ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) บทที่ ๔๐: ว่าที่สามี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๔๐

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ว่าที่สามี

             “นี่ๆ ไปดูพิพิธภัณฑ์กันไหม?”

             ยุพินถามศรีหลังจากที่ยันต์ออกจากห้องไป ซึ่งทีแรกที่เธอเข้ามาในห้องก็สวนกับยันต์ ตอนแรกยุพินทำท่าจะเรียกแต่เหลือบเห็นศรีนั่งหน้าซีดอยู่จึงละความสนใจมาหา

             “พิพิธภัณฑ์อะไรเหรอจ๊ะ?” ศรีถาม เธอพยายามทำสีหน้าให้แจ่มใส ยุพินเห็นสีหน้าที่ขมขื่นก็กล่าวอย่างไม่ค่อยสบาย

             “สมบัติโบราณน่ะ”

             “อ่า งั้นจะไปเมื่อไหร่เหรอ?”

             “ตอนนี้เลยก็ได้ คนจะได้ไม่เยอะ” ยุพินกล่าวพร้อมกับยื่นมือให้ศรีเพื่อจะพยุงเพราะเธอรู้ว่าสภาพศรีไม่มั่นคง ศรีจับมือนั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง

 

             หญิงสาวผมสีเหลืองซีดยาวถึงข้อศอกเกล้าเป็นมวยประดับด้วยปักผมฝังด้วยอัญมณีสีดำตัวไม้เป็นสีดำ ล้อมด้วยปิ่นปักผมเล็กๆ สีแดง คาดผ้าหน้าอกด้วยผ้าสีขาว นุ่งผ้าถุงสีดำทับด้วยผ้าสีขาว ผ้าผืนหนุ่งคล้องตรงคอสีม่วง สวมหน้ากากเหมือนหน้าหุ่นกระบอกแบบไทย ดวงตาสีดำมองลอดผ่านรูหน้ากากมองไปยังเด็กหญิงสองคนโดยที่นางจดจ้องเด็กหญิงเกล้ามวยผมปล่อยผมที่เหลือลงมายาวสยาย

             “เหมือนย่าจริงๆ”

             “มาทำอะไรตรงนี้” โดยไม่ให้รู้ตัว เด็กชายตาบอดได้มายืนข้างหญิงสาวโดยไร้เสียง

             “มันไม่ใช่ธุระของนาย”

             “ก็ตามใจ แต่อย่าลืมละกันว่าผู้ให้กำเนิดที่ทอดทิ้งบุตรไปไม่มีใครเขาอยากให้อภัยหรอก”           

             กล่าวจบเด็กชายก็เดินจากไป ทิ้งให้นางยืนเงียบมองเด็กหญิงต่อไป

 

             รถเทียมม้าผ่านร้านต่างๆ การเดินทางของมิติผกายจะโดยสารด้วยรถเทียมม้าหรือจักรยาน พวกเครื่องยนต์อย่างรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้มีกฎหมายออกมาว่าใช้ได้เฉพาะเขตชายแดนประเทศเพราะไม่อยากให้เกิดอุบติเหตุ แต่ใช่ว่ามีกฎแบบนี้แล้วจะไม่เกิด อุบัติเหตุทางถนนก็ยังคงมีเกิดบ่อยๆ เพราะสัตว์ที่ใช้เป็นตัวเคลื่อนที่เกิดคลั่งก็จะวิ่งชนทำร้ายผู้คน

             รถเทียมม้าคันนั้นเข้าที่ทางเข้าซึ่งภายในเป็นพื้นที่ไว้จอดรถเทียมม้า ขณะนั้นฝนก็ค่อยๆ หยุดตกจนในที่สุดก็เหลือเพียงน้ำที่ค้างจากหลังคาแล้วลงสู่พื้นเกิดเสียงดังแปะ

             หญิงสาวแต่งกายแบบวิคตอเรียที่โครงสร้างกระโปรงโปร่งช่วงสะโพกแล้วลีบลงมาสีครีม ตัวเสื้อแขนยาวสีครามซึ่งอีกครึ่งเป็นผ้าบางๆ จับจีบกว้าง ผมสีทองออกส้มลอนๆ เกล้าเป็นมวยผมใหญ่ๆ ปักด้วยปิ่นใบพายสีทองสองอันข้างเดียวผมยาวช่วงหน้ามัดต่ำๆ สองข้าง ดวงตาสีม่วงเย็นชานั้นมองไปรอบด้าน

             ร่างสูงระหงเดินลง นางเดินไปอย่างสง่างามพร้อมกับหญิงสาวผู้เป็นบ่าวคอยตามไม่ให้ห่าง

             พวกนางเดินเข้าไปในเรือนซึ่งเป็นแบบไทยผสมตะวันตก มีบ่าวทักทายบ้างแล้วนำน้ำและขนมมารองรับ นางทานไปได้หน่อยก็เดินเข้าไปลึกๆ ซึ่งบ่าวของนางก็ได้รับคำว่าให้รออยู่ที่นี่

             นางมาที่ห้องของมณฑา ดวงตาสีม่วงเย็นยะเยือกขึ้นมา มือเรียวยื่นไปเคาะประตูไม้ หูสองข้างได้ยินเสียงจะเข้แว่วมา เมื่อเปิดออกไปเสียงของมันก็ชัดขึ้น พบร่างสองร่างอยู่บนเตียง นางมองไปที่ร่างหญิงสาวผมสีเดียวกับตนเองด้วยแววตาตำหนิปนเคือง นางเดินเข้าไปพร้อมๆ กับที่จะเข้หยุดบรรเลง

             เพี๊ยะ!

             นางตบหน้ามณฑาทันทีที่เดินมาถึง ซอมองนางด้วยความสงสัยระคนตกตะลึง มณฑาที่เคลิ้มๆ จะหลับก็มีอันต้องสะดุ้งจนลืมตาเต็ม ทีแรกนางโมโหที่โดนตบจะเกือบจะเข้าไปทำร้ายซอซึ่งคาดว่าจะทำแต่กลับพบว่าเป็นหญิงสาวสวมชุดแบบวิคตอเรียที่ยืนเชิดหน้ามองตนด้วยหางตา

             “ท่านพี่นนทรี …ทำไมถึง---” มาที่นี่

             “แค่อยากมาตบหน้าน้องสาวตนที่ทำเรื่องงี่เง่า เป็นถึงนายิกาทำตัวเหลวไหลจริงๆ แค้นฤ? ถึงต้องทำเรื่องให้มือมันเปื้อนเลือด สู้ไปสู้กับสมุนผู้ลักดาบยังจะดีเสียกว่าเลย!”

             “น้อง… ขอประทานโทษเจ้าค่ะ” มณฑาหลุบตาด้วยความรู้สึกผิด นนทรีไม่สนใจ นางเบนสายตาจากน้องตนมามองหญิงสาวผู้อัญเชิญจะเข้

             “ท่านเองดอกฤ?” นางถาม “ใช่ ข้าเอง อย่าถือสามณฑาเลยนนทรี ข้าสมควรจะถูกนางทรมานแล้ว”

             “ทรมาน? เหตุไฉนท่านจึงนั่งเล่นจะเข้เป็นทองไม่รู้ร้อน??”

             “ข้ามิโกรธนางจึงนั่งเล่นเพื่อให้นางสบายใจ นางเองก็คงรู้สึกมิดีนั่นแล” ซอกล่าว นนทรีพยักหน้าแล้วหันไปบอกมณฑาที่ลุกขึ้นนั่งมาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ

             “หายเจ็บก็ไปชำระร่างกายเสีย เรามีเรื่องต้องคุยกัน แต่มิใช่เรื่องที่เจ้าแก้แค้นซอ เป็นเรื่องที่สตรีเจริญวัยควรจะออกเรือน”

             นนทรีกล่าวจบก็ออกจากประตูห้องที่เปิดค้างไว้แล้วปิดมันลง

             “…มณฑา”

             “ฉันขอโทษ…”

             “อย่าเลย ข้าผิดเองที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้”

              ซอกล่าวพร้อมกับเขยิบไปกอดมณฑาจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน

            

             มณฑากับซอเดินมาที่ห้องโถงซึ่งมีเก้าอี้ตัวยาวและตัวสั้นวางชิดผนัง แสงแดดเริ่มส่องหลังจากเมฆฝนลอยออกไป นนทรีกำลังดื่มกาแฟดำจากถ้วยแก้วลายกุหลาบ นางได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ย

             “นั่งลง”

             “เรื่องที่ท่านพี่จะคุยคือเรื่องอะไรฤๅเจ้าคะ?” มณฑาเปิดเรื่องที่จะคุย นนทรีวางถ้วยแก้วแล้วบอก

             “เรื่องสมรส เจ้าอยู่มาหลายปีควรจะแต่งสามีได้แล้ว”

             “ท่านพี่เองก็เหมือนกันนี่เจ้าคะ ยังมิมีสามีนี่”

             “ใช่ แต่ข้าเป็นเพียงหญิงสูงศักดิ์ เทียบกับเจ้าภายนอกมิสนเรื่องอาวุโสอย่างไรเจ้าก็อยู่สูงกว่า เป็นถึงนายิกาแล้วใช้ชีวิตคนเดียวมีทรัพย์เป็นกอง การจะหาใครสักคนมาช่วยดูแลคงจะเป็นการดี” มณฑาฉายความสงสัยผ่านตาในเรื่องที่นนทรีกล่าว

             “คงมิดีกระมัง หากสามีที่ว่าน้องเลือกผิดแล้วเขาลักทรัพย์จะทำเช่นไรเจ้าคะ?” คำถามที่ดูเขลาทำให้นนทรีส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย นางพูดตรงๆ

             “มิมีทางที่เจ้าจะโดนหลอก …เพราะสามีที่เจ้าว่าก็คือพี่เอง” มณฑาที่รู้ชัดเบิกตาตกตะลึง ซอที่นั่งเงียบๆ ไม่ให้เสียมารยาทก็เป็นเช่นกัน นนทรียกถ้วยแก้วมาดื่มอึกหนึ่งก็กล่าวต่อ

             “สมัยก่อนรุ่นทวดก็คงจะแต่งกับเพศตรงข้าม แต่เวลามันเปลี่ยน ผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันจะมากฤๅน้อยคนอื่นพี่มิอาจวางใจได้ …เพราะฉะนั้นจึงเป็นเจ้า น้องมณฑา เจ้าจะยอมสมรสกับพี่ฤๅไม่”

             ในขณะที่มรฑาจะตอบว่าขอคิดดูก่อนก็มีเสียงหนึ่งแทรกการสนทนา

             “ข้ามิยอม!” กาสะลองเดินเข้ามาผ่านลูกปัดที่ร้อยเรียง ทั้งสามเงยหน้ามองนางที่เดินมาพร้อมสีหน้าที่ไม่พอใจ

             “บอกเหตุผลมา” นนทรีกล่าว กาสะลองสูดลมหายใจแล้วพ่น ก่อนจะเอ่ย

             “ข้ารักท่านมณฑา มิอยากให้ท่านนนทรีใช้เรื่องทางตระกูลมาตัดสินชีวิตสมรส ขอให้ท่านโปรดเข้าใจด้วย” น้ำเสียงจริงจังไม่ได้ทำให้นนทรีแปลกใจ นางออกจะคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อและเขลา

             “ความรักเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ล่มสลายเพราะความรักมากนักต่อนักแล้ว โลกนี้นับวันยิ่งอยู่ยาก การจะให้ชีวิตกล้าวต่อไปมีเพียงความเชื่อใจที่ปราศจากความรัก”

             “ถูกของท่าน แต่ข้าขอค้าน ความรักก็เป็นพลังที่ทำให้คนอีกส่วนใหญ่ก้าวต่อ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของท่านยังมิถูกเล็กน้อย แล้วอีกอย่าง… หัวใจของท่านทำด้วยอะไร ไยถึงเย็นชาเช่นนี้ทำเรื่องที่ปราศจากความรักกับน้องตน กระทั่งเรื่องสมรสยังใช้เรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ ทรัพย์ ตำแหน่ง มาตัดสินชีวิตนางอีก!”

             นนทรีหลับตา กาสะลองเริ่มหอบเพราะเหนื่อยจากการที่ตนโมโห นนทรีลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบระคนเศร้า

             “หัวใจของข้าทำด้วยความรัก แต่เมื่อข้าปราศจากความรักจึงต้องเป็นเช่นนี้”

             “?!”

             “ข้าเองก็รักมณฑา”

 

             ศรีเงยหน้ามองหญิงสวมหน้ากากด้วยความฉงน สักพักแล้วที่นางยืนอยู่ข้างเธอโดยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียวหลังจากที่ยุพินออกไปซื้อของก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์

             “ท่าน มีอะไรจะคุยกับหนูหรือเปล่าคะ?”

             “…” ความเงียบคือคำตอบที่แทนด้วยทุกสิ่ง ศรีมองพื้นที่ส่งกลิ่นชื้นอับเพราะน้ำฝน กลิ่นคาวทำให้เธอรู้สึกไม่ดีนัก

             ตุบ

             หญิงสวมหน้ากากย่อตัวลงก่อนจะอุ้มศรีขึ้น เด็กหญิงตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึง ใบหน้าที่ทับด้วยหน้ากากแนบกับหน้าของเธอ ศรีรู้สึกถึงความเย็นที่ลูบไล้ใบหน้า ริมฝีปากเผยออกถาม

             “ท่าน… เป็นอะไรเหรอคะ?”

             “มากับข้า”

             “เอ๊ะ?”

             ไม่ทันให้ศรีถามอะไรต่อ หญิงคนนั้นก็สลายกายด้วยอาคม ผิวเนื้อกลายเป็นดอกไม้สีเหลือง มันปลิวว่อนไปทั่วแล้วหายไป

             ยุพินกลับมาก็พบกับความว่างเปล่า ผู้คนเดินผ่านหน้าเธอคนแล้วคนเล่าโดยที่ไร้วี่แววของคนที่ตนรัก

             “…ศรี? เธอหายไปไหน?!”

 

             ลืมตาขึ้นมาอีกทีศรีก็พบว่าตนนั่งอยู่บนหลังม้าโดยที่มีแขนข้างหนึ่งกอดร่างไว้ อีกข้างก็จับสายบังเหียนม้า ศรีค่อยๆ จับแขนหญิงสาวสวมหน้ากากก่อนจะเอ่ย

             “ท่าน…”

             “อยู่กับข้า ประเดี๋ยวข้าจะส่งเจ้ากลับ”

             “ค่ะ”

             ศรีที่ไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อก็มองไปรอบๆ เป็นป่าที่รกชื้น มีลำธารอยู่เบื้องหน้า ปลาสีเงินแหวกว่ายตามประแสน้ำอย่างว่องไว กลิ่นชื้นๆ และอับจากต้นไม้และน้ำทำให้จากตอนแรกที่รู้สึกไม่ดีก็กลายเป็นผ่อนคลาย

                ผู้หญิงคนนี้ เป็นใครกัน…

 

                “ศรีหายไป?!” เด็กๆ ถามยุพินที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างกังวล

                “อื้ม”

                “ให้ตายสิยายนี่ เกิดเรื่องตลอด” ขนมชั้นเอ่ยอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะโกยของเล่นที่เล่นกับธันนะซึ่งเจ้าตัวตื่นไม่นานกลับเข้าใส่ถุง

                “ศรีหายไปไหนอะ…” พงสณะถามไม่เจาะจงผู้ตอบ เขารีบเดินจากเรือนเพื่อเตรียมไปกำจัดผู้ที่ลักพาตัวศรี

                มีว่าที่สามีที่ดีอย่างนี้ …ศรีต้องใจอ่อนแน่

                เฉาก๊วยคิด ระหว่างนั้นเองก็มีสายตาเยือกเย็นจากธันนะที่มองไปที่ประตูซึ่งพงสณะเปิดค้างไว้

                ศรี ฉันอยากให้เธอจำเรื่องของเราได้เร็วๆ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา