ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
48) บทที่ ๔๘: อดีต เพื่อน องก์ที่ ๒
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔๘
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
อดีต เพื่อน องก์ที่ ๒
วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
กลิ่นฝนมันเหมือนกลิ่นเลือด
หนูเงยหน้ามองท้องฟ้าขยับร่มเพื่อให้เห็นชัดขึ้น มันเป็นสีเทาออกสีดำ บรรยากาศรอบกายจืดชืดไร้ชีวิตและเย็นยะเยือก หยดน้ำฝนร่วงลงต่อๆ กันดูราวกับเส้นเอ็นที่ใสบาง กลิ่นคาวของฝนเหมือนกลิ่นเลือด หนูเผลอขมวดคิ้วเพราะรู้สึกสะอิดสะเอียนและชอบในเวลาเดียวกัน …น่าแปลกใจจริง
หนูแวะไปซื้อปากกาดำเพื่อนำมาตัดเส้นภาพวาดที่ร่างไว้ในห้องส่วนตัว พอออกจากร้านและกางร่มฝนก็กระเซ็นเข้ามาอีก หนูมองชุดนักเรียนที่เริ่มเปียกทีละหน่อยก่อนจะละความสนใจเพราะคิดว่าพอกลับไปถึงมันก็คงจะค่อยๆ แห้งเอง …ไม่เป็นไร
ผู้คนที่รู้จักเป็นบางคนและไม่รู้จักบางคนก็เดินผ่านไปอย่างใจเย็น ราวกับฝนซึ่งเป็นของเหลวนั้นมันก็แค่สิ่งที่ตกลงมา หนูอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าน้ำกับไฟอะไรอันตรายกว่ากัน น้ำแม้นจะไม่สามารถไหม้ผิวเราจนเสียโฉมหรือทำให้เสียชีวิตแบบไฟ แต่พอมันรวมตัวกันเป็นหลุมกว้างมันก็คือนรกดีๆ นี่เอง ดั่งกองทัพทหารที่ต้องรวมตัวสามัคคีจึงจะกำจัดศัตรูได้
หนูมองรอบๆ ตัวไปด้วยเพราะไม่มีอะไรทำระหว่างเดิน กริยาของแต่ละคนมันก็ทำให้เพลินดีเหมือนกัน สายตาของหนูหยุดที่เด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนประถมแบบเดียวกับหนู เขากำลังยกกล่องใส่หนังสือที่สั่งซื้อมาขาย ดวงตาข้างขวาถูกพันทับด้วยผ้าพันแผลสกปรก เขาคนนี้คือเพื่อนร่วมห้องเดียวกับหนู …ลองเข้าไปทักดูดีกว่า
“ฉันช่วยไหมจ๊ะ?” ทักอย่างเดียวมันไม่ได้นะ เพื่อนลำบากถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้เราก็ควรช่วย เขาคนนั้นเงยหน้าจากกล่อง ดวงตาข้างซ้ายเป็นประกายบางอย่าง หนูทำเป็นไม่สังเกตพลางรอคำตอบจากเขา
“ไม่เป็นไร เธอกลับบ้านไปเถอะ” ถ้าเพื่อนปฏิเสธเราก็อย่าไปดึงดันหรือรบกวน …แต่ขอคุยอีกสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นอะไร
“จ้ะ เจอกันสัปดาห์หน้านะ”
หนูยิ้มให้ เขาพยักหน้าก่อนจะยกกล่องต่อ หนูเห็นดังนั้นจึงเดินต่อไป
เมื่อมาถึงบ้านแล้วหนูก็ขึ้นนอนบนเตียง นอนไปสักพักก็เคลิ้มจะหลับแต่มีใครบางคนมาเคาะประตูห้อง วันนี้พ่อแม่มีธุระจึงต้องไปที่อื่น ก็คงจะเป็นพี่สาวของหนูแน่ๆ ที่เคาะประตู หนูคิดแบบนั้นจึงดึงสติไม่ให้หลับแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูไม้ …ใช่จริงด้วย พี่อสุรา……
“เป็น ‘ไงบ้างจ๊ะ ไปกินขนมกันไหม พี่ไม่มีใครกินเป็นเพื่อนเลย ไปกินกันเถอะนะจ๊ะ” พี่อสุรากล่าวก่อนจะย่อกายลงแล้วอุ้มหนู มันเป็นเรื่องปรกติที่พี่ชอบทำ ซึ่งหนูเองก็ไม่ขัดอะไรออกจะชอบด้วยซ้ำ หนูซุกหน้ากับอกของพี่สาว ความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านจนหนูใจเต้น รู้สึกว่าความกังวลที่เคยเป็นและความเหนื่อยล้าหายไป
พี่อสุราพาหนูไปข้างล่างแล้ววางหนูบนเตียงไม้มีผ้าปู หมอนทรงสี่เหลี่ยมลายไทยพื้นๆ วางไว้ตรงปลายเตียง พี่ลูบแก้มหนูสักพักก่อนจะจูบแก้มหนูเบาๆ และเดินเข้าไปในห้องครัว
อาหารก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากขนมปังอบเนยสดแล้วราดด้วยนมข้นไม่ก็โรยด้วยน้ำตาล มีน้ำสตรอว์เบอร์รี่แกมด้วยเลยชุ่มคอได้หน่อยเพราะหากทานขนมปังอย่างเดียวได้ฝืดคอแย่เลย
อยากให้ช่วงเวาลานี้ผ่านไปอย่างช้าๆ จัง
หนูคิดพลางกัดขอบขนมปังไป ลิ้มรสความหวานเข้มข้นและความกลมกล่อมของเนยสดที่ซึมเข้าไปในขนมปัง อา… อยากให้เวลาผ่านไปช้าๆ… ความวุ่นวายในชีวิตที่ใกล้กับความตายมักเกือบจะพรากชีวิตหนู แต่เพราะมีใครบางคนช่วยไว้ก็เลยรอดมาได้
…กรรม…
หนูนึกถึงคำนี้ ชีวิตคนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้และไม่ว่าจะทำอะไรมันก็จะเป็นกรรม… เพียงแค่เรายืนอยู่ก็เป็นแล้ว หนูปวดศีรษะเพราะเผลอคิดมากเกินไปจนพี่อสุราต้องถามด้วยความเป็นห่วงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนูทานขนมปังหมด
“ศรี เป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” พี่ดึงร่างหนูเข้าไปกอดแล้วลูบศีรษะเบาๆ หนูหลับตาเพราะความเหนื่อยล้าใจที่เข้ามาแทรกแซง
“…พี่คะ”
“จ๊ะ?”
“ทำไมชีวิตหนูถึงมีแต่เรื่องเสี่ยงตายจังเลยคะ?” น้ำตาซึมออกมา มันปวดร้าวในใจเมื่อนึกถึงอดีต เจ็บจนอยากกรีดร้องให้เสียงแตกและร้องคร่ำครวญจนตายไป ตายไปเกิดในภพที่ดีกว่านี้ ใจหายวาบเมื่อความทุกข์ครอบงำจนกลืนกินเป็นสีดำ หนูปล่อยให้น้ำตาไหลเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
พี่อสุราไม่ตอบแต่กอดหนูไว้แน่นๆ ไม่ได้กอดแบบผ่านๆ แต่พี่กอดหนูด้วยความรักที่เปี่ยมล้น สักพักก็อุ้มหนูขึ้นแล้วพาหนูไปนอนบนเตียงชั้นบน
ทำไมกัน…
พอหลับไปจนตื่นเช้ามาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในชุดนอนโดยที่มีพี่อสุรานอนอยู่ข้างๆ พี่กอดหนูไม่ปล่อยเลย …แต่ก็ดีแล้วล่ะ หนูไม่อยากให้พี่ปล่อยเลย
หลังจากนั้นหนูก็ปลุกพี่ให้ตื่นก่อนจะไปอาบน้ำ พี่อสุรายิ้มเมื่อเห็นว่าหนูไม่เป็นอะไรแล้ว จึงลงไปข้างล่างเพื่อทำอาหาร กิจวัตรยามเช้าผ่านไปเช่นปรกติจนได้เวลาไปโรงเรียนพี่อสุราจึงออกรถจักรยานยนต์สีดำเพื่อพาหนูและตนเองไป ใจจริงหนูอยากเดินมากกว่าเพราะตนเองช่วงนี้ไม่ค่อยออกกำลังหาย แต่เพราะอุปนิสัยของพี่อสุราที่รักและเป็นห่วงหนูยิ่งกว่าอะไรจึงบังคับให้หนูซ้อนท้ายไปด้วยเพราะไม่อยากให้หนูเหนื่อย
จนกระทั่งมาถึง หนูลงจากรถฯ และไหว้สวัสดีพี่อสุราอย่างที่ชอบทำ ท่านรับไหว้ หนูเดินเข้าไปในตัวโรงเรียน ทว่าพี่ก็ยังไม่ไปเพราะกลัวว่าหนูมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือ แต่เมื่อไม่มีอะไรพี่จึงขี่รถฯ ออกไปโดยที่ยังเหลือบมองหนูด้วย
หนูเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดเมื่อเห็นเด็กหญิงที่หนูเกลียดที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ความรู้สึกใจหายวาบและคับแค้นมักจะผุดขึ้นมาจนรู้สึกอยากฉีกกระชากผิวสีขาวซีดของเธอ หนูทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินต่อ ทว่าเธอก็ดินมาหาหนูแล้วจับข้อมือ
“อะไร?” หนูถามเสียงเรียบ ไม่มีหางเสียงอย่างที่ชอบเอ่ยลงท้าย ยันต์มองหนูสักพักก่อนจะปล่อยและเดินจากไป หนูมองตามด้วยความฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะไม่อยากให้เรื่องมันยาวจึงเดินจากไปบ้าง
เมื่อมาถึงห้องเรียนหนูก็วางกระเป๋าลงแล้วหยิบหนังสือมาอ่าน จริงๆ แล้วเป็นหนังสือเรียนของพี่อสุราเกี่ยวกับวรรณคดี วันนี้ท่านไม่มีเรียนวิชานี้หนูเลยยืมมา
แก๊ก
“…” หนูหันไปมองต้นเสียงแล้วพบว่าปากกาหมึกแดงแท่งหนึ่งตกลงไป หนูก้มกายจะหยิบแต่มีบางสิ่งบางอย่างมาจับไว้
“เจ้า…! เจ้าต้องตาย!! เจ้าต้องตาย!!!”
มันคือมือสีขาวซีดเหมือนกระดาษ เส้นเลือดผุดขึ้นมาก ยิ่งหนูขยับมากเท่าใดมันก็บีบข้อมือหนูแน่นมากเท่านั้น หนูกลั้นเสียงไม่ให้ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เพราะหากเพื่อนได้ยินแล้วเข้ามาถามแต่ไม่เห็นต้นเหตุก็จะคิดว่าหนูสติเสีย ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
มันจิกเล็บฝังเข้าไปในเนื้อ หนูข่มความเจ็บปวดอย่างสุดจะทน หนูพยายามหลบหน้าเพื่อไม่ให้เพื่อนเห็นสีหน้า กลิ่นคาวดุจเหล็กและฝนนั้นทำให้หนูยิ่งดิ้นรนแต่ก็ไม่พ้น …จู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งมันก็เข้ามา ความหิวโหยที่แทรกแซงทำให้หนูนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงจนไม่กล้าหายใจ ดวงตาเผลอเบิกโพลง ปวดเหงือกรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอะไรออกมาในเนื้อสีแดงนั่น
อยาก… อยากกิน…
นั่นคือความรู้สึกในตอนนี้ หนูกลายเป็นฝ่ายล่าเมื่อมือตนเองอีกข้างเผลอไปจับมือของมันก่อนจะดึงแล้วฝังฟันลงไปอย่างแรง
ไม่สิ… มันคือเขี้ยว มันโง้งออกจากฟันเป็นโค้ง แต่หนูไม่สนใจ ตอนนี้ขอเพียงได้ลิ้มรสเลือดและผิวหนังแห้งกร้านนั่นก็แล้วกัน!
“กรี๊ด!!” มันร้องเสียโหยหวนดังก้องกังวานในห้อง ไม่มีเพื่อนคนไหนได้ยิน แต่เพื่อนเห็น มือสีขาวนั้นขาดออกจากกัน เจ้าของมือหายไป
“กะ… กะ… กรี๊ด!!! ปีศาจ! ปีศาจ!!!”
มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งกรีดเสียงร้องแทบไม่เป็นภาษา แต่หนูพอจับใจความได้ว่าเธอว่าหนูเป็นปีศาจ หนูหันไปมอง พบว่าทุกคนจ้องมาที่หนูด้วยความหวาดกลัวจนหน้าซีดและเหงื่อไหลแตกพลั่ก บางคนหายใจด้วยความลำบาก ระหว่างนั้นเอง เฉาก๊วยกับชลจรก็เข้ามา หนูเผลอปล่อยมือเพราะต้องการจะไปหาเฉาก๊วย
…อยากจะถามเหลือเกินว่านี่… หนูเป็น… อะไร?
“ศรี…”
เฉาก๊วยพึมพำ หนูเผลอหลั่งน้ำตาเพราะหวาดกลัวตนเองที่ทำเรื่องต่ำช้า เขาพยุงร่างของหนูก่อนจะพาออกจากห้องไป
“ฉันเป็นอะไร…” หนูร้องไห้พลางวักน้ำมาล้างเสื้อที่เปื้อนเลือด น้ำตาไหลไม่ขาดสายจนแยกไม่ออกว่านี่คือน้ำตาหรือเป็นน้ำจากก๊อก รสชาติเค็มที่ขมขื่นนั่นทำให้หนูจมดิ่งไปในความทุกข์ เฉาก๊วยแตะบ่าหนูก่อนจะเอ่ยปลอบโยน
“ศรี… มันไม่มีอะไรหรอก เชื่อฉันสิ”
“ฮึก… แล้วเลือดพวกนี้มันอะไร ฮึก ฮือๆๆ…”
“อย่าไปสนใจเลยศรี”
เฉาก๊วยเอ่ยเท่านั้นห็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
พอกลับมาถึงบ้านก็พบว่าแม่ทำอาหารอยู่ หนูสวัสดีท่านก่อนจะรีบขึ้นไปบนห้องเพราะไม่อยากให้ท่านเห็นน้ำตาจนกังวลที่หนูร้องไห้
พอขึ้นเตียงนอนได้ไม่ทันไรก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อหยิบมากดดูก็เห็นว่าเป็นพงสณะที่ติดต่อมา หนูพยายามระงับอารมณ์ก่อนจะรับสาย
“[ศรี เป็นอะไรไหม เฉาก๊วยบอกว่าเธอร้องไห้]” แม้จะเป็นเสียงที่แปรผ่านเป็นคลื่นไฟฟ้าแต่หนูจับน้ำเสียงได้ว่าเขาเป็นห่วงหนูจริงๆ หนูยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ
“ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“[ดีแล้วล่ะ อ่ะ ขอโทษนะ แม่เรียกฉันน่ะ ---บายจ้ะที่รัก”
ฉันเป็นที่รักนายตอนไหนเนี่ย?
หนูยิ้มขบขัน แม้ในใจจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ พงสณะถึงจะกะล่อนหื่นไปบ้าง แต่ความจริงใจนั้นเป็นเรื่องจริง
…ขอบคุณนะ
ในป่ารกทึบนั้นไร้ซึ่งแสงสว่าง
หนูมองรากอากาศของต้นไทรที่ทั้งใหญ่และสูง มันระโยงระยางราวกับจะล่อลวงให้ดึงสู่นรก
“คิกๆ”
มีเสียงจากเด็กหญิงหัวเราะ หนูหันไปมองรอบๆ ว่ามากจากไหน ก็ไม่พบวี่แววของเงา
“ไป… อยู่… ด้วย… กัน… ไป…… อยู่…… ด้วย…… กัน……” เสียงนั้นกังวานแต่โหยหวนจนขนลุก มันก้องไปทั่วป่า หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาดึงชายกระโปรงสีน้ำเงิน เมื่อก้มลงดูก็พบว่าเป็นเด็กหญิงใส่ขุดคอกระเช้า หน้าตาน่ารักน่าชังจริง
ด้วยความเอ็นดูหนูจึงย่อตัวลงแล้วลูบศีรษะเด็กน้อยคนนี้ แม้ในใจจะระแวงที่เด็กหญิงคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของเสียงโหยหวนแต่ถ้าเจ้าตัวยังไม่ทำร้ายก็คงไม่เป็นอะไร
“หนูมาจากไหนจ๊ะ พ่อแม่หนูอยู่ไหนเหรอ?”
“แม่ถามอันใดกัน ก็แม่คือแม่หนู ส่วนพ่อตายไปแล้ว เราเหลือเพียงสองแม่ลูกนี่คะ?” คำตอบนั้นทำให้หนูหน้าซีด รู้สึกว่าหน้าชา ใจหายวาบจนเผลอคิดไปว่าตนเองตายแล้ว รู้สึกว่าร่างกายสั่นจนมือที่ลูบเด็กน้อยนั้นเกร็ง
เด็กคนนี้… เป็นลูกของหนูงั้นเหรอ?
“ย่ะ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิจ๊ะ”
“แม่… อย่าบอกนะว่าแม่จะหนีไปอีกคน มิเอานะ หนูรักแม่…” เด็กหญิงคนนั้นเข้ามากอดหนูแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกดังก๊อบ หนูข่มความเจ็บไว้และพยายามดันร่างให้ออกห่างแต่ดูเหมือนยิ่งยิ่งหนีเท่าไหร่เด็กคนนี้ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเท่านั้น
แรงเยอะมาก…
ระหว่างนั้นเอง เด็กน้อยก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หนูจ้องตาไม่กะพริบ ใบหน้าที่เคยเป็นสีนวลบัดนี้กลายเป็นสีขาวซีด เส้นเลือดผุดขึ้นสีดำ แดง และสีม่วงน่าสยดสยอง เลือดไหลย้อยจากไร้ผมย้อมให้ใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งดว่าเดิม
“…หนู รักแม่… นะคะ…”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ