ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

55) บทที่ ๕๕: รำลึกความหลัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๕๕

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

รำลึกความหลัง

 

                ตอนนั้นเคยมีคดีร้ายแรงเกิดขึ้น

                ภาคใต้อากาศหนาวเหน็บ ทะเลเหือดแห้งไป พลันพื้นดินเป็นเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ

                ภาคเหนือเนินเขาค่อยๆ หายเป็นเพียงที่ราบ ทะเลไหลมา

                ความแปลกประหลาดของธรรมชาติสร้างความตื่นตระหนกและหวาดกลัว โดยเฉพาะชาวเขาที่คาดกันว่าสิ่งลี้ลับที่ทำให้เป็นเช่นนี้

                …โดยหาไม่รู้ว่าเป็นฝีมือมนุษย์คนหนึ่ง…

 

                “ฮึ! อีกแล้วฤอ้ายสัตว์เลื้อยคลาน มาแย่งอาหารทีเผลอทุกทีเชียวนะ มันน่าจับไปเชือดกินจริงๆ !!”

                 เสียงโกรธเกรี้ยวจากหญิงสาวเกล้าผมยาวถึงสะโพกเป็นหางม้า นุ่งโจงกระเบนสั้นรัดแบบมวยทับกางเกงยาวถึงเข่า เสื้อไม่มีแขนผ่ากลางทับผ้าคาดหน้าอก แบบหมอจระเข้ …คล้ายกับไกรทอง

                 นางโกรธมากที่จระเข้มาขโมยเนื้อที่ตนเองอุตส่าห์ไปฆ่าสัตว์มา นางรู้ดีว่าพวกมันไม่ได้ทำตามใจแต่ถูกเจ้าของสั่งมา

                ในเมื่อลงที่สัตว์ไม่ได้งั้นลงที่มนุษย์ละกัน

                ไม่ช้านางก็ออกจากบ้านไม้ที่ผุแล้วเป็นบางส่วน เตรียมหอกจะไปเชือดเจ้าของจระเข้ มีอาหารของวันนี้ทานแล้วแต่ต้องถูกขโมยอีก นางต้องเสียเงินสินะ

                นางเดินผ่านคลองสีขุ่น จากที่พักอาศัยของนางไปถึงบ้านเจ้าของจระเข้ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ต้องกล่าวว่าที่ของนางอยู่ข้างหลัง เมื่อมาถึงนางก็เงยหน้ามองอย่างเจ็บใจ รังสีสังหารแผ่ปกคลุมจนบ่าวขนลุกซู่

                กี่ครั้งแล้วที่ต้องทำแบบนี้ ตัวเองก็ใช่เป็นคนยากไร้ ออกจะเป็นนายหญิงมากกว่าข้าอีก!

                อันที่จริงเจ้าของจระเข้เป็นรองนายิกา และนางเป็นนายิกา แต่ที่นางแต่งกายและอาศัยในบ้านไม้เก่าๆ ก็เพราะไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตเลิศหรู อยู่ดีกินดีกลางทรายมานับร้อยปีกว่า อยู่ๆ ให้มานอนบนหมอนนุ่มๆ มันก็ปรับตัวไม่ทันนะ หลายคนคิดว่านางเป็นรองนายิกาเพราะแต่งกายคล้าบบ่าว แต่นางบอกว่ามันก็แค่สิ่งปกปิดกาย ขอแค่มีและขยับร่างกายสะดวกก็พอแล้ว

                “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ มาหาท่านกุมภิลฤๅเจ้าคะ?” บ่าวคนหนึ่งถามขึ้น ในมือถือจานที่วางซ้อนๆ หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะตอบ

                “ใช่ ไปเรียกนางทีซิ”

                “เจ้าค่ะ”

                หลังจากรับคำสั่ง บ่าวคนนั้นก็เดินไปทางหลังเรือน ไม่นานนักผู้ที่ถูกเรียกก็ออกมา หญิงสาวผมยาวถึงสะโพกเกล้าออกเป็นสองข้างตรงช่วงปลาย สร้อยคาดหน้าผากเป็นอัญมณีสีม่วง ผ้าผืนหนาใหญ่ๆ ปักเย็บประณีตสวยงามสีแดงเลือดหมูพันรอบตรงช่วงบนของผ้าถุงที่บานช่วงปลายคล้ายกระโปรงยาวจับจีบเล็กๆ มีสายสีเงินห้อยโยงประกายงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนแสงสะท้อนเลือดชอบกล

                ดวงตาสีแดงอมเลือดสบกับดวงตาสีดำอย่างเย้ายวน ทว่าไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก

                “เรียกหาข้า มีอันใดฤๅเจ้าคะ?” นางถาม หญิงสาวแต่งกายแบบหมอจระเข้ชี้หน้าแล้วกล่าวอย่างโมโหที่อีกฝ่ายแสร้งทำไม่รู้

                “ถามได้ รู้แก่ใจดีใช่ไหม? เจ้าสั่งให้จระเข้ไปขโมยเนื้อของข้าสินะ!”

                “หึ…” อีกฝ่ายแค่นเสียง ยิ้มมุมปาก ท่าทางสงบของนางแต่แววตามาดร้ายราวกับเสือซ่อนเล็บ “แหม ท่านพาฬก็น่าจะรู้เช่นกันว่าข้าทำแบบนี้เพื่ออันใด?”

                คำถามของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวเจ้าของนามพาฬนิ่งไป นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะเรียกนาง เนื่องจากปรกติไม่ค่อยออกนอกบ้านต่อให้ทุบจนบ้านพังครืนก็ไม่ยอมจนกว่าจะเต็มใจ เลยขโมยสิ่งสำคัญของนางมาเพื่อล่อ

                “นั่นสินะ …กุมภิล” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟัน อีกฝ่ายผู้เป็นเจ้าของนามกุมภิลก็เดินไปหา จับด้ามหอกเบาๆ แล้วกระซิบใกล้ๆ หูแล้วช้อนสายตามองเหมือนจะยั่วกามให้กำเริบ พาฬกลั้นใจ ได้สติกลับมา นางจับข้อมือกุมภิลแล้วบีบแรงๆ จนอีกฝ่ายร้องครวญด้วยความเจ็บ

                “กุมภิล เลิกทำตัวเช่นนี้เสียที ข้าจะประสาทกินก็เพราะเจ้าเนี่ยแหละ”

                “ถ้าท่านมิยอมมานอนบนเรือนข้าก็จะทำต่อไปนะเจ้าคะ” นี่คือเหตุผลที่พาฬไม่ยอมรับและพยายามหาวิธีให้กุมภิลเลิกสนใจตนเองตลอดตั้งแต่เป็นทำงานนายิกาเป็นคู่ประจำจังหวัดพิจิตร

                “เจ้านี่มัน---!!” พาฬไม่รู้จะหาคำไหนมาว่ากุมภิล อีกฝ่ายขำในลำคอและผายมือไปทางโต๊ะเป็นการเชิญให้นั่ง พาฬกระแทกเท้าเดินไปนั่งแล้วเท้าคางกับที่วางแขน กุมภิลนั่งตามก่อนจะเอ่ย

                “ท่านคิดอย่างไรกับคดีลักมีด”

                “?”

                จากความโกรธเปลี่ยนเป็นฉงน พาฬหันมามองกุมภิลเหมือนจะถาม “ข้ารู้สึกว่าคดีนี้มันมีอะไรแปลกๆ เมื่อวานท่านบัวผ่องก็ติดต่อมาว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว นายิกาหลายท่านต่างก็คาดว่านายิกาที่เสียชีวิตไปเมื่อคดีนั้นกลับมาเล่นงาน”

                “…”

                “ฤๅว่าจะเป็น…” กุมภิลหยุด ดวงตาที่ฉายมาดร้ายกลายเป็นความเจ็บปวด ฟันบนขบริมฝีปากล่างเหมือนจะระบาย เมื่อนึกถึงหญิงสาวผู้ที่เคยทำงานร่วมกันมาหลายปีแต่กลับต้องเสียชีวิตเพราะสังเวยให้พิธีกรรม

                “นาง… กลับมาล้างแค้นนายิกาสินะ ที่ขโมยไปอย่าบอกนะว่า…” พาฬหยุดไว้ ภาพโลกแตกสลายพลันผุดขึ้นมาเสมือนลางร้าย กุมภิลพยักหน้าแล้วเอ่ยเบาๆ

                “กล่าวเพียงเท่านี้นะเจ้าคะ”

                “งั้นข้ากลับมาล่ะ เฮ้อ! หาเรื่องเคลียดๆ ให้ข้าจริงนะ”

                พาฬบ่นไปในขณะที่ลุกขึ้นเตรียมจะลงจากเรือนอย่างรวดเร็วจนกุมภิลตามไม่ทัน เมื่อมาถึงประตูหน้าบันใดพาฬก็หยุดไปสักพัก คิดว่าตนเองยังไม่จัดการเรื่องที่อีกฝ่ายสั่งให้จระเข้ขโมยเนื้อ แต่คิดว่าไหนๆ อีกฝ่ายก็ขโมยแค่เนื้อ เลยจำใจ

                ในขณะที่กำลังจะก้าวลงกุมภิลก็มาถึง นางยิ้มบางๆ และทำท่าจะกอดแต่พาฬทันตัว นางคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แล้วเหวี่ยงไปทางบันได ทำให้ร่างนั้นหล่นลงไป

                ตุบ!

                “!” สายตาตกตะลึงหันมามองทั้งคู่ สีหน้าของพาฬอำมหิตขึ้นทันใด นางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสายเลือดอมตะเลยไม่กลัว

                “หึๆ” พาฬเดินลงบันได พอลงมาแล้วก็เดินต่อทำเป็นไม่สนใจร่างที่นอนนิ่งบนพื้น แต่พอเดินไปเรื่อยๆ แล้วไม่เห็นอีกฝ่ายโวยวาย รั้งไว้หรือไล่ตามก็เริ่มกังวล นางตัดสินใจเดินกลับไปแล้วนั่งยองใช้หอกสะกิด

                “นี่ๆ เป็นอันใด?”

                “…”

                “มิตลกเลยนะ!” พาฬร้อนรน กลัวว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ทันไร ร่างนั้นก็ลุกขึ้นแล้วกอดพาฬแน่นจนนางเกือบหายใจไม่ออก

                “โว้ย! ปล่อยนะยายกุมภิล …อึก” พาฬจุก กุมภิลเห็นดังนั้นจึงรีบปล่อย …เกือบตายแล้วไหมล่ะ

                หลังจากดิ้นรนอยู่นานพาฬก็ได้โอกาส รีบวิ่งกลับบ้านไปอย่าวว่องไว ---ให้ตายสิ

                กุมภิลมองตามร่างนั้นแล้วขำคิกคัก ท่ามกลางสายตาฉงนของบ่าว

 

                “แฮ่…” เฉาก๊วยทำลิ้นปลิ้นตาให้ดูตลก แต่ธันนะเหม่อ ไม่ได้สนใจ เฉาก๊วยทำแก้มป่องแล้วออกจากห้องน้ำ “คอยดูนะฉันจะประจานภาพนายตอนเปลือยเลยคอยดู!”

                ธันนะได้สติกลับมาแล้วถอนหายใจกับความขี้เล่นของอีกฝ่าย เขาอยู่ที่มิติผกายไม่ถึงสัปดาห์แต่เหมือนอยู่เป็นเดือน เขากังวลว่าน้องชายที่บ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง ดินขาวที่สังเกตสีหน้าไม่สบายใจของธันนะจึงถามอย่างเป็นห่วง           

                “กังวลเรื่องอันใดฤ?”

                “เฮ้อ! ฉันมีน้องชายแท้ๆ มันอยู่ที่บ้านคนเดียวป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง” ธันนะตอบเสียงเรียบ แต่ใจหายเหมือนมีใครควักมันไป ดินขาวเข้าใจเขาเพราะความรู้สึกนี้เขาก็เคยเป็น เขาเริ่มวางแผนว่าจะพาน้องของธันนะมาที่นี่

                “ฮะ! นายมีน้องชายด้วยเหรอ?!” เฉาก๊วยเปิดประตูถาม ธันนะที่หมั่นไส้มานานจึงหยิบขันขว้างใส่ศีรษะอีกฝ่าย เฉาก๊วยร้องเครวญแล้วยิ้มดังเดิม

                อย่าบอกนะว่าจะประจานภาพจริงๆ !

                ธันนะขนลุกซู่ทันใด เขาผวากับเฉาก๊วยที่ไม่รู้ว่าจะทำจริงหรือเปล่า

                “นายแอบฟังเรอะ!”

                “เปล๊า!” เฉาก๊วยตอบเสียงสูง ธันนะหรี่ตามอง แล้วลุกจากอ่างอาบน้ำ “อ้าว ไปไหนอะ?”

                “ไม่อยากอยู่กับคนโรคจิต!” ธันนะเช็ดตัวแล้วสวมเสื้อผ้า รพิที่เพิ่งเดินเข้ามาก็กะพริบตาปริบๆ สงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ปักเป้าที่เพิ่งล่างน้ำยาสระผมก็เงยหน้าถาม

                “รพิ เจ้าหายไปไหนมา ศรีป่วยไม่เห็นมาเยี่ยมเลย”

                “อะ เอ่อ ผมไปช่วยพี่เพ็ญมาครับ ว่าแต่พี่ศรีหายป่วยหรือยังครับ”

                “อืม… ข้ามิได้ไปดูด้วยสิ” ปักเป้าละความสนใจก่อนจะล้างน้ำยาสระผมต่อ ดินขาวมองทุกคนสลับกันก่อนจะหยุดที่ธันนะแล้วถาม

                “น้องเจ้านี่อายุกี่ปี”

                “๑๐ ปี”

                “หืม…” ดินขาวเลิกคิ้ว แววตากรุ้มกริ่มเฉาก๊วยที่ยืนจับขอบประตูนิ่งไปสักพักแล้วเบิกตาโตราวกับลืมเรื่องสำคัญไป เขาพูดเสียงดัง

                “ธันนะ อย่าไปบอกที่อยู่บ้านนะ!”

                “ทำไม?” ธันนะหยิบผ้าเช็ดตัวทำท่าจะออกจากห้อง แต่ไม่ทันถึงประตูคำพูดต่อมาของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาต้องหยุด “ดินขาวมันเป็นพวกโลลิค่อน!”

                “ฮะ!!” ธันนะหันไปมองเฉาก๊วยอย่างไม่เชื่อก่อนจะหันไปมองดินขาวแล้วถาม “นาย… เป็นจริงๆ เหรอ…”

                “อืม” คำตอบนั้นทำให้ธันนะหน้าซีด เขารีบวิ่งออกจากห้องน้ำไปด้วยความหวาดกลัว

                น้องชายของเขากำลังจะโดนกิน…

 

                ข้าจับมือนางฟ้า

                ผิวขาวผุดผ่องดุจขนนกบริสุทธิ์ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่มิอาจเทียบเท่าสัตว์ประเสิรฐ กายข้านั้นแปดเปื้อนจนต้องสะบัดมือด้วยความละอายใจแต่นางฟ้ากลับดึงมือข้าแล้วกอดอย่างอ่อนโยน สัมผัสแผ่วเบาทำให้ข้าหมดกังวล… เกือบจะลืมความแค้นที่นายิกาทุกคนทิ้งข้าไป สังเวยให้พิธีกรรม

                ‘อย่าเลย ข้าขอร้องล่ะ มิช้าพวกเขาต้องได้รับผลที่ก่อไว้’ น้ำเสียงวิงวอนนั้นนุ่มนวล มันทำให้ข้าเจ็บปวด หยดน้ำตาร่วงเผาะๆ

                ท่านมิเข้าใจดอก ความแค้นน่ะ… มันเป็นกิเลสที่กำจัดยากยิ่งนัก……

 

                มณฑาสนทนากับหญิงสาวนามโคมรัตติกาล ผมยาวหยักศกสีดำปลายสีเลือดหมู สวมชุดจิตรลดาสีดำทับด้วยสไบสีขาว สวมสร้อยสีดำ และนุ่งโจงกระเบนสีแก่

                “ให้ข้าจับสัมผัสวิญญาณนายิกาคนนั้นน่ะฤ?”

                “ใช่”

                “งั้นก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็ต้องช่วยอยู่ดีน่ะนะ” โคมทำสีหน้าแบบช่วยไม่ได้ มณฑายิ้มอย่างดีใจก่อนจะกล่าว

                “ขอบคุณนะ”

                โคมรัตติกาลฟังจบก็เดินจากไป ถ้าไม่เกิดติดว่ามีประชุมที่กรุงเทพฯ นางจะมาไม่บ่อยนัก วันนี้พอประชุมเสร็จมณฑาก็เชิญโคมรัตติกาลมาคุยเรื่องงานและขอร้องเรื่องที่คุยกันเมื่อสักครู่

                มณฑาเดินออกไปส่งโคมรัตติกาลแล้วสั่งให้บ่าวพาอีกฝ่ายไปส่งด้วยรถเทียมม้า เมื่อรถออกตัวจนลับสายตาไปมณฑาก็เดินกลับเข้าไปในตัวเรือนแต่ไม่ทันจะถึงประตูกาสะลองก็ออกมาพอดี ทั้งสองสบตากันสักพักก่อนที่ต่างฝ่ายต่างก็ม้วนหน้า สีแดงขึ้นระเรื่อเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อวาน

                “เอ่อ… นี่เธอกำลำลังจะไปไหนฤ?” มณฑาถามกลบเกลื่อน กาสะลองสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบ “…จะไปหาท่านมณฑาเจ้าค่ะ แต่ท่านกลับมาแล้ว งั้นข้าจะไปนำอาหารมาให้นะเจ้าคะ”

                “เจ้าจะทำเองฤๅไม่?”

                “?... มิได้ทำเองเจ้าค่ะ” กาสะลองตอบอย่างฉงน ทำไมมณฑาถึงถามนางเช่นนี้ล่ะ ดูเหมือนมณฑาจะรู้เลยตอบ “นานแล้วที่ฉันมิได้ลิ้มรสอาหารที่เธอทำ …ไหนๆ เราก็มีอะไรกันแล้ว ฉันก็เลยอยากทำเหมือนคู่รักน่ะ”

                “เจ้าค่ะ” กาสะลองยิ้มอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่มณฑาได้เป็นนายิกา กาสะลองก็ไม่ค่อยได้ทำอาหารให้มณฑาทานอีก เพราะนางได้เป็นนายิกาเลยไม่กล้าทำเรื่องอย่างนั้นเพราะจะถูกดุเอาได้ว่ามีตำแหน่งสูงแล้วอย่าไปลดตัวทำเรื่องแบบนั้น

                …ทั้งที่ใจจริงอยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ ที่วันๆ ก็ทำความสะอาด ทำอาหาร แต่จะว่าไปถึงไม่ได้เป็นนายิกาก็ไม่ได้ทำอีกนั่นแหละเพราะนางเกิดในตระกูลอันสูงส่ง สิ่งที่ทำได้ก็ทำเรื่องที่หญิงชั้นสูงทำกัน อาทิ ร้อยพวงมาลัย ทำบายศรี ฯลฯ นางเองก็ชอบ แต่ชีวิตที่สุขสบายไม่ทำงานทำการแบบที่ผู้ชายทำกันในสมัยนั้นก็ทำให้นางเบื่อหน่าย บางวันแอบปลอมตัวเป็นบ่าวก็เคยทำมาแล้ว

                มณฑายิ้มกว้าง นางมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะกระโดดกอดคอกาสะลอง

                …กาสะลอง วันนี้เรามารำลึกความหลังกันเถิด

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา