ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บทที่ ๑๕: ความเจ็บปวด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความเจ็บปวด
พวกซอเดินทางมาถึงในตัวเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเลยช่วงเที่ยงวันมาแล้ว ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่หิวเนื่องจากระหว่างทางอรัญญิกได้มอบหมายงานให้โซค่อนเป็นคนไปซื้อข้าวมันไก่เป็นค่าตอบแทนการโดยสาร เด็กชายสามคนที่มาหาเรื่องธันนะไม่ตามเพราะจะตามทีหลัง นั่นเองที่ทำให้เด็กชายสวมเสื้อกล้ามหงุดหงิด
“ถึงแล้ว!” ปักเป้าเอ่ยเมื่อลงจากรถ ศรียิ้มกับท่าทีที่ร่าเริงของเขา ระหว่างนั้นเธอก็นึกถึงคดีลักดาบอรัญญิกซึ่งพักหลังๆ เพื่อนๆ และตัวเธอเองก็เกือบจะลืม เด็กหญิงถามอรัญญิก
“ท่านอรัญญิกคะ เราจะเริ่มยังไงเหรอคะ?”
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ??” อรัญญิกก้มมองศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมตอบ “ก็ดาบอรัญญิกน่ะค่ะ ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้สนใจเลยนะคะ”
“ใครว่าไม่สนใจล่ะ ข้าแค่ไม่อยากคุยให้มันเคลียดก็แค่นั้น ไปๆ เดี๋ยวเราไปหาที่พักกันนะ”
กล่าวแบบตอบจบนางก็กวักมือเรียกทุกคน แต่เด็กๆ ที่ซุกซนนั้นไม่สนใจฟัง พวกเขาวิ่งไล่จับกันอย่างไม่ดูเวล่ำเวลาจนอรัญญิกต้องบีบคอคนละที เด็กๆ บางคนน้ำตาคลอพร้อมกับแอบบ่นว่าท่านอรัญญิกใจร้าย หญิงสาวถักเปียแสยะยิ้มพร้อมกับส่งสายตาอำมหิตไปให้พวกเขาแล้วชักดาบจี้คอคนที่บ่น เหล่าลูกแกะทั้งหลายจึงยอมสงบปากสงบคำเดินตามนางไป
ทุกคนเดินตามผ่านร้านต่างๆ บางคนทักทายซอกับอรัญญิกเพราะเห็นว่าเป็นนายิกาและรองนายิกา ทั้งสองทักตอบพอเป็นพิธีไม่ให้เสียความรู้สึก ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินผ่านร้านกาแฟ ซอกับอรัญญิกก็ได้ยินเสียงใครบางคนทัก
“สวัสดี… ซอ อรัญญิก”
ทั้งสองหันไปมองในร้านที่คาดว่าเป็นต้นกำเนิดเสียง พวกนางพบกับหญิงสาวผมยาวหยักศกตรงปลาย สวมเสื้อลูกไม้มีคอตั้ง แขนเสื้อมีระบายหลายชั้นสีครีมคาดทับด้วยผ้าแพรสวมสร้อยมุกหลายเส้น นุ่งโจงกระเบนสีม่วง กำลังนั่งดื่มชาอยู่
“เจ้า…”
“อยากถามว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงสินะ ก็ไม่แปลกดอก ฉันเป็นคนกรุงเทพฯ นี่” คำกล่าวนั้นทำให้ซอที่กำลังอ้าปากถามหุบปากลง
“งั้นข้าคงไม่มีธุระจะคุยกับเจ้า” พร้อมกับเอ่ยซอก็ก้าวเท้าต่อแต่ถูกแท่งเหล็ก ๕ ชิ้นขวางหน้า นางไล่สายตาไปมองพบว่าเหล็กนั้นเป็นที่ยึดของผ้าพัด หญิงสาวผู้ทักนางแสยะยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน อรัญญิกรู้สึกถึงอันตรายนางจึงชักดาบออกมาแล้วชี้ปลายไปหาหญิงสาว
“เย็นชาจริงๆ เจอเพื่อนทั้งทีมิคิดจะคุยต่อฤ? เห็นทีเราลองมาเล่นสนุกหน่อยดีไหม??”
“ท่านคิดจะทำอะไร!” อรัญญิกถามอย่างกังวล หญิงสาวหัวเราะก่อนจะตอบ “กระชับความสัมพันธ์ยังไงล่ะ!”
ฟึ่บ!
แท่งเหล็กฟันฟันเข้าหาซอ อรัญญิกปัดมันด้วยดาบก่อนจะพุ่งเข้าฟันร่างหญิงสาว นางผู้ถือพัดหุบแท่งเหล็กแล้วใช้พัดรับดาบและเหวี่ยงออกอย่างแรง กลีบเย้าพยายามจะเข้าไปห้ามแต่ถูกหญิงสาวเตะ เธอจนร่างกระเด็น ดินขาวกับดออกเข็มเข้ามาพยุงแล้วพาร่างให้ออกห่าง
ผู้คนบริเวณนั้นต่างล้อมรอบมองการต่อสู้อย่างสนใจ บางคนก็เชียร์พวกซอและหญิงสาว
ทำไมต้องมีเรื่องตอนนี้ด้วยนะ
อรัญญิกคิดพลางใช้ดาบรับแท่งเหล็ก นางไม่อยากเสียเวลาเพราะต้องรีบไขคดีลักดาบให้เสร็จ ไม่แน่ ผู้ลีกดาบตอนนี้อาจจะหนีไปไกลแล้วก็ได้ ไม่สิ เหรียญนั่นบอกว่ามันอยู่ที่กรุงเทพฯ
‘ไยเจ้ามิใช้ดาบมาห้ามล่ะ’ ระหว่างนั้นเสียงเดิมก็ถามศรี เธอยืนนิ่งไม่ขยับ เสียงนั้นหัวเราะ “ไม่ ฉันไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้มัน” เธอตอบเสียงนั้น
‘งั้นฤ? แต่ข้ารู้สึกว่าเพลาต่อไปนี้เจ้าจะต้องใช้มันแน่นอน” เสียงนั้นหัวเราะ ศรีขมวดคิ้วอย่างเคร่งเคลียด เธอไม่อยากใช้ดาบประหลาดนั่นเลย
อรัญญิกและหญิงสาวเข้ารับดาบฟาดฟันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร อรัญญิกพยายามหาช่องโหว่เพื่อใช้ดาบแทงใส่หยุดการเคลื่อนไหว นางไม่มีเจตนาจะฆ่าหญิงสาวแต่ที่นางต้องเข้าต่อกรแบบนี้เพื่อป้องกันตนเอง จังหวะหนึ่งที่นางเผลอเหม่อเพราะคิดเรื่องคดีลักดาบหญิงสาวก็ใช้แท่งเหล็กปัดดาบก่อนจะตบหน้าด้วยพัด เมื่อร่างอรัญญิกล้มลงหญิงสาวก็ทำท่าจะใช้แท่งเหล็กฟันเข้าที่คอหวังให้ขาดแต่ก็ไม่โดนเมื่อของมีคมรับแท่งเหล็กไว้
“ท่านจะทำอะไร?” ศรีถามด้วยใบหน้าที่เย็นชา หญิงสาวมองเธอสักพักก่อนจะไล่สายตาพบว่าสิ่งที่ขวางหน้าคือดาบที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยม นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวตะลึงเพราะคาดไม่ถึง
ดาบนั่น… มันมาอยู่กับเด็กคนนี้ได้อย่างไร?
นางเบิกตากว้าง ศรีสบตากับนาง
“ท่านมีเหตุอะไรที่ต้องทำร้ายท่านทั้งสองคนนี้?” ศรีถามต่อพลางปัดแท่งเหล็กนั่น เพื่อนของเธอมองอย่างตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าศรีจะเข้าไปหยุดการต่อสู้ ที่พวกเขาไม่ไปห้ามเพราะซอเคยบอกว่าถ้านางกับอรัญญิกโดนท้าสู้แบบไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็อย่าเข้ามาห้าม
แววไพรลอบกลืนน้ำลายแล้วถามเธอด้วยเสียงที่สั่นเพราะหวาดกลัวกับความรู้สึกบางอย่าง…
“ศรี… ดาบนั่น… มัน……….”
“ไว้ค่อยอธิบายนะจ๊ะแววไพร” ศรีหันไปตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน ทำให้ความกังวลและความกดดันหายไป
อรัญญิกไม่กล้าหายใจเพราะรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่มาจากเด็กหญิงเกล้ามวยผมและดาบทั้งสองด้าม
เด็กคนนี้…
‘ศรีคือยักษิณีแห่งตระกูลวีรสังฆะ ปิ่นปักผมนั่นแปรงเป็นดาบได้ด้วยล่ะ’
คำพูดนั้นพินทุบอกนางก่อนที่ศรีจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ อรัญญิกในตอนนั้นแทบจะไม่ได้ฟังเพราะคิดว่าเป็นดาบธรรมดา แต่ไม่ใช่เลย…
หาใช่เพราะดาบ แต่เป็นพลังบางอย่างจากศรี
คำแรกที่ศรีเห็นเธอนึกว่าเป็นเรือนไทยหลายชั้น เธอแทบไม่เชื่อว่าเรือนไทยนี้จะเป็นโรงแรม ศรีสังเกตมาตลอดทางที่เดินมานั้นบ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้และมีหลังคาทรงไทยแทบทุกหลัง เธอประทับใจมากเพราะนอกจากบ้านแล้วการแต่งกายของคนที่นี่ใส่เสื้อแบบสมัยก่อนบางคนก็แต่งตามยุดสมัยใหม่ เธอผ่านเห็นเด็กสาววัยรุ่นใส่เสื้อเอวลอยจนแทบจะเห็นเสื้อชั้นใน กางเกงขาสั้นเลยเข่า ศรีมองภาพนั้นอย่างรังเกียจแต่ก็ไม่แสดงสีหน้าบอกไปได้เพียงแต่ยิ้มเหยๆ
ระหว่างทางเธอรู้สึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่เด็กผู้หญิงและเด็กสาวหรือมากกว่านั้นมองเธอด้วยความหลงไหล บางครั้งสบตากับพวกเขาเธอก็เลยยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อเพราะรู้สึกขนลุก
โรงแรม (เรือนไทยหลายชั้น) มีสระบัวกว้างล้อมรอบตรงด้านหน้าแบ่งเป็นสองฝั่ง เหล่าดอกไม้โปรยปรายตามสายลมยามทิวา เหล่าพนักงานสวมชุดแขนยาวนุ่งผ้าถุงลายกนก ---เพียงเท่านี้ศรีก็มีความสุขจนเก็บอาการแทบไม่อยู่แล้ว ธันนะเห็นศรีที่ทำหน้าเพ้อก็ดึงผมเธอสามทีเพื่อเรียกสติ
“เก็บอาการหน่อยสิ” ธันนะเตือนเบาๆ ศรียิ้มให้แล้วเอ่ย “ขอโทษจ้ะ แหะๆ” เพื่อนๆ บางคนที่เห็นก็หัวเราะ ซออมยิ้มก่อนจะมองไปข้างหน้า
“อยากนอนอะ” ปักเป้าล้มตัวลงเมื่อมาถึงห้องพักที่อรัญญิกจองแล้ว เขากลิ้งตัวไปมาอย่างสบาย ดินขาวมองแวบหนึ่งแล้วทำเป็นไม่สนใจก่อนจะถอดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาถามปักเป้า
“ปักเป้า เจ้าจะอาบน้ำไหม?”
“มิอาบน่ะ เจ้าอาบก่อนเลย” ปักเป้าตอบด้วบใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางเขยิบร่างพาศีรษะหนุนหมอน
…แล้วก็หลับ
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งหลับนะปักเป้า นี่! ตื่นสิ!!” ดินขาวเข้าไปดึงร่างปักเป้าแต่ไม่ว่าจะตบจะบีบจมูกก็ไม่มีทีท่าว่าเด็กชายจะตื่น ดินขาวเห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“เฮ้อ… ถ้าจะนอนก็ช่วยอาบน้ำก่อนนะ ที่นอนจะได้ไม่สกปรก”
“ฟี้…”
ไม่มีเสียงตอบมา ดินขาวจึงเข้าห้องน้ำด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิง เขาคิดว่าถ้าเพื่อนผู้ชายที่ไปซื้อขนมมาด้วยก็ดีหรอก
“ลองกินดูสิธันนะ อร่อยดีอะ” โซค่อนยื่นขนมปังสอดไส้สังขยาจ่อปากธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามปฏิเสธโดยการเบือนหน้าหนี โซค่อนมองตาละห้อย เย็นชาจัง…
หว่อซีอาวิ่งพร้อมกับชูถุงใส่ซาลาเปา แล้วพูดเสียงดัง
“ทุกคน…! ข้าได้ของฟรีมาด้วยล่ะ กินมั้ย?” บางคนสายหน้าให้คำตอบบางคนก็พยักหน้า เซอาห์แบมือเป็นเชิงบอกว่าทาน ซีอาจึงหยิบให้เขาแล้วยิ้มร่าเริง
ธันนะกัดผิวนุ่มๆ สีขาวพลางเดินเลี่ยงไปตรงขอบสระบัว สายตาของเขาเห็นใครบางคนยืนยิ้มให้เขา
นั่น… เสไพรนี่
รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนจนธันนะนึกว่าเขาเห็นภาพลวงตา คนที่ยิ้มให้ธันนะคือเด็กชายผมสีดำปลายสีขาวกำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างหลังเด็กชายมีต้นลีลาวดีปลูกอยู่ ธันนะหลบหน้าก่อนจะเดินไปนั่งใต้ต้นราชพฤกษ์ คิ้วขมวดด้วยความเคลียดและไม่สบายใจ รพิที่สังเกตตอนที่เขายืนตรงขอบสระแล้วก็ถามอย่างเป็นห่วง
“พี่ธันนะครับ ไปพักในห้องก่อนมั้ยครับ หน้าซีดเชียว”
“ไม่เป็นไร ฉันยังไหว”
ตี๊ด… ตี๊ด… ตี๊ด…
เสียงบางอย่างดังขึ้น ทุกคนต่างหันไปมองธันนะ เขาสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ก็จำใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายก่อนจะเอ่ย “สวัสดี นั่นใคร”
“เสไพรน่ะ” คำตอบนั้นทำให้ธันนะว้าวุ่นใจ ปลายสายคำเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “เป็นไงบ้าง อยู่ที่มิตินี้สบายดีไหม?”
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง…” ธันนะไม่ตอบแต่ถาม ปลายสายตอบอย่างอารมณ์ดี “ฉันรู้จักที่นี่มาค่อนข้างนานแล้ว ว่าแค่นายน่ะมาอยู่ที่นี่ได้ไงเหรอ?”
“ถูกผีคลองดึงลงมา” เขาไม่รู้ว่ามือปริศนานั่นคืออะไรเลยตั้งชื่อให้มันอย่างนั้น “ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่มั้ย ฉันวางสายล่ะ”
กล่าวจบเขาก็ตัดสาย พงสณะที่ไปซื้อของเพิ่งกลับมาเห็นเพื่อนๆ ยืนเงียบมองธันนะก็สงสัยจึงถาม
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
“ดูเหมือนมีคนก่อกวนพี่ธันนะน่ะครับ” รพิตอบเสียงเบาไม่ให้ธันนะได้ยิน เด็กชายสวมเสื้อกล้ามลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ย
“ฉันขอตัวไปเดินเล่นนะ”
“นั่นนายจะไปไหนน่ะ!”
พงสณะถามรั้งไว้ ธันนะมองเขาด้วยสายตาแล้วตอบ
“เรื่องของฉัน”
ธันนะเดินจากไป ทิ้งความเงียบไว้ให้เพื่อนๆ…
ดอกเข็มกับกลีบเย้าเข้ามาพักในห้อง เพื่อนผู้หญิงคนอื่นออกไปเดินเล่น เด็กหญิงชาวไทแสกเข้ามากอดเด็กหญิงชาวเย้าแล้วหอมแก้ม เม็ดแตงสะบัดหน้าหนีอย่างเขินอาย
“แหม มิต้องเขินดอกเม็ดแตง” ดอกเข็มอมยิ้มกับท่าทีนั้นก่อนจะเข้ากอดเม็ดแตงอีกครั้ง คราวนี้เธอกอดแน่นมากเด็กหญิงผมหยักศกจึงหนีไม่พ้น ดอกเข็มซุกหน้ากับคอขาวนวลพลางสูดกลิ่นกายอย่างเคลิบเคลิ้ม โอกาสที่มีเพียงน้อยนิดต้องรีบคว้าไว้
“ออกไปนะ!”
“ข้ามิออกไปดอก เจ้าเนี่ยน่ารักจริงๆ” กล่าวจบดอกเข็มก็หยิกแก้มนุ่มนิ่มแล้วยืดเข้ายืดออก กลีบเย้าหมดแรงจึงปล่อยให้ดอกเข็มแกล้งเธอเรื่อยๆ เมื่อแกล้งจนพอใจแล้วดอกเข็มก็กอดกลีบเย้าไว้เฉยๆ
“เจ้า… รักข้าไหม?” ดอกเข็มถามด้วยเสียงแผ่ว กลีบเย้าหน้าแดงขึ้นกว่าเดิม เธออ้ำๆ อึ้งๆ “ข้า… ยังไม่แน่ใจ”
“มิรักข้าฤ?”
“ขะ ข้าชอบเจ้าแต่มิได้หมายความว่ารัก คำว่ารักยังอยู่ไกลจากเรานัก ตอนนี้ข้าเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่ประสีประสา……”
“แล้วข้าจะรอวันนั้น”
“……………”
“วันที่เจ้าจะรักข้า”
ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดได้ย้อนกลับมา…
ศรีนึกภาพโหดร้ายนั้นอย่างเจ็บปวด เพราะเหตุใดพี่สาวคนนั้นถึงต้องสังหารย่าตน เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ รอยยิ้มที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจนั้นได้ฉีกกระชากจิตใจ
เธอหยิบดาบนั่นออกมา ใบมีดสะท้อนดวงตาที่เศร้าหมอง เธอคิดผิดที่อัญเชิญดาบออกมา มันเป็นเพราะคำยั่วยุนั้นที่ทำให้เด็กหญิงต้องทำแบบนี้
“ท่านพี่ศรี เป็นอะไรฤๅเจ้าคะ?” ว่าวถามเธออย่างเป็นห่วง ศรีส่ายหน้าพลางยิ้มก่อนจะตอบ “พี่ไม่เป็นไรจ้ะ”
“งั้นฤๅเจ้าคะ…”
“………จ้ะ”
ตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความเจ็บปวด
พวกซอเดินทางมาถึงในตัวเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเลยช่วงเที่ยงวันมาแล้ว ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่หิวเนื่องจากระหว่างทางอรัญญิกได้มอบหมายงานให้โซค่อนเป็นคนไปซื้อข้าวมันไก่เป็นค่าตอบแทนการโดยสาร เด็กชายสามคนที่มาหาเรื่องธันนะไม่ตามเพราะจะตามทีหลัง นั่นเองที่ทำให้เด็กชายสวมเสื้อกล้ามหงุดหงิด
“ถึงแล้ว!” ปักเป้าเอ่ยเมื่อลงจากรถ ศรียิ้มกับท่าทีที่ร่าเริงของเขา ระหว่างนั้นเธอก็นึกถึงคดีลักดาบอรัญญิกซึ่งพักหลังๆ เพื่อนๆ และตัวเธอเองก็เกือบจะลืม เด็กหญิงถามอรัญญิก
“ท่านอรัญญิกคะ เราจะเริ่มยังไงเหรอคะ?”
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ??” อรัญญิกก้มมองศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมตอบ “ก็ดาบอรัญญิกน่ะค่ะ ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้สนใจเลยนะคะ”
“ใครว่าไม่สนใจล่ะ ข้าแค่ไม่อยากคุยให้มันเคลียดก็แค่นั้น ไปๆ เดี๋ยวเราไปหาที่พักกันนะ”
กล่าวแบบตอบจบนางก็กวักมือเรียกทุกคน แต่เด็กๆ ที่ซุกซนนั้นไม่สนใจฟัง พวกเขาวิ่งไล่จับกันอย่างไม่ดูเวล่ำเวลาจนอรัญญิกต้องบีบคอคนละที เด็กๆ บางคนน้ำตาคลอพร้อมกับแอบบ่นว่าท่านอรัญญิกใจร้าย หญิงสาวถักเปียแสยะยิ้มพร้อมกับส่งสายตาอำมหิตไปให้พวกเขาแล้วชักดาบจี้คอคนที่บ่น เหล่าลูกแกะทั้งหลายจึงยอมสงบปากสงบคำเดินตามนางไป
ทุกคนเดินตามผ่านร้านต่างๆ บางคนทักทายซอกับอรัญญิกเพราะเห็นว่าเป็นนายิกาและรองนายิกา ทั้งสองทักตอบพอเป็นพิธีไม่ให้เสียความรู้สึก ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินผ่านร้านกาแฟ ซอกับอรัญญิกก็ได้ยินเสียงใครบางคนทัก
“สวัสดี… ซอ อรัญญิก”
ทั้งสองหันไปมองในร้านที่คาดว่าเป็นต้นกำเนิดเสียง พวกนางพบกับหญิงสาวผมยาวหยักศกตรงปลาย สวมเสื้อลูกไม้มีคอตั้ง แขนเสื้อมีระบายหลายชั้นสีครีมคาดทับด้วยผ้าแพรสวมสร้อยมุกหลายเส้น นุ่งโจงกระเบนสีม่วง กำลังนั่งดื่มชาอยู่
“เจ้า…”
“อยากถามว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงสินะ ก็ไม่แปลกดอก ฉันเป็นคนกรุงเทพฯ นี่” คำกล่าวนั้นทำให้ซอที่กำลังอ้าปากถามหุบปากลง
“งั้นข้าคงไม่มีธุระจะคุยกับเจ้า” พร้อมกับเอ่ยซอก็ก้าวเท้าต่อแต่ถูกแท่งเหล็ก ๕ ชิ้นขวางหน้า นางไล่สายตาไปมองพบว่าเหล็กนั้นเป็นที่ยึดของผ้าพัด หญิงสาวผู้ทักนางแสยะยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน อรัญญิกรู้สึกถึงอันตรายนางจึงชักดาบออกมาแล้วชี้ปลายไปหาหญิงสาว
“เย็นชาจริงๆ เจอเพื่อนทั้งทีมิคิดจะคุยต่อฤ? เห็นทีเราลองมาเล่นสนุกหน่อยดีไหม??”
“ท่านคิดจะทำอะไร!” อรัญญิกถามอย่างกังวล หญิงสาวหัวเราะก่อนจะตอบ “กระชับความสัมพันธ์ยังไงล่ะ!”
ฟึ่บ!
แท่งเหล็กฟันฟันเข้าหาซอ อรัญญิกปัดมันด้วยดาบก่อนจะพุ่งเข้าฟันร่างหญิงสาว นางผู้ถือพัดหุบแท่งเหล็กแล้วใช้พัดรับดาบและเหวี่ยงออกอย่างแรง กลีบเย้าพยายามจะเข้าไปห้ามแต่ถูกหญิงสาวเตะ เธอจนร่างกระเด็น ดินขาวกับดออกเข็มเข้ามาพยุงแล้วพาร่างให้ออกห่าง
ผู้คนบริเวณนั้นต่างล้อมรอบมองการต่อสู้อย่างสนใจ บางคนก็เชียร์พวกซอและหญิงสาว
ทำไมต้องมีเรื่องตอนนี้ด้วยนะ
อรัญญิกคิดพลางใช้ดาบรับแท่งเหล็ก นางไม่อยากเสียเวลาเพราะต้องรีบไขคดีลักดาบให้เสร็จ ไม่แน่ ผู้ลีกดาบตอนนี้อาจจะหนีไปไกลแล้วก็ได้ ไม่สิ เหรียญนั่นบอกว่ามันอยู่ที่กรุงเทพฯ
‘ไยเจ้ามิใช้ดาบมาห้ามล่ะ’ ระหว่างนั้นเสียงเดิมก็ถามศรี เธอยืนนิ่งไม่ขยับ เสียงนั้นหัวเราะ “ไม่ ฉันไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้มัน” เธอตอบเสียงนั้น
‘งั้นฤ? แต่ข้ารู้สึกว่าเพลาต่อไปนี้เจ้าจะต้องใช้มันแน่นอน” เสียงนั้นหัวเราะ ศรีขมวดคิ้วอย่างเคร่งเคลียด เธอไม่อยากใช้ดาบประหลาดนั่นเลย
อรัญญิกและหญิงสาวเข้ารับดาบฟาดฟันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร อรัญญิกพยายามหาช่องโหว่เพื่อใช้ดาบแทงใส่หยุดการเคลื่อนไหว นางไม่มีเจตนาจะฆ่าหญิงสาวแต่ที่นางต้องเข้าต่อกรแบบนี้เพื่อป้องกันตนเอง จังหวะหนึ่งที่นางเผลอเหม่อเพราะคิดเรื่องคดีลักดาบหญิงสาวก็ใช้แท่งเหล็กปัดดาบก่อนจะตบหน้าด้วยพัด เมื่อร่างอรัญญิกล้มลงหญิงสาวก็ทำท่าจะใช้แท่งเหล็กฟันเข้าที่คอหวังให้ขาดแต่ก็ไม่โดนเมื่อของมีคมรับแท่งเหล็กไว้
“ท่านจะทำอะไร?” ศรีถามด้วยใบหน้าที่เย็นชา หญิงสาวมองเธอสักพักก่อนจะไล่สายตาพบว่าสิ่งที่ขวางหน้าคือดาบที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยม นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวตะลึงเพราะคาดไม่ถึง
ดาบนั่น… มันมาอยู่กับเด็กคนนี้ได้อย่างไร?
นางเบิกตากว้าง ศรีสบตากับนาง
“ท่านมีเหตุอะไรที่ต้องทำร้ายท่านทั้งสองคนนี้?” ศรีถามต่อพลางปัดแท่งเหล็กนั่น เพื่อนของเธอมองอย่างตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าศรีจะเข้าไปหยุดการต่อสู้ ที่พวกเขาไม่ไปห้ามเพราะซอเคยบอกว่าถ้านางกับอรัญญิกโดนท้าสู้แบบไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็อย่าเข้ามาห้าม
แววไพรลอบกลืนน้ำลายแล้วถามเธอด้วยเสียงที่สั่นเพราะหวาดกลัวกับความรู้สึกบางอย่าง…
“ศรี… ดาบนั่น… มัน……….”
“ไว้ค่อยอธิบายนะจ๊ะแววไพร” ศรีหันไปตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน ทำให้ความกังวลและความกดดันหายไป
อรัญญิกไม่กล้าหายใจเพราะรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่มาจากเด็กหญิงเกล้ามวยผมและดาบทั้งสองด้าม
เด็กคนนี้…
‘ศรีคือยักษิณีแห่งตระกูลวีรสังฆะ ปิ่นปักผมนั่นแปรงเป็นดาบได้ด้วยล่ะ’
คำพูดนั้นพินทุบอกนางก่อนที่ศรีจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ อรัญญิกในตอนนั้นแทบจะไม่ได้ฟังเพราะคิดว่าเป็นดาบธรรมดา แต่ไม่ใช่เลย…
หาใช่เพราะดาบ แต่เป็นพลังบางอย่างจากศรี
คำแรกที่ศรีเห็นเธอนึกว่าเป็นเรือนไทยหลายชั้น เธอแทบไม่เชื่อว่าเรือนไทยนี้จะเป็นโรงแรม ศรีสังเกตมาตลอดทางที่เดินมานั้นบ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้และมีหลังคาทรงไทยแทบทุกหลัง เธอประทับใจมากเพราะนอกจากบ้านแล้วการแต่งกายของคนที่นี่ใส่เสื้อแบบสมัยก่อนบางคนก็แต่งตามยุดสมัยใหม่ เธอผ่านเห็นเด็กสาววัยรุ่นใส่เสื้อเอวลอยจนแทบจะเห็นเสื้อชั้นใน กางเกงขาสั้นเลยเข่า ศรีมองภาพนั้นอย่างรังเกียจแต่ก็ไม่แสดงสีหน้าบอกไปได้เพียงแต่ยิ้มเหยๆ
ระหว่างทางเธอรู้สึกถึงสายตาหวานหยาดเยิ้มที่เด็กผู้หญิงและเด็กสาวหรือมากกว่านั้นมองเธอด้วยความหลงไหล บางครั้งสบตากับพวกเขาเธอก็เลยยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อเพราะรู้สึกขนลุก
โรงแรม (เรือนไทยหลายชั้น) มีสระบัวกว้างล้อมรอบตรงด้านหน้าแบ่งเป็นสองฝั่ง เหล่าดอกไม้โปรยปรายตามสายลมยามทิวา เหล่าพนักงานสวมชุดแขนยาวนุ่งผ้าถุงลายกนก ---เพียงเท่านี้ศรีก็มีความสุขจนเก็บอาการแทบไม่อยู่แล้ว ธันนะเห็นศรีที่ทำหน้าเพ้อก็ดึงผมเธอสามทีเพื่อเรียกสติ
“เก็บอาการหน่อยสิ” ธันนะเตือนเบาๆ ศรียิ้มให้แล้วเอ่ย “ขอโทษจ้ะ แหะๆ” เพื่อนๆ บางคนที่เห็นก็หัวเราะ ซออมยิ้มก่อนจะมองไปข้างหน้า
“อยากนอนอะ” ปักเป้าล้มตัวลงเมื่อมาถึงห้องพักที่อรัญญิกจองแล้ว เขากลิ้งตัวไปมาอย่างสบาย ดินขาวมองแวบหนึ่งแล้วทำเป็นไม่สนใจก่อนจะถอดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาถามปักเป้า
“ปักเป้า เจ้าจะอาบน้ำไหม?”
“มิอาบน่ะ เจ้าอาบก่อนเลย” ปักเป้าตอบด้วบใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางเขยิบร่างพาศีรษะหนุนหมอน
…แล้วก็หลับ
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งหลับนะปักเป้า นี่! ตื่นสิ!!” ดินขาวเข้าไปดึงร่างปักเป้าแต่ไม่ว่าจะตบจะบีบจมูกก็ไม่มีทีท่าว่าเด็กชายจะตื่น ดินขาวเห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“เฮ้อ… ถ้าจะนอนก็ช่วยอาบน้ำก่อนนะ ที่นอนจะได้ไม่สกปรก”
“ฟี้…”
ไม่มีเสียงตอบมา ดินขาวจึงเข้าห้องน้ำด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิง เขาคิดว่าถ้าเพื่อนผู้ชายที่ไปซื้อขนมมาด้วยก็ดีหรอก
“ลองกินดูสิธันนะ อร่อยดีอะ” โซค่อนยื่นขนมปังสอดไส้สังขยาจ่อปากธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามปฏิเสธโดยการเบือนหน้าหนี โซค่อนมองตาละห้อย เย็นชาจัง…
หว่อซีอาวิ่งพร้อมกับชูถุงใส่ซาลาเปา แล้วพูดเสียงดัง
“ทุกคน…! ข้าได้ของฟรีมาด้วยล่ะ กินมั้ย?” บางคนสายหน้าให้คำตอบบางคนก็พยักหน้า เซอาห์แบมือเป็นเชิงบอกว่าทาน ซีอาจึงหยิบให้เขาแล้วยิ้มร่าเริง
ธันนะกัดผิวนุ่มๆ สีขาวพลางเดินเลี่ยงไปตรงขอบสระบัว สายตาของเขาเห็นใครบางคนยืนยิ้มให้เขา
นั่น… เสไพรนี่
รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนจนธันนะนึกว่าเขาเห็นภาพลวงตา คนที่ยิ้มให้ธันนะคือเด็กชายผมสีดำปลายสีขาวกำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างหลังเด็กชายมีต้นลีลาวดีปลูกอยู่ ธันนะหลบหน้าก่อนจะเดินไปนั่งใต้ต้นราชพฤกษ์ คิ้วขมวดด้วยความเคลียดและไม่สบายใจ รพิที่สังเกตตอนที่เขายืนตรงขอบสระแล้วก็ถามอย่างเป็นห่วง
“พี่ธันนะครับ ไปพักในห้องก่อนมั้ยครับ หน้าซีดเชียว”
“ไม่เป็นไร ฉันยังไหว”
ตี๊ด… ตี๊ด… ตี๊ด…
เสียงบางอย่างดังขึ้น ทุกคนต่างหันไปมองธันนะ เขาสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ก็จำใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายก่อนจะเอ่ย “สวัสดี นั่นใคร”
“เสไพรน่ะ” คำตอบนั้นทำให้ธันนะว้าวุ่นใจ ปลายสายคำเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “เป็นไงบ้าง อยู่ที่มิตินี้สบายดีไหม?”
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง…” ธันนะไม่ตอบแต่ถาม ปลายสายตอบอย่างอารมณ์ดี “ฉันรู้จักที่นี่มาค่อนข้างนานแล้ว ว่าแค่นายน่ะมาอยู่ที่นี่ได้ไงเหรอ?”
“ถูกผีคลองดึงลงมา” เขาไม่รู้ว่ามือปริศนานั่นคืออะไรเลยตั้งชื่อให้มันอย่างนั้น “ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่มั้ย ฉันวางสายล่ะ”
กล่าวจบเขาก็ตัดสาย พงสณะที่ไปซื้อของเพิ่งกลับมาเห็นเพื่อนๆ ยืนเงียบมองธันนะก็สงสัยจึงถาม
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
“ดูเหมือนมีคนก่อกวนพี่ธันนะน่ะครับ” รพิตอบเสียงเบาไม่ให้ธันนะได้ยิน เด็กชายสวมเสื้อกล้ามลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ย
“ฉันขอตัวไปเดินเล่นนะ”
“นั่นนายจะไปไหนน่ะ!”
พงสณะถามรั้งไว้ ธันนะมองเขาด้วยสายตาแล้วตอบ
“เรื่องของฉัน”
ธันนะเดินจากไป ทิ้งความเงียบไว้ให้เพื่อนๆ…
ดอกเข็มกับกลีบเย้าเข้ามาพักในห้อง เพื่อนผู้หญิงคนอื่นออกไปเดินเล่น เด็กหญิงชาวไทแสกเข้ามากอดเด็กหญิงชาวเย้าแล้วหอมแก้ม เม็ดแตงสะบัดหน้าหนีอย่างเขินอาย
“แหม มิต้องเขินดอกเม็ดแตง” ดอกเข็มอมยิ้มกับท่าทีนั้นก่อนจะเข้ากอดเม็ดแตงอีกครั้ง คราวนี้เธอกอดแน่นมากเด็กหญิงผมหยักศกจึงหนีไม่พ้น ดอกเข็มซุกหน้ากับคอขาวนวลพลางสูดกลิ่นกายอย่างเคลิบเคลิ้ม โอกาสที่มีเพียงน้อยนิดต้องรีบคว้าไว้
“ออกไปนะ!”
“ข้ามิออกไปดอก เจ้าเนี่ยน่ารักจริงๆ” กล่าวจบดอกเข็มก็หยิกแก้มนุ่มนิ่มแล้วยืดเข้ายืดออก กลีบเย้าหมดแรงจึงปล่อยให้ดอกเข็มแกล้งเธอเรื่อยๆ เมื่อแกล้งจนพอใจแล้วดอกเข็มก็กอดกลีบเย้าไว้เฉยๆ
“เจ้า… รักข้าไหม?” ดอกเข็มถามด้วยเสียงแผ่ว กลีบเย้าหน้าแดงขึ้นกว่าเดิม เธออ้ำๆ อึ้งๆ “ข้า… ยังไม่แน่ใจ”
“มิรักข้าฤ?”
“ขะ ข้าชอบเจ้าแต่มิได้หมายความว่ารัก คำว่ารักยังอยู่ไกลจากเรานัก ตอนนี้ข้าเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่ประสีประสา……”
“แล้วข้าจะรอวันนั้น”
“……………”
“วันที่เจ้าจะรักข้า”
ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดได้ย้อนกลับมา…
ศรีนึกภาพโหดร้ายนั้นอย่างเจ็บปวด เพราะเหตุใดพี่สาวคนนั้นถึงต้องสังหารย่าตน เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ รอยยิ้มที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจนั้นได้ฉีกกระชากจิตใจ
เธอหยิบดาบนั่นออกมา ใบมีดสะท้อนดวงตาที่เศร้าหมอง เธอคิดผิดที่อัญเชิญดาบออกมา มันเป็นเพราะคำยั่วยุนั้นที่ทำให้เด็กหญิงต้องทำแบบนี้
“ท่านพี่ศรี เป็นอะไรฤๅเจ้าคะ?” ว่าวถามเธออย่างเป็นห่วง ศรีส่ายหน้าพลางยิ้มก่อนจะตอบ “พี่ไม่เป็นไรจ้ะ”
“งั้นฤๅเจ้าคะ…”
“………จ้ะ”
ตอนนี้เธอไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ