ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

53) บทที่ ๕๓: อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๓

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๕๓

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๓

                “เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลังจากที่ถามและได้คำบอกเล่าจากเด็กหญิงแล้ว กาสะลองก็คิดว่าไม่น่าถามเลย เพราะความเจ็บปวดที่เกินจะทานทนนั้นนางสัมผัสได้ในดวงตาที่ฉายความทุกข์ระทม ใสเพราะน้ำตาคลอ ดวงตาสีส้มนั้นราวกับพระอาทิตย์สดใสที่หม่นหมองเพราะเมฆฝน

                กาสะลองเช็ดน้ำตาไป แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                “อย่าร้องไห้เลย ต่อจากนี้เป็นต้นไปมิว่าอันใดจะเกิดขึ้น พี่จะอยู่เคียงข้างหนูนะ” มณฑารู้สึกว่าตนฝันไป ความอ่อนโยนที่แฝงความจริงใจนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางเคยสัมผัส เด็กหญิงยิ้มแล้วหลับพลางซุกกับหน้าอกอบอุ่นด้วยความรู้สึกดีๆ

                .

                .

                .

                ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มทำความรู้จักและเล่นกัน กาสะลองรู้สึกเป็นห่วงมณฑาเพราะนางไว้ใจผู้อื่นง่ายเกินไป แต่อีกใจกาสะลองก็คิดว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมให้นาน ระหว่างนั้นก็มีบ่าวคนหนึ่งนำอาหารมาให้ ทั้งสองคนไม่รู้สึกจึงเล่นต่อไปอย่างมีความสุข บ่าวที่นำมาให้ก็ส่ายหน้าพลางยิ้ม พลอยมีความสุขไปด้วยที่คุณหนูกลับมายิ้มได้อีกครั้ง เพราะความโหดร้ายของครอบครัว

                เมื่อถึงเวลาเรียน มณฑาก็ต้องจำใจต้องหยุดเล่น นางหันไปมองกาสะลองอย่างโหยหา อีกฝ่ายยิ้มให้เหมือนจะบอกว่าทนหน่อย ประเดี๋ยวก็จะได้เล่น เมื่อเป็นเช่นนั้นมณฑาจึงยอมไป สักพักนนทรีก็เข้ามาหากาสะลองก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ            “ท่านกาสะลอง น้องข้าได้ทำเรื่องมิดีฤๅไม่?”

                “วางใจได้ แกเป็นเด็กดี” กาสะลองตอบ พลางคิดว่าถึงตายมณฑาจะทำเรื่องไม่ดีนางก็จะไม่ยอมบอกเด็ดขาด เพราะก่อนหน้านี้มณฑาได้ให้นางดูแผลตามตัวที่ถูกพี่สาวตนลงโทษนางก็เจ็บไปด้วย …เจ็บใจที่มาช้า เพื่อที่จะได้ปกป้อง

                ข้าจะมิยอมให้ใครมาทำร้ายมณฑาเด็ดขาด

                “หากน้องสาวข้าทำเรื่องมิดีบอกได้เลยนะเจ้าคะ” กล่าวจบนนทรีก็เดินไป ทิ้งให้หญิงสาวผมสั้นมองแผ่นหลังอันเย็นชาด้วยความเกลียดชัง

 

                นนทรีนั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ นางฟังสิ่งที่คุณครูบอกพลางจดเนื้อหา ตาก็เหลือบมองมณฑาที่พยายามกลั้นยิ้ม

                มีความสุขมากสินะ

               

                เมื่อเรียนหมดชั่วโมงแล้วนนทรีก็ก้าวเท้าไปหามณฑาก่อนจะกระชากไหล่ให้หันมามอง ผู้เป็นน้องสาวเบิกตาตกตะลึงก่อนจะพยายามเอ่ยไม่ให้เสียงสั่นเพราะกลัว

                “ม่ะ มีอันฤๅเจ้าคะ?”

                “เจ้าไปแกล้งท่านกาสะลองฤๅไม่?”

                “ไม่เจ้าค่ะ” นนทรีหรี่ตามองก่อนจะผลักมณฑาเบาๆ แล้วเดินจากไป

                ใจจริงนนทรีไม่ได้สงสัยเรื่องนั้น แต่นางอิจฉาที่มณฑามีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับกาสะลอง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองทำไปขนาดนั้นการที่มณฑาจะไม่ชอบก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ชีวิตที่เคร่งครัดของครอบครัวตนเองทำให้นางทุกข์ไม่แพ้มณฑา ยิ่งเป็นพี่ก็ยิ่งต้องเป็นตัวอย่างให้แก่น้อง

                …อยากเล่น อยากหัวเราะ อยากยิ้ม นั่นคือความปรารถนา

                แต่นางทำไม่ได้ สิ่งที่จะทำแทนได้เพื่อให้ชื่นใจบ้างก็คือน้องสาวตนที่ยิ้มได้ หัวเราะได้

                ทว่านั่นคือสิ่งที่แม่ของทั้งสองไม่ต้องการ นนทรีจึงจำต้องทำลายความสุขของตนโดยการทำร้ายมณฑา ไม่สนว่าน้องจะเกลียดไหม ร่างกายขาวผ่องบางสมวัยจะบอบช้ำหรือไม่นางก็ไม่สน

                มณฑาต้องเป็นของข้า ของข้าเท่านั้น!!

 

                ซอจำแลงร่างเป็นเด็กอีกครั้งก่อนจะไปหามณฑาที่ห้องโดยหวังว่าพี่สาวจะไม่มาด้วย เมื่อมองซ้ายแลขวาไม่เห็นใครก็เข้าไปในห้องด้วยใบหน้าสดใส

                “?” ซอฉายความฉงนในแววตา เมื่อพบว่ามีหญิงสาวอยู่ในห้องด้วย นางทำท่าจะหนีไปแต่ก็ถูกมณฑารั้งไว้

                “บัดเดี๋ยวก่อนซอ พี่สาวมิทำร้ายเราดอก มาเถิด” ซอกลับเข้ามาก่อนจะนั่งลงบนเตียง “ท่านผู้นี้คือใคร?” จริงๆ แล้วซอทราบดีว่าหญิงสาวผมสั้นคือใคร แต่หากทำเป็นรู้จักอีกฝ่ายอาจสงสัยได้จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ กาสะลองจ้องซอตาไม่กะพริบด้วยความคุ้นหน้า แต่สักพักก็เข้าใจ

                ที่แท้ก็เป็นนายิกาแห่งภาคกลางประจำที่ชลบุรีนี่เอง

               

                “ท่านคือนายิกาสินะเจ้าคะ” กาสะลองถาม หลังจากที่ทั้งสามคนเล่นเสร็จจนถึงกลางคืนมณฑาจึงหลับไปก่อน เหลือเพียงหญิงสาวสองคนที่อีกคนจำแลงร่างเด็ก ท่ามกลางความมือที่กลืนกินทุกสิ่ง ดอกไม้สีแดงโปรยปรายจากต้นราวกับเลือด ซอยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ

                “ใช่”

                “ท่านทำแบบนี้เพื่ออันใดกันเจ้าคะ?”

                “ข้าเบื่อชีวิตที่วันๆ ต้องฝึกแต่ดนตรี เลยมาหาอะไรทำแก้เบื่อ” กาสะลองหลุบตาลงก่อนจะเอ่ยเบาๆ         จนแทบไม่ได้ยินเสียง

                “ท่านซอ… ท่านรู้ฤๅไม่ว่าทำแบบนี้จะยิ่งทำร้ายคุณหนู” ซอนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ย “ทำอันใด?”

                “คุณหนูจมปรักแต่ความทุกข์มานานแล้ว พอใครมาให้ความสำคัญแกจะยิ่งไขว่ขว้า สุดท้าย… วันหนึ่งท่านทิ้งไปเพื่อที่จะทำหน้าที่ต่อคิดดูสิว่าคุณหนูจะรู้สึกอย่างไร” กาสะลองรู้สึกว่าปากตนเองสั่น ซอตะลึงกับคำตอบนั้น นางเบือนหน้าหนี

                “ข้า… มิคิดมาก่อน”

                “ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านควรตัดไฟเสียแต่ต้นลมเพื่อมิให้เรื่องบานปลาย แม้ข้าจะอยู่ในฐานะพี่เลี้ยง แต่ข้าเคยสาบานกับตนแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างคุณหนูตราบลมหายใจสิ้น”

                เสียงแมลงแทรกความเงียบ ทั้งสองได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำหยดจากที่ไหนสักแห่ง ซอพยักหน้าก่อนจะเอ่ย

                “ข้าขอฝากด้วยล่ะ”

                “เจ้าค่ะ”

 

                ซอกลับมาถึงบ้านแล้ว แม่ของนางออกมามองก่อนจะกลับเข้าไป ซอรู้สึกว่าตนนั้นคล้ายกับมณฑา แม้จะไม่ได้ถูกทารุณแต่ความเยือกเย็นที่ผู้ให้กำเนิดมอบนั้นมันทรมานใจนางเหลือเกิน

                “มานี่” แม่ของนางกล่าว ซอเข้าไปนั่งแล้วเงียบเพื่อรอฟังว่าแม่ตนจะเอ่ยอะไร

                “เรื่องที่ข้าจะกล่าวต่อไปนี้มิได้อยากจะให้เจ้าเกลียดตระกูลวิไลผกามาศ แต่เพื่อย้ำให้เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งอีกเป็นครั้งที่สาม”

                “…”

                “ครอบครัวของเด็กคนนั้นเคร่งครัดมาตลอด อาจเพราะด้วยมีเชื้อสายของตะวันตก แม่ของเด็กคนนั้นไม่ชอบการที่ชีวิตจะเถลไถลไปวันๆ …เหตุผลข้ามิเล่านะ พ่อของเขาเสียชีวิตไปไม่กี่ปีนี้เองทำให้แม่เขาต้องจริงจังกับการใช้ชีวิต นางจะโกรธมากหากลูกตนทำตัวไร้สาระจึงลงโทษเสียแต่เพื่อนที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็จะถูกไปด้วย… เพราะแบบนี้แหละข้าจึงมิอยากให้เจ้าเข้าไปยุ่ง ยังดีนะที่เจ้าเจอลูกคนโต หากเจอแม่อย่าหวังเลยว่าจะกลับมาพร้อมกับหัว”

                “…” ซอหายใจไม่ค่อยออกกะทันหัน รู้สึกถึงความกดดันที่โหดร้ายในคำบอกเล่า แม่ของนางเงียบเหมือนจะรอฟังว่าลูกตนจะออกความเห็นอะไร

                “เจ้าค่ะ ลูกจะมิไปอีก”

                “ดี”

                .

                .

                .

                ต้องปลิดชีพให้ได้

                ซอคิดในใจ นางมุ่งไปที่เรือนวิไลผกามาศอย่างว่องไว้พร้อมกับหนังสือกลอนและซอสามสาย แม้จะเป็นกลางคืน ความืดและความเงียบที่รายล้อมแต่นางก็ไม่กลัวเพราะยามที่นางทำภารกิจก็มักจะทำในเวลานี้

                ที่นี่สินะ

                ซอเชิดหน้าอย่างองอาจ ราวกับงูที่เชิดลำตัวเหมือนว่าจะฉกเหยื่อ นางค่อยๆ เหยียบกิ่งไม้ขึ้นไปแล้วเปิดหน้าต่างเบาๆ

                ยังอยู่

                พบแล้ว… แม่ของมณฑานอนอยู่ หญิงสาวแต่งกายตามสมัยสุโขทัยหัวเราะในลำคอก่อนจะเข้าไปอย่างระมัดระวัง นางปิดทุกสิ่งที่สามารถออกไปจากห้องได้เพื่อไม่ให้เสียงซอสามสายและกลอนเล็ดลอดให้ใครได้ยิน

                เพราะหากได้ยินนอกจากจะมีใครทราบว่านางบุกรุกแล้วผู้ที่ได้ยินจะต้องตาย

                ซอนั่งลงข้างเตียงก่อนจะเปิดหนังสือ นางฝึกมาก็เพื่อวันนี้

                หากไม่มีแม่ของมณฑา มณฑาก็จะได้เป็นอิสระ แม้จะมีนนทรีก็ไม่ลำบาก

                ซอเริ่มสีซอสามสายพลางขับร้องกลอนไปด้วย แรงกดดันวนเวียนในห้อง ความตายมาเยือน บรรยากาศในห้องหมุนวนเต็มไปด้วยความเศร้าโศกราวกับจะให้ผู้ได้ยินร้องไห้จนขาดใจตาย เสียงรื่นไพเราะแต่เต็มไปด้วยจิตสังหารนั้นแทบจะทำให้หายใจไม่ออก

                แม่ของมณฑาขมวดคิ้วอย่างอึดอัด มือของนางปิดหู ไม่อยากได้ยิน แต่ไม่ว่าจะปิดสนิทเพียงใดเสียงนั้นก็ก้องในศีรษะ นางหลั่งน้ำตา อยากจะกรีดร้องก็ไม่กล้า ซอลอบยิ้มมุมปากก่อนจะบรรเลงต่อไป

                “ฮะ--- ฮะ--- กะ กะ… กรี๊ด!!!” แม่ของมณฑาหวีดเสียงร้องโหยหวน นางหอบหายใจในขณะที่ร่างตกจากเตียงแล้วดิ้นทุรนทุราย แม้ซอจะไม่เห็นเพราะอีกฝ่ายอยู่อีกฝั่งของเตียงแต่นางก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด แทนที่จะสงสารแต่นางกลับสะใจกับความรู้สึกของอีกฝ่าย

                จงลิ้มรสความเจ็บปวดที่เจ้าเคยกระทำเถิด หึๆๆ!!!

                “เอ๊ะ?”

                เสียงใสเอ่ยขึ้น ซอหยุดชะงักก่อนจะหันไปมอง พบร่างเล็กบางในชุดนอน เมื่อมองให้ชัดๆ ก็ทราบว่าเป็นมณฑา ซอรีบเก็บซอสามสายและหนังสือพลางคิดหาข้อแก้ตัว ในขณะนั้นเองมณฑาก็รีบตรงไปหาแม่ของตน เมื่อพบร่างหลั่งเลือดเป็นกองก็หวาดกลัวแล้วเผลอกรีดร้องออกมา

                “กรี๊ด!!… ฮะ ฮะ ฮึก… ฮือๆ” มณฑาถอยหลังแล้วทำท่าจะหนีแต่ก็ถูกซอปิดปากไว้แล้วดึงเข้ามากอด นางโล่งใจที่ไม่มีใครได้ยิน หันซ้ายหันขวาก่อนจะเอ่ยเบาๆ

                “อย่าร้องเลย”

                “แม่… ท่านแม่ตายแล้ว ฮือๆๆ หนูกลัว หนูกลัว!!”

                ซอร่ายอาคมเพื่อเก็บของที่นำมาก่อนจะลูบหลังมณฑาพลางอุ้มแล้วยืนขึ้นก่อนจะออกจากห้องไป

 

                เช้า

                “ศะ ศพ” บ่าวและคนอื่นๆ เข้ามาดู โดยที่มีคนจัดการศพนำออกไปแล้ว ทว่าเลือดยังคงส่งกลิ่นคาวน่าอาเจียนจนบางคนต้องออกจากห้องไป นนทรีที่มาทีหลังยืนนิ่ง ไม่ใช่เพราะเศร้าที่แม่ตนเสียไปแต่ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก

                ท่านแม่ตายแล้ว! ทีนี้เราจะได้มีชีวิตที่อิสระเสียที!

                นางรู้ว่าการคิดแบบนี้มันอกตัญญู แต่ถ้าเทียบกับความทุกข์ที่ผ่านมามันเทียบไม่ได้เลย ชั่วหนึ่งที่นางลอบยิ้มก่อนจะทำสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม นางบอกให้บ่าวมาเช็ดเลือดแล้วไปหามณฑา

                “ฮือๆๆๆ…”

                “หยุด ท่านแม่ตายไปแล้วเจ้าก็ควรจะทำตัวให้ดีขึ้น”

                “หนู… ฮึกๆ” นนทรีถอนหายใจพลางคิดไปด้วย

                เจ้าเด็กเขลาเอ๋ย ผู้ที่บงการชีวิตไปแล้วก็ควรจะดีใจสิ

                “มิต้องพูดแล้วฟังข้าให้ดี ต่อจากนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกเจ้าเพื่อเตรียมตัวการเป็นนายิกา”

                “นายิกา” มณฑามองนนทรีอย่างฉงน ผู้เป็นพี่มองกลับอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ย “มิต้องเอ่ยอันใด”

                นนทรีวางแผนว่าจะให้น้องสาวตนเป็นนายิกา ตำแหน่งอันสูงศักดิ์ในมิตผกายสำหรับผู้หญิง หากได้เป็นก็เท่ากับว่าได้เป็นกษัตริย์

                แค่เกือบ… แต่อย่างน้อยก็จะทำให้มีงานทำและผลตอบแทนนอกจากเงินทองแล้วยังได้ชื่อเสียงเรียงนาม นั่นคือความต้องการของนนทรี นางจะต้องทำให้มณฑาเป็นนายิกาให้ได้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา