ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.46K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
48) บทที่ ๔๘: อดีต เพื่อน องก์ที่ ๒
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔๘
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
อดีต เพื่อน องก์ที่ ๒
วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
กลิ่นฝนมันเหมือนกลิ่นเลือด
หนูเงยหน้ามองท้องฟ้าขยับร่มเพื่อให้เห็นชัดขึ้น มันเป็นสีเทาออกสีดำ บรรยากาศรอบกายจืดชืดไร้ชีวิตและเย็นยะเยือก หยดน้ำฝนร่วงลงต่อๆ กันดูราวกับเส้นเอ็นที่ใสบาง กลิ่นคาวของฝนเหมือนกลิ่นเลือด หนูเผลอขมวดคิ้วเพราะรู้สึกสะอิดสะเอียนและชอบในเวลาเดียวกัน …น่าแปลกใจจริง
หนูแวะไปซื้อปากกาดำเพื่อนำมาตัดเส้นภาพวาดที่ร่างไว้ในห้องส่วนตัว พอออกจากร้านและกางร่มฝนก็กระเซ็นเข้ามาอีก หนูมองชุดนักเรียนที่เริ่มเปียกทีละหน่อยก่อนจะละความสนใจเพราะคิดว่าพอกลับไปถึงมันก็คงจะค่อยๆ แห้งเอง …ไม่เป็นไร
ผู้คนที่รู้จักเป็นบางคนและไม่รู้จักบางคนก็เดินผ่านไปอย่างใจเย็น ราวกับฝนซึ่งเป็นของเหลวนั้นมันก็แค่สิ่งที่ตกลงมา หนูอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าน้ำกับไฟอะไรอันตรายกว่ากัน น้ำแม้นจะไม่สามารถไหม้ผิวเราจนเสียโฉมหรือทำให้เสียชีวิตแบบไฟ แต่พอมันรวมตัวกันเป็นหลุมกว้างมันก็คือนรกดีๆ นี่เอง ดั่งกองทัพทหารที่ต้องรวมตัวสามัคคีจึงจะกำจัดศัตรูได้
หนูมองรอบๆ ตัวไปด้วยเพราะไม่มีอะไรทำระหว่างเดิน กริยาของแต่ละคนมันก็ทำให้เพลินดีเหมือนกัน สายตาของหนูหยุดที่เด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนประถมแบบเดียวกับหนู เขากำลังยกกล่องใส่หนังสือที่สั่งซื้อมาขาย ดวงตาข้างขวาถูกพันทับด้วยผ้าพันแผลสกปรก เขาคนนี้คือเพื่อนร่วมห้องเดียวกับหนู …ลองเข้าไปทักดูดีกว่า
“ฉันช่วยไหมจ๊ะ?” ทักอย่างเดียวมันไม่ได้นะ เพื่อนลำบากถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้เราก็ควรช่วย เขาคนนั้นเงยหน้าจากกล่อง ดวงตาข้างซ้ายเป็นประกายบางอย่าง หนูทำเป็นไม่สังเกตพลางรอคำตอบจากเขา
“ไม่เป็นไร เธอกลับบ้านไปเถอะ” ถ้าเพื่อนปฏิเสธเราก็อย่าไปดึงดันหรือรบกวน …แต่ขอคุยอีกสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นอะไร
“จ้ะ เจอกันสัปดาห์หน้านะ”
หนูยิ้มให้ เขาพยักหน้าก่อนจะยกกล่องต่อ หนูเห็นดังนั้นจึงเดินต่อไป
เมื่อมาถึงบ้านแล้วหนูก็ขึ้นนอนบนเตียง นอนไปสักพักก็เคลิ้มจะหลับแต่มีใครบางคนมาเคาะประตูห้อง วันนี้พ่อแม่มีธุระจึงต้องไปที่อื่น ก็คงจะเป็นพี่สาวของหนูแน่ๆ ที่เคาะประตู หนูคิดแบบนั้นจึงดึงสติไม่ให้หลับแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูไม้ …ใช่จริงด้วย พี่อสุรา……
“เป็น ‘ไงบ้างจ๊ะ ไปกินขนมกันไหม พี่ไม่มีใครกินเป็นเพื่อนเลย ไปกินกันเถอะนะจ๊ะ” พี่อสุรากล่าวก่อนจะย่อกายลงแล้วอุ้มหนู มันเป็นเรื่องปรกติที่พี่ชอบทำ ซึ่งหนูเองก็ไม่ขัดอะไรออกจะชอบด้วยซ้ำ หนูซุกหน้ากับอกของพี่สาว ความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านจนหนูใจเต้น รู้สึกว่าความกังวลที่เคยเป็นและความเหนื่อยล้าหายไป
พี่อสุราพาหนูไปข้างล่างแล้ววางหนูบนเตียงไม้มีผ้าปู หมอนทรงสี่เหลี่ยมลายไทยพื้นๆ วางไว้ตรงปลายเตียง พี่ลูบแก้มหนูสักพักก่อนจะจูบแก้มหนูเบาๆ และเดินเข้าไปในห้องครัว
อาหารก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากขนมปังอบเนยสดแล้วราดด้วยนมข้นไม่ก็โรยด้วยน้ำตาล มีน้ำสตรอว์เบอร์รี่แกมด้วยเลยชุ่มคอได้หน่อยเพราะหากทานขนมปังอย่างเดียวได้ฝืดคอแย่เลย
อยากให้ช่วงเวาลานี้ผ่านไปอย่างช้าๆ จัง
หนูคิดพลางกัดขอบขนมปังไป ลิ้มรสความหวานเข้มข้นและความกลมกล่อมของเนยสดที่ซึมเข้าไปในขนมปัง อา… อยากให้เวลาผ่านไปช้าๆ… ความวุ่นวายในชีวิตที่ใกล้กับความตายมักเกือบจะพรากชีวิตหนู แต่เพราะมีใครบางคนช่วยไว้ก็เลยรอดมาได้
…กรรม…
หนูนึกถึงคำนี้ ชีวิตคนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้และไม่ว่าจะทำอะไรมันก็จะเป็นกรรม… เพียงแค่เรายืนอยู่ก็เป็นแล้ว หนูปวดศีรษะเพราะเผลอคิดมากเกินไปจนพี่อสุราต้องถามด้วยความเป็นห่วงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนูทานขนมปังหมด
“ศรี เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” พี่ดึงร่างหนูเข้าไปกอดแล้วลูบศีรษะเบาๆ หนูหลับตาเพราะความเหนื่อยล้าใจที่เข้ามาแทรกแซง
“…พี่คะ”
“จ๊ะ?”
“ทำไมชีวิตหนูถึงมีแต่เรื่องเสี่ยงตายจังเลยคะ?” น้ำตาซึมออกมา มันปวดร้าวในใจเมื่อนึกถึงอดีต เจ็บจนอยากกรีดร้องให้เสียงแตกและร้องคร่ำครวญจนตายไป ตายไปเกิดในภพที่ดีกว่านี้ ใจหายวาบเมื่อความทุกข์ครอบงำจนกลืนกินเป็นสีดำ หนูปล่อยให้น้ำตาไหลเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
พี่อสุราไม่ตอบแต่กอดหนูไว้แน่นๆ ไม่ได้กอดแบบผ่านๆ แต่พี่กอดหนูด้วยความรักที่เปี่ยมล้น สักพักก็อุ้มหนูขึ้นแล้วพาหนูไปนอนบนเตียงชั้นบน
ทำไมกัน…
พอหลับไปจนตื่นเช้ามาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในชุดนอนโดยที่มีพี่อสุรานอนอยู่ข้างๆ พี่กอดหนูไม่ปล่อยเลย …แต่ก็ดีแล้วล่ะ หนูไม่อยากให้พี่ปล่อยเลย
หลังจากนั้นหนูก็ปลุกพี่ให้ตื่นก่อนจะไปอาบน้ำ พี่อสุรายิ้มเมื่อเห็นว่าหนูไม่เป็นอะไรแล้ว จึงลงไปข้างล่างเพื่อทำอาหาร กิจวัตรยามเช้าผ่านไปเช่นปรกติจนได้เวลาไปโรงเรียนพี่อสุราจึงออกรถจักรยานยนต์สีดำเพื่อพาหนูและตนเองไป ใจจริงหนูอยากเดินมากกว่าเพราะตนเองช่วงนี้ไม่ค่อยออกกำลังหาย แต่เพราะอุปนิสัยของพี่อสุราที่รักและเป็นห่วงหนูยิ่งกว่าอะไรจึงบังคับให้หนูซ้อนท้ายไปด้วยเพราะไม่อยากให้หนูเหนื่อย
จนกระทั่งมาถึง หนูลงจากรถฯ และไหว้สวัสดีพี่อสุราอย่างที่ชอบทำ ท่านรับไหว้ หนูเดินเข้าไปในตัวโรงเรียน ทว่าพี่ก็ยังไม่ไปเพราะกลัวว่าหนูมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือ แต่เมื่อไม่มีอะไรพี่จึงขี่รถฯ ออกไปโดยที่ยังเหลือบมองหนูด้วย
หนูเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดเมื่อเห็นเด็กหญิงที่หนูเกลียดที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ความรู้สึกใจหายวาบและคับแค้นมักจะผุดขึ้นมาจนรู้สึกอยากฉีกกระชากผิวสีขาวซีดของเธอ หนูทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินต่อ ทว่าเธอก็ดินมาหาหนูแล้วจับข้อมือ
“อะไร?” หนูถามเสียงเรียบ ไม่มีหางเสียงอย่างที่ชอบเอ่ยลงท้าย ยันต์มองหนูสักพักก่อนจะปล่อยและเดินจากไป หนูมองตามด้วยความฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะไม่อยากให้เรื่องมันยาวจึงเดินจากไปบ้าง
เมื่อมาถึงห้องเรียนหนูก็วางกระเป๋าลงแล้วหยิบหนังสือมาอ่าน จริงๆ แล้วเป็นหนังสือเรียนของพี่อสุราเกี่ยวกับวรรณคดี วันนี้ท่านไม่มีเรียนวิชานี้หนูเลยยืมมา
แก๊ก
“…” หนูหันไปมองต้นเสียงแล้วพบว่าปากกาหมึกแดงแท่งหนึ่งตกลงไป หนูก้มกายจะหยิบแต่มีบางสิ่งบางอย่างมาจับไว้
“เจ้า…! เจ้าต้องตาย!! เจ้าต้องตาย!!!”
มันคือมือสีขาวซีดเหมือนกระดาษ เส้นเลือดผุดขึ้นมาก ยิ่งหนูขยับมากเท่าใดมันก็บีบข้อมือหนูแน่นมากเท่านั้น หนูกลั้นเสียงไม่ให้ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เพราะหากเพื่อนได้ยินแล้วเข้ามาถามแต่ไม่เห็นต้นเหตุก็จะคิดว่าหนูสติเสีย ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
มันจิกเล็บฝังเข้าไปในเนื้อ หนูข่มความเจ็บปวดอย่างสุดจะทน หนูพยายามหลบหน้าเพื่อไม่ให้เพื่อนเห็นสีหน้า กลิ่นคาวดุจเหล็กและฝนนั้นทำให้หนูยิ่งดิ้นรนแต่ก็ไม่พ้น …จู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งมันก็เข้ามา ความหิวโหยที่แทรกแซงทำให้หนูนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงจนไม่กล้าหายใจ ดวงตาเผลอเบิกโพลง ปวดเหงือกรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอะไรออกมาในเนื้อสีแดงนั่น
อยาก… อยากกิน…
นั่นคือความรู้สึกในตอนนี้ หนูกลายเป็นฝ่ายล่าเมื่อมือตนเองอีกข้างเผลอไปจับมือของมันก่อนจะดึงแล้วฝังฟันลงไปอย่างแรง
ไม่สิ… มันคือเขี้ยว มันโง้งออกจากฟันเป็นโค้ง แต่หนูไม่สนใจ ตอนนี้ขอเพียงได้ลิ้มรสเลือดและผิวหนังแห้งกร้านนั่นก็แล้วกัน!
“กรี๊ด!!” มันร้องเสียโหยหวนดังก้องกังวานในห้อง ไม่มีเพื่อนคนไหนได้ยิน แต่เพื่อนเห็น มือสีขาวนั้นขาดออกจากกัน เจ้าของมือหายไป
“กะ… กะ… กรี๊ด!!! ปีศาจ! ปีศาจ!!!”
มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งกรีดเสียงร้องแทบไม่เป็นภาษา แต่หนูพอจับใจความได้ว่าเธอว่าหนูเป็นปีศาจ หนูหันไปมอง พบว่าทุกคนจ้องมาที่หนูด้วยความหวาดกลัวจนหน้าซีดและเหงื่อไหลแตกพลั่ก บางคนหายใจด้วยความลำบาก ระหว่างนั้นเอง เฉาก๊วยกับชลจรก็เข้ามา หนูเผลอปล่อยมือเพราะต้องการจะไปหาเฉาก๊วย
…อยากจะถามเหลือเกินว่านี่… หนูเป็น… อะไร?
“ศรี…”
เฉาก๊วยพึมพำ หนูเผลอหลั่งน้ำตาเพราะหวาดกลัวตนเองที่ทำเรื่องต่ำช้า เขาพยุงร่างของหนูก่อนจะพาออกจากห้องไป
“ฉันเป็นอะไร…” หนูร้องไห้พลางวักน้ำมาล้างเสื้อที่เปื้อนเลือด น้ำตาไหลไม่ขาดสายจนแยกไม่ออกว่านี่คือน้ำตาหรือเป็นน้ำจากก๊อก รสชาติเค็มที่ขมขื่นนั่นทำให้หนูจมดิ่งไปในความทุกข์ เฉาก๊วยแตะบ่าหนูก่อนจะเอ่ยปลอบโยน
“ศรี… มันไม่มีอะไรหรอก เชื่อฉันสิ”
“ฮึก… แล้วเลือดพวกนี้มันอะไร ฮึก ฮือๆๆ…”
“อย่าไปสนใจเลยศรี”
เฉาก๊วยเอ่ยเท่านั้นห็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
พอกลับมาถึงบ้านก็พบว่าแม่ทำอาหารอยู่ หนูสวัสดีท่านก่อนจะรีบขึ้นไปบนห้องเพราะไม่อยากให้ท่านเห็นน้ำตาจนกังวลที่หนูร้องไห้
พอขึ้นเตียงนอนได้ไม่ทันไรก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อหยิบมากดดูก็เห็นว่าเป็นพงสณะที่ติดต่อมา หนูพยายามระงับอารมณ์ก่อนจะรับสาย
“[ศรี เป็นอะไรไหม เฉาก๊วยบอกว่าเธอร้องไห้]” แม้จะเป็นเสียงที่แปรผ่านเป็นคลื่นไฟฟ้าแต่หนูจับน้ำเสียงได้ว่าเขาเป็นห่วงหนูจริงๆ หนูยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ
“ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“[ดีแล้วล่ะ อ่ะ ขอโทษนะ แม่เรียกฉันน่ะ ---บายจ้ะที่รัก”
ฉันเป็นที่รักนายตอนไหนเนี่ย?
หนูยิ้มขบขัน แม้ในใจจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ พงสณะถึงจะกะล่อนหื่นไปบ้าง แต่ความจริงใจนั้นเป็นเรื่องจริง
…ขอบคุณนะ
ในป่ารกทึบนั้นไร้ซึ่งแสงสว่าง
หนูมองรากอากาศของต้นไทรที่ทั้งใหญ่และสูง มันระโยงระยางราวกับจะล่อลวงให้ดึงสู่นรก
“คิกๆ”
มีเสียงจากเด็กหญิงหัวเราะ หนูหันไปมองรอบๆ ว่ามากจากไหน ก็ไม่พบวี่แววของเงา
“ไป… อยู่… ด้วย… กัน… ไป…… อยู่…… ด้วย…… กัน……” เสียงนั้นกังวานแต่โหยหวนจนขนลุก มันก้องไปทั่วป่า หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาดึงชายกระโปรงสีน้ำเงิน เมื่อก้มลงดูก็พบว่าเป็นเด็กหญิงใส่ขุดคอกระเช้า หน้าตาน่ารักน่าชังจริง
ด้วยความเอ็นดูหนูจึงย่อตัวลงแล้วลูบศีรษะเด็กน้อยคนนี้ แม้ในใจจะระแวงที่เด็กหญิงคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของเสียงโหยหวนแต่ถ้าเจ้าตัวยังไม่ทำร้ายก็คงไม่เป็นอะไร
“หนูมาจากไหนจ๊ะ พ่อแม่หนูอยู่ไหนเหรอ?”
“แม่ถามอันใดกัน ก็แม่คือแม่หนู ส่วนพ่อตายไปแล้ว เราเหลือเพียงสองแม่ลูกนี่คะ?” คำตอบนั้นทำให้หนูหน้าซีด รู้สึกว่าหน้าชา ใจหายวาบจนเผลอคิดไปว่าตนเองตายแล้ว รู้สึกว่าร่างกายสั่นจนมือที่ลูบเด็กน้อยนั้นเกร็ง
เด็กคนนี้… เป็นลูกของหนูงั้นเหรอ?
“ย่ะ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิจ๊ะ”
“แม่… อย่าบอกนะว่าแม่จะหนีไปอีกคน มิเอานะ หนูรักแม่…” เด็กหญิงคนนั้นเข้ามากอดหนูแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกดังก๊อบ หนูข่มความเจ็บไว้และพยายามดันร่างให้ออกห่างแต่ดูเหมือนยิ่งยิ่งหนีเท่าไหร่เด็กคนนี้ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเท่านั้น
แรงเยอะมาก…
ระหว่างนั้นเอง เด็กน้อยก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หนูจ้องตาไม่กะพริบ ใบหน้าที่เคยเป็นสีนวลบัดนี้กลายเป็นสีขาวซีด เส้นเลือดผุดขึ้นสีดำ แดง และสีม่วงน่าสยดสยอง เลือดไหลย้อยจากไร้ผมย้อมให้ใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งดว่าเดิม
“…หนู รักแม่… นะคะ…”
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
อดีต เพื่อน องก์ที่ ๒
วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
กลิ่นฝนมันเหมือนกลิ่นเลือด
หนูเงยหน้ามองท้องฟ้าขยับร่มเพื่อให้เห็นชัดขึ้น มันเป็นสีเทาออกสีดำ บรรยากาศรอบกายจืดชืดไร้ชีวิตและเย็นยะเยือก หยดน้ำฝนร่วงลงต่อๆ กันดูราวกับเส้นเอ็นที่ใสบาง กลิ่นคาวของฝนเหมือนกลิ่นเลือด หนูเผลอขมวดคิ้วเพราะรู้สึกสะอิดสะเอียนและชอบในเวลาเดียวกัน …น่าแปลกใจจริง
หนูแวะไปซื้อปากกาดำเพื่อนำมาตัดเส้นภาพวาดที่ร่างไว้ในห้องส่วนตัว พอออกจากร้านและกางร่มฝนก็กระเซ็นเข้ามาอีก หนูมองชุดนักเรียนที่เริ่มเปียกทีละหน่อยก่อนจะละความสนใจเพราะคิดว่าพอกลับไปถึงมันก็คงจะค่อยๆ แห้งเอง …ไม่เป็นไร
ผู้คนที่รู้จักเป็นบางคนและไม่รู้จักบางคนก็เดินผ่านไปอย่างใจเย็น ราวกับฝนซึ่งเป็นของเหลวนั้นมันก็แค่สิ่งที่ตกลงมา หนูอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าน้ำกับไฟอะไรอันตรายกว่ากัน น้ำแม้นจะไม่สามารถไหม้ผิวเราจนเสียโฉมหรือทำให้เสียชีวิตแบบไฟ แต่พอมันรวมตัวกันเป็นหลุมกว้างมันก็คือนรกดีๆ นี่เอง ดั่งกองทัพทหารที่ต้องรวมตัวสามัคคีจึงจะกำจัดศัตรูได้
หนูมองรอบๆ ตัวไปด้วยเพราะไม่มีอะไรทำระหว่างเดิน กริยาของแต่ละคนมันก็ทำให้เพลินดีเหมือนกัน สายตาของหนูหยุดที่เด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนประถมแบบเดียวกับหนู เขากำลังยกกล่องใส่หนังสือที่สั่งซื้อมาขาย ดวงตาข้างขวาถูกพันทับด้วยผ้าพันแผลสกปรก เขาคนนี้คือเพื่อนร่วมห้องเดียวกับหนู …ลองเข้าไปทักดูดีกว่า
“ฉันช่วยไหมจ๊ะ?” ทักอย่างเดียวมันไม่ได้นะ เพื่อนลำบากถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้เราก็ควรช่วย เขาคนนั้นเงยหน้าจากกล่อง ดวงตาข้างซ้ายเป็นประกายบางอย่าง หนูทำเป็นไม่สังเกตพลางรอคำตอบจากเขา
“ไม่เป็นไร เธอกลับบ้านไปเถอะ” ถ้าเพื่อนปฏิเสธเราก็อย่าไปดึงดันหรือรบกวน …แต่ขอคุยอีกสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นอะไร
“จ้ะ เจอกันสัปดาห์หน้านะ”
หนูยิ้มให้ เขาพยักหน้าก่อนจะยกกล่องต่อ หนูเห็นดังนั้นจึงเดินต่อไป
เมื่อมาถึงบ้านแล้วหนูก็ขึ้นนอนบนเตียง นอนไปสักพักก็เคลิ้มจะหลับแต่มีใครบางคนมาเคาะประตูห้อง วันนี้พ่อแม่มีธุระจึงต้องไปที่อื่น ก็คงจะเป็นพี่สาวของหนูแน่ๆ ที่เคาะประตู หนูคิดแบบนั้นจึงดึงสติไม่ให้หลับแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูไม้ …ใช่จริงด้วย พี่อสุรา……
“เป็น ‘ไงบ้างจ๊ะ ไปกินขนมกันไหม พี่ไม่มีใครกินเป็นเพื่อนเลย ไปกินกันเถอะนะจ๊ะ” พี่อสุรากล่าวก่อนจะย่อกายลงแล้วอุ้มหนู มันเป็นเรื่องปรกติที่พี่ชอบทำ ซึ่งหนูเองก็ไม่ขัดอะไรออกจะชอบด้วยซ้ำ หนูซุกหน้ากับอกของพี่สาว ความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านจนหนูใจเต้น รู้สึกว่าความกังวลที่เคยเป็นและความเหนื่อยล้าหายไป
พี่อสุราพาหนูไปข้างล่างแล้ววางหนูบนเตียงไม้มีผ้าปู หมอนทรงสี่เหลี่ยมลายไทยพื้นๆ วางไว้ตรงปลายเตียง พี่ลูบแก้มหนูสักพักก่อนจะจูบแก้มหนูเบาๆ และเดินเข้าไปในห้องครัว
อาหารก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากขนมปังอบเนยสดแล้วราดด้วยนมข้นไม่ก็โรยด้วยน้ำตาล มีน้ำสตรอว์เบอร์รี่แกมด้วยเลยชุ่มคอได้หน่อยเพราะหากทานขนมปังอย่างเดียวได้ฝืดคอแย่เลย
อยากให้ช่วงเวาลานี้ผ่านไปอย่างช้าๆ จัง
หนูคิดพลางกัดขอบขนมปังไป ลิ้มรสความหวานเข้มข้นและความกลมกล่อมของเนยสดที่ซึมเข้าไปในขนมปัง อา… อยากให้เวลาผ่านไปช้าๆ… ความวุ่นวายในชีวิตที่ใกล้กับความตายมักเกือบจะพรากชีวิตหนู แต่เพราะมีใครบางคนช่วยไว้ก็เลยรอดมาได้
…กรรม…
หนูนึกถึงคำนี้ ชีวิตคนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้และไม่ว่าจะทำอะไรมันก็จะเป็นกรรม… เพียงแค่เรายืนอยู่ก็เป็นแล้ว หนูปวดศีรษะเพราะเผลอคิดมากเกินไปจนพี่อสุราต้องถามด้วยความเป็นห่วงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนูทานขนมปังหมด
“ศรี เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” พี่ดึงร่างหนูเข้าไปกอดแล้วลูบศีรษะเบาๆ หนูหลับตาเพราะความเหนื่อยล้าใจที่เข้ามาแทรกแซง
“…พี่คะ”
“จ๊ะ?”
“ทำไมชีวิตหนูถึงมีแต่เรื่องเสี่ยงตายจังเลยคะ?” น้ำตาซึมออกมา มันปวดร้าวในใจเมื่อนึกถึงอดีต เจ็บจนอยากกรีดร้องให้เสียงแตกและร้องคร่ำครวญจนตายไป ตายไปเกิดในภพที่ดีกว่านี้ ใจหายวาบเมื่อความทุกข์ครอบงำจนกลืนกินเป็นสีดำ หนูปล่อยให้น้ำตาไหลเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
พี่อสุราไม่ตอบแต่กอดหนูไว้แน่นๆ ไม่ได้กอดแบบผ่านๆ แต่พี่กอดหนูด้วยความรักที่เปี่ยมล้น สักพักก็อุ้มหนูขึ้นแล้วพาหนูไปนอนบนเตียงชั้นบน
ทำไมกัน…
พอหลับไปจนตื่นเช้ามาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในชุดนอนโดยที่มีพี่อสุรานอนอยู่ข้างๆ พี่กอดหนูไม่ปล่อยเลย …แต่ก็ดีแล้วล่ะ หนูไม่อยากให้พี่ปล่อยเลย
หลังจากนั้นหนูก็ปลุกพี่ให้ตื่นก่อนจะไปอาบน้ำ พี่อสุรายิ้มเมื่อเห็นว่าหนูไม่เป็นอะไรแล้ว จึงลงไปข้างล่างเพื่อทำอาหาร กิจวัตรยามเช้าผ่านไปเช่นปรกติจนได้เวลาไปโรงเรียนพี่อสุราจึงออกรถจักรยานยนต์สีดำเพื่อพาหนูและตนเองไป ใจจริงหนูอยากเดินมากกว่าเพราะตนเองช่วงนี้ไม่ค่อยออกกำลังหาย แต่เพราะอุปนิสัยของพี่อสุราที่รักและเป็นห่วงหนูยิ่งกว่าอะไรจึงบังคับให้หนูซ้อนท้ายไปด้วยเพราะไม่อยากให้หนูเหนื่อย
จนกระทั่งมาถึง หนูลงจากรถฯ และไหว้สวัสดีพี่อสุราอย่างที่ชอบทำ ท่านรับไหว้ หนูเดินเข้าไปในตัวโรงเรียน ทว่าพี่ก็ยังไม่ไปเพราะกลัวว่าหนูมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือ แต่เมื่อไม่มีอะไรพี่จึงขี่รถฯ ออกไปโดยที่ยังเหลือบมองหนูด้วย
หนูเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดเมื่อเห็นเด็กหญิงที่หนูเกลียดที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ความรู้สึกใจหายวาบและคับแค้นมักจะผุดขึ้นมาจนรู้สึกอยากฉีกกระชากผิวสีขาวซีดของเธอ หนูทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินต่อ ทว่าเธอก็ดินมาหาหนูแล้วจับข้อมือ
“อะไร?” หนูถามเสียงเรียบ ไม่มีหางเสียงอย่างที่ชอบเอ่ยลงท้าย ยันต์มองหนูสักพักก่อนจะปล่อยและเดินจากไป หนูมองตามด้วยความฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะไม่อยากให้เรื่องมันยาวจึงเดินจากไปบ้าง
เมื่อมาถึงห้องเรียนหนูก็วางกระเป๋าลงแล้วหยิบหนังสือมาอ่าน จริงๆ แล้วเป็นหนังสือเรียนของพี่อสุราเกี่ยวกับวรรณคดี วันนี้ท่านไม่มีเรียนวิชานี้หนูเลยยืมมา
แก๊ก
“…” หนูหันไปมองต้นเสียงแล้วพบว่าปากกาหมึกแดงแท่งหนึ่งตกลงไป หนูก้มกายจะหยิบแต่มีบางสิ่งบางอย่างมาจับไว้
“เจ้า…! เจ้าต้องตาย!! เจ้าต้องตาย!!!”
มันคือมือสีขาวซีดเหมือนกระดาษ เส้นเลือดผุดขึ้นมาก ยิ่งหนูขยับมากเท่าใดมันก็บีบข้อมือหนูแน่นมากเท่านั้น หนูกลั้นเสียงไม่ให้ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เพราะหากเพื่อนได้ยินแล้วเข้ามาถามแต่ไม่เห็นต้นเหตุก็จะคิดว่าหนูสติเสีย ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
มันจิกเล็บฝังเข้าไปในเนื้อ หนูข่มความเจ็บปวดอย่างสุดจะทน หนูพยายามหลบหน้าเพื่อไม่ให้เพื่อนเห็นสีหน้า กลิ่นคาวดุจเหล็กและฝนนั้นทำให้หนูยิ่งดิ้นรนแต่ก็ไม่พ้น …จู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งมันก็เข้ามา ความหิวโหยที่แทรกแซงทำให้หนูนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงจนไม่กล้าหายใจ ดวงตาเผลอเบิกโพลง ปวดเหงือกรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอะไรออกมาในเนื้อสีแดงนั่น
อยาก… อยากกิน…
นั่นคือความรู้สึกในตอนนี้ หนูกลายเป็นฝ่ายล่าเมื่อมือตนเองอีกข้างเผลอไปจับมือของมันก่อนจะดึงแล้วฝังฟันลงไปอย่างแรง
ไม่สิ… มันคือเขี้ยว มันโง้งออกจากฟันเป็นโค้ง แต่หนูไม่สนใจ ตอนนี้ขอเพียงได้ลิ้มรสเลือดและผิวหนังแห้งกร้านนั่นก็แล้วกัน!
“กรี๊ด!!” มันร้องเสียโหยหวนดังก้องกังวานในห้อง ไม่มีเพื่อนคนไหนได้ยิน แต่เพื่อนเห็น มือสีขาวนั้นขาดออกจากกัน เจ้าของมือหายไป
“กะ… กะ… กรี๊ด!!! ปีศาจ! ปีศาจ!!!”
มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งกรีดเสียงร้องแทบไม่เป็นภาษา แต่หนูพอจับใจความได้ว่าเธอว่าหนูเป็นปีศาจ หนูหันไปมอง พบว่าทุกคนจ้องมาที่หนูด้วยความหวาดกลัวจนหน้าซีดและเหงื่อไหลแตกพลั่ก บางคนหายใจด้วยความลำบาก ระหว่างนั้นเอง เฉาก๊วยกับชลจรก็เข้ามา หนูเผลอปล่อยมือเพราะต้องการจะไปหาเฉาก๊วย
…อยากจะถามเหลือเกินว่านี่… หนูเป็น… อะไร?
“ศรี…”
เฉาก๊วยพึมพำ หนูเผลอหลั่งน้ำตาเพราะหวาดกลัวตนเองที่ทำเรื่องต่ำช้า เขาพยุงร่างของหนูก่อนจะพาออกจากห้องไป
“ฉันเป็นอะไร…” หนูร้องไห้พลางวักน้ำมาล้างเสื้อที่เปื้อนเลือด น้ำตาไหลไม่ขาดสายจนแยกไม่ออกว่านี่คือน้ำตาหรือเป็นน้ำจากก๊อก รสชาติเค็มที่ขมขื่นนั่นทำให้หนูจมดิ่งไปในความทุกข์ เฉาก๊วยแตะบ่าหนูก่อนจะเอ่ยปลอบโยน
“ศรี… มันไม่มีอะไรหรอก เชื่อฉันสิ”
“ฮึก… แล้วเลือดพวกนี้มันอะไร ฮึก ฮือๆๆ…”
“อย่าไปสนใจเลยศรี”
เฉาก๊วยเอ่ยเท่านั้นห็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
พอกลับมาถึงบ้านก็พบว่าแม่ทำอาหารอยู่ หนูสวัสดีท่านก่อนจะรีบขึ้นไปบนห้องเพราะไม่อยากให้ท่านเห็นน้ำตาจนกังวลที่หนูร้องไห้
พอขึ้นเตียงนอนได้ไม่ทันไรก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อหยิบมากดดูก็เห็นว่าเป็นพงสณะที่ติดต่อมา หนูพยายามระงับอารมณ์ก่อนจะรับสาย
“[ศรี เป็นอะไรไหม เฉาก๊วยบอกว่าเธอร้องไห้]” แม้จะเป็นเสียงที่แปรผ่านเป็นคลื่นไฟฟ้าแต่หนูจับน้ำเสียงได้ว่าเขาเป็นห่วงหนูจริงๆ หนูยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ
“ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“[ดีแล้วล่ะ อ่ะ ขอโทษนะ แม่เรียกฉันน่ะ ---บายจ้ะที่รัก”
ฉันเป็นที่รักนายตอนไหนเนี่ย?
หนูยิ้มขบขัน แม้ในใจจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ พงสณะถึงจะกะล่อนหื่นไปบ้าง แต่ความจริงใจนั้นเป็นเรื่องจริง
…ขอบคุณนะ
ในป่ารกทึบนั้นไร้ซึ่งแสงสว่าง
หนูมองรากอากาศของต้นไทรที่ทั้งใหญ่และสูง มันระโยงระยางราวกับจะล่อลวงให้ดึงสู่นรก
“คิกๆ”
มีเสียงจากเด็กหญิงหัวเราะ หนูหันไปมองรอบๆ ว่ามากจากไหน ก็ไม่พบวี่แววของเงา
“ไป… อยู่… ด้วย… กัน… ไป…… อยู่…… ด้วย…… กัน……” เสียงนั้นกังวานแต่โหยหวนจนขนลุก มันก้องไปทั่วป่า หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาดึงชายกระโปรงสีน้ำเงิน เมื่อก้มลงดูก็พบว่าเป็นเด็กหญิงใส่ขุดคอกระเช้า หน้าตาน่ารักน่าชังจริง
ด้วยความเอ็นดูหนูจึงย่อตัวลงแล้วลูบศีรษะเด็กน้อยคนนี้ แม้ในใจจะระแวงที่เด็กหญิงคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของเสียงโหยหวนแต่ถ้าเจ้าตัวยังไม่ทำร้ายก็คงไม่เป็นอะไร
“หนูมาจากไหนจ๊ะ พ่อแม่หนูอยู่ไหนเหรอ?”
“แม่ถามอันใดกัน ก็แม่คือแม่หนู ส่วนพ่อตายไปแล้ว เราเหลือเพียงสองแม่ลูกนี่คะ?” คำตอบนั้นทำให้หนูหน้าซีด รู้สึกว่าหน้าชา ใจหายวาบจนเผลอคิดไปว่าตนเองตายแล้ว รู้สึกว่าร่างกายสั่นจนมือที่ลูบเด็กน้อยนั้นเกร็ง
เด็กคนนี้… เป็นลูกของหนูงั้นเหรอ?
“ย่ะ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิจ๊ะ”
“แม่… อย่าบอกนะว่าแม่จะหนีไปอีกคน มิเอานะ หนูรักแม่…” เด็กหญิงคนนั้นเข้ามากอดหนูแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกดังก๊อบ หนูข่มความเจ็บไว้และพยายามดันร่างให้ออกห่างแต่ดูเหมือนยิ่งยิ่งหนีเท่าไหร่เด็กคนนี้ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเท่านั้น
แรงเยอะมาก…
ระหว่างนั้นเอง เด็กน้อยก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หนูจ้องตาไม่กะพริบ ใบหน้าที่เคยเป็นสีนวลบัดนี้กลายเป็นสีขาวซีด เส้นเลือดผุดขึ้นสีดำ แดง และสีม่วงน่าสยดสยอง เลือดไหลย้อยจากไร้ผมย้อมให้ใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งดว่าเดิม
“…หนู รักแม่… นะคะ…”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ