ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
42) บทที่ ๔๒: อาวุธแท้จริงคือความกล้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔๒
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อาวุธแท้จริงคือความกล้า
“ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าประมาทเด็ดขาด ศัตรูจะมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้”
“เอ๋ ในโรงเรียนนี้มีผีด้วยเหรอ” ยุพินถามอย่าหวาดๆ ขนมชั้นพยักหน้าแล้วตอบ
“จริงๆ ก็มิเชิงมีดอก แต่ผีบรรพบุรุษที่ก่อนสร้างโรงเรียนอาจจะมีก็ได้”
“งั้นก็แย่สิ” แววไพรเอ่ย “เตรียมอาวุธไว้ด้วยล่ะ” ขนมชั้นเอ่ยต่อแล้วอัญเชิญอาวุธ
ทุกคนอัญเชิญหรือหยิบอาวุธขึ้นมาบ้าง ยกเว้นเด็กๆ ที่มาจากมิติสามัญ
บรรพตตั้งท่าถือปืนลูกซอง แล้วเล็งเป้าหมายผ่านเป้าเลนส์ของปืนจากนั้นก็เดินต่อ ศรีมองเพื่อนๆ ที่ต่างคนต่างก็ระแวงพลางถืออาวุธด้วยความรู้สึกหวาดระแวง
จะว่าไป… เพื่อนๆ จากมิติผกายคิดดีกับเราหรือเปล่านะ?
“ไปกันเถอะ” พงสณะเอ่ยขึ้น ศรีพยักหน้าแล้วก้าวเดินต่อ
เด็กๆ เดินมาถึงห้องสมุดบนชั้นสอง ขนมชั้นกับเพื่อนๆ อยู่ห่างจากห้อง ๔ ก้าว เขาเดินนำไปก่อนคนแรก ค่อยๆ ผลักประตูแล้วมองไปรอบๆ พลางใช้จิตจับสัมผัสพลังวิญญาณด้วย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีแล้วเขาก็ก็ส่งสัญญาณให้เพื่อนๆ ว่าเข้าไปได้ ทุกคนจึงเข้าไปแต่ก็ไม่วายระแวงด้วย รพิกดปุ่มเปิด ปิด ไฟเพื่อให้ห้องสว่าง
“มันอยู่ตรงไหนฤ?” ขนมชั้นถามศรี เธอเดินไปตามทางเล็กๆ ระหว่างตู้หนังสือแล้วหยิบให้เขา
“หืม?” ขนมชั้นพลิกหนังสือไปมา แล้วขมวดคิ้วด้วยความฉงน ศรีถอนหายใจก่อนจะเอ่ย
“ก็เล่มนี้นั่นแหละ มีอะไรผิดปรกติไหม?”
“มีแน่นอน!” จู่ๆ เด็กชายผมสีส้มก็ตะคอก เขารู้สึกได้ถึงพลังอาคมบางอย่างที่อบอวลไปทั่วหนังสือ สัมผัสเย็นยะเยือกทำให้เขารู้สึกหน้ามืด กระนั้นก็ยังประคับประคองให้สติอยู่กับตัว
“เอ๋!” ศรีอุทาน เพื่อนๆ บางคนหันมามอง ขนมชั้นโยนหนังสือไปให้ดินขาวก่อนจะเอ่ย
“ช่วยตรวจสอบให้ที ข้าจะไปสำรวจรอบด้าน ทุกคน ออกไปสำรวจนอกห้องแต่พยายามอย่าอยู่ห่างจากห้องสมุดนะ วิญญาณอาจจะลักไปก็ได้"”
ทุกคนพยักหน้าแล้วแยกย้ายไปสำรวจ ดินขาวนั่งลงกับเก้าอี้แล้ววางหนังสือพลิกตรวจสอบบนโต๊ะอย่างใจเย็น
“ศรี หนังสือเล่มนี้ทำอะไรเจ้าฤๅไม่?”
“หลังจากที่ฉันอ่าน จริงๆ มันปรากฏเป็นอักษรเรืองแสงเลยอ่านได้น่ะจ้ะ แต่พอฉันอ่านจบก็สลบไป” ศรีเข้ามาใกล้ๆ ดินขาว แล้วก้มดูด้วย
“หนังสือเล่มนี้แปลก แม้นข้าจะมิได้รู้สึกถึงพลังวิญญาณ แต่พลังอาคมนี่มันอย่างไรๆ อยู่นะ” ดินขาวกล่าวจบก็โยนหนังสือให้ขนมชั้นซึ่งอีกฝ่ายก็รับได้อย่างดี ระหว่างนั้นปักเป้าก็ตะโกนขึ้น
“ทุกคน! มีบางอย่างอยู่ตรงนั้น!!”
ปัง!!
บรรพตยิงลูกกระสุนออกไป ทว่าเงาที่อยู่ตรงหลังกำแพงหลบไปเร็วมาก ศรี ขนมชั้นและดินขาวรีบออกมาจากห้อง ขนมชั้นวิ่งไปและกระโดดขึ้นไปบนหลังคาสังกะสีที่ยื่นออกมาก่อนจะขว้างมีดไปยังเงาอีกที่ ศรีอัญเชิญดาบออกมาแล้วตั้งท่าไว้ ดวงตาสีดำที่มืดสนิทยิ่งกว่าท้องฟ้าคืนนี้เป็นประกายดั่งดวงดาวมองไปรอบด้าน
จู่ๆ ก็มีมือสีซีดเต็มไปด้วยเส้นเลือดยืนมาจับคอของศรี
“ศรี!” พงสณะเอ่ยลั่น ขนมชั้นขว้างมีดไปฟันแขนนั่นจนมันขาดแล้วหล่นลง เลือดพุ่งส่งกลิ่นเหม็นเน่า ศรีหันไปทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ก่อนจะใช้ดาบทั้งสองเข้าที่แขนซึ่งโผล่จากผิวในอาคาร
ดินขาวกระโดดไปกลางอากาศ ก่อนจะใช้สายสิญจน์โยนไปพันตามเสาของอาคารเรียน แล้วใช้สายสิญจน์เส้นหนึ่งเป็นที่ยึดของตนไว้เพื่อไม่ให้หล่น
“อย่าเพิ่งจุดท่องคาถาเพลิงล่ะ! ประเดี๋ยววิญญาณอาจจะเห็น” ขนมชั้นเอ่ยพลางมองสายสิญจน์ที่ล่องหนอยู่ ดินขาวพยักหน้า แล้วดึงสายสิญจน์เพื่อพาตนกลับไปยืนตรงระเบียง
ปังๆๆๆ!!!
บรรพตรัวนิ้วยิงกระสุนใส่เงาจนมันหมด เธอใส่ลูกกระสุนอีกครั้งแล้วตั้งท่ายิง คราวนี้เป็นกระสุนลงอาคมไว้เพื่อให้วิญญาณสลาย
ฟิ้ว…
ว่าวปล่อยว่าวจุฬาขึ้นฟ้าไปกว่า ๑๐ อัน ว่าวจุฬามีหม้อดินระเบิดติดไว้ด้วย เธอพนมมือไหว้แล้วท่องคาถาหลังจากนั้นหม้อดินก็ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ มันเป็นระเบิดลงอาคม ว่าวลงมันไว้เพื่อกำจัดวิญญาณที่ลอยอยู่ตามอากาศ มีเสียงร้องโหยหวนชวนขนลุกดังแว่วๆ
“ปักเป้า! รพิ! ลงไปข้างล่างเผื่อศัตรูมันอยู่ นำพระเครื่องไปด้วย” ขนมชั้นยื่นสร้องพระให้รพิซึ่งอีกฝ่ายก็นำสวมคอทันที ปักเป้าและรพิวิ่งไปตามทางแล้วลงไป
“นี่ แล้วจะไม่มีใครได้ยินเสียงอาวุธเหรอ?” ศรีถาม ขนมชั้นส่ายหน้าแล้วตอบ “มิมีทาง ว่าวได้สร้างกำแพงลงอาคม แต่ก็มิมีใครเหนดอกนะ”
“อ๋อ…”
ทางฝ่ายดอกเข็มและเม็ดแตงที่ขัดคำสั่งของขนมชั้นที่บอกว่าห้ามห่างจากห้องสมุดก็ลงจากอาคาร เม็ดแตงหยิบลูกศรมาแล้วขึงกับคันธนู เล็งเป้าจากนั้นก็ปล่อยลูกศร ส่วนดอกเข็มขว้างหอกเข้าไปที่เงาตรงต้นไม้ ทิ่มมันเข้าไปจนปักกับต้นไม้ มันกรีดร้องน่าเวทนาแล้วค่อยๆ สลายเป็นผงสีดำ ดอกเข็มหอบหายใจ เธอเหลือบเห็นว่าเม็ดแตงหอบหายใจหนักไม่แพ้เธอ
“พอไหวไหม? ข้าจะพาเจ้าไปพักก่อน”
“มิได้…. ขาดกำลังไปก็เท่ากับชีวิตทั้งกลุ่มตาย”
“ถ้าถึงคราวมิได้จริงๆ ก็บอกข้านะ” ดอกเข็มยิ้มอย่างอ่อนโยน ทำให้เม็ดแตงมีแรงจะสู้ต่อ เธอพยักหน้าให้แล้วยิงลูกศรอีกดอก
…ฉันมันขี้ขลาดจริงๆ นั่นแหละ
ธันนะยืนอยู่ตรงกำแพงห้องน้ำ ความมืดและความเงียบทำให้บรรยากาศดูวังเวง ทว่าก็มีเสียงลมพัดมา มันหวีดหวิวชวนใจหาย ธันนะนึกถึงศรีอย่างละอายใจ ทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ชายแต่ความกล้ายังน้อยกว่าศรีที่เป็นผู้หญิงนัก
เขานึกถึงคำถามของรุกข์ในตอนที่ไปซื้อไก่ที่ร้านของเจ้าตัว เขาคอยให้ศรีอยู่ป้องกันตรงหน้าตลอด เธอบาดเจ็บเขาก็ช่วยไม่ได้ ตอนต่อสู้ก็ไม่มีวิชาพอที่จะรับมือศัตรูที่ทำร้ายเธอ
…ศรี
“ธันนนะหายไหนน่ะ?” จู่ๆ ศรีก็ถามขึ้น บางคนส่ายหน้าแทนคำตอบ เธอถอนหายใจแล้วเดินวนไปวนมาอย่างกังวล ตอนที่เดินมาเธอก็นึกว่าเขาจะร่วมเดินด้วย แต่ไม่ใช่เลย เขาหนีไปไหนแล้วต่างหาก
“เฉาก๊วย เจ้าไปตามหาธันนะที ประเดี๋ยววิญญาณเจอตัวเข้าจะแย่!”
“ได้เลย!” เฉาก๊วยยิ้ม ใบหน้าอ่อนล้าช่างขัดกันนัก หลังจากที่เฉาก๊วยไปแล้วขนมชั้นก็หันมาหาศรี
“ศรี เจ้าพยายามอย่าอยู่ห่างกับข้านะ”
“จ้ะ”
“ธันนะ! นายอยู่ไหนน่ะ!” เฉาก๊วยตะโกนถาม แต่แล้วก็ต้องปิดปากลงเพราะนึกได้ว่าอาจจะเป็นการเรียกศัตรูเพิ่มได้ เขาจึงต้องใช้สายตาหาเด็กชายสวมเสื้อกล้ามท่ามกลางความมืด จนมาถึงห้องน้ำหลังอาคารในที่สุดเขาก็พบ
“นี่… นาย… มาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เฉาก๊วยเดินเข้าไปใกล้ๆ พบว่าธันนะนั่งเหมือนคนไร้วิญญาณบนพื้นห้องน้ำ
“หลบตรงนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้านานเข้าพวกมันต้องพบแน่ รีบไปกับฉันดีกว่า” เฉาก๊วยยยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือให้ธันนะ ทว่าอีกฝ่ายหันหน้าหนี เฉาก๊วยใจเสียเลยจับไหล่เขา
“เป็นอะไรไป? ไม่สบายเหรอ หรือว่าปวดท้อง?”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น” เสียงเย็นเยียบตอบ เด็กชายตัดผมรองทรงมีสีหน้าฉงน เขานั่งคุกเข่าพลางเขย่าไหล่ธันนะ ปากก็ถามไปด้วย
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่มีหน้าไปพบใครหรอก” เฉาก๊วยหยุดเขย่า แล้วมองเท้าของธันนะที่สั่นน้อยๆ ผิวของเด็กชายสวมเสื้อกล้ามซีดเรื่อยๆ เฉาก๊วยคิดสักพักจนในที่สุดเขาก็ได้คำตอบ
“นายกลัว… ใช่ไหม?”
“…”
“นั่นคือความจริง อย่าหนีเลย ฉันเองก็พอสังเกต ในขณะที่พวกฉันสู้กับพวกผีแต่มีนายและศรีที่สู้ไม่ได้ แม้นศรีจะเพิ่งต่อสู้แบบนี้ครั้งแรกแต่เธอก็ยังมีศิลปะที่การต่อสู้ที่เคยเรียนมา ทว่า ขณะเดียวกันมีแต่นายที่ไม่เคยเรียนแล้วก็ไม่มีอาวุธด้วย”
“…”
“นี่สินะที่นายพูด ‘ฉันไม่มีหน้าไปพบใครหรอก’ ”
“…”
“ใช่ไหม?”
เฉาก๊วยมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ดวงตาที่สดใสร่าเริงบัดนี้แฝงไปด้วยความเรียบเฉยที่ยากจะคาดเดา ธันนะหันกลับมาแล้วมองปอยผมรองทรงที่ไหวเล็กน้อยเพราะแรงลมที่จู่ๆ ก็มีขึ้นมา
“…อือ”
“งั้นมานี่” เฉาก๊วยดึงร่างของธันนะขึ้นแล้วลากออกไป เจ้าตัวพยายามจะดิ้นให้หลุดแต่แรงของเฉาก๊วยก็ใช่เล่น จึงสามารถพาธันนะออกไปได้
“จะบอกอะไรให้อย่างนะ นายไม่ได้อ่อนแอหรืออะไร เพียงแต่ยังไม่พร้อมรับมือก็เท่านั้นเอง” เฉาก๊วยว่าแล้วหยิบดาบจากในอากาศขึ้นมาแล้วส่งให้ธันนะ
“?”
“ลงอาคมไว้แล้ว น่าจะพอกำจัดพวกวิญญาณได้ ทีนี้นายก็ใช้ความสามารถที่มีอยู่ในตัวจัดการพวกมัน โอเคไหม?” เฉาก๊วยมีสีหน้าที่แจ่มใส เขายิ้มให้กำลังใจธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามมองเขาแล้วพยักหน้า
“ขอบคุณ”
ตัวบงการเรื่องนี้คือใครกัน?
ยุพินคิดขณะยิงลูกกระสุนออกไป ข้างๆ เธอก็มีบรรพตอยู่ด้วย ยุพินใช้ความคิดและมือไปพลาง ตัวบงการที่ส่งวิญญาณมาคือใคร เธอมั่นใจว่าวิญญาณที่มาไม่ใช่ที่มีอยู่เดิมของโรงเรียน …แต่มีใครสักคนส่งมา
“บรรพต ฉันคิดว่าวิญญาณพวกนี้ต้องมีใครสักคนส่งมาแน่ๆ”
“ถ้ารู้แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ?” บรรพตถาม “ฉันอ่านการ์ตูนทีไรลูกสมุนถ้าถูกกำจัดหมดแล้วตัวหัวหน้ามันจะมา”
“แค่นั้นดอกฤ?!” บรรพตล่ะอยากเอาปืนมาเขกศีรษะยุพินจริงๆ คิดไปได้เอาเรื่องการ์ตูนมาเทียบกับชีวิตจริง
ไม่สิ ก็การ์ตูนอย่างไรเสียมันก็รับมาจากชีวิตนี่
“น่า ลองดูเหอะ”
“เออๆ”
“หนังสือเล่มนั้นคือหนังสือที่ทำให้เนตรของศรีเปิดสินะ” โอฟีเลียถาม เทสโลเอลพยักหน้าก่อนจะเอ่ย
“ใช่แล้ว จริงๆ เป็นบทสวดที่ช่วยให้พลังของยักษ์ตื่นตัวด้วย แต่ในที่นี้พลังของเนตรและยักษ์อยู่ใกล้กันมันก็เลยเผลอเปิดด้วยน่ะ”
“เรื่องแบบนี้ก็มีด้วย”
ศรีมายังบริเวณสระน้ำเพื่อไล่ตามเงาจนกระทั่งเธอมาถึงมันก็หายวับไปอย่างไร้ร่อยรอย ศรีมองไปรอบๆ แล้วหันหลังไปมองเผื่อพวกมันจะมา แต่ก็ไม่พบอะไร
“อยู่ไหนเนี่ย?”
ศรีพึมพำถาม แต่แล้วก็นึกได้ว่ามันอาจจะอยู่ในสระน้ำก็เป็นได้ เด็กหญิงเกล้ามวยผมปล่อยผมส่วนที่เหลือลงมายาวถึงสะโพกที่ไหวตามแรงลมค่อยๆ เดินไป เมื่อมาถึงขอบสระเธอก็ตั้งท่าดาบ สักพัก เธอก็เห็นเงาบางอย่างหลายเงาผลุบๆ โผล่ๆ ศรีพยายามเพ่งมองว่ามันคือตัวอะไรแต่แล้วก็มีมือสีซีดดึงข้อเท้าเธอจนร่างหล่นลงไปในน้ำ
บุ๋งๆ
ศรีพยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้หลุดจากพันธนาการแขน เธอสังเกตลักษณะของมันแล้วคิดว่าเป็นผีพราย เธอกวัดแกว่งดาบไม่ได้เลยพยายามดันดาบให้แทงผิวของพวกมัน ตนที่ถูกเธอแทงก็ค่อยๆ ห่างไป กระนั้นก็หลุดไม่พ้นอยู่ดี
แย่แล้ว
“ศรีหายไปไหน?” พงสณะที่หยุดยิงกระสุนก็ถามขนมชั้น ฝ่ายถูกถามส่ายหน้า
“นั่นสิ เดี๋ยว… ศรี หายไปไหน”
“งั้นเดี๋ยวฉันออกไปหาละกัน นายอยู่ที่นี่นะ”
พงสณะเอ่ยอย่างกังวล เขาคลาดสายตาไปจากคนที่ตนรักได้อย่างไรกัน เด็กชายวิ่งไปตามทางแล้วลงบันได เขาไม่รู้หรอกว่าศรีไปทางไหน ได้แต่วิ่งไปดูตามอาคารต่างๆ และร้านของทางโรงเรียน
จนมาถึงสระน้ำ เขาก็ไม่พบอะไร
ที่นี่เป็นที่สุดท้ายอย่างไรก็ต้องหาให้พบ
บุ๋ง
“?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ