ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) บทที่ ๒๙: คาตานะล้อเล่น เด็กหญิงสามคนเริ่มเปิดศึกอีกครั้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๒๙
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
คาตานะล้อเล่น เด็กหญิงสามคนเริ่มเปิดศึกอีกครั้ง
“ศรีหายไปไหนน่ะ” พงสณะถามระหว่างทานอาหารมื้อเที่ยง เพื่อนๆ ต่างส่ายหน้า จู่ๆ ขนมชั้นก็พูดขึ้น
“จะว่าไปแล้วข้าสงสัยเรื่องศรีมากเลยว่ะ จำตอนที่เราไปสู้กับลูกสมันผู้ลักดาบได้ไหม อยู่ๆ จากตอนแรกที่ศรีแทบมิมีแรงเดินก็กลับเดินได้แล้วมีเขี้ยวงอกอกมา …แต่สยองว่ะ เล่นผ่านางยักษ์เป็นสองซีกแล้วกินเครื่องในอีก นึกกี่ทีก็มิหายขนลุก”
ขนมชั้นเล่าเมื่อนึกถึงเรื่องของศรี แต่มันกลับทำให้ใครหลายคนทานอาหารไม่ลงเมื่อนึกถึงฉากเลือดสาดนั่น
“นายมาพูดอะไรตอนนี้ฮะ? อาหารกำลังร้อนๆ อร่อยๆ มันพูดเรื่องน่าขุนลุกทำไมเนี่ย??” เฉาก๊วยเบ้หน้าอย่างนึกรังเกียจฉากนั่น
“ก็มันอดมิได้นี่ เจ้าลองคิดดูละกัน ศรีมันเป็นยักษ์ฤๅเปล่าก็มิรู้ แถมยังดวงตานั่นที่เป็นสีแดงมีสัญลักษ์ยันต์อีก” คำพูดนั้นทำให้เพื่อนๆ เริ่มสงสัยและคิดตามๆ กัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้สาเหตุ
“ก็ไม่แปลกนี่ถ้าศรีจะเป็นยักษ์ เพราะสมัยนี้ยักษ์กับมนุษย์อย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาตลอด” ปักเป้าพูดอย่างไม่ใส่ใจเรื่องที่หลายคนสงสัย กลีบเย้าพยักหน้าก่อนจะเอ่ย
“แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็เรื่องดวงตานั่น มันแปลกมากเลย น้อยคนนักที่จะมีเนตรสีแดง เพราะเนตรสีแดงเป็นสีที่แกร่งที่สุด ท่าทางศรีจะมิธรรมดาแล้วล่ะ”
“แล้วยังดาบนั่นอีก ข้ารู้สึกคุ้นๆ มันอยู่นะ” บรรพตเอ่ยอย่างฉงนพลางนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่เคยอ่าน
“นึกออกแล้ว” ในที่สุดเธอก็นึกได้ ดอกเข็มเห็นดังนั้นจึงถามบ้าง บรรพตยิ้มแป้นก่อนจะตอบ “ดาบนั่นมีมานานเหมือนกันนะ สืบทอดในตระกูลวีรสังฆะรุ่นต่อรุ่น …ถ้าจำไม่ผิดมันจะมีวิญญาณยักษ์สองพี่น้องสถิตอยู่”
“วิญญาณยักษ์” ทุกคนทวนคำพร้อมกัน
“ใช่แล้ว เห็นว่าดาบด้านขวาเป็นวิญญาณธาตุน้ำคนพี่ ด้านซ้ายวิญญาณธาตุไฟคนน้อง มันสถิตเพื่อปกป้องดาบ เนื้อหาที่ข้าอ่านมาก็มีประมาณว่าดาบนั่นจะมอบให้ผู้ถือครองที่ครอบครองตั้งแต่ชาติแรก เจ้าของเกิดเป็นอะไรมันก็มอบ คนอื่นไม่สามารถใช้มันได้เว้นแต่เจ้าของมันจะอนุญาต”
“ขี้หวงชะมัด” โซค่อนล้อดาบของศรี รพิที่พอได้ฟังเรื่องที่เกี่ยวกับพี่สาวซึ่งเป็นญาติก็อดจะพูดบ้างไม่ได้
“ผมก็เคยได้อ่านมาเหมือนกันครับ ดาบของพี่ศรีแปลงเป็นปิ่นปักผม อย่างตอนนั้นที่พี่ศรีใช้ดาบผมก็ไม่เห็นปิ่นปักผมเลยครับ”
“น่าสนๆ” โซค่อนเอ่ยก่อนจะตักข้าวกับหมูใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบๆ ปักเป้ายักไหล่ก่อนจะทานต่อ
ระหว่างที่ทุกคนทานอาหาร โอฟีเลียก็คุยเบาๆ กับเทสโลเอล
“นี่ๆ ไว้ศรีกลับมาเราขอดูดาบดีไหม?”
“ทำไมล่ะ?” เทสโลเอลถามด้วยความฉงน เธอเองก็สงสัยเรื่องดาบของศรีเหมือนกัน แต่สงสัยถึงขนาดไปขอมาดูมันก็เกินไปหน่อย
“แหม ก็มันน่าสนดีนี่ ลองคิดดูสิ ดาบที่มีวิญญาณยักษ์สถิตแถมแปลงเป็นปิ่นปักผมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย จะไม่ให้สนได้ยังไงกัน” ท่าทางกระตือรือร้นของโอฟีเลียทำให้เทสโลเอลต้องถอนหายใจ อย่างไรนิสัยขี้สงสัยของเด็กหญิงสวมชุดแดงก็เป็นมานานแล้ว
แถมแก้ไม่ได้ซะด้วยสิ
พลั่ก!
ร่างของศรีไถลกับพื้นเมื่อคาตานะดันดาบออกแล้วถีบเธอ ศรีข่มความเจ็บปวดที่ร้าวไปทั้งตัวแล้วพุ่งไปฟันดาบใส่คาตานะ เมื่อศรีดันดาบได้ก็กระแทกศอกใส่คาตานะก่อนจะใช้ดาบฟันร่างเขา
เลือดไหลจากร่างเขาไม่มากนักแต่มันค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้น ศรีมองภาพนั้น เธอลืมหายใจเพราะคาดไม่ถึงว่าตนเองจะสร้างบาดแผลถึงขั้นเลือดออดขนาดนี้
คาตานะก้มดูบาดแผล เขาแสยะยิ้มก่อนจะกระโดดขึ้นและลงมาฟันดาบสองเล่มใส่ร่างศรี จากบ่าลากลงมาเลือดพุ่งแล้วไหลเป็นสายตา เสื้อผ้าของเธอและเขาตอนนี้ต่างมีเลือดเปื้อนแต่งแต้มให้กับผ้าสีอ่อน
ศรีเสียการทรงตัวเลยล้มลงไป เธอคิดด้วยความกังวล บ่าที่เชื่อมกับแขนเมื่อได้รับบาดแผลและความเจ็บปวดเธอจะขยับดาบได้ยาก คาตานะเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งคุกเข่าด้วยขาข้างหนึ่ง
“อย่างน้อยข้าโดนที่ช่วงตัว แต่เจ้าโดนที่บ่าซึ่งเชื่อมกับแขนก็ขยับดาบลำบาก เอาเป็นว่าหยุดเพียงแค่นี้ก่อน ไว้ต่อคราวหน้านะ”
“…”
“ถ้าเกิดเจ้าอยากได้ความลับของเนตรก็ฟื้นตัวเร็วๆ ล่ะ”
ศรีมองคาตานะที่หันหลังเดินกลับไปที่เรือน เธอกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ
เราโดนแค่บ่าก็ไม่มีแรงแล้วงั้นเหรอ?
…ช่างน่าสมเพศจริงๆ
ศรียิ้มมุมปากก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วกำดาบในมือทั้งสองข้างแน่น แม้จะเจ็บบ่าก็ยังจับสิ่งของได้ ศรีไม่รอช้ายกขาสูงจะเตะศีรษะคาตานะ แต่ไม่โดนเพราะเขาหลบตัวได้ทันก่อน
“ยังไหวฤๅ?”
“ไหวสิ! ก็แค่เจ็บบ่าและไม่ได้เจ็บมากอะไรนี่” ศรีจ้องอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตา ทำให้เขายิ้มชอบใจ คาตานะเอื้อมมือมา ศรีถอยตัวแล้วตั้งท่า
แปะ
“เอ๊ะ?” ศรีเอ่ยอย่างฉงนเพราะคาตานะทำผิดจากที่เธอคิดไว้ เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่นทำให้ศรีไม่มีกระจิตกระใจจะจู่โจมต่อ
“ข้าก็แค่อยากเล่นกับเจ้าเลยพูดไปงั้นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้ารีบไปทำแผลเถิด ประเดี๋ยวมันจะไหลมากกว่าเดิมนะ” กล่าวจบก็เดินเข้าไปในเรือน ศรีตะลึงกับกกิริยาของเขาจนยืนนิ่งไปชั่งครู่
ทั้งๆ ที่เราไม่ชอบให้ผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้ แต่ทำไมเราถึงไม่ปัดป้องเลยล่ะ
…แต่รู้สึกดีอย่างไม่บอกไม่ถูก
มันทำให้เรา… นึกถึงครอบครัว นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่เรารู้ว่าพ่อกับแม่ของเราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง ความอบอุ่นก็เปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจ
คาตานะ… เป็นใครกัน……
ศรีคิดพลางเดินเข้าไป
เด็กชายสวมชุดยูคาตะชั้นเดียวกับนุ่งโจงกระเบนเดินมาหาเธอที่นั่งรออยู่บนพื้นบ้านด้านนอก เขารักษาแผลให้เธอเงียบๆ แต่ก็ยิ้มไปด้วย ศรีสงสัยว่าเขายิ้มทำไมแต่ก็ไม่ได้ถามเพียงแค่เงียบอยู่นิ่งๆ ให้เขาทำได้สะดวก
“เสร็จแล้วล่ะ” คาตานะยิ้มบางๆ ศรีก้มมองแผลก่อนจะเงยหน้าแล้วกล่าว
“คาตานะ… ขอบคุณจ้ะ” เด็กชายไม่พูดอะไรแต่ยิ้มรับด้วยความยินดี
ไม่นึกเลยว่าโตแล้วจะเป็นอย่างนี้ เข้มแข็งขึ้นนะ…
สายใยครอบครัวทำให้เขาอดจะยิ้มไม่ได้…
“เอาเป็นว่าเราแข่งตกปลา ถ้าฉันชนะแกห้ามยุ่งกับศรีเป็นเวลาสามวัน” แววไพรเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ ตอนนี้เธอ ว่าวและยุพินมาที่ลานแห่งหนึ่ง ยุพินแสะยิ้มพลางเอ่ย
“ตกปลา? ที่แกพูดเมื่อกี้ไม่ธรรมดาไปหน่อยเหรอ”
“รึอยากจะโดนท่านจารุเทศน์ล่ะ ต่อสู้มันก็สร้างความรบกวนและความเสียหาย ตกปลาแหละดีแล้ว” แววไพรขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตน ว่าวและยุพินทะเลาะกันจนโดนสั่งสอนไปหลายนาที ว่าไปก็ยังไม่ได้ทานอาหารมื้อเที่ยงเลย
“เที่ยงแล้วยังไม่ได้ทานอะไร ตกปลามากินก็ดีเหมือนกัน” ยุพินเอ่ยต่อ ว่าวปล่อยทั้งสองคนก่อนจะเดินไปที่เรือนตรงใต้ถุนแล้วหยิบอุปกรณ์ตกปลาจากนั้นก็เดินกลับไปรวมกลุ่มอีกครั้ง เธอยื่นของให้แววไพรและยุพิน
“ใครจับได้มากที่สุดก็ชนะใช่ฤๅมิใช่เจ้าคะ”
“อือ แต่ว่าเราจะนั่งเรือไปตก เพราะคลองแถวๆ นี้มันไม่ค่อยมีปลา ลึกตรงเข้าไปมันน่าจะเยอะกว่า”
“หากเกิดท่านจารุรู้เข้าก็…” ว่าวค้านแววไพรต่อพอเห็นดวงตาที่เยือกเย็นเข้าก็จำยอม
หลังจากนั้นพวกเธอก็แอบลอบนำเรือมาใช้ ดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีใครมาแวะเวียนจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเห็น
…ไม่รู้ว่าพวกเธอคิดถูกหรือคิดผิด บรรยากาศวังเวงราวกับมีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ ยุพินกลอกตาไปมาด้วยความหวาดกลัวและกังวล
ในขณะเดียวกันศรีและคาตานะก็นั่งเรือเพื่อกลับเรือนมณฑา
คาตานะ เป็นใครกันแน่
ในใจของศรีคิดแต่เรื่องของคาตานะ เธอเหม่อลอย ดวงตามองทิวทัศน์รอบด้านและมองท้องฟ้าที่สว่างจ้า ช่างขัดกับบรรยากาศคลองที่อันตราย
เรือแล่นไปหลายนาทีเธอและเขากับเด็กหญิงสามคนก็พายเรือสวนกัน ดวงตาทุกคู่สบกัน แววไพร ว่าวและยุพินคาดไม่ถึงว่าศรีและคาตานะจะอยู่ที่นี่
กลัวว่าการแข่งลับจะถูกเปิดเผย
“ศรี… มาอยู่ที่นี่ได้ไงน่ะ” แววไพรถามด้วยความกังวล เหงื่อบริเวณมือซึมจนชื้น ศรียิ้มบางๆ พลางตอบ
“ก็… มาเดินเล่นกับคาตานะน่ะ …แต่เขามาชวนฉันมา”
“งั้นเหรอ… ว้าย! ศรี ไปโดนอะไรมาน่ะ” แววไพรเหลือบเห็นเลือดที่ซึมออกมา นั่นเองที่ทำให้ว่าวและยุพินรีบเขยิบมาดูบ้าง
“ท่านพี่ศรีไปโดนอะไรมาน่ะเจ้าคะ” ว่าวถามอย่างเป็นห่วง ร่างกายพักผ่อนมาไม่นานก็ต้องมาโดนอีก เรื่องนั่นศรีรู้ดีแต่เธอก็ยังฝืนสู้กับคาตานะเพราะอยากรู้ความลับของเนตรตนเอง
“กะ ก็…” ศรีไม่รู้จะโกหกอย่างไร คาตานะเห็นดังนั้นจึงตอบแทน
“ตอนนั้นเผลอไปกระแทกจนมีดหล่นลงมาน่ะ”
“แต่เป็นสองข้างนะ…” ยุพินเอ่ยเบาๆ ในขณะที่จ้องแผลไม่วางตา คาตานะพยักหน้าพลางยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก่อนจะพายเรือต่อ เมื่อเป็นดังนั้นศรีจึงโบกมือลาพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วย เด็กหญิงสามคนจึงโบกมือลา
“ศรีไปแล้ว งั้นเราไปกันต่อเถอะ”
“อื้ม”
“ท่าทางมีพิรุธ” จู่ๆ คาตานะก็เอ่ยเมื่อเรือใกล้จะถึงฝั่ง
“ยังไงเหรอ?” ศรีถาม “เมื่อกี้ข้าเห็นว่ามีคันตกปลาด้วย”
“หือ ในเรือจะมีคันตกปลาก็ไม่แปลกนี่” ศรีแย้ง คาตานะที่รู้ดีจึงหัวเราะแล้วเอ่ย
“มิใช่ เจ้าลองคิดดู พวกเธอสามคนนั่นเพิ่งทะเลาะกันมาใช่ฤๅมิใช่ เมื่อเป็นเช่นนั้นเรื่องมันก็มิจบง่ายๆ ดอก ข้าว่าคงต้องไปแข่งตกปลาแน่เลย”
“หือ?” ศรีขมวดคิ้วเหมือนไม่ใช่ในสิ่งที่เขาพูด
เรือเทียบท่าแล้ว คาตานะขึ้นก่อนแล้วยื่นมือเพื่อให้เธอจับ แต่ศรีไม่ยอมเพราะมันดูไม่งามจึงยิ้มให้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจก่อนจะจับพื้นไม้แล้วพยุงตัวขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ