ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

52) บทที่ ๕๒: ผู้ที่ปลอบโยน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๕๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ผู้ที่ปลอบโยน

                “กลับไป” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นดังขึ้นจนซอกับมณฑาสะดุ้ง เด็กหญิงผมสีทองออกสีส้มหันไปมองต้นเสียงพบเด็กหญิงแต่งกายคล้ายตน เพียงแต่ผมลอนนั้นเกล้าเป็นมวยแล้วปล่อยที่เหลือลงมา

                “ท่าน… ท่านพี่” มณฑาเอ่ยเสียงสั่น นางรู้ดีว่าหากนนทรีมาเจอนางในที่ๆ ไม่ใช่ในบ้านจะโดนลงโทษ

                “ท่านพี่?” ซอเอ่ยเบาๆ พลางมองเด็กหญิงเบื้องหน้า ดวงตาสีม่วงสบกับดวงตาสีดำ ราวกับว่าต้นเหตุที่ทำให้มณฑาเถลไถลคือนาง

                …ซึ่งมันก็เป็นจริง

                “เจ้าเองดอกฤที่ทำให้น้องสาวข้าเป็นเช่นนี้?” นนทรีเปลี่ยนจากสบตาเป็นจ้องแทน เสมือนว่านางจะมองทะลุไปถึงหัวใจ สายตาเกรี้ยวกราดนั้นทำให้ซอใจหายแต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นสงบ อยู่มาเป็นร้อยๆ หรือพันปีแล้ว สายตาเพียงนี้ไม่สามารถทำอะไรนางได้มากหรอก

                “ใจเย็นก่อน ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้น้องท่านเถลไถล แต่ข้ารู้สึกว่าการที่จะให้เพื่อนข้านั้นอยู่แต่ในเรือนก็คงมิใช่เรื่องดี”

                “อย่างไรฤ?”

                “…” ซอไม่ตอบเพราะรู้ว่านนทรีทราบแต่ถามเพื่อให้ซอเกิดความกระอักกระอ่วน ทว่าสายตาของซอที่เริ่มแข็งกร้าวทำให้นนทรีใจหายวาบ ทว่านางก็ยังพยายามวางท่า

                “มิตอบ ฤๅว่ามิมีข้อโต้แย้งกัน?”

                “ท่านก็ทราบคำตอบ แต่ก็ยังคงถาม”

                “จะอย่างไรก็ช่าง ---เจ้า มณฑา กลับเรือนบัดเดี๋ยวนี้!” กล่าวจบนนทรีก็กระชากแขนของมณฑาและลากไป จนร่างน้องสาวไปกระแทกกับพื้น นนทรีมองด้วยหางตา ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะพามณฑากลับ ซอทนไม่ไหวที่เห็นมณฑาถูกทำร้ายทางอ้อมเช่นนี้จึงแปลงกลับร่างเดิม

                “หยุด” เสียงของซอนั้นใหญ่ขึ้นเพราะสภาพร่างกายเดิมจนดึงความสนใจจากนนทรีได้ นนทรีหยุดแล้วหันมามองหญิงสาว นางมองด้วยความคาดไม่ถึง

                “นี่… อย่าบอกนะว่าท่าน…”

                “ใช่ ข้าเอง” คราวนี้นนทรีถึงกับหัวหดทีเดียว ทว่านางก็ยังไม่วายระแวง เพราะยิ่งเป็นผู้ใหญ่โอกาสที่จะสามารถทำร้ายตนได้นั้นย่อมสูง

                “ฮึ! คิดฤว่าใช้ร่างนี้แล้วจะทำให้ข้าเกรงกลัวได้” กล่าวจบนางก็พามณฑาไปอีกครั้ง คราวนี้นนทรีพยุงร่างมณฑาดีๆ ทว่าก็ยังออกแรงดึงกระชากจนซอได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าด้วยความระอา

                คงต้องปล่อยไปสินะ …แล้วนี่เรา ทำให้มณฑาเจ็บตัวฤ?

                ซอรู้สึกผิดขึ้นมา…

 

                พอมาถึงเรือน นนทรีไม่รอช้ามุ่งไปยังห้องหลังๆ ก่อนจะเปิดประตูแล้วผลักมณฑาเข้าไป

                “โอ๊ย!”

                “ฮึ! อย่ามาสำออย อ้ายเด็กตัวดี เคยโดนแล้วยังมิชินอีกฤ?!”  นนทรีจ้องมณฑาราวกับจะฉีกกระชาก น้ำตาเอ่อคลอในขอบตาของมณฑา ไม่ได้เจ็บเพราะร่างกระแทกพื้นแต่เจ็บที่พี่สาวไม่เคยไยดีตนเอง

                “เพียงแค่น้องมิอยู่ในเรือนท่านพึ่ถึงกับต้องทำเช่นนี้ฤๅเจ้าคะ!” น้ำตาพรั่งพรูออกมา นนทรีลอบยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ย

                “ใช่! และหากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้อีก โทษมิได้มีแค่นี้แน่!!” นนทรีออกจากห้องไปก่อนจะหยิบโซ่และแม่กุญแจมาผนึก มณฑารีบเข้าไปหาประตูก่อนจะทุบเสียงดังปึงปังด้วยน้ำตาที่นองหน้า

                “ฮือๆๆ……”

 

                “อย่าบอกนะว่าไปอีกแล้ว?” แม่ของซอถาม ในขณะที่ทำความสะอาดเครื่องดนตรีประเภทสาย ซอพยักหน้า นางเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ย

                “ท่านแม่ ลูกไปเล่นกับเด็กคนหนึ่งมา แกดูจะถูกครอบครัวเคร่งครัดจนเกินไป ถึงขนาดต้องทำร้ายร่างกายเพียงเพราะมิอยูในเรือนท่านแม่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ฤๅไม่?” คำถามนั้นทำให้แม่ของนางแทบจะหลุดขำเพราะสังเวชกับโลกนี้แล้วเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นเพราะไม่พอใจอย่างยิ่งที่ลูกตนเป็นเช่นนี้

                “อนิล เจ้าจะทำตัวเขลาเช่นนี้ไปถึงไหนกัน เรื่องของเขาก็ให้เขาจัดการ เรามิควรไปยื่นมือช่วย! ญาติก็มิใช่เพื่อนก็มิเชิง!”

                “แต่ว่า…”

                “หุบปาก!!” แม่ของซอชี้มาทางปากซอ ผู้เป็นลูกสะดุ้งทันใด ตาค้างปากอ้าจะเอ่ยแต่ก็ถูกสายตาเกรี้ยวกราดยิ่งกว่านนทรีจ้องราวกับจะฉีกกระชาก

                “…”

                “ไปอาบน้ำเสีย แล้วผ่านพ้นวิกาลนี้ไปข้าหวังว่าเจ้าจะลืมมัน!!” กล่าวจบก็วางเครื่องดนตรีก่อนจะก้าวออกจากห้องโดยกระแทกส้นเท้าจนเกิดเสียงตึงตัง ปล่อยให้ลูกสาวนั่งเศร้าใจเพราะสงสารเด็กที่ตนเองไปเล่นด้วย

                มณฑา

                ซอเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเก่าๆ ในชั้นวาง หาอะไรมาอ่านเพื่อลืมเรื่องของเด็กหญิง นางถอนหายใจเหมือนกับว่าถ้าทำเช่นนี้ความกังวลจะหายไป หนังสือที่เลือกมาเป็นกลอนที่ตระกูลของนางแต่งไว้ในแต่ละรุ่น กลอนบางบทก็ใช้เป็นคาถาในการควบคุมวิญญาณ ซอเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงหน้าท้ายๆ เป็นกลอนที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือลวกๆ แต่ก็ยังพออ่านออก มันขาดๆ หายๆ จนนางต้องเขม็ง

                นี่มัน… กลอนที่ใช้สังหารนี่

                ซอพอจะเข้าใจเนื้อหากลอนแล้ว กลอนที่นางอ่านเป็นคาถาในการปลิดชีพ เพียงแค่ได้ฟังเนื้อกลอนที่ถูกขับร้องและเสียงดนตรีที่บรรเลงประกอบก็จะสามารถดึงอดีต ความเศร้าที่ไม่มีที่มาและทำให้เลือดในกายพุ่งออกมาโดยที่ไม่มีสาเหตุ

                แววตาของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความกดดันจนเหมือนถูกดึงวิญญาณไป …นี่แหละ วิธีแก้ปัญหาของนาง

                แอ๊ด…

                ซอรีบเก็บหนังสือก่อนจะทำความเครื่องดนตรีเพื่อบังตาผู้มาเยือน อรัญญิกยิ้มบางๆ มาให้ก่อนจะเข้ามากอดซอเบาๆ

                “ช่วงนี้สีหน้าท่านมิสู้ดีเลย เป็นอันใดฤๅเจ้าคะ?” น้ำเสียงนุ่มที่ออกทุ้มทำให้หัวใจของซอชโลมด้วยความอบอุ่น ซอกอดอรัญญิกบ้างแล้วตอบ

                “ข้ามิค่อยสบายน่ะ”

                “กินยาฤๅยังเจ้าคะ หากไม่ข้าจะได้นำมาให้”

                “มิต้องดอก ข้าแค่ทำงานหักโหมไปหน่อย” ตามจริงช่วงนี้นางงานว่างมาก แต่ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จะโกหกด้วยโรคภัยอย่างไรดี อรัญญิกพยักหน้าก่อนจะเอ่ย

                “พักผ่อนเสียเถิดเจ้าค่ะ”

                กล่าวจบนางก็ไม่รอช้าอุ้มซอออกจากห้องไปยังห้องของซอ  ระหว่างทางซอก็ซบอกอุ่นๆ ไปด้วยพร้อมกับหลับตา เมื่อมาถึงอรัญญิกก็วางร่างซอบนเตียงก่อนจะลงนอนตามด้วย

                “…คืนนี้ ข้าขออยู่เป็นเพื่อนนะเจ้าคะ”

                “ได้สิ” ซอยิ้มก่อนจะเขยิบเข้าหาอรัญญิกพร้อมกับกอด อีกฝ่ายก็กอดกลับเช่นกัน ในไม่ช้าทั้งสองก็หลับ

                กระนั้นความกังวลก็ยังไม่จางหาย…

 

                รุ่งอรุณมาเยือน หญิงสาวผมสั้นแต่งกายตามสมัยอยุธยาเดินเข้ามาในเรือนวิไลผกามาศ (ชื่อนี้เป็นนามสกุลของมณฑาด้วย) เพื่อที่จะไปหามณฑา เหตุที่เด็กหญิงมาก็เพื่อเป็นผู้ดูแลมณฑา นนทรีเดินผ่านมาพอดีจึงเชิญให้นั่งก่อนจะคุย

                “ขอบคุณเจ้าค่ะ ที่สละเวลามาดูแลน้องข้า”

                “มิเป็นไรดอก ข้าชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว”

                 กาสะลองเอ่ยอย่างร่าเริง นนทรียิ้มทว่าแววตาของนางไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว นางกล่าวขอตัวก่อนจะเชิญให้กาสะลองไปยังห้องของมณฑา เดินตามไปอย่างดีใจเพราะจะได้เล่นกับเด็กผู้หญิงคนใหม่แต่หารู้ไม่ว่าหาทำเช่นนั้นตนเองอาจจะโดนแบบมณฑาบ้าง…

                “ห้องนี้เจ้าค่ะ ข้าขอตัวไปทำงานต่อนะเจ้าคะ”

                “อื้ม” กาสะลองยิ้มก่อนจะยืนนิ่งด้วยใบหน้ายินดีแล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เอะใจกับเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดมา เมื่อเปิดออกก็ไม่พบใคร กาสะลองคาดว่าคงจะนอนบนเตียงจึงค่อยๆ เดินเข้าไปก่อนจะทักทาย

                “สวัสดีจ้ะ ---หลับอยู่ฤ?”

                “…”

                “หืม?” กาสะลองมองสักพักก่อนจะเลิกผ้าห่ม พบร่างบางนอนกอดตุ๊กตาตัวสั่น มณฑาพยายามกลั้นเสียงไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน กาสะลองไม่สบายใจจึงนอนลงไปก่อนจะกอดมณฑาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนพลางปลอบไปด้วย

                “อย่าร้องไห้เลย มาเล่นกับข้าดีกว่าเนอะ”

                “น่ะ นั่น… ฮึก นั่นใคร ฮือๆๆ” กาสะลองเข้าไปซุกไซร้ร่างของมณฑาก่อนจะตอบ “ข้าชื่อกาสะลอง นับแต่นี้เป็นต้นไปจะเป็นพี่เลี้ยงเจ้าเอง”

                ตอบไปพลางพยุงร่างของมณฑามานั่งบนตัก นางลูบศีรษะเด็กหญิงแล้วเลื่อนมาเช็ดน้ำตาให้ มณฑากอดกาสะลองแน่นแล้วปล่อยเสียงคร่ำครวญออกมา สักพักความเศร้าโศกก็ค่อยๆ หายไปเพราะความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานจากกาสะลอง

                เป็นอันใดกันนะ ร้องไห้หนักเชียว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา