ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

41) บทที่ ๔๑: ข้ามมิติตามหาหนังสือปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ ๔๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ข้ามมิติตามหาหนังสือปริศนา
                “ก็ว่าแปลกๆ ที่แท้ท่านก็มาที่นี่เองสินะ” ภูพิงค์เอ่ยจากทางด้านหน้า ปืนยาวเท่าข้อศอกบัดนี้ได้แยกชิ้นส่วนจากภายในจนประกอบกันยาวเท่าขาของตนด้วยพลังอาคม
                “เห็นด้วยฤ?”
                “เจ้าค่ะ ข้าเห็นจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จู่ๆ ร่างของท่านและเด็กคนนั้นหายตัวไป ข้าเลยตามพลังวิญญาณมา เล่นมาที่ภาคเหนือเลยฤๅเจ้าคะ?”
                ภาคเหนือ!
                ศรีทวนคำอย่างตะลึง  ข้ามภาคมาในเวลาไม่กี่นาทีนี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่ท่าทางทั้งสองจะเห็นว่าเป็นเรื่องปรกติเลยไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ (เว้นแต่หญิงสวมหน้ากาก เพราะนางปกปิดใบหน้าอยู่)
                แกร๊ก!
                “…” หญิงสวมหน้ากากไม่แสดงความตกใจอย่างเช่นการสะดุ้ง ปากกระบอกปืนสี่เหลี่ยมชี้มาทางนาง ภูพิงค์จ้องหญิงสวมหน้ากากอย่างไม่ให้คลาดสายตา ดวงตาอยู่ในระดับของเป้าเล็งศัตรู
                “ที่นี่มิค่อยมีสิ่งมีชีวิตที่จะให้เจ้าดูดพลังวิญญาณมาเป็นพลังของปืน แน่ใจฤว่าจะสู้?”
                ซูม!
                มีพลังสีเขียวขึ้นในปากกระบอกปืน พลังจิตวิญญาณจากต้นไม้และพืชถูกสร้างขึ้น นางเร่งพลังเพื่อเตรียมยิง
                “แม้นมิมีพลังวิญญาณ แต่ก็ยังมีจิตวิญญาณของพืช”
                “งั้นฤ”
                ตุบ
                หญิงสวมหน้ากากถามก่อนจะอุ้มศรีลงพร้อมๆ กับที่ม้าหายไป พลังสูบเต็ม ภูพิงค์นับถอยหลังในใจแล้วเล็งเป้า
                “แต่อย่าลืมละกันว่ายังมีเด็กคนนี้อยู่”
                “!”
                ไม่ทันขาดคำ พลังจิตวิญญาณก็พุ่งจากปากกระบอกปืนจนกิ่งไม้ ใบไม้บนพื้นและจากต้นไม้ปลิวว่อนไปทั่ว พร้อมๆ กันนั้นร่างของหญิงสวมหน้ากากและศรีหายวับไป ภูพิงค์ที่ยังตกใจไม่หายอ้าปากตาค้างเพิ่งนึกได้ว่าตนลืมไป ว่ายังมีเด็กผู้หญิงอยู่
                “บ้าจริง!”
               
                “อึก…” ศรีลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นยุพิน รอบๆ เธอมีเพื่อนๆ นั่งมองอย่างเป็นห่วง ศรีค่อยๆ ดันร่างยุพินแล้วนั่งอย่างมึนๆ
                “ฉัน…”
                “ยายบ้า” จู่ๆ ธันนะก็เอ่ยแทรก ศรีหันไปมองเขาอย่างแปลกใจระคนฉงน เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ที่มองเขา
                “ขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วง” ศรีเอ่ยเบาๆ อย่างรู้สึกผิด เธอจับน้ำเสียงได้ในคำพูด
                “เออ” คำพูดนั้นทำให้ศรีเผลอขำ ใบหน้าของธันนะขึ้นสีแดง ระหว่างนั้นพงสณะก็ยื่นถ้วยใส่น้ำสีส้มมาให้ ศรีรับมาแล้วมองมันอย่างสงสัย
                “เธอสลบบ่อยนะตั้งแต่เข้ามิตินี้มา หรือว่าร่างกายทนไม่ไหว”
                “ก็… ไม่ใช่หรอก”
                “อืม จะว่าไปข้าลืมคิดเลย เพราะอะไรเจ้าถึงมาที่นี่ได้” ปักเป้าถาม ศรีหันไปมองเขา เด็กชายสวมเฮดโฟนเอ่ยต่อ
                “ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรแปลกๆ บ้างไหม เช่น ฝนตกบ่อยโดยไม่มีเค้า ฤๅมีอุบติเหตุบ่อย”
                “ไม่ใช่หรอกจ้ะ …คือ จริงๆ แล้วเรื่องแปลกๆ มันก็มีนะ”
                “ว่ามา”
                “ฉันไปช่วยงานในห้องสมุด เผอิญไปเปิดหนังสือเล่มหนึ่แล้วเผลอท่องตามที่มันเรืองแสงน่ะ แล้วจากนั้นฉันก็หมดสติไป” ศรีกล่าว เพื่อนๆ หลายคนจ้องเธอเหมือนจะให้เธอเล่าต่อจากนี้ แต่ขนมชั้นก็เอ่ยขึ้นก่อน
                “มันมีชื่อไหม?”
                “ไม่มีจ้ะ มันเก่ามากๆ เลย ตัวหนังสือก็ขาดๆ หายๆ จนขนาดเพ่งอ่านก็ยังมองได้แค่ว่ามันพยัญชนะอะไร”
                “อืม… งั้นก็ต้องรีบแล้วล่ะ”
                “รีบอะไรฤ?” ปักเป้าถามเขา ขนมชั้นมีสีหน้าจริงจังขึ้น เขาตอบ “คืนนี้เราจะไปที่ห้องสมุดของโรงเรียนที่ศรีอยู่”
                “เฮ้ย! จริงดิ” เฉาก๊วยอุทานอย่างคาดไม่ถึง ขนมชั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ
                “เราจะข้ามเรื่องเล็กๆ มิได้ดอกนะ” ศรีฟังเขากล่าวต่อไปพลางดื่มน้ำที่พงสณะให้
                จริงๆ แล้วมันมีอีกเรื่องนะ
                               
                กลางคืน (ในมิติผกาย)
                เช้า (ในมิติสามัญ)
                “ข้าลืมไปว่าที่มิตินี้เป็นเวลาเช้า”
                ปักเป้ากับเฉาก๊วยขำคิกคักที่ขนมชั้นหน้าแตกหมอไม่รับเย็บมาผิดเวลา ขนมชั้นจัดการเขกศีรษะเด็กชายสองคนไปคนละสามทีจนทั้งสองต้องกุมด้วยความเจ็บปวด
                “พ่อ… แม่… พี่คะ” ศรีพึมพำถึงครอบครัวที่เธอจาก บรรพตลูบหลังของของศรีเป็นการปลอบ
                “ข้าขอโทษนะที่ส่งเจ้ากลับมิได้”
                “ฉันเข้าใจจ้ะ ไม่เป็นไรหรอก” ศรียิ้มฝืนๆ บรรพตมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกผิด พงสณะเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
                “เดี๋ยวคดีจบเมื่อไหร่เราก็ได้กลับนะ ดูสิ ยังมีรพิ แววไพร เฉาก๊วย ธันนะและฉันที่มาจากมิติสามัญ ไม่ต้องห่วงหรอก” ศรีรู้สึกดีขึ้นจึงยิ้มสดใสกว่าเดิม
                “ระหว่างนี้เราก็รอให้ถึงเวลากลางคืนละกัน”
                “จะดีฤ?”
                “!” เสียงของคาตานะดังจากข้างหลัง ทุกคนหันไปมองด้วยความคาดไม่ถึง รอยยิ้มบางๆ เผยให้เห็น ทุกคนไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั่น
                “…เจ้า รู้ ได้อย่างไร” กลีบเย้าถามพลางจดจ้องไปที่เขา คาตานะยักไหล่เหมือนจะบอกไว้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้วตอบ
                “ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกัน จะว่าไปพวกเจ้ามิกลัวว่าท่านจารุจะทำโทษฤ? เพิ่งโดนไปเองนี่” กลีบเย้ามองสีหน้าที่สบายใจของเขาแล้วมองร่างในชุดนักเรียนชายประถมทั่วๆ ไป เธอเองและเพื่อนๆ คนอื่นก็ด้วยเช่นกัน เพราะจะได้ไม่ผิดแปลกในมิติสามัญ
                “โดยเฉพาะเจ้า แววไพร ว่าว ยุพิน” คาตานะชี้นิ้วมาทางเด็กหญิงสามคน พวกเธอหน้าซีดอีกครั้ง
                “แต่เอาเถิด คราวนี้ข้ามิไปฟ้องท่านจารุดอก แต่หากท่านรู้อันนี้ข้ามิเป็นส่วนเกี่ยวข้องนะ” คำกล่าวนั้นทำให้เพื่อนๆ ต้องหันมาจ้องเขาอีกครั้ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ฟ้องท่านจารุ
                “นายต้องการอะไร” พงสณะถาม แววตาฉายความไม่ไว้วางใจ เพราะกลัวว่าจุดประสงค์ของพวกเขา หากคาตานะได้ยินที่คุยจริงคงจะไม่พ้นศรีเป็นแน่
                นั่นเป็นสิ่งที่พงสณะคาดไว้
                “หนังสือที่ทำให้ศรีมาที่มิติผกาย เพราะฉะนั้นก็ถือว่าข้าช่วยพวกเจ้าละกัน”
                “คนอย่างนายเนี่ยนะช่วยคนอื่นเป็นด้วย!” แววไพรยิ้มเย้ยหยันให้คาตานะ ทว่าเด็กชายไม่ได้โกรธอะไร ออกจะลอยหน้าลอยตาเสียด้วยซ้ำ
                “บอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าข้ามาเพื่อตัวข้าเอง แต่เผอิญมันไปตรงกับที่พวกเจ้าต้องการ”
                “เจ้า---” ขณะที่กลีบเย้าจะเอ่ยต่อ ขนมชั้นก็ตบมือเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน
                “มัวแต่เถียงกันงานมิคืบหน้ากันพอดี แม้จะยังไปหาหนังสือมิได้ แต่เผื่อมีบางอย่างผิดสังเกตเช่นพวกวิญญาณเราจะได้กำจัด แล้วอีกอย่าง เจ้า คาตานะ หากเจ้าเล่นตุกติกอะไรข้าเอามีดเฉาะหัวแน่”
                คาตานะพยักหน้าโดยมีรอยยิ้มด้วย เมื่อขนมชั้นเดินเพื่อนๆ ก็เดินตามด้วย
                “หืม?” เด็กสาวผู้เป็นพี่ของศรีรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณของน้อง จึงรีบมองไปรอบด้าน เธอพยายามเพ่งสายตาให้มองไปไกลๆ ได้ แล้วพบว่ามีเด็กหญิงเกล้ามวยผมปล่อยผมส่วนที่เหลือลงมาอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ
                “นั่น น้องศรีใช่ไหม?”
                ถามจบเธอก็วิ่งไปทางที่เด็กหญิงคนนั้นอยู่
                ไม่ผิดแน่
                หมับ!
                พอมาถึงเธอก็กอดศรีอย่างแน่นจนเด็กหญิงหายใจแทบไม่ออก เพื่อนๆ ต่างตะลึงที่จู่ๆ ก็มีคนมากอดเธอ ยกเว้นเพื่อนๆ ที่อยู่มิติสามัญด้วยกันพอจะรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
                “ศรี… น้องหายไปไหนมา พี่เป็นห่วงแทบแย่” ศรีที่หายตกใจแล้วก็เงยหน้ามองเด็กสาวผมเกล้าหยักศก เมื่อพบว่าเป็นพี่สาวตนเธอก็กอดตอบด้วยความคิดถึงที่เปี่ยมล้น
                “ขอโทษจริงๆ ค่ะที่ทำให้เป็นห่วง มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นจนหนูต้องไปอีกยังมิติ”
                “มิติผกายใช่ไหม?” พี่สาวของศรีคลายอ้อมกอด สองมือจับต้นแขนของศรี เด็กหญิงพยักหน้าแล้วตอบ
                “ค่ะ ก่อนหน้าที่จะเกิดขึ้นหนูเจอกับหนังสือเล่มหนึ่งและก็พอหนูเดินหลับตาเพียงครู่เดียวก็พบว่าตนเองอยู่กลางถนน หนูเดินไปกับเพื่อนที่ช่วยหนูไว้แล้วมาที่คลอง มีมือแปลกๆ ดึงหนูลงน้ำ จนในที่สุดหนูก็มาที่มิติผกาย”
                เพื่อนๆ เบิกตากว้างอย่างฉงนกับเหตุการณ์ที่ศรียังไม่ได้เล่า พี่สาวลูบศีรษะของศรีอย่างอ่อนโยนด้วยความรักพลางเอ่ยไปด้วย
                “ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไร อยู่ที่นั่นสบายดีไหมจ๊ะ”
                “สบายดีค่ะ”
                เพื่อนๆ มองภาพที่ทั้งสองกอดกันด้วยความซาบซึ้ง คาตานะที่มองจากด้านหลังของศรีสบตากับพี่สาวของเธอด้วยแววที่ยากจะคาดเดา ทว่าริมฝีปากของเขาก็แย้มยิ้มปกปิดความรู้สึกไว้
                เดี๋ยวก่อน แผลตรงตาข้างขวาไปโดนอะไรมา
                อสุราลืมถามเรื่องแผล แต่ก็ไม่ได้สักถามศรีอะไรต่อ เพราะตอนนี้สิ่งที่เธออยากทำเมื่อเจอน้องสาวคือการได้กอด เรื่องแผลไว้คราวหลังละกัน
                ในขณะนั้นเองดินขาวก็มองไปมาระหว่างทั้งสอง เขาจดจ้องที่คาตานะราวกับจะกลืนเขาลงไป คาตานะหลับตาแล้วลืมขึ้นก่อนจะก้าวเดินจากไป
                อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะหลานเอ๋ย
 
                พี่สาวของศรีพาเด็กๆ มาที่ร้านไอศกรีม เธอเลี้ยงทุกคนแบบไม่อั้น ศรียิ้มบางๆ เธอมานั่งตรงโต๊ะชิดริมผนังเพื่อจองไว้ พี่สาวเดินถือไอศกรีมรสช็อกโกแลตชีพมาวางไว้ก่อนจะนั่งข้างๆ
                “เอารสอะไรเหรอจ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้”
                “หนูยังไม่ค่อยอยากกินน่ะค่ะ”
                “งั้นเหรอจ๊ะ” พี่สาวของศรีลูบศีรษะเธอไปพลาง ศรียิ้มด้วยความรู้สึกดีๆ แล้วถาม
                “พี่อสุราคะ หนูอยากกลับไปหาพ่อแม่จังเลยค่ะ” จากตอนแรกที่ร่าเริงเปลี่ยนเป็นเศร้า อสุรายิ้มอย่างเห็นใจแล้วลูบศีรษะไปด้วย
                “เอาอย่างนี้ดีไหม? พี่จะประลองกับเพื่อนๆ ของหนู ใครชนะก็พาหนูไป”
                “หมายความว่าอย่างไรคะ อย่าบอกนะว่าพี่---”
                “ใช่แล้วจ้ะ พี่ใช้อาคมและอาวุธแบบเพื่อนๆ หนูได้” ศรีตกตะลึง อยู่ด้วยกันจะรู้นิสัยใจคอดีแล้วนี่ก็เป็นเรื่องแรกที่เธอไม่รู้
                “ประลองฤ? เอาสิอสุรา อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแพ้ข้า” คาตานะมาตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ อสุราลอบยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ย
                “อย่าผยองมากนักเลย ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตายนะ”
                ท่านก็เคยสอนหนูนี่
                คำนั้นอสุราไม่ได้เอ่ย เธอรอว่าคาตานะจะกล่าวอะไรต่อ ท่ามกลางสายตาเพื่อนๆ บางคนที่มองมาอย่างสงสัย รพิก็เอ่ยขึ้นแทรกการสนทนา
                “ทำไมถึงต้องประลองครับ? ผมว่าเพียงแค่พาพี่ศรีไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นต้องสู้กันเลย”
                “จริงๆ พี่มีเรื่องค้างคาใจกับคาตานะน่ะ” อสุราตอบ อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วก้าวออกจากร้าน
                มาไวไปไวเสียจริง
               
                กลางคืน (ในมิติสามัญ)
                “เอาล่ะ เริ่มภารกิจได้ อย่าให้ใครเห็นเราล่ะ ค่อยๆ เดิน อย่าวอกแวก” ขนมชั้นกล่าว ณ ตอนนี้ทุกๆ คนมาอยู่หลังโรงเรียนตรงอาคารที่มีต้นไม้รกชัน บางคนพยักหน้า บางคนก็หาวหวอดๆ เมื่อขนมชั้นเดินทุกคนก็เดินตามด้วย
                “หนาวจัง…”
                ระหว่างทางกลีบเย้า (หรือเม็ดแตง) ก็เอ่ยขึ้นพลางกอดอก เสื้อที่เธอใส่มาไม่ใช่ชุดประจำเผ่าเย้าที่อย่างไรก็คาดว่าทำขึ้นมาให้เหมาะกับภูมิอากาศ ดอกเข็มยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางหยิบผ้าผืนค่อนข้างใหญ่สีแก่ปักเย็บลายไทยสวยงามมาคลุมไหล่ให้เม็ดแตง เด็กหญิงเผ่าเย้าเงยหน้าขึ้นแต่แล้วเด็กหญิงเผ่าไทแสกก็จูบแก้มเธอทีเผลอ
                “ท่ะ ทำอะไรของเจ้าเนี่ย+” ถามไปหน้าแดงไป ดอกเข็มพยักหน้าก่อนจะตอบ
                “เคยมีคนบอกข้าว่าหากทำให้อีกฝ่ายเขินจนหน้าแดง อุณภูมิจะร้อนขึ้น จะได้มิหนาวอย่างไรล่ะ”
                “ฟังมิขึ้นจริงๆ! แต่ก็ขอบคุณละกันสำหรับผ้าผืนนี้” กล่าวจบเม็ดแตงก็หลบหน้าเพื่อซ่อนใยหน้าที่แดงก่ำ ดอกเข็มหัวเราะชอบใจแล้วจับมือของเม็ดแตงไประหว่างเดิน
                “ข้าอุตส่าห์มิสนใจแล้วนะอย่างตอนไปป่าสุสานก็จู๋จี๋กันแล้ว เฮ้อ! เป็นแฟนกันเลยดีกว่าไหม? ฮ่าๆๆ” ปักเป้ากล่าวแซวเด็กหญิงสองคน เม็ดแตงหันไปตบอีกฝ่ายแก้เขินแล้วกลับไปเดินต่อ
                “เม็ดแตงกับดอกเข็มมีอะไรกันเหรอจ๊ะ” คำถามนั้นยิ่งทำให้เม็ดแตงหน้าแดงขึ้นไปอีก คราวนี้ดอกเข็มก็เป็นด้วย ศรีกะพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มบางๆ
                “สองคนนี้มันรักกันน่ะ ขนาดดอกเข็มมีธุระที่ภาคกลางในมิติผกายยายเม็ดแตงยังอุตส่าห์ตามมาด้วย” ดินขาวตอบพลางใช้สายตามองรอบข้างท่ามกลางความมืดเผื่อมีศัตรูเข้ามา เขาใช้ไฟฉายไม่ได้เพราะจะเป็นที่มองเห็นง่าย  แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเพราะเขาทำแบบนี้ประจำอยู่แล้ว
                “อ๋อ ดีเหมือนกันน่ะจ้ะ รักกันไว้นะทั้งสองคน” ศรียิ้มกว้างกว่าเดิม เด็กหญิงชาวเผ่าทางภาคเหนือต่างหน้าไปคนละข้างด้วยความอาย
                หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก กระทั่งมาถึงที่อาคารเรียนที่ ๒ ซึ่งชั้นบนสองมีห้องสมุดอยู่
                จะมีอะไรรออยู่ฤๅเปล่านะ?
                ขนมชั้นถามในใจ เอาล่ะ ถึงเสียทีสินะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา