ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
51) บทที่ ๕๑: อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๑
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๕๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๑
หากจะย้อนกลับไปถึงอดีตของมณฑา กาสะลอง ซอ อรัญญิกและนนทรีก็คงจะต้องย้อนความไปถึงสมัยที่พวกนางยังเยาว์วัย
สมัยยังเด็ก มณฑานั่งกอดตุ๊กตาในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นจนระคายผิว นางนั่งน้ำตาซึมโดยไม่สนใจเลยว่าเชื้อโรคจะเข้ามาขนาดไหน นางทรมานที่ต้องนั่งเรียนแต่ในเรือนแทบมิได้เห็นดาวเห็นเดือน ตัวหนังสืออันแสนขมขื่นนั่นทำให้นางตาลายคล้ายจะเป็นลม ด้วยวัยไม่ถึง ๑๐ ปีต้องมานั่งเคร่งตำราและเรียนเกินหลักสูตรก็เกินจะทานทน
เมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ต้องเล่นกับคนในครอบครัว ซึ่งผู้ที่จะสามารถเล่นด้วยกันได้มีเพียงนนทรี ทว่าผู้เป็นพี่กลับไม่เล่นด้วยซ้ำยังไล่ให้น้องสาวตนไปอ่านหนังสืออีก
มณฑาหลั่งน้ำตา เข้าไปกอดอ้อนนนทรี ทว่าถูกนางผลักจนกระแทกกับพื้นไม้ น้ำตาหลั่งมากกว่าเดิม นนทรีมองอย่างเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องกระแทกประตูเสียงดังราวกับเป็นคำเตือนว่าหากยังไม่เลิกจะได้เห็นดีกัน
มณฑาค่อยๆ วิ่งลงจากเรือนแล้วไปยังคลองหลังเรือน นางก้มหน้าไปเช็ดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหล รสปะแล่มเข้าปาก เมื่อมาถึง นางก็นั่งกับพื้นไม้ที่ยื่นจากฝั่งพื้นดินแล้วกอดเข่าซบหน้าร้องไห้ คราวนี้ต่อให้แม่ของนางมาเจอแล้วตีนางก็ไม่สนใจแล้ว
“เป็นอันใดฤ?” จู่ๆ ก็มีใครบางคนถาม เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นเด็กหญิงผมยาวเลยบ่าเล็กน้อย แต่งกายแบบสมัยสุโขทัยซึ่งแตกต่างจากนางที่แต่งกายแบบสมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงยุครัตนโกสินท์ มณฑารีบเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้ม
“มิเป็นไรดอก”
“อย่าพูดเท็จเลย บอกข้ามาเถิด” เด็กหญิงคนนั้นลงมานั่งข้างๆ ก่อนจะหยิบขลุ่ยออกมา
“?”
“อยากฟังเพลงอันใดล่ะ ข้าจะได้เล่น” มณฑาจ้องอีกฝ่ายสักพักก่อนจะยิ้มแล้วตอบด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น นางไม่ได้ตอบคำถามที่สองของเด็กหญิงเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องไม่ดี
เสียงใสของขลุ่ยเพราะพริ้งจับใจ มณฑาเคลิ้มราวกับต้องมนต์ ลมพัดผ่านหอบใบไม้และเศษอื่นๆ ไปด้วย ทว่ามันก็มิอาจสามารถพาเสียงขลุ่ยไปได้ เมื่อเล่นจบมณฑาก็ปรบมือ เด็กหญิงคนนั้นมีสีหน้าฉงนกับกริยาของนาง เด็กหญิงชี้ไปที่มือของมณฑาก่อนจะถาม
“ตบมือทำไมฤ?”
“อะ อ๋อ เธอยังคงมิเคยเห็นสินะ เป็นมารยาทแบบสากลที่ถ้าผู้แสดงทำได้ดีหรือไม่ดีก็คงจะตบมือให้เพื่อเป็นกำลังใจ อ๊ะ ฤๅว่าจะเพื่ออย่างอื่นนะ แล้วเจ้าล่ะ ที่มิเคยเห็นเพราะเกิดช่วงสุโขทัยสินะ”
“ใช่”
“…งั้นลองแอบไปเข้าห้องครัวที่ฉันดูไหม มีขนมของฝั่งตะวันตกเยอะแยะเลย รับรองว่าเจ้าต้องแปลกใจและชอบแน่ๆ” กล่าวจบมณฑาก็จับข้อมือพาอีกฝ่ายเดินไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาตนเองหยุดไหล ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วล่ะ
“ผู้ใหญ่จะมิว่าฤ?”
“น่า อย่าห่วงเลย ฉันลอบเข้ามามิรู้กี่ครั้งยังมิเคยโดนจับได้ มาๆ นั่งตรงนี้นะ”
มณฑากล่าวด้วยสีหน้าที่แจ่มใส เด็กหญิงเห็นเช่นนั้นจึงพลอยยิ้มด้วยยินดี สักพักมณฑาก็หอบนำขนมของโปรตุเกสและประเทศอื่นวางไว้ เด็กหญิงคนนั้นมองอย่างฉงน เพราะเกิดในช่วงสุโขทัยเลยไม่คุ้นอาหารแบบอื่นนอกจากของไทย มือเล็กขาวผ่องหยิบขึ้นมา มองไปครู่หนึ่งก่อนจะนำเข้าใส่ปาก ความหวานที่คล้ายกับขนมไทยตระกูลทองทำให้หายแปลกใจ
“อืม… รสชาติคล้ายกับขนมตระกูลทองเลย”
“หืม? อ๋อ… ที่เหมือนก็เพราะว่าขนมไทยตระกูลทองดัดแปลงมาจากขนมของโปรตุเกสโดยท้าวทองกีบม้าน่ะ” เด็กหญิงเบิกตาด้วยความสนใจ ไม่เคยนึกเลยว่าขนมไทยเราก็ได้มาจากประเทศอื่นด้วย
“จะว่าไป… เจ้ามิรู้สึกอยากขำบ้างฤที่ข้าดูเป็นคนหล้าหลังน่ะ”
“ไม่เลย ฉันสิต้องถาม เพราะเกิดหลังเจ้ามาตั้งหลายปี อะไรๆ ก็รู้มิทันเธอดอก”
เด็กหญิงมองมณฑาที่กล่าวไปด้วยทานไปด้วย นึกแคลงใจว่าทำไมนางถึงไม่เอะใจบ้างที่คิดว่านางเกิดในสมัยสุโขทัยทั้งๆ ที่ยังเป็นเด็ก น่าจะเกิดประมาณช่วงนางเพียงแค่แต่งกายแบบสมัยสุโขทัยก็เท่านั้นเอง
กล่าวตามภายนอกมณฑาคาดผิดแต่ถ้ากล่าวตามจริงมณฑาคาดถูกแล้ว แท้จริงแล้วเด็กหญิงคนนี้ก็คือ ซอ ที่จำแลงร่างเป็นเด็ก ช่วงนี้งานไม่ค่อยมีมากและไม่ค่อยมีภารกิจให้ทำนางจึงหาอะไรเล่น จนกระทั่งมาพบกับมณฑานี่แหละ เห็นเศร้าเลยอยากเข้าไปปลอบ จริงๆ แล้วเพียงพบแรกที่เห็น ซอก็ยืนนิ่งมองเด็กหญิงใบหน้าเอเชียผสมตะวันตกด้วยความหลงใหล ผมสีทองออกส้มต้องแสงอาทิตย์ดุจดั่งดวงอาทิตย์ที่ทอแสงยามรุ่งอรุณ
…แต่พอน้ำตานั้นนองหน้า ความงามบริสุทธิ์ก็ถูกทำให้แปดเปื้อน จนซออดไม่ได้ที่จะเข้าไปปลอบ
“เหม่ออันใดอยู่ กินต่อสิ” ซอสะดุ้งก่อนจะพยักหน้าแล้วทานต่อ นางคิดว่าต่อจากนี้ถ้าได้เจอกับมณฑาอีกก็คงจะดี ชีวิตของหญิงชราผู้เหี่ยวเฉาที่อายุหลักพันเข้าไปแล้วแต่ใบหน้ายังคงเยาว์วัยอาจจะได้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
ทั้งสองเล่นกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพลบค่ำ
“ข้าคงต้องกลับแล้ว” ซอเอ่ย มณฑามองอีกฝ่ายอย่างโหยหา ซอเข้าไปกอดก่อนจะกระซิบ
“ข้าจะกลับมาอีก ข้าสัญญา”
เมื่อกลับมาถึงที่พักอาศัย เรือนไม้แบบภาคกลางที่มีหลายหลังนั้นโอบล้อมตกแต่งด้วยพืชหลากพันธุ์ บางชนิดส่งกลิ่นหอมให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ซอได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา
สำนักดนตรีมาลุตจัณฑวาตา
นางใช้พลังวิญญาณกลับคืนร่างเดิม รูปร่างสูงระหงทรวดทรงเอวงามไม่ได้ถูกปกปิดไว้เพราะการแต่งกายของนางเป็นแบบสมัยก่อน
“…” เมื่อมาถึง ทุกคนในสำนักก็หยุดบรรเลงแล้วกันมามองนางเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหญิงสาวที่แต่งกายแบบนางแตกต่างตรงที่แต่งกายโทนสีเย็นแล้วปักปิ่นปักผมมากกว่ามีดอกไม้สีขาวประดับด้วยมองนางตาเขม็ง ซอหลุบตาพลางยกมือไหว้
“ต้องขอประทานโทษด้วยเจ้าค่ะที่มาช้า รวมทั้งศิษย์ท่านอื่นในสำนักด้วย”
“มาช้าเสียจริง รู้ไหมว่าเจ้าทำให้การซ้อมของทุกคนต้องสุญเปล่า”
“ขอประทานโทษจริงๆ เจ้าค่ะ”
“ฮึ อย่าให้มีเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นข้าจะนำซอของเจ้าไปทุบทิ้งเสีย คงจะเข้าใจนะ …อนิล”
คำสุดท้ายหญิงสาวเน้น อนิลคือชื่อจริงของซอ แต่นางไม่ค่อยชอบเสียเท่าไหร่เลยจึงมักจะแนะนำตัวใครต่อใครว่าชื่อซอ นางหน้าซีดเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะทุบซอสามสายทิ้ง เพราะธรรมเนียมของสำนักดนตรีนี้ หากดนตรีของสมาชิกใดถูกทำลายโดยเจ้าสำนักดนตรีจะถือว่าเป็นผู้ที่คบไม่ได้
ซออัญเชิญซอสามสายออกมาก่อนจะนั่งตรงตำแหน่งของผู้เล่นซอ เมื่อจัดการเสร็จแล้วทุกคนจึงเริ่มบรรเลงต่อ
ค่ำแล้ว การซ้อมสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ซอเดินตามหลังหญิงสาวโดยที่ไม่เอ่ยอะไรเลย จนเดินมาได้สักพักเท่านั้นอีกฝ่ายจึงเปิดปากเอ่ยก่อน
“ว่าอย่างไร เจ้าไปไหนมา?”
“ลูกเพียงแค่เบื่อเลยออกไปเดินเล่นเจ้าค่ะ”
“เพลินไปไหม เป็นนายิกาแล้วทำตัวเหลวไหลจริง แล้วเยี่ยงนี้น่ะฤ? ผู้สืบทอดเจ้าสำนักดนตรี สำนักของเราที่ก่อตั้งกาลนานต้องมาสูญที่เพียงเพราะคนมิเอาไหนเช่นเจ้า แล้วจะให้ข้าวางใจได้อย่างไร?”
หญิงสาวนางนั้นคือแม่ของซอเอง นางหยุดเดินแล้วชายตามองผู้เป็นลูก ซอไม่กล้าสบตาแม่ตน ได้เพียงแค่จับซอสามสายให้มั่นขึ้น ระงับความกังวลที่เข้ามาในจิตใจ
“ลูก…”
“มิต้องเอ่ยอันใด ไปอาบน้ำอาบท่าเสีย ดูซิ เนื้อตัวมอมแมมมากกว่าเดิม ไปเล่นอีท่าไหนเนี่ย?” แม่ของซอกล่าวพลางโบกมือไล่ ซอพยักหน้าก่อนจะเดินไป กระทั่งลับสายตา ผู้เป็นแม่ก็มีสีหน้าไม่ดีก่อนจะพึมพำกับตน
“อ้ายนี่ โตจนป่านนี้ยังต้องให้ข้ามาดุสอนว่าอีก เด็กจริงๆ!”
รุ่งอรุณมาเยือนมณฑารีบวิ่งมาตรงจุดที่ทั้งสองนัดกันไว้
“มาแล้วฤ?”
“อื้ม คราวนี้ข้าลองนำเครื่องดนตรีอื่นมาด้วย”
“เธอเล่นได้ทุกอย่างเลยฤ?”
“ใช่”
“ว้าว!”
“จริงๆ มันก็เล่นมิยากดอก ลองดูสิ ข้าจะสอนเอง” ซอเอ่ยพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน มณฑารีบช่วยซอถือหอบผ้าที่ใส่เครื่องดนตรีไว้ก่อนจะเดินไปยังที่ๆ พอจะนั่งได้
ใต้ต้นไม้ร่มรื่นจนน่านอน มณฑาเงยหน้ามองแสงที่ลอดผ่านแมกไม้ด้วยความชอบ เมื่อซอสะกิดไหล่สติก็กลับมาอีกครั้ง
“เริ่มจากอันนี้ที่ข้าเล่นเมื่อวาน เจ้าคงรู้จักสินะ”
“อื้ม เคยเห็นพี่ๆ เล่นกันแต่ฉันยังมิเคยเลย สอนฉันด้วยนะ”
“ได้เลย”
สงบจริงๆ นั่นแหละ ลมที่พัดมาและกลิ่นหอมดอกไม้ช่วยให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงได้ มณฑาที่งนั่งฟังซอเล่นได้พักหนึ่งก็เคลิ้มใกล้จะหลับ
“อย่าเพิ่งสิ” ดูเหมือนซอจะรู้เลยหยุดเล่นแล้วกล่าว มณฑางัวเงียก่อนจะซบไหล่กับซอ อีกฝ่ายขำคิกคักกับท่าทางแล้วเล่นต่อไป
…ท่ามกลางความสุขที่โอบล้อมนั้น มีสายตาเยือกเย็นแห่งความทุกข์มองไปยังทั้งสอง นนทรีกัดริมฝีปากแน่น ในมือที่ถือหนังสือถูกเขวี้ยงลงกับพื้นด้วยโทสะ
มันจะมากไปแล้ว!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ