสอดมือเข้ามาในเสื้อแล้วค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามรอบหน้าอก
ที่ศรีไม่ปัดป้องอะไรก็เพราะว่าอสุราได้ใช้มนต์สะกดจิต อสุราเอื้อมมือไปปลดเสื้อชั้นในแล้วดึงขึ้นและเลิกเสื้อของศรีจนเผยให้เห็นหน้าท้องขาวนวลและเสื้อชั้นในสีขาว ก่อนจะประคองร่างบางให้นอนลงแล้วไล้เลียตามร่องอก อสุราไล้ปลายนิ้วผ่านยอดอกสีระเรื่อ ยิ่งสัมผัสและลิ้มรสใจก็ยิ่งเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อไหร่กันนะที่ศรีจะรู้ว่าเรารักในเชิงชู้สาวไม่ใช่พี่น้อง
แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ อสุราก็ไม่สน เพราะศรีคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
ในขณะนั้นเองแววไพรกับว่าวก็เดินเข้ามา เมื่อมองภาพนั้นชัดๆ ทั้งสองก็นิ่งและเงียบเป็นเป่าสาก อสุราชักสีหน้าไม่พอใจที่ทั้งสองเข้ามาขัดจังหวะ
“นี่… พี่อสุรา” แววไพรชี้มาทางหญิงสาวผมลอนหยักศกอย่างไม่เชื่อสายตา มือสั่นเพราะโกรธที่ศรีโดนกินไปต่อหน้าต่อตาและไม่คิดว่าพี่แท้ๆ จะกล้าทำมิดีมิร้ายน้องตนเอง อสุราเปลี่ยนสีหน้า เธอยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ย
“หึๆ อิจฉาเหรอ อยากได้ก็เข้ามาแย่งสิ”
“มันแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ!” คราวนี้ว่าวเอ่ยอย่างโมโห แววไพรยื่นแท่งเหล็กจากร่มออกมาหมายจะตัดศีรษะอสุรา อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอก่อนจะอัญเชิญดาบที่แปลงจากปิ่นปักผมโดยที่ไม่ลืมใส่เสื้อผ้าให้น้องตนเองดังเดิม ศรีไม่ได้สติเพราะมนต์ยังไม่หมด
ชั่วหนึ่งที่เด็กหญิงสองคนเผลอจ้องร่างนั้นอย่างหื่นกระหาย อยากจะเข้าไปลิ้มรสหวานจากร่างบางแต่ก็ต้องอดใจไว้ ดูเหมือนแววไพรจะอาการหนักเลือดกำเดาไหลไม่หยุด แต่เมื่อว่าวสะกิดไหล่สติจึงกลับมา แววไพรกลับไปจ้องอสุราอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าไปปะทะดาบด้วยแท่งเหล็กจากร่มบ่อสร้าง
เคร้ง!!
“แหมๆ คิดจริงๆ ถูกที่ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง หื่นจริงเลยนะอสุรา” พินทุกล่าวอย่างขบขัน ปักษธรที่เพิ่งกลับมาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะมองพินทุอย่างตำหนิ
“ข้าอยากรู้นักว่าทำไมเจ้าถึงชอบหาเรื่อง”
“คิกๆ” พินทุหัวเราะ นั่นทำให้ปักษธรแทบจะหยิบลูกธนูมาแทงให้เลือดพุ่ง แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ไว้ ระหว่างที่นั่งนับหนึ่งถึงสิบในใจก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้จึงมองหน้าพินทุแล้วเอ่ย
“พินทุ อีกกี่วันฤกว่าจะถึงว่าแข่ง”
“วันแข่ง? อ๋อ การแข่งสำหรับนายิกาเพื่อหานายิกาที่แข็งแกร่งที่สุดน่ะฤ” พินทุเลิกคิ้ว ดวงตาฉายประกายวาววับเหมือนเจอเรื่องสนุก การแข่งนายิกา เป็นงานที่นายิกาทุกจังหวัดจะมารวมกันที่กรุงเทพฯ พร้อมกับรองนายิกา จุดประสงค์ก็เป็นเช่นที่พินทุกล่าว พินทุยิ้มมุมปากพลางตอบ
“สัปดาห์หน้า”
“ทำไมถึงเร็วนักล่ะ!” ปักษธรจ้องพินทุเหมือนไม่เชื่อ อีกฝ่ายยักไหล่พลางตอบ “ก็มิรู้สินะ”
“อย่ามากวนข้านะ!”
“…รองนายิกาเจ้าหายไปไหนล่ะ” พินทุถาม ปักษธรเงียบไป นึกถึงหญิงสาวผมยาวสีม่วงเข้ม ดวงตาสีม่วงอมแดงเหมือนองุ่นที่ฉายความอาฆาตทำให้นางหายใจแทบไม่ออก พินทุสังเกตอาการนั้นจึงไม่ถามต่อแล้วนั่งเงียบๆ ต่อไป
หึๆๆ…
“จะว่าไปนายยังไม่ได้ถ่ายให้ฉันเลยนะ” พงสณะกล่าวกับโซค่อนในขณะที่อีกฝ่ายกำลังกดดูภาพที่ถ่ายมาระหว่างอยู่ที่ประเทศไทย
“เออน่า เดี๋ยวถ่ายให้ตอนนี้กำลังหาเลือกรูปที่จะลบเนี่ย เต็มกล้องแล้ว” พงสณะมองโซค่อนอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าแล้วถอนหายใจ
“เฮ้อ มาป่วยอะไรตอนนี้นะศรี” ศรีไม่สบายทำให้เขาไม่กล้าแกล้งเธอเพราะกลัวอาการจะหนักขึ้น โซค่อนยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย
“นี่ พงสณะ นายรักศรีมากไหม?”
“รักมาก ไม่สิ ฉันรักศรีมากๆๆๆ เลยล่ะ” พงสณะมีสีหน้าที่แจ่มใสขึ้น โซค่อนจ้องพงสณะสักพักแล้วถาม
“ทำไมถึงรักศรีล่ะ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้รักนาย”
“ฉันสนที่ไหนล่ะ! ตราบใดที่ฉันพยายามไล่ตาม ดูแลและปกป้องศรีก็น่าจะหวั่นไหวกับฉันบ้างนั่นแหละ”
ทำไมกันนะถึงรักคนที่ไม่เคยสนใจตนเอง
โซค่อนคิดว่าพงสณะควรจะไปรักคนที่รักตนเองจะดีกว่า เพราะบางคนต่อให้พยายามสักเพียงใดอีกฝ่ายก็ไม่หันมามองอยู่ดี และเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นมามากแล้ว โซค่อนมองไปทางอื่นแล้วเอ่ยเบาๆ
“แล้ว… ถ้าศรีมีคนที่ชอบอยู่แล้วล่ะ นายจะยังรักไหม…”
“รักสิ!”
“นี่ ฟังให้จบก่อน ฉันหมายถึงถ้าศรีชอบคนนั้นแล้วอีกฝ่ายชอบเธอเหมือนกัน นายจะทำยังไงล่ะ?” พงสณะนิ่งไป เขาค่อยๆ หุบยิ้ม เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากคิดมากที่สุด
“สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ไม่ได้ชมนาย แต่อยากให้นายตระหนัก นายหน้าตาดี รวย เรียนเก่ง กีฬาก็ไม่แพ้ใคร แต่สมมติว่าศรีไม่ชอบเพราะนายไม่พยายาม จีบเธอโดยใช้เงินช่วย คิดดูละกันว่าเธอจะรักนายไหม นายเคยบอกนี่ว่าศรีถูกกลั่นแกล้ง ทารุณทั้งใจและกาย นั่นหมายความว่าเธออาจจะอยากได้ความรัก ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง และนายก็คือหนึ่งในนั้น”
“…”
“เพราะฉะนั้นแล้ว… นายควรจะให้ความรัก ไม่ใช่เงินทอง” พงสณะรู้ตัวดีและคิดมาตลอด เขาให้ทั้งความรักและสิ่งของที่ศรีต้องการมาตลอด
…แต่ทำไมล่ะ เธอถึงไม่รักเขา นั่นคือสิ่งที่พงสณะสงสัยและเจ็บใจมาก
“ฉัน… จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เธอมา ไม่ว่าจะต้องแลกอะไรก็ตาม”
อยากให้จำได้เร็วๆ …เรารอมานานแล้วนะ ทำไม พ กับ ม ถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ?
ฟิ้ว…
สายลมพัดผ่าน กลีบดอกไม้ร่วงตัดหน้า เสไพรเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงดาวฉายแสงขาวนวล ตอนนี้สงบจนน่าใจหาย ผิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหว
“ใจเย็นสิ พวกเขาต้องใช้เวลานะ นี่เพิ่มจะเริ่มต้น การที่จะจำอะไรมิได้ก็มิแปลก” คาตานะกล่าวขึ้นจากด้านขวา เสไพรไม่ได้แสดงความตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็มา กลับกัน เขายิ่งเวทนาตนเองที่ฝันลมๆ แล้งๆ อากาศตอนกลางคืนเย็นเชียบ ลูบไล้ตามผิวกายเสมือนมีวิญญาณมาล้อมรอบ
“อืม… แล้วท่านมีธุระอะไรกับผมไหม?” เสไพรถามโดยไม่มองหน้า คาตานะหยักไหล่ก่อนจะตอบ
“มิมีเรื่องอันใด”
วันพฤหัสบดีที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
อาการของศรีดีขึ้น เช้านี้ตื่นขึ้นมาเธอจึงอ่านหนังสือเป็นอันดับแรก คิดว่าจะไปอาบน้ำทีหลัง แต่อ่านไม่ทันถึงหน้าที่ ๓ บรรพตก็เข้ามาชวนเธอไปอาบน้ำ เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเธอจึงไปพร้อมกับบรรพต
ช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมฝนจึงมีตกบ้างบางวันแต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว แน่นอนว่าอุณหภูมิต้องยิ่งต่ำเข้าไปอีก
มิน่าล่ะเมื่อคืนถึงรู้สึกหนาว
เธอคิดไปด้วยระหว่างเดิน ห้องอาบน้ำรวมอยู่อีกฝั่ง พอเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นหอมจากสบู่และกลิ่นอับของน้ำลอยเข้ามา มีน้ำกระเซ็นตามช่องเล็กๆ ของประตู บรรพตเปิดเข้าไปแล้วเข้าไปอีกฝั่งของห้องน้ำพร้อมกับศรีเพื่อที่จะเปลี่ยนเสื้อมาสวมผ้าเช็ดตัวแทน
เมื่อออกมาพบเพื่อนที่กำลังอาบน้ำอยู่ แววไพรกับว่าวก็จ้องเธอตาไม่กะพริบ ความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนี้จากการต่อสู้ทำให้เพลียแต่ได้เห็นร่างของศรีแล้วกลับสดชื่น
ในความคิดของศรีเธอคาดว่าทั้งสองคนคงกำลังตะลึงที่เธอหายไม่สบายแล้ว แต่ในความคิดของบรรพตกลับมองว่าสายนั้นจ้องเรือนร่างบางของศรีอย่างหื่นกระหาย ศรีไม่ได้เอะใจจึงยิ้มที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลทำให้แววไพรและว่าวมองอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อบรรพตหยิบขันมาขว้างใส่ก็ดึงสติกลับมา
ศรีหัวเราะก่อนจะลงไปในอ่างอาบน้ำแล้วผ่อนคลายในน้ำที่เต็มไปด้วยใบสมุนไพรส่งกลิ่นหอมธรรมชาติ ต่างจากสบู่ทั่วไปที่ผสมเคมี สายตาของเธอเหลือบไปเห็นว่ายุพินกับแป้งมันเมินหน้าใส่กันนั่นทำให้เธอไม่สบายใจจนจะเข้าไปถามแต่แววไพรกลับเข้ามาขัดก่อน
“ศรี อาการดีขึ้นแล้วเหรอ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม” ดวงตาสีดำที่เผยชัดขึ้นเมื่อถอดแว่นฉายความยินดีและกังวล ศรียิ้มบางๆ ก่อนจะซบหน้ากับไหล่ของอีกฝ่าย
“ดีขึ้นแล้วจ้ะ” แววไพรไม่ได้ฟังศรีแล้ว ภาพที่เกือบเปลือยเปล่านั้นผุดขึ้นมาจนความคิดขาวโพลนไปหมด แวบหนึ่งที่แววตามีเลศนัย แฝงไปด้วยความกระหายในเรือนร่างบางขาวนวลเป็นยองใย ทว่าเธอต้องตั้งสติไว้เพื่อไม่ให้ศรีหวาดระแวง เธอโอบเอวศรีไว้แล้วลูบเบาๆ
…ย่ะ ยอดไปเลย รู้สีกดีมากๆ ขนาดแค่ลูบนะเนี่ย
“ฮึ่ม!”
เสียงไม่พอใจดังขึ้นจนแววไพรแทบอยากจะหยิบขันมาตบหน้าคนเอ่ยอย่างหงุดหงิด เธอถลึงตาใส่ว่าวแล้วทำเสียงลอดไรฟัน ว่าวเชิดหน้าใส่โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายโตกว่าตนเอง เธอเข้าไปกอดศรีแล้วไล้ตามแผ่นท้องและไล้ถึงสะโพก ศรีเผลอครางออกมาเบาๆ หน้าแดงขึ้นเช่นเดียวกับอีกสองคนที่เป็นนานแล้ว
“ว่าว… ทำอะไรน่ะ?” แววไพรคิดว่าดีจริงที่ศรีไม่รู้สึกตัวกับสัมผัสจากตนเอง แววไพรกับว่าวรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดมากกว่าปรกติ เลือดกำเดาไหลจากจมูกแววไพร เด็กหญิงเบือนหน้าหนีแล้วดันร่างศรีออกห่างก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ด ว่าวถือ โอกาสให้ศรีมาพิงร่างตนแล้วลวมลามต่อไป
“ท่านพี่ศรี นิ่งๆ สิเจ้าคะ” ว่าวออกคำสั่งแล้วไล้ปลายนิ้วตามร่องแผ่นหลังสร้างความรู้สึกดีๆ ให้อย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ยๆ พอได้แล้วน่า หื่นจริงยายพวกนี้”
บรรพตแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความหื่นไม่เลิกของเด็กหญิงสองคน ทั้งสองเชิดหน้าใส่กันแล้วเลิกลวมลามแต่ก็ไม่วายนั่งเบียดๆ ศรีเพราะความหวง บรรพตถอนหายใจ ในขณะนั้นก็เผลอนึกถึงดอกเข็มกับกลีบเย้าที่ต่างฝ่ายต่างก็รักกันดี นึกถึงแล้วก็น่าอิจฉาไม่น้อยทีเดียว
“จะว่าไปดอกเข็มกับกลีบเย้ายังไม่ตื่นกันกันเหรอ ยังไม่เห็นมากันเลย” ศรีถามไม่เจาะจงผู้ตอบ บรรพตที่อารมณ์นิ่งที่สุดจึงตอบแทนคนอื่น
“อืม สักพักก็คงมาแหละ หลังๆ นี้พอไม่ได้อยู่ที่ภาคเหนือตื่นสายกว่าเดิม”
“หืม? หมายความว่าแต่ก่อนทั้งสองตื่นเร็วกว่านี้เหรอจ๊ะ?” ศรีหันไปมองบรรพต อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะตอบ “ก็ใช่น่ะนะ ตื่นประมาณตีสี่มิก็ตีห้า ถ้าจะถามว่าทำไมถึงตื่นเร็วก็คงต้องตอบว่าไปเก็บผักที่ปลูกและก็ทำงานน่ะ แต่ก็ปรกติน่ะนะสำหรับคนที่อาศัยแบบเรียบง่าย”
ท่าทีสบายๆ ของบรรพตทำให้ศรีผ่อนคลาย ศรีคิดว่าอยากลองใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง คงจะสงบน่าดู แม้ไม่ค่อยสะดวกสบายก็ตาม
…แต่อย่างน้อยก็ไม่วุ่นวายเท่าในเมืองน่ะนะ
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
แสดงความรัก
หลังจากที่พินทุออกไปแล้วอสุราก็เข้ามาพอดี เธอไม่รอช้ารีบเข้าไปหาน้องสาวอย่างร้อนรน
“ศรี… ไปทำอะไรมาถึงเป็นอย่างนี้?” น้ำเสียงไม่สบายใจทำให้ศรีแสดงความรู้สึกผิดออกมา เธอไม่กล้าสบตากับอสุราที่กุมไหล่เบาๆ ทว่าให้ความรู้สึกหนัก
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“พี่ไม่สบายใจมากเลยนะ แต่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
ศรีคิดว่าแม้ความห่วยใยจะดูเกินจริง แต่เธอรับรู้ว่าอสุราเป็นห่วงจริงๆ ศรีรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ ระหว่างนั้นอสุราก็โน้มหน้าลงมาแล้วค่อยๆ ประทับริมฝีปากบนหน้าผาก สัมผัสเบาๆ แต่รู้สึกหนักหน่วง สัมผัสจากริมฝีปากร้อนผ่าวทำให้ศรีเคลิ้ม ความคิดขาวโพลนไปหมด โดยที่ไม่รู้ตัว อสุราสอดมือเข้ามาในเสื้อแล้วค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามรอบหน้าอก
ที่ศรีไม่ปัดป้องอะไรก็เพราะว่าอสุราได้ใช้มนต์สะกดจิต อสุราเอื้อมมือไปปลดเสื้อชั้นในแล้วดึงขึ้นและเลิกเสื้อของศรีจนเผยให้เห็นหน้าท้องขาวนวลและเสื้อชั้นในสีขาว ก่อนจะประคองร่างบางให้นอนลงแล้วไล้เลียตามร่องอก อสุราไล้ปลายนิ้วผ่านยอดอกสีระเรื่อ ยิ่งสัมผัสและลิ้มรสใจก็ยิ่งเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อไหร่กันนะที่ศรีจะรู้ว่าเรารักในเชิงชู้สาวไม่ใช่พี่น้อง
แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ อสุราก็ไม่สน เพราะศรีคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
ในขณะนั้นเองแววไพรกับว่าวก็เดินเข้ามา เมื่อมองภาพนั้นชัดๆ ทั้งสองก็นิ่งและเงียบเป็นเป่าสาก อสุราชักสีหน้าไม่พอใจที่ทั้งสองเข้ามาขัดจังหวะ
“นี่… พี่อสุรา” แววไพรชี้มาทางหญิงสาวผมลอนหยักศกอย่างไม่เชื่อสายตา มือสั่นเพราะโกรธที่ศรีโดนกินไปต่อหน้าต่อตาและไม่คิดว่าพี่แท้ๆ จะกล้าทำมิดีมิร้ายน้องตนเอง อสุราเปลี่ยนสีหน้า เธอยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ย
“หึๆ อิจฉาเหรอ อยากได้ก็เข้ามาแย่งสิ”
“มันแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ!” คราวนี้ว่าวเอ่ยอย่างโมโห แววไพรยื่นแท่งเหล็กจากร่มออกมาหมายจะตัดศีรษะอสุรา อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอก่อนจะอัญเชิญดาบที่แปลงจากปิ่นปักผมโดยที่ไม่ลืมใส่เสื้อผ้าให้น้องตนเองดังเดิม ศรีไม่ได้สติเพราะมนต์ยังไม่หมด
ชั่วหนึ่งที่เด็กหญิงสองคนเผลอจ้องร่างนั้นอย่างหื่นกระหาย อยากจะเข้าไปลิ้มรสหวานจากร่างบางแต่ก็ต้องอดใจไว้ ดูเหมือนแววไพรจะอาการหนักเลือดกำเดาไหลไม่หยุด แต่เมื่อว่าวสะกิดไหล่สติจึงกลับมา แววไพรกลับไปจ้องอสุราอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าไปปะทะดาบด้วยแท่งเหล็กจากร่มบ่อสร้าง
เคร้ง!!
“แหมๆ คิดจริงๆ ถูกที่ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง หื่นจริงเลยนะอสุรา” พินทุกล่าวอย่างขบขัน ปักษธรที่เพิ่งกลับมาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะมองพินทุอย่างตำหนิ
“ข้าอยากรู้นักว่าทำไมเจ้าถึงชอบหาเรื่อง”
“คิกๆ” พินทุหัวเราะ นั่นทำให้ปักษธรแทบจะหยิบลูกธนูมาแทงให้เลือดพุ่ง แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ไว้ ระหว่างที่นั่งนับหนึ่งถึงสิบในใจก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้จึงมองหน้าพินทุแล้วเอ่ย
“พินทุ อีกกี่วันฤกว่าจะถึงว่าแข่ง”
“วันแข่ง? อ๋อ การแข่งสำหรับนายิกาเพื่อหานายิกาที่แข็งแกร่งที่สุดน่ะฤ” พินทุเลิกคิ้ว ดวงตาฉายประกายวาววับเหมือนเจอเรื่องสนุก การแข่งนายิกา เป็นงานที่นายิกาทุกจังหวัดจะมารวมกันที่กรุงเทพฯ พร้อมกับรองนายิกา จุดประสงค์ก็เป็นเช่นที่พินทุกล่าว พินทุยิ้มมุมปากพลางตอบ
“สัปดาห์หน้า”
“ทำไมถึงเร็วนักล่ะ!” ปักษธรจ้องพินทุเหมือนไม่เชื่อ อีกฝ่ายยักไหล่พลางตอบ “ก็มิรู้สินะ”
“อย่ามากวนข้านะ!”
“…รองนายิกาเจ้าหายไปไหนล่ะ” พินทุถาม ปักษธรเงียบไป นึกถึงหญิงสาวผมยาวสีม่วงเข้ม ดวงตาสีม่วงอมแดงเหมือนองุ่นที่ฉายความอาฆาตทำให้นางหายใจแทบไม่ออก พินทุสังเกตอาการนั้นจึงไม่ถามต่อแล้วนั่งเงียบๆ ต่อไป
หึๆๆ…
“จะว่าไปนายยังไม่ได้ถ่ายให้ฉันเลยนะ” พงสณะกล่าวกับโซค่อนในขณะที่อีกฝ่ายกำลังกดดูภาพที่ถ่ายมาระหว่างอยู่ที่ประเทศไทย
“เออน่า เดี๋ยวถ่ายให้ตอนนี้กำลังหาเลือกรูปที่จะลบเนี่ย เต็มกล้องแล้ว” พงสณะมองโซค่อนอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าแล้วถอนหายใจ
“เฮ้อ มาป่วยอะไรตอนนี้นะศรี” ศรีไม่สบายทำให้เขาไม่กล้าแกล้งเธอเพราะกลัวอาการจะหนักขึ้น โซค่อนยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย
“นี่ พงสณะ นายรักศรีมากไหม?”
“รักมาก ไม่สิ ฉันรักศรีมากๆๆๆ เลยล่ะ” พงสณะมีสีหน้าที่แจ่มใสขึ้น โซค่อนจ้องพงสณะสักพักแล้วถาม
“ทำไมถึงรักศรีล่ะ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้รักนาย”
“ฉันสนที่ไหนล่ะ! ตราบใดที่ฉันพยายามไล่ตาม ดูแลและปกป้องศรีก็น่าจะหวั่นไหวกับฉันบ้างนั่นแหละ”
ทำไมกันนะถึงรักคนที่ไม่เคยสนใจตนเอง
โซค่อนคิดว่าพงสณะควรจะไปรักคนที่รักตนเองจะดีกว่า เพราะบางคนต่อให้พยายามสักเพียงใดอีกฝ่ายก็ไม่หันมามองอยู่ดี และเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นมามากแล้ว โซค่อนมองไปทางอื่นแล้วเอ่ยเบาๆ
“แล้ว… ถ้าศรีมีคนที่ชอบอยู่แล้วล่ะ นายจะยังรักไหม…”
“รักสิ!”
“นี่ ฟังให้จบก่อน ฉันหมายถึงถ้าศรีชอบคนนั้นแล้วอีกฝ่ายชอบเธอเหมือนกัน นายจะทำยังไงล่ะ?” พงสณะนิ่งไป เขาค่อยๆ หุบยิ้ม เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากคิดมากที่สุด
“สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ไม่ได้ชมนาย แต่อยากให้นายตระหนัก นายหน้าตาดี รวย เรียนเก่ง กีฬาก็ไม่แพ้ใคร แต่สมมติว่าศรีไม่ชอบเพราะนายไม่พยายาม จีบเธอโดยใช้เงินช่วย คิดดูละกันว่าเธอจะรักนายไหม นายเคยบอกนี่ว่าศรีถูกกลั่นแกล้ง ทารุณทั้งใจและกาย นั่นหมายความว่าเธออาจจะอยากได้ความรัก ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง และนายก็คือหนึ่งในนั้น”
“…”
“เพราะฉะนั้นแล้ว… นายควรจะให้ความรัก ไม่ใช่เงินทอง” พงสณะรู้ตัวดีและคิดมาตลอด เขาให้ทั้งความรักและสิ่งของที่ศรีต้องการมาตลอด
…แต่ทำไมล่ะ เธอถึงไม่รักเขา นั่นคือสิ่งที่พงสณะสงสัยและเจ็บใจมาก
“ฉัน… จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เธอมา ไม่ว่าจะต้องแลกอะไรก็ตาม”
อยากให้จำได้เร็วๆ …เรารอมานานแล้วนะ ทำไม พ กับ ม ถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ?
ฟิ้ว…
สายลมพัดผ่าน กลีบดอกไม้ร่วงตัดหน้า เสไพรเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงดาวฉายแสงขาวนวล ตอนนี้สงบจนน่าใจหาย ผิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหว
“ใจเย็นสิ พวกเขาต้องใช้เวลานะ นี่เพิ่มจะเริ่มต้น การที่จะจำอะไรมิได้ก็มิแปลก” คาตานะกล่าวขึ้นจากด้านขวา เสไพรไม่ได้แสดงความตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็มา กลับกัน เขายิ่งเวทนาตนเองที่ฝันลมๆ แล้งๆ อากาศตอนกลางคืนเย็นเชียบ ลูบไล้ตามผิวกายเสมือนมีวิญญาณมาล้อมรอบ
“อืม… แล้วท่านมีธุระอะไรกับผมไหม?” เสไพรถามโดยไม่มองหน้า คาตานะหยักไหล่ก่อนจะตอบ
“มิมีเรื่องอันใด”
วันพฤหัสบดีที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
อาการของศรีดีขึ้น เช้านี้ตื่นขึ้นมาเธอจึงอ่านหนังสือเป็นอันดับแรก คิดว่าจะไปอาบน้ำทีหลัง แต่อ่านไม่ทันถึงหน้าที่ ๓ บรรพตก็เข้ามาชวนเธอไปอาบน้ำ เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเธอจึงไปพร้อมกับบรรพต
ช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมฝนจึงมีตกบ้างบางวันแต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว แน่นอนว่าอุณหภูมิต้องยิ่งต่ำเข้าไปอีก
มิน่าล่ะเมื่อคืนถึงรู้สึกหนาว
เธอคิดไปด้วยระหว่างเดิน ห้องอาบน้ำรวมอยู่อีกฝั่ง พอเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นหอมจากสบู่และกลิ่นอับของน้ำลอยเข้ามา มีน้ำกระเซ็นตามช่องเล็กๆ ของประตู บรรพตเปิดเข้าไปแล้วเข้าไปอีกฝั่งของห้องน้ำพร้อมกับศรีเพื่อที่จะเปลี่ยนเสื้อมาสวมผ้าเช็ดตัวแทน
เมื่อออกมาพบเพื่อนที่กำลังอาบน้ำอยู่ แววไพรกับว่าวก็จ้องเธอตาไม่กะพริบ ความเหนื่อยล้าเมื่อคืนนี้จากการต่อสู้ทำให้เพลียแต่ได้เห็นร่างของศรีแล้วกลับสดชื่น
ในความคิดของศรีเธอคาดว่าทั้งสองคนคงกำลังตะลึงที่เธอหายไม่สบายแล้ว แต่ในความคิดของบรรพตกลับมองว่าสายนั้นจ้องเรือนร่างบางของศรีอย่างหื่นกระหาย ศรีไม่ได้เอะใจจึงยิ้มที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลทำให้แววไพรและว่าวมองอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อบรรพตหยิบขันมาขว้างใส่ก็ดึงสติกลับมา
ศรีหัวเราะก่อนจะลงไปในอ่างอาบน้ำแล้วผ่อนคลายในน้ำที่เต็มไปด้วยใบสมุนไพรส่งกลิ่นหอมธรรมชาติ ต่างจากสบู่ทั่วไปที่ผสมเคมี สายตาของเธอเหลือบไปเห็นว่ายุพินกับแป้งมันเมินหน้าใส่กันนั่นทำให้เธอไม่สบายใจจนจะเข้าไปถามแต่แววไพรกลับเข้ามาขัดก่อน
“ศรี อาการดีขึ้นแล้วเหรอ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม” ดวงตาสีดำที่เผยชัดขึ้นเมื่อถอดแว่นฉายความยินดีและกังวล ศรียิ้มบางๆ ก่อนจะซบหน้ากับไหล่ของอีกฝ่าย
“ดีขึ้นแล้วจ้ะ” แววไพรไม่ได้ฟังศรีแล้ว ภาพที่เกือบเปลือยเปล่านั้นผุดขึ้นมาจนความคิดขาวโพลนไปหมด แวบหนึ่งที่แววตามีเลศนัย แฝงไปด้วยความกระหายในเรือนร่างบางขาวนวลเป็นยองใย ทว่าเธอต้องตั้งสติไว้เพื่อไม่ให้ศรีหวาดระแวง เธอโอบเอวศรีไว้แล้วลูบเบาๆ
…ย่ะ ยอดไปเลย รู้สีกดีมากๆ ขนาดแค่ลูบนะเนี่ย
“ฮึ่ม!”
เสียงไม่พอใจดังขึ้นจนแววไพรแทบอยากจะหยิบขันมาตบหน้าคนเอ่ยอย่างหงุดหงิด เธอถลึงตาใส่ว่าวแล้วทำเสียงลอดไรฟัน ว่าวเชิดหน้าใส่โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายโตกว่าตนเอง เธอเข้าไปกอดศรีแล้วไล้ตามแผ่นท้องและไล้ถึงสะโพก ศรีเผลอครางออกมาเบาๆ หน้าแดงขึ้นเช่นเดียวกับอีกสองคนที่เป็นนานแล้ว
“ว่าว… ทำอะไรน่ะ?” แววไพรคิดว่าดีจริงที่ศรีไม่รู้สึกตัวกับสัมผัสจากตนเอง แววไพรกับว่าวรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดมากกว่าปรกติ เลือดกำเดาไหลจากจมูกแววไพร เด็กหญิงเบือนหน้าหนีแล้วดันร่างศรีออกห่างก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ด ว่าวถือ โอกาสให้ศรีมาพิงร่างตนแล้วลวมลามต่อไป
“ท่านพี่ศรี นิ่งๆ สิเจ้าคะ” ว่าวออกคำสั่งแล้วไล้ปลายนิ้วตามร่องแผ่นหลังสร้างความรู้สึกดีๆ ให้อย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ยๆ พอได้แล้วน่า หื่นจริงยายพวกนี้”
บรรพตแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความหื่นไม่เลิกของเด็กหญิงสองคน ทั้งสองเชิดหน้าใส่กันแล้วเลิกลวมลามแต่ก็ไม่วายนั่งเบียดๆ ศรีเพราะความหวง บรรพตถอนหายใจ ในขณะนั้นก็เผลอนึกถึงดอกเข็มกับกลีบเย้าที่ต่างฝ่ายต่างก็รักกันดี นึกถึงแล้วก็น่าอิจฉาไม่น้อยทีเดียว
“จะว่าไปดอกเข็มกับกลีบเย้ายังไม่ตื่นกันกันเหรอ ยังไม่เห็นมากันเลย” ศรีถามไม่เจาะจงผู้ตอบ บรรพตที่อารมณ์นิ่งที่สุดจึงตอบแทนคนอื่น
“อืม สักพักก็คงมาแหละ หลังๆ นี้พอไม่ได้อยู่ที่ภาคเหนือตื่นสายกว่าเดิม”
“หืม? หมายความว่าแต่ก่อนทั้งสองตื่นเร็วกว่านี้เหรอจ๊ะ?” ศรีหันไปมองบรรพต อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะตอบ “ก็ใช่น่ะนะ ตื่นประมาณตีสี่มิก็ตีห้า ถ้าจะถามว่าทำไมถึงตื่นเร็วก็คงต้องตอบว่าไปเก็บผักที่ปลูกและก็ทำงานน่ะ แต่ก็ปรกติน่ะนะสำหรับคนที่อาศัยแบบเรียบง่าย”
ท่าทีสบายๆ ของบรรพตทำให้ศรีผ่อนคลาย ศรีคิดว่าอยากลองใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง คงจะสงบน่าดู แม้ไม่ค่อยสะดวกสบายก็ตาม
…แต่อย่างน้อยก็ไม่วุ่นวายเท่าในเมืองน่ะนะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ