ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) บทที่ ๓๑: ความผิดไม่ใช่ของนาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓๑

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ความผิดไม่ใช่ของนาง

                รู้สึกกดดัน

                อรัญญิกนึกอย่างเคว้งคว้าง พอซอไม่อยู่ราวกับโลกดับมืดไป มณฑานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือเงียบๆ บางครั้งนางก็ยิ้มเพราะเนื้อหาที่สนุกในเรื่อง แต่พอนึกถึงเรื่องของตนและซอนางก็หุบยิ้ม

                “เรื่องนั้นท่านจะขุดขึ้นมาอีกทำไมเจ้าฤๅเจ้าคะ?” น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้มณฑาละจากหนังสือมาสบตากับอรัญญิก

                “ฉันขอโทษ เผลอพูดมันขึ้นมาน่ะ” คำตอบนั้นทำให้ดวงตาของอรัญญิกแข็งกร้าวขึ้นมาด้วยความโกรธ

                อารมณ์ที่เดือดนั้นแทบจะข่มไว้ไม่ไหวจึงทำให้หญิงสาวถักเปียลงจากเตียงแล้วพุ่งเข้าไปประชิดตัวกับมณฑาพร้อมกับดาบที่ไว้ข้างเตียง เสียงที่ลอดไรฟันของอรัญญิกทำให้มณฑาไม่กล้าขยับเพราะหวาดหวั่น

                “เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นท่านเผลอพูดออกมาได้อย่างไรกันเจ้าคะ! หากท่านซอไม่สบายใจจนล้มป่วยจะว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ!!”

                นั่นสินะ… เรานี่แย่จริงๆ

                เรื่องนั้นเป็นปมในใจที่มากของซอนี่

                “ถึงกับล้มป่วยเลยฤ?”

                “เจ้าค่ะ!”

                “…” มณฑาไม่เอ่ยอะไรต่อ นั่นเองที่ทำให้อรัญญิกเดือดมากกว่าเดิม นางไม่พอใจมณฑาเป็นอย่างมาก กี่ครั้งแล้วที่มณฑายุให้ซอโกรธ กระนั้นซอก็ไม่หลงกลนาง …แต่มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นทีนางหลงกล

                จนเผลอหลั่งน้ำตา….

                “เจ้าคิดฤ? ว่าฉันเป็นฝ่ายยุซอฝ่ายเดียว” ใช่ว่ามณฑาจะเป็นฝ่ายผิดคนเดียว สิ่งที่ซอเคยทำให้นางแม้ว่ามันจะน้อยกว่าแต่เป็นเรื่องที่เจ็บที่สุดในชีวิต อรัญญิกผ่อนสีหน้าเมื่อได้ยินสิ่งที่มณฑาถาม

                “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

                “ซอ… เคยแปลงกายเป็นเด็กเพื่อมาเล่นกับฉัน”

                “…” ความจริงนั้นทำให้อรัญญิกจุกในใจจนไม่กล้าแก้ตัวแทนซอ นายิกาของตนผู้ซึ่งมีอายุมาหลายร้อยปีตั้งแต่สุโขทัยแปลงกายเป็นเด็กเพื่อมาเล่นกับเด็กอย่างมณฑาซึ่งเกิดสมัยรัชกาลที่ ๕ มณฑากัดริมฝีปากเพื่ออดทน เจ็บกายไม่เท่าเจ็บใจ กายรักษาเดี๋ยวก็หาย แต่ใจต่อให้รักษายังไงก็ยากที่จะหาย

                “นางมาเล่นกับฉันจนทำให้ฉันติดนาง ฉันโดนท่านแม่ดุเรื่องที่ไปเล่น ตลอดวัยเด็กข้าเรียนมาจนลืมโลกภายนอกแต่ซอกลับทำให้หัวใจที่ชินชาของฉันพังทลายจนโหยหาความรัก”

                “…”

                “พี่สาวฉันไม่เคยใจอ่อนให้ใคร ท่านจึงไม่เจ็บปวด แต่กับฉันที่ผูกพันธ์กับซอแล้วจะตัดขาดสายสัมพันธ์ก็ยากเย็นเหลือเกิน …มันเจ็บนะอรัญญิก แม้ปัจจุบันฉันเป็นอิสระแล้ว แต่อดีตนั้นทำให้ซอมิอยากมองหน้าฉัน”

                “…” อรัญญิกยังคงเงียบต่อไป

                “ทั้งๆ ที่นางผิด แต่ไยนางถึงทำชินชากับฉันล่ะ? เธอตอบได้ไหมอรัญญิก? นางผิดเองที่มาผูกสายใยกับฉัน แล้วทำไม ทำไมล่ะ??”

                “ทำไมนางถึงต้องทำเช่นนี้กับฉัน!!”

                มณฑาตะคอกถามอรัญญิก นางเจ็บจนข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหว อยากจะกรีดร้องออกมาแต่ก็ไม่อยากสร้างความรบกวนให้คนไข้ห้องอื่น ดวงตาสีส้มใสเป็นประกายเพราะน้ำตาที่คลออย่างน่าเวทนา อรัญญิกทราบความจริงนั้นก็รู้สึกผิดที่กล่าวหาแต่มณฑา ทั้งๆ ที่นายของตนนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หญิงสาวถักเปียมองหน้าหญิงสาวที่สูงศักดิ์กว่าตนด้วยความสงสาร

                …ท่านมณฑา นายของข้าเป็นคนเริ่มก่อนจริงๆ ฤๅเจ้าคะ?

                “ข้ามิรู้…” คำตอบของอรัญญิกแผ่วเบา ริมฝีปากของมณฑามีเลือดซึมออกมา รสคาวที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดนั้นทำให้มณฑานึกถึงความขมขื่นในอดีต ช่าวมัวเมาราวกับสุรา

                กาสะลองฟังระหว่างรออยู่นอกห้อง นางกำมือแน่น ทั้งๆ ที่นายของตนยังไม่ได้ทำอะไรแต่ถูกเพิกเฉยราวกับอากาศที่เป็นพิษ

                “ฮึ! งั้นเธอก็รู้เพียงเท่านี้ละกันว่าฉันเกลียดนาง ซอนอกจากจะทิ้งฉันไปแล้วยังสังหารแม่ฉันอีก!!”

                ทั้งเกลียด… ทั้งรัก… จนอยากเอามีดแทงให้ตายไป เป็นความผูกพันธ์ที่ขมขื่น นัยน์ตาสีส้มที่อบอุ่นบัดนี้ร้อนจนแทบจะแผดเผา เกรี้ยวกราดราวกับจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ กาสะลองพยายามห้ามไม่ให้ตนเองไปเชิญมณฑากลับเรือน บรรยากาศภายในห้องกดดันเหมือนกับความตายกำลังมาเยือน

                “ข้า…” อรัญญิกพึมพำ มณฑาที่กำลังรอคำพูดของอรัญญิกได้ฟังเช่นนี้ก็แสยะยิ้มน่ากลัวจนหญิงสาวถักเปียไม่กล้าหายใจ

                “จะแก้ตัวแทนนางฤ?”

                “มิใช่เจ้าค่ะ…”

                “ฮึ! งั้นเธอก็นอนเงียบๆ ไปเช่นเดียวกับศพละกัน” คำว่าศพทำให้อรัญญิกแตกตื่นอีกครั้ง ใบหน้าของมณฑาช่างเย็นชาและเหี้ยมโหดราวกับฆาตกรที่มองดูศพที่ตนฆ่าก็ไม่ปาน เหมือนนางกำลังพูดว่า ‘แกตายไปแล้วก็อย่าได้ฟื้นขึ้นมาอีกเลย!’

                “…” อรัญญิกไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร

                ท่านซอ ข้ามินึกถึงเลยว่าท่านจะเลือดเย็นถึงเพียงนี้

                บรรยากาศเริ่มอึดอัด ตอนนี้ร่างกายของนางแข็งทื่อราวกับศพจริงๆ ท่าทางแบบนั้นทำให้มณฑาหัวเราะอย่างสาแก่ใจ เสมือนตนได้ฆ่าอรัญญิกแล้วจริงๆ แม้นางจะแค้นซอแต่ในเมื่อซอมีความรักให้อรัญญิกเมื่อคนที่ตนเองรักตายก็ย่อมเจ็บ

                แค่คิดก็มีความสุขแล้ว!

                “ท่านมณฑา กลับกันเถิดเจ้าค่ะ” กาสะลองที่ทนฟังไม่ไหวเข้ามาเชิญนายตนกลับเรือน ทว่ามณฑาไม่กลับ นางยังอยากทรมานใจอรัญญิกไม่ให้ได้พักผ่อน นางอยู่ก็เท่ากับมีศพอยู่ข้างกาย ช่างเยือกเย็นนัก

                “ฉันจะอยู่ต่อ เธอกลับไปก่อนเถิด” มณฑาเอ่ยเสียงเย็น กาสะลองแม้จะเห็นเพียงแผ่นหลังของมณฑาแต่นางก็คาดได้ว่าใบหน้าของมณฑาต้องเหี้ยมโหดแน่นอน กาสะลองพยักหน้าก่อนจะกล่าวลาและออกจากห้องไป

                เหลือไว้เพียงฆาตกรและศพ

 

                ซอเดินไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านผู้คนที่เดินสวนกัน บางคนก็ยกมือไหว้ทักทายและยิ้มให้นาง ซอเพียงแค่ยิ้มให้ ดวงตาของนางเหม่อลอย พอนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ตนเองถูกขับไล่จากสำนักดนตรีหัวใจของนางก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งคิดมันยิ่งแตกจนเหมือนกับเศษแก้วที่บาดลึกให้เจ็บยิ่งขึ้น นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากไม่ให้น้ำตามันไหล

                ทำไมกันล่ะ ท่านแม่ ข้าเพียงแค่อยากอยู่กับมณฑา ข้าผิดเองที่สังหารแม่ของนาง แต่ท่านถึงกับตัดแม่ตัดลูกมันมิเกินไปหน่อยฤๅ? ท่านแม่ของนางเข้มงวดจนนางแทบจะมิได้ออกมาเล่นกับข้า ข้าคิดว่าท่านแม่ของมณฑาเป็นต้นเหตุให้นางจองจำอยู่กับตำราข้าจึงกำจัด

                ‘ข้าถามเจ้าหน่อยเถิดซอ! เจ้ามีอรัญญิกยังมิพออีกฤๅอย่างไรกัน!’

                ‘…’

                ข้าขอโทษ โปรดอภัยให้ลูกมิรักด้วย

                ‘สำนักของข้ามิเคยมีเรื่องบาดหมาง แต่เจ้า! เจ้ากลับทำลายมัน! เจ้าใช้กลอนนั่นสังหาร รู้ก็รู้ว่ามันเป็นกลอนต้องห้าม!!’

                ‘…’

                ข้าผิดไปแล้วท่านแม่

                ‘เจ้ากับข้าเราอย่าได้เจอกันอีกเลย!!’

                !!

                ท่ามกลางสายตาเกลียดชังจากศิษย์สำนักของแม่ซอนั้นทิ่มแทงใจนาง แต่ก็ไม่เจ็บเท่ากับการที่นางถูกตัดสายสัมพันธ์ครอบครัว

                “ท่านแม่…” ซอเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเรือนของมณฑา นางทราบว่าเด็กๆ ภายใต้ความดูแลของตนมาพักที่นี่เพราะดินขาวติดต่อโทรศัพท์มา แป้งมันที่นั่งเหม่อคิดถึงเรื่องยุพินก็รีบไปหาซอเพื่อขอความช่วยเหลือ

                “ท่านซอคะ ยุพิน แววไพรและว่าวไปนั่งเรือค่ะ ฝนจะตกแล้วด้วยสิคะ!”

                “ออกไปเมื่อใดกัน?!” ซอที่คาดไม่ถึงว่าเด็กๆ ของตนจะแอบไปเล่นในที่ๆ อันตรายยามที่ตนไม่อยู่ก็กังวลขึ้นมา

                “หนูไม่ทราบค่ะ แต่ไปได้สักพักแล้ว---” แป้งมันไม่ทันพูดจบซอก็ออกตัวไปตามหาเด็กทั้งสาม ดีที่ผ้าถุงของนางผ่าข้างไว้แม้จะไม่สุดเหมือนของพินทุแต่ก็พอขยับได้

                “ท่านซอ ท่านจะไปไหนฤๅครับ?!” ดินขาวถามเสียงดังเรียกความสนใจให้เพื่อนๆ คนอื่น ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจตามไปแม้ซอจะไม่ได้เรียกไปด้วยก็ตาม

                ทำไมต้องไปทางน้ำด้วนะ ทางบกก็ตกปลาได้นี่

                ว่าแต่คาตานะหายไปไหนเนี่ย?

                ศรีคิดด้วยความสงสัย พลางมองไปรอบๆ เพื่อหาเด็กชาย แต่ก็ไม่พบวี่แววเลย มองไปก็ไม่เจอศรีจึงวิ่งตามไป

 

                “รออะไรอยู่ล่ะว่าว ทำไมไม่ไปสักทีล่ะ?” ยุพินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงถักเปียยังไม่ไปจากบริเวณอันตราย ตอนนี้พวกเธอสามคนจับสายว่าวลอยไปเหนือผืนน้ำแล้วจระเข้จึงตามมาไม่ได้ กระนั้นมันก็ยังคงวนเวียนไม่ห่าง

                “อยากไปอยู่ดอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าเราปล่อยไว้แล้วผู้ที่มาที่นี่โดนมันกินก็จะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ” ว่าวนึกถึงความอันตรายภายหน้า แววไพรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

                “นั่นสินะ ถ้าปล่อยไว้มันก็จะไปหาเหยื่อใหม่ แล้วถ้าเรากลับไปที่เรือนเพื่อเรียกคนมาช่วยมันก็อาจจจะหนีไป” แววไพรเอ่ยอย่างกังวล ยุพินถอนหายใจเมื่อนึกถึงวิธีที่ทำไม่ได้

                “ถ้าที่นี่มีสัญญาณก็ดีสิ จะได้ติดต่อได้” ยุพินเอ่ยอย่าหมดหวัง

                “แต่น่าแปลกนะ ที่แบบนี้มันก็น่าจะพอมีสิ” แววไพรตั้งข้อสังเกต ว่าวนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ย

                “ทางนี้เป็นทางลัดไปสู่ป่าลึก มิน่าล่ะมันถึงเงียบชอบกลน่ะเจ้าค่ะ”

                “นี่ฉันลืมไปได้อย่างไรกันเนี่ย” แววไพรที่แต่แรกกังวลก็ไม่สบายใจยิ่งขึ้น ยุพินมองไปรอบๆ แล้วนึกอะไรได้

                “งั้นว่าวกลับไปบอกทุกคนนะ ฉันกับยุพินจะรออยู่ที่นี่” ว่าวมองแววไพรที่สีหน้าไม่ดี แต่เหมือนเธอจะนึกอะไรได้จึงเผลอขำออกมาเรียกสายตาสงสัยและไม่พอใจที่เธอมาหัวเราะในสถานการณ์แบบนี้

                “ขำอะไร?” แววไพรถาม

                “พอสถานการณ์ไม่ดีท่านพี่แววไพรดูเป็นพี่ดีนะเจ้าคะ คิกๆ” ว่าวขำคิกคักก่อนจะควบคุมให้ว่าวที่เธอเกาะออกห่างและเลื่อนไปเรื่อยๆ เพื่อหนีแววไพรที่ทำท่าจะทำร้าย

                “แสดงว่าที่ผ่านมาฉันเป็นเด็กรึไงยะ!” ในมือของแววไพรถือร่มบ่อสร้างเตรียมจะแทงว่าว แต่เด็กหญิงทำท่ายียวนก่อนจะลอยจากไปจริงๆ เพื่อหาคนมาช่วยและหนีแววไพร

                “ฮ่ะๆ”

                ยุพินหัวเราะทั้งสองคน พอมาเห็นอะไรตลกๆ ก็หายเคลียดได้ดีนี่

 

                ทุกคนแยกย้ายกันตามหาเด็กหญิงสามคน แต่ก็ไม่มีใครพบเลย ซอยืนนิ่งพร้อมๆ กับที่เด็กๆ มารวมตัวกัน

                หายไปไหนกันนะ

                “เอาอย่างไรต่อดีครับ” รพิถาม ซอไม่ได้ตอบหรือแสดงท่าทาง แต่นางเอ่ยเบาๆ

                “อย่าบอกนะว่าเข้าไปในป่าลึกน่ะ…” น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความหวาดหวั่น ทำให้เด็กๆ ฉงน จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

                “ป่าลึก--- ป่าสุสานสินะครับ”

                ร่างเด็กชายนุ่งโจงกระเบนทับด้วยเสื้อยูคาตะชั้นเดียวโผล่จากหลังต้นไม้ เขาเดินมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาตะลึงของเพื่อนๆ ศรียิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ไปไหน

                ทำไมเราถึงดีใจล่ะ?

                “คาตานะ เจ้ามาเมื่อใดกัน?” ซอถาม คาตานะยิ้มบางๆ เขาไม่ตอบแต่เดินผ่านซอไปก่อนจะหยุดที่ริมน้ำ

                “จากจุดนี้ก็เชื่อมไปที่ป่าสุสาน แถวนั้นไม่ค่อยมีปลาแต่พวกหล่อนก็ยังจะไปกัน ลืมคิดเรื่องนี้ได้อย่างไรเนี่ย” เขาหัวเราะน้อยๆ ทำให้เด็กบางคนหมั่นไส้ ปักเป้าที่เป็นหนึ่งในนั้นถามขึ้นอย่างหงุดหงิด

                “ยังจะมาพูดอีก”

                “ฮ่ะๆ งั้นเราไปกันเถอะ” คาตานะเดินนำหน้าไป ปล่อยปักเป้ายืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ โซค่อนยิ้มน้อยๆ อย่างเหนื่อยใจก่อนจะกวักมือให้เพื่อนๆ ตาม ซอที่ไม่มีอะไรจะพูดก็ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ

                “พงสณะ ที่คาตานะบอกว่าป่านั้นไม่มีปลาหมายความยังไงเหรอ?” ศรีถามพงสณะที่เดินข้างๆ เด็กชายหน้าซีดขึ้นมาเมื่อนึกถึงป่านั่น

                “น้ำมันสกปรกมากจนปลาอยู่ไม่ได้เพราะเชื้อโรคจากศพ ป่านั่นเป็นที่นอนของศพ บางรายถูกนำลงน้ำ บางรายถูกฝัง บางรายถูกห้อยไว้กับต้นไม้ก็มี เชื้อโรคทั้งนั้นแหละ หนอนงี้มีเพียบ” คราวนี้ศรีหน้าซีดบางเพราะเธอเกลียดสิ่งมีชีวิตที่พงสณะกล่าวมาก

                “ฉะ ฉันขออยู่ข้างนอกป่าได้ไหม ฉันเกลียดมัน”

                “ถ้าเธออยู่ฉันขออยู่ด้วยนะ” พงสณะมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อเห็นว่าโอกาสที่จะได้อยู่กันสองต่อสองใกล้จะมา

                “อื้ม”

                ดอกเข็มกังวลมากที่กลีบเย้าไม่คุยกับเธอ คุยทีก็แทบจะนับคำได้ ตั้งแต่ที่เธออยู่กับกลีบเย้าในห้องที่โรงแรมกลีบเย้าก็เมินเธอตลอด

                “กลีบเย้า เจ้าโกรธข้าฤๅ?” อดที่จะถามไม่ได้ เด็กหญิงเผ่าเย้าหันมามองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี ทั้งสองคนเริ่มเดินช้ากว่าเพื่อนจนในที่สุดก็อยู่เป็นคู่สุดท้าย

                “เปล่า…”

                “แล้วทำไมถึงหลบหน้าข้าล่ะ?” ดอกเข็มพูดจบก็จับข้อมือกลีบเย้าและรั้งเข้ามาใกล้ กลีบเย้าเบิกตาเพราะตกใจก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเยือกเย็น

                “…ใครใช้ให้พูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเคลียดล่ะ เราเพิ่งอยู่วัยประถมเองนะ”

                “เพราะข้ามิเหลือใครอีกแล้วไงล่ะถึงต้องถามแบบนั้น ครอบครัวและญาติของข้าตายไปหมดแล้ว… ข้าขอร้องล่ะ อยู่เคียงข้างข้าเถิด …กลีบเย้า” ดอกเข็มเอ่ยด้วยความเจ็บปวด ทำให้กลีบเย้าไม่กล้ามองหน้าดอกเข็มมากกว่าเดิม

                “ถึงเจ้ามิขอข้าก็จะอยู่กับเจ้า” กลีบเย้ากล่าวพร้อมกับหน้ามาสบตากับดอกเข็ม เด็กหญิงเผ่าไทแสกเผลอใจเต้นแรงเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้

                “หมายความว่า…”

                “ข้ารักเจ้า ดอกเข็ม”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา