ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) บทที่ ๓๐: เกินจะทานทน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓๐
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เกินจะทานทน
ศรียังไม่ได้ทานอะไรเลย พอถึงเรือนจารุเลยสั่งให้บ่าวนำอาหารมาให้ ศรีรู้สึกว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้ามีรสจืดชืด …เธอยังไม่ได้ชิม ได้เพียงแต่มองอาหารที่ไร้เพื่อนที่จะมานั่งทาน …มันโหวงเหวง เธอเผลอนึกถึงเรื่องของคาตานะ เนตร ความฝัน อดีต มันผุดขึ้นมาในความคิด ความทรงจำแสนปวดร้าวบิดเบือนความคิดให้สับสน
ทาน… ไม่ลง… เลย…
รพิที่มองเธอได้ระยะก็อดที่จะมองพี่สาวตนนั่งทานอาหารอยู่คนเดียวไม่ได้ คาตานะเองก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ เมื่อเป็นดังนั้นรพิจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
“อาหารไม่ถูกปากเหรอครับ?” รพิถามพร้อมกับยิ้มให้ศรี เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและตอบ
“เปล่าจ้ะ” อันที่จริงเธอยังไม่ได้แตะอาหารด้วยซ้ำ อาหารดูท่าก็จะน่าจะอร่อย แต่ถ้าไร้ซึ่งเพื่อนที่จะมานั่งทานมันจะไปอร่อยได้อย่างไร?
“งั้นพี่เป็นอะไรเหรอครับ?” คำถามนั้นทำให้ศรีเผลอหลั่งน้ำตาออกมา รพิเห็นท่าไม่ดีจึงกุมมือข้างซ้ายของศรีแล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“พี่ศรี…” เด็กหญิงเกล้ามวยผมก้มหน้าหลุบตาลง ขณะนั้นเองพงสณะก็เข้ามาหาแล้วหยิกแก้มเธอ
“ศรีจ๋า… เป็นอะไรไปอะ หรือว่าไม่มีฉันแล้วเลยทานไม่ลง ถ้าอย่างนั้นฉันป้อนให้นะ” ศรีเบ้หน้าก่อนจะปัดมือเขาออกเบาๆ ไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป พอพงสณะมาเพื่อนคนอื่นๆ ก็เข้ามาด้วย
“กินไม่ลงเหรอ เซอาห์ก็ยังไม่ได้กินเหมือนงั้นนั่งกินเป็นเพื่อนเนอะ” โซค่อนเอ่ยพร้อมกับตบบ่าเซอาห์เบาๆ เด็กชายผมสีชาเขียวยิ้มบางๆ ก่อนจะนั่งลงห่างจากศรีพอสมควร เธอทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“อะ จริงสิ พงสณะนายไปเปลี่ยนเสื้อมาแล้วเหรอ?” ศรีจำได้ว่าเธอจัดการให้เขาตกบ่อบัวไป เด็กชายยิ้มก่อนจะตอบ
“อื้ม”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ” ศรีกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แล้วตักอาหารปาก ซีอาห์มองกางเกงนักเรียนชายของศรีก็อดที่จะขำไม่ได้
“ศรี เจ้าไว้ผมยาวแล้วแต่งชายมันตลกอย่างไรไม่รู้สิ ฮ่ะๆๆ!” เด็กชายชาวจีนหัวเราะอย่างขบขันทำให้ศรีที่อุตส่าห์ไม่คิดเรื่องนี้แล้วเกือบสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความอาย เมื่อเป็นดังนั้นเพื่อนคนอื่นก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“กะ ก็…” ศรีเอ่ยตะกุกตะกัก บรรพตเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะกอดคอศรี
“โธ่ๆ ถ้าเจ้าตัดผมเสียก็ดูสมชายแล้วล่ะ” เด็กหญิงสวมแว่นกันลมเอ่ยกลั้วหัวเราะ ศรีได้ฟังคำที่น่ากลัวก็รีบรวบผมไว้อย่างหวงแหน
“ไม่เอา ถ้าฉันไว้ผมสั้นมันก็เกล้ามวยผมไม่ได้ ถ้าไม่ใส่รัดเกล้ามันก็ไม่ดี” ศรีเอ่ยเสียงเศร้า บรรพตจึงลูบหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบ
“ว่าแต่มีใครเห็นยุพินบ้างอะ” แป้งมันถาม ทุกคนมองหน้ากันเหมือนจะเอาคำตอบแต่สุดท้ายก็ต่างส่ายหน้า ยกเว้นศรีที่เบิกตาโพลง
“เห็นพายเรือไปกับแววไพรและว่าวน่ะจ้ะ” ศรีตอบ แป้งมันผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ
“ฉันว่า… เราเปลี่ยนไปแข่งอย่างอื่นเถอะ” ยุพินกล่าวอย่างหวาดๆ บรรยากาศยิ่งลึกก็ยิ่งมืด วังเวงและไร้สีสัน แววไพรถอนหายใจก่อนจะหันไปบ่น
“จะกลัวอะไรกันนักหนา มันไม่มีอะไรหรอกน่า”
“กลับเถอะ”
“ไม่” แววไพรยังคงยืนยัน ในขณะนั้นว่าวก็ส่งว่าวขึ้นไปบนฟ้า มันติดกับกล้องไว้สำรวจรอบๆ พื้นที่ด้วย
“แถวนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะเจ้าคะ” ว่าวกล่าวพลางดูเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรากฏจอภาพเป็นรูปแผนที่ แววไพรและยุพินละจากเรื่องเมื่อกี้มาดูอย่างสนใจ
“อืม แล้วทำไมล่ะ?” แววไพรถาม “ก็… เผื่อมีสัตว์มาน่ะเจ้าค่ะ หนูจึงป้องกันไว้ก่อน”
“เป็นความคิดที่ดี” แววไพรเอ่ยอย่างลำบากเพราะเธอชมคนที่เธอไม่ค่อยชอบ …คนที่เธอรักกำลังจะถูกแย่งไป
ศรี… เธออย่าไปหลงกลยายนี่นะ
จ๋อม…
เสียงไม้พายจุ่มลงไปในน้ำแผ่วเบา ยุพินที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ ก็เหลือบเห็นเงาบางอย่างก่อนที่มันจะค่อยๆ หายไป เธอเบิกตาโพลงด้วยความกังวลก่อนจะดึงเสื้อแววไพร
“แววไพร เมื่อกี้ฉันเห็นอะไรก็ไม่รู้อะ”
“?” แววไพรขมวดคิ้วด้วยความฉงนก่อนจะเชง้อคอไปมองผิวน้ำ เงาค่อยๆ ขยายวงกว้าง แววไพรจดจ้องพลางอัญเชิญร่มบ่อสร้างออกมา ว่าวเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยเบาๆ กับแววไพรและยุพิน
“ท่านพี่ทั้งสองอยู่ที่เรือนะเจ้าคะ หนูจะโจมตีจากด้านบน”
“คิดจะเอาตัวรอดคนเดียวเหรอฮะ!”
“มิใช่เจ้าค่ะ แต่หากมิแยกออกจากกันก็จะตายหมดนะเจ้าคะ สู้แยกแล้วโจมตีหลายๆ ด้านมันจะได้จับทางมิถูก” เหตุผลนั้นทำให้แววไพรเงียบไปพักหนึ่ง
“เอางั้นก็ได้”
ว่าวยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะดึงว่าวแล้วผูกสายของมันเข้ากับเอวก่อนที่มันจะลอยตัวสูงอีกครั้ง
มันลอยได้ยังไงเนี่ย?
แววไพรสงสัยว่ามันทำได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ว่าวมันก็เบาแถมต้องดึงน้ำหนักของว่าวเพื่อให้ลอยตัว แววไพรนึกไปนึกมาเธอก็สรุปว่าเป็นเพราะพลังอาคม
“อ๊ะ! ท่านพี่ยุพินระวัง!!”
ว่าวตะโกนเมื่อจระเข้พุ่งตัวขึ้นมาหวังจะทานเนื้อของยุพิน ยุพินกระโดดลงจากเรือก่อนจะสร้างวงเวทเพื่อให้ยืนอยู่บนน้ำได้ แววไพรเองก็หนีตามมาติดๆ เธอสร้างวงเวทเช่นเดียวกับยุพิน ว่าวไม่รอช้ารีบทิ้งระเบิดจากว่าวอีกหลายอันโจมตีใส่ จระเข้ลงไปใต้น้ำเพื่อหลบ ก่อนจะพุ่งตัวอีกครั้งที่แววไพร เด็กหญิงสวมแว่นกระโดดไปบนตัวจระเข้แล้วใช้ปลายร่มบ่อสร้างทิ่มหลังมัน แต่ผิวของมันช่างเหนียวนัก แววไพรที่เห็นว่าแทงต่อไปก็ไร้ประโยชน์จึงกระโดดลง เปิดทางให้ยุพินยิงกระสุนใส่จระเข้
หยิบปืนมาตอนไหนเนี่ย?
“ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ” โอฟีเลียรีบเขยิบมาหาศรีหลังจากที่ศรีทานอาหารเสร็จแล้ว เด็กหญิงเกล้ามวยผมขมวดคิ้วอย่างฉงนว่าเรื่องที่จะถามคือเรื่องอะไร โอฟีเลียเห็นดังนั้นจึงกระซิบเบาๆ ข้างหูศรี
“ดาบของเจ้าน่ะ ข้าขอดูหน่อยสิ” คำตอบที่เป็นคำขอนั้นทำให้ศรีเบิกตาโพลง หน้าของเธอซีดจนเด็กหญิงสวมชุดสีแดงต้องถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปเหรอศรี?”
“ฉัน… ขอโทษนะที่ให้ดูไม่ได้น่ะ” ศรีหลบตา โอฟีเลียมองตามอย่างกังวล ดูท่าเธอจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรเสียแล้วล่ะ
“ไม่เป็นไร แต่สีหน้าเจ้าไม่ดีเลยนะ อาหารเป็นพิษเหรอ?” โอฟีเลียไม่โกรธศรีเพราะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องเป็นปมในใจบุคคล ศรียิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วตอบ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันขออยู่ตัวคนเดียวสักพักนะ”
“อือ ข้าไม่รบกวนละ พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ ร่างกายเจ้าถ้าจะไม่ดี เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาก็อย่าขยับตัวมากละกัน”
“ขอบคุณนะ”
โอฟีเลียยิ้มให้ก่อนจะแยกตัวมาหาเทสโลเอลก่อนจะเอ่ย
“ท่าทางเรื่องดาบจะเป็นปมในใจศรีน่ะ เจ้าตัวไม่ยอมให้ข้าดูเลย”
“ก็นั่นแหละนะ” เทสโลเอลยิ้มอย่างปลง ในขณะนั้นเองแป้งมันก็เดินวนไปวนมา ยุพินหายไปไหนนะ ถึงศรีจะบอกว่าไปนั่งเรือก็เถอะ แต่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดินขาวสังเกตสีหน้าที่ไม่ดีของเธอจึงเดินมาถาม
“เป็นอะไรฤๅ?”
“ฉันเป็นห่วงยุพินน่ะ”
“อืม… ประเดี๋ยวก็คงกลับมาแหละ แต่… ว่าไปฝนก็จะตกแล้วด้วยสิ” ดินขาวเอ่ยเบาๆ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สีเริ่มหม่น อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าร้องเสียงครืนๆ ลมพัดชวนให้รู้สึกขนลุก แป้งมันมองตาม สีหน้าของเธอแย่กว่าเดิม
นั่งเรือท่ามกลางสายฝนไม่ใช่เรื่องดีเลย
“ติดต่อยุพินให้ฉันหน่อยสิดินขาว” แป้งมันหันมามองดินขาว เด็กชายเผ่าเย้าส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย
“มิได้ดอก ทางที่สามารถออกเรือได้ส่วนใหญ่มักจะไม่มีสัญญาณติดต่อ สงสัยต้องออกตามหาสถานเดียวแล้วล่ะ” คำตอบที่แทบจะไม่มีความหวังนั้นทำให้แป้งมันใจหายวาบ เพื่อนสนิทของเธอกำลังไปแข่งเพื่อคนที่ตนเองรัก ไปเสี่ยงอันตรายโดยที่ทิ้งเธอไว้…
“เบื่อฤๅยังอรัญญิก”
ซอถามอรัญญิกที่นอนเหมือนคนไม่มีวิญญาณ การนอนเป็นเวลานานๆ ทั้งๆ ที่ลืมตาแถมขยับไม่ค่อยสะดวกเป็นอะไรที่น่าเบื่อยิ่งนัก ใบหน่าซีดของอรัญญิกที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดทำให้ซอยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นห่วงและขบขันในเวลาเดียวกันเพราะดูเหมือนผีดิบอย่างไรชอบกล
“บะ เบื่อแล้วเจ้าค่ะท่านซอ ยามใดที่ข้าจะได้ออกล่ะเจ้าคะ?” อรัญญิกถามพลางเขยิบมาใกล้ๆ ซอ กิริยาที่เหมือนจะอ้อนนั้นทำให้ซออดที่จะลูบศีรษะไม่ได้ด้วยความเอ็นดู
“เป็นอาทิตย์เลยล่ะ อยากได้อะไรไหมข้าจะได้จัดสรรมาให้”
“เพียงแค่ท่านซอมาดูแลข้าก็มิต้องการอะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ” อรัญญิกวาดริมฝีปากบางๆ ซอเห็นดังนั้นก็อมยิ้มก่อนจะโน้มหน้าจูบหน้าผากอรัญญิก
“ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเลยนะ” ซอเอ่ยอย่างก่อนโยน หญิงสาวบนเตียงยิ้มอย่างมีความสุข
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านซอ” อรัญญิกเอ่ยเบาๆ พลางกุมมือซอที่วางบนเตียงก่อนจะยกขึ้นจุมพิตบนหลังมือ
“หากมีอะไรบอกข้าได้เลยนะ ประเดี๋ยวข้าจะมา ขอไปดูเด็กๆ ก่อน ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้างก็มิรู้” ซอกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะอรัญญิกเพื่อให้รองนายิกาตนเองผ่อนคลาย
“เจ้าค่ะ ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย สมุนผู้ลักดาบอาจจะมาลอบทำร้ายเจ้า”
น้ำเสียงกังวลของซอทำให้อรัญญิกใจหายไปวูบหนึ่ง
จู่ๆ ก็มีใครบางคนเคาะประตู ตามด้วยร่างหญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้แขนแฮมหมูระบายสามชั้นทับด้วยสายคาด ถือพัดขอบลูกไม้ที่มีสายดอกกุหลาบห้อยแกว่งไกวงดงาม ดวงตาสีส้มอบอุ่นและร้อนแรงในเวลาเดียวกัน ผมสีทองอมส้มดูนุ่มน่าสัมผัส ร่างสูงระหงก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม สะกดสายตาให้หญิงสาวทั้งสองนางมองไม่วางตา แต่แล้วเหมือนมนต์จะถูกทำลายด้วยคำพูดของหญิงสาวนางนี้
“เธอมิต้องกังวลไปดอก มีฉันอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร?” มณฑามองซอและอรัญญิก หญิงสาวถักเปียมองหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างไม่ไว้ใจ
“เพราะเป็นเจ้านั่นแหละข้าถึงกลัว” ซอเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดที่เหมือนจะจิกมณฑาทำให้เจ้าตัวหัวเราะน้อยๆ ระหว่างนั้นพัดของนางก็ปรากฏแท่งเหล็กออกมายื่นไปจนจ่อที่คอของซอ
“ไว้ใจฉันเถิดซอ หากอรัญญิกได้รับบาดเจ็บข้าให้เจ้าบรรเลงเพลงนั้นได้เลย”
เพลงนั้น…!
ซอนึกถึงเพลงที่นางรังเกียจที่สุดในบรรดาเพลงที่นางเคยได้ฟัง
เพลงที่ทำให้นางถูกขับไล่จากสำนักดนตรีอันเลื่องชื่อ
“จะมิมีวันที่ข้าจะบรรเลงเพลงนั้น!” คำพูดนั้นแผ่วเบาแต่หนักแน่นนัก มณฑาที่คิดว่าซอจะข่มอารมณ์ได้มากกว่านี้ก็รู้สึกผิด ใบหน้าของนางสลดทันใดแต่น้อยกว่าซอที่เผลอกำซอสามสายในมือแน่น
“…”
“ข้าขอตัวก่อน อรัญญิก ดูแลตนเองดีๆ นะ” ซอหันไปกล่าวกับอรัญญิกที่นั่งเงียบๆ จากนั้นซอก็เดินผ่านมณฑาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหันมามองเพื่อนของตนเอง
ปัง
“…ฮึ เจ้าเองก็ด้วยเหรอซอ… อดีตเป็นอะไรที่ลืมยากจริงๆ” มณฑายิ้มน้อยๆ แฝงไปด้วยความสมเพชที่มีต่อซอและตนเอง นางเก็บแท่งเหล็กเข้าไปในพัดก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาสีดำด้วยท่าไขว่ห้าง นางเท้าคางกับที่วางแขนแล้วก้มหน้าลง
อรัญญิกมองภาพนั้นด้วยความเวทนา…
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เกินจะทานทน
ศรียังไม่ได้ทานอะไรเลย พอถึงเรือนจารุเลยสั่งให้บ่าวนำอาหารมาให้ ศรีรู้สึกว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้ามีรสจืดชืด …เธอยังไม่ได้ชิม ได้เพียงแต่มองอาหารที่ไร้เพื่อนที่จะมานั่งทาน …มันโหวงเหวง เธอเผลอนึกถึงเรื่องของคาตานะ เนตร ความฝัน อดีต มันผุดขึ้นมาในความคิด ความทรงจำแสนปวดร้าวบิดเบือนความคิดให้สับสน
ทาน… ไม่ลง… เลย…
รพิที่มองเธอได้ระยะก็อดที่จะมองพี่สาวตนนั่งทานอาหารอยู่คนเดียวไม่ได้ คาตานะเองก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ เมื่อเป็นดังนั้นรพิจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
“อาหารไม่ถูกปากเหรอครับ?” รพิถามพร้อมกับยิ้มให้ศรี เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและตอบ
“เปล่าจ้ะ” อันที่จริงเธอยังไม่ได้แตะอาหารด้วยซ้ำ อาหารดูท่าก็จะน่าจะอร่อย แต่ถ้าไร้ซึ่งเพื่อนที่จะมานั่งทานมันจะไปอร่อยได้อย่างไร?
“งั้นพี่เป็นอะไรเหรอครับ?” คำถามนั้นทำให้ศรีเผลอหลั่งน้ำตาออกมา รพิเห็นท่าไม่ดีจึงกุมมือข้างซ้ายของศรีแล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“พี่ศรี…” เด็กหญิงเกล้ามวยผมก้มหน้าหลุบตาลง ขณะนั้นเองพงสณะก็เข้ามาหาแล้วหยิกแก้มเธอ
“ศรีจ๋า… เป็นอะไรไปอะ หรือว่าไม่มีฉันแล้วเลยทานไม่ลง ถ้าอย่างนั้นฉันป้อนให้นะ” ศรีเบ้หน้าก่อนจะปัดมือเขาออกเบาๆ ไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป พอพงสณะมาเพื่อนคนอื่นๆ ก็เข้ามาด้วย
“กินไม่ลงเหรอ เซอาห์ก็ยังไม่ได้กินเหมือนงั้นนั่งกินเป็นเพื่อนเนอะ” โซค่อนเอ่ยพร้อมกับตบบ่าเซอาห์เบาๆ เด็กชายผมสีชาเขียวยิ้มบางๆ ก่อนจะนั่งลงห่างจากศรีพอสมควร เธอทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“อะ จริงสิ พงสณะนายไปเปลี่ยนเสื้อมาแล้วเหรอ?” ศรีจำได้ว่าเธอจัดการให้เขาตกบ่อบัวไป เด็กชายยิ้มก่อนจะตอบ
“อื้ม”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ” ศรีกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แล้วตักอาหารปาก ซีอาห์มองกางเกงนักเรียนชายของศรีก็อดที่จะขำไม่ได้
“ศรี เจ้าไว้ผมยาวแล้วแต่งชายมันตลกอย่างไรไม่รู้สิ ฮ่ะๆๆ!” เด็กชายชาวจีนหัวเราะอย่างขบขันทำให้ศรีที่อุตส่าห์ไม่คิดเรื่องนี้แล้วเกือบสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความอาย เมื่อเป็นดังนั้นเพื่อนคนอื่นก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“กะ ก็…” ศรีเอ่ยตะกุกตะกัก บรรพตเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะกอดคอศรี
“โธ่ๆ ถ้าเจ้าตัดผมเสียก็ดูสมชายแล้วล่ะ” เด็กหญิงสวมแว่นกันลมเอ่ยกลั้วหัวเราะ ศรีได้ฟังคำที่น่ากลัวก็รีบรวบผมไว้อย่างหวงแหน
“ไม่เอา ถ้าฉันไว้ผมสั้นมันก็เกล้ามวยผมไม่ได้ ถ้าไม่ใส่รัดเกล้ามันก็ไม่ดี” ศรีเอ่ยเสียงเศร้า บรรพตจึงลูบหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบ
“ว่าแต่มีใครเห็นยุพินบ้างอะ” แป้งมันถาม ทุกคนมองหน้ากันเหมือนจะเอาคำตอบแต่สุดท้ายก็ต่างส่ายหน้า ยกเว้นศรีที่เบิกตาโพลง
“เห็นพายเรือไปกับแววไพรและว่าวน่ะจ้ะ” ศรีตอบ แป้งมันผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ
“ฉันว่า… เราเปลี่ยนไปแข่งอย่างอื่นเถอะ” ยุพินกล่าวอย่างหวาดๆ บรรยากาศยิ่งลึกก็ยิ่งมืด วังเวงและไร้สีสัน แววไพรถอนหายใจก่อนจะหันไปบ่น
“จะกลัวอะไรกันนักหนา มันไม่มีอะไรหรอกน่า”
“กลับเถอะ”
“ไม่” แววไพรยังคงยืนยัน ในขณะนั้นว่าวก็ส่งว่าวขึ้นไปบนฟ้า มันติดกับกล้องไว้สำรวจรอบๆ พื้นที่ด้วย
“แถวนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะเจ้าคะ” ว่าวกล่าวพลางดูเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรากฏจอภาพเป็นรูปแผนที่ แววไพรและยุพินละจากเรื่องเมื่อกี้มาดูอย่างสนใจ
“อืม แล้วทำไมล่ะ?” แววไพรถาม “ก็… เผื่อมีสัตว์มาน่ะเจ้าค่ะ หนูจึงป้องกันไว้ก่อน”
“เป็นความคิดที่ดี” แววไพรเอ่ยอย่างลำบากเพราะเธอชมคนที่เธอไม่ค่อยชอบ …คนที่เธอรักกำลังจะถูกแย่งไป
ศรี… เธออย่าไปหลงกลยายนี่นะ
จ๋อม…
เสียงไม้พายจุ่มลงไปในน้ำแผ่วเบา ยุพินที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ ก็เหลือบเห็นเงาบางอย่างก่อนที่มันจะค่อยๆ หายไป เธอเบิกตาโพลงด้วยความกังวลก่อนจะดึงเสื้อแววไพร
“แววไพร เมื่อกี้ฉันเห็นอะไรก็ไม่รู้อะ”
“?” แววไพรขมวดคิ้วด้วยความฉงนก่อนจะเชง้อคอไปมองผิวน้ำ เงาค่อยๆ ขยายวงกว้าง แววไพรจดจ้องพลางอัญเชิญร่มบ่อสร้างออกมา ว่าวเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยเบาๆ กับแววไพรและยุพิน
“ท่านพี่ทั้งสองอยู่ที่เรือนะเจ้าคะ หนูจะโจมตีจากด้านบน”
“คิดจะเอาตัวรอดคนเดียวเหรอฮะ!”
“มิใช่เจ้าค่ะ แต่หากมิแยกออกจากกันก็จะตายหมดนะเจ้าคะ สู้แยกแล้วโจมตีหลายๆ ด้านมันจะได้จับทางมิถูก” เหตุผลนั้นทำให้แววไพรเงียบไปพักหนึ่ง
“เอางั้นก็ได้”
ว่าวยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะดึงว่าวแล้วผูกสายของมันเข้ากับเอวก่อนที่มันจะลอยตัวสูงอีกครั้ง
มันลอยได้ยังไงเนี่ย?
แววไพรสงสัยว่ามันทำได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ว่าวมันก็เบาแถมต้องดึงน้ำหนักของว่าวเพื่อให้ลอยตัว แววไพรนึกไปนึกมาเธอก็สรุปว่าเป็นเพราะพลังอาคม
“อ๊ะ! ท่านพี่ยุพินระวัง!!”
ว่าวตะโกนเมื่อจระเข้พุ่งตัวขึ้นมาหวังจะทานเนื้อของยุพิน ยุพินกระโดดลงจากเรือก่อนจะสร้างวงเวทเพื่อให้ยืนอยู่บนน้ำได้ แววไพรเองก็หนีตามมาติดๆ เธอสร้างวงเวทเช่นเดียวกับยุพิน ว่าวไม่รอช้ารีบทิ้งระเบิดจากว่าวอีกหลายอันโจมตีใส่ จระเข้ลงไปใต้น้ำเพื่อหลบ ก่อนจะพุ่งตัวอีกครั้งที่แววไพร เด็กหญิงสวมแว่นกระโดดไปบนตัวจระเข้แล้วใช้ปลายร่มบ่อสร้างทิ่มหลังมัน แต่ผิวของมันช่างเหนียวนัก แววไพรที่เห็นว่าแทงต่อไปก็ไร้ประโยชน์จึงกระโดดลง เปิดทางให้ยุพินยิงกระสุนใส่จระเข้
หยิบปืนมาตอนไหนเนี่ย?
“ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ” โอฟีเลียรีบเขยิบมาหาศรีหลังจากที่ศรีทานอาหารเสร็จแล้ว เด็กหญิงเกล้ามวยผมขมวดคิ้วอย่างฉงนว่าเรื่องที่จะถามคือเรื่องอะไร โอฟีเลียเห็นดังนั้นจึงกระซิบเบาๆ ข้างหูศรี
“ดาบของเจ้าน่ะ ข้าขอดูหน่อยสิ” คำตอบที่เป็นคำขอนั้นทำให้ศรีเบิกตาโพลง หน้าของเธอซีดจนเด็กหญิงสวมชุดสีแดงต้องถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปเหรอศรี?”
“ฉัน… ขอโทษนะที่ให้ดูไม่ได้น่ะ” ศรีหลบตา โอฟีเลียมองตามอย่างกังวล ดูท่าเธอจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรเสียแล้วล่ะ
“ไม่เป็นไร แต่สีหน้าเจ้าไม่ดีเลยนะ อาหารเป็นพิษเหรอ?” โอฟีเลียไม่โกรธศรีเพราะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องเป็นปมในใจบุคคล ศรียิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วตอบ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันขออยู่ตัวคนเดียวสักพักนะ”
“อือ ข้าไม่รบกวนละ พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ ร่างกายเจ้าถ้าจะไม่ดี เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาก็อย่าขยับตัวมากละกัน”
“ขอบคุณนะ”
โอฟีเลียยิ้มให้ก่อนจะแยกตัวมาหาเทสโลเอลก่อนจะเอ่ย
“ท่าทางเรื่องดาบจะเป็นปมในใจศรีน่ะ เจ้าตัวไม่ยอมให้ข้าดูเลย”
“ก็นั่นแหละนะ” เทสโลเอลยิ้มอย่างปลง ในขณะนั้นเองแป้งมันก็เดินวนไปวนมา ยุพินหายไปไหนนะ ถึงศรีจะบอกว่าไปนั่งเรือก็เถอะ แต่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดินขาวสังเกตสีหน้าที่ไม่ดีของเธอจึงเดินมาถาม
“เป็นอะไรฤๅ?”
“ฉันเป็นห่วงยุพินน่ะ”
“อืม… ประเดี๋ยวก็คงกลับมาแหละ แต่… ว่าไปฝนก็จะตกแล้วด้วยสิ” ดินขาวเอ่ยเบาๆ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สีเริ่มหม่น อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าร้องเสียงครืนๆ ลมพัดชวนให้รู้สึกขนลุก แป้งมันมองตาม สีหน้าของเธอแย่กว่าเดิม
นั่งเรือท่ามกลางสายฝนไม่ใช่เรื่องดีเลย
“ติดต่อยุพินให้ฉันหน่อยสิดินขาว” แป้งมันหันมามองดินขาว เด็กชายเผ่าเย้าส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย
“มิได้ดอก ทางที่สามารถออกเรือได้ส่วนใหญ่มักจะไม่มีสัญญาณติดต่อ สงสัยต้องออกตามหาสถานเดียวแล้วล่ะ” คำตอบที่แทบจะไม่มีความหวังนั้นทำให้แป้งมันใจหายวาบ เพื่อนสนิทของเธอกำลังไปแข่งเพื่อคนที่ตนเองรัก ไปเสี่ยงอันตรายโดยที่ทิ้งเธอไว้…
“เบื่อฤๅยังอรัญญิก”
ซอถามอรัญญิกที่นอนเหมือนคนไม่มีวิญญาณ การนอนเป็นเวลานานๆ ทั้งๆ ที่ลืมตาแถมขยับไม่ค่อยสะดวกเป็นอะไรที่น่าเบื่อยิ่งนัก ใบหน่าซีดของอรัญญิกที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดทำให้ซอยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นห่วงและขบขันในเวลาเดียวกันเพราะดูเหมือนผีดิบอย่างไรชอบกล
“บะ เบื่อแล้วเจ้าค่ะท่านซอ ยามใดที่ข้าจะได้ออกล่ะเจ้าคะ?” อรัญญิกถามพลางเขยิบมาใกล้ๆ ซอ กิริยาที่เหมือนจะอ้อนนั้นทำให้ซออดที่จะลูบศีรษะไม่ได้ด้วยความเอ็นดู
“เป็นอาทิตย์เลยล่ะ อยากได้อะไรไหมข้าจะได้จัดสรรมาให้”
“เพียงแค่ท่านซอมาดูแลข้าก็มิต้องการอะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ” อรัญญิกวาดริมฝีปากบางๆ ซอเห็นดังนั้นก็อมยิ้มก่อนจะโน้มหน้าจูบหน้าผากอรัญญิก
“ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเลยนะ” ซอเอ่ยอย่างก่อนโยน หญิงสาวบนเตียงยิ้มอย่างมีความสุข
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านซอ” อรัญญิกเอ่ยเบาๆ พลางกุมมือซอที่วางบนเตียงก่อนจะยกขึ้นจุมพิตบนหลังมือ
“หากมีอะไรบอกข้าได้เลยนะ ประเดี๋ยวข้าจะมา ขอไปดูเด็กๆ ก่อน ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้างก็มิรู้” ซอกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะอรัญญิกเพื่อให้รองนายิกาตนเองผ่อนคลาย
“เจ้าค่ะ ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย สมุนผู้ลักดาบอาจจะมาลอบทำร้ายเจ้า”
น้ำเสียงกังวลของซอทำให้อรัญญิกใจหายไปวูบหนึ่ง
จู่ๆ ก็มีใครบางคนเคาะประตู ตามด้วยร่างหญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้แขนแฮมหมูระบายสามชั้นทับด้วยสายคาด ถือพัดขอบลูกไม้ที่มีสายดอกกุหลาบห้อยแกว่งไกวงดงาม ดวงตาสีส้มอบอุ่นและร้อนแรงในเวลาเดียวกัน ผมสีทองอมส้มดูนุ่มน่าสัมผัส ร่างสูงระหงก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม สะกดสายตาให้หญิงสาวทั้งสองนางมองไม่วางตา แต่แล้วเหมือนมนต์จะถูกทำลายด้วยคำพูดของหญิงสาวนางนี้
“เธอมิต้องกังวลไปดอก มีฉันอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร?” มณฑามองซอและอรัญญิก หญิงสาวถักเปียมองหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างไม่ไว้ใจ
“เพราะเป็นเจ้านั่นแหละข้าถึงกลัว” ซอเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดที่เหมือนจะจิกมณฑาทำให้เจ้าตัวหัวเราะน้อยๆ ระหว่างนั้นพัดของนางก็ปรากฏแท่งเหล็กออกมายื่นไปจนจ่อที่คอของซอ
“ไว้ใจฉันเถิดซอ หากอรัญญิกได้รับบาดเจ็บข้าให้เจ้าบรรเลงเพลงนั้นได้เลย”
เพลงนั้น…!
ซอนึกถึงเพลงที่นางรังเกียจที่สุดในบรรดาเพลงที่นางเคยได้ฟัง
เพลงที่ทำให้นางถูกขับไล่จากสำนักดนตรีอันเลื่องชื่อ
“จะมิมีวันที่ข้าจะบรรเลงเพลงนั้น!” คำพูดนั้นแผ่วเบาแต่หนักแน่นนัก มณฑาที่คิดว่าซอจะข่มอารมณ์ได้มากกว่านี้ก็รู้สึกผิด ใบหน้าของนางสลดทันใดแต่น้อยกว่าซอที่เผลอกำซอสามสายในมือแน่น
“…”
“ข้าขอตัวก่อน อรัญญิก ดูแลตนเองดีๆ นะ” ซอหันไปกล่าวกับอรัญญิกที่นั่งเงียบๆ จากนั้นซอก็เดินผ่านมณฑาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหันมามองเพื่อนของตนเอง
ปัง
“…ฮึ เจ้าเองก็ด้วยเหรอซอ… อดีตเป็นอะไรที่ลืมยากจริงๆ” มณฑายิ้มน้อยๆ แฝงไปด้วยความสมเพชที่มีต่อซอและตนเอง นางเก็บแท่งเหล็กเข้าไปในพัดก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาสีดำด้วยท่าไขว่ห้าง นางเท้าคางกับที่วางแขนแล้วก้มหน้าลง
อรัญญิกมองภาพนั้นด้วยความเวทนา…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ