ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) บทที่ ๑๖: ของขวัญวันเกิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๖

[บรรยายโดยตัวละครชาย เด็กชายพงสณะ ไซนี]

ของขวัญวันเกิด

                ผมยิ้มหน้าบานเดินหาร้านที่คิดว่าน่าจะพอซื้อเป็นของขวัญให้ศรีได้ มีรึที่ผู้ชายอย่างผมจะไม่ซื้อของขวัญให้คนที่ตนเองรัก  แม้เดือนตุลาคมนี้จะไม่ใช่วันเกิดของเธอเพราะศรีเกิดเดือนพฤศจิกายนแต่เนื่องจากผมจะเจอได้นั้นก็ต้องเป็นช่วงปิดเทอม กลัวจะไม่มีโอกาสให้ของขวัญผมเลยต้องรีบซื้อรีบให้

                อ๊ะ! เจอแล้ว ร้านแบบนี้แหละที่ศรีชอบ งานฝีมือที่ออกแบบลวดลายสยามมีให้เลือกซื้อมากมาย จริงๆ แล้วร้านนี้ค่อนข้างใหญ่เลยล่ะเพราะพื้นที่ร้านใช้ถึงสามห้องด้วยกัน ชื่อของร้านคือ ร้อยงานไทย

                จะพูดว่าดีหรือไม่ดีเนี่ย? กว้างขนาดนี้มันต้องเลือกลำบากเพราะมีมาก ตัดสินใจไม่ถูกเลย

                ผมเข้าไปแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรให้พี่สาวคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อยืดรูปมังคุดกับผ้าถุงสีแก่ ผมสั้นประดับด้วยที่คาดผมลายผ้าขาวม้าสีส้ม พี่สาวคนนี้ชื่อ เพ็ญ เธอเป็นเจ้าของร้าน อายุยี่สิบกว่าๆ พี่เพ็ญยิ้มให้ผมพลางถาม

                “สวัสดีจ้า จะซื้ออะไรเหรอพี่จะได้หยิบให้”

                “สวัสดีครับ ขอบคุณนะครับแต่ผมยังไม่รู้เลยเดี๋ยวเลือกก่อนครับ”

                “จ้า ตามสบายเลยนะ”

                พี่เพ็ญกล่าวพร้อมกับยิ้ม ผมพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินเลือกของ ผมดูพวงกุญแจรูปช้างเล็กๆ ที่ติดโบว์สีชมพู แหม น่ารักจริงเชียว บล็อกข้างขวาเป็นรูปแมวหลากสีใส่ชุดคอกระเช้าบางตัวก็ใส่ชุดตะเบงมาน

                ราคาร้านที่นี่จะว่าไปมันแพงหรือไม่แพงนะ เจ้าพวงกุญแจก็ราคา ๑๐ บาท (อันนี้ขนาดใหญ่ ขนาดเล็กราคา ๕ บาท) ผมว่ามันคุ้มนะเพราะแต่ละตัวมันออกแบบได้แปลก (แต่น่ารัก) การลงสีก็สวย

                มาดูกระเป๋าบ้าง ผมคิดว่าจะไม่ดูพวกเครื่องประดับเพราะใครซื้อให้เธอทีไรก็ไม่ค่อยใส่เว้นแต่ไปเที่ยวหรือไปงานต่างๆ ถ้าจะเลือกแบบที่เธอใช้ค่อนข้างบ่อยก็ต้องเป็นกระเป๋าสะพายไม่ก็พวงกุญแจ

                ผมหยิบกระเป๋าลายดอกไม้เล็กๆ ที่มีลายกนกประปราย ขนาดซิบยังเป็นรูปกนกเลย

                 ---ผมว่ามิตินี้จะต้องเป็นโลกในฝันของศรีแน่ๆ เพราะเธอเคยบอกว่าชอบอะไรที่เป็นสยามมากๆ ชนิดที่ใครมาสบประมาทได้มีเฮ (เพราะตาย) แน่

                “เลือกยากจังน่อ ดีๆ ทั้งนั้นเลย”

                “ให้ข้าช่วยเลือกไหม?” มีใครบางคนถามผมจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงของศรีแต่เรียนคนละห้องกัน เธออยู่ห้อง ๒ ศรีอยู่ห้อง ๗ (ทำไมต้องอยู่ห้องสุดท้ายด้วยก็ไม่รู้)

                “ยันต์เธอรู้ด้วยเหรอว่าศรีชอบของแบบไหน”

                ถึงผมจะรู้ว่าศรีชอบอะไรแต่ถ้าเธอคนนี้ซึ่งเป็นผู้หญิงน่าจะพอรู้มากกว่าผม เด็กหญิงคนนี้มัดผมต่ำสีเงินปลายดำ ชื่อว่า ยันต์บุษบา อาคมทมิฬ เป็นบุคคลที่ศรีเกลียด โดยตามนิสัยของศรีจะเป็นคนที่มีเหตุผลในการเกลียด (มันก็ธรรมดานะ) แต่ไม่ใช่คนที่ชอบเห็นใครเด่นเกินหน้าเกินตาหรืออะไรก็ตามแต่ ศรีไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใคร แต่ถ้ากับคนนี้ผมก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเกลียดนัก

                “รู้สิ งั้นข้าบอกเลยละกัน ศรีน่ะชอบของแบบไทยก็จริงแต่ถ้าจะทำให้เธอประทับใจนานๆ ก็ต้องเป็นของที่ทำด้วยตัวคนให้น่ะ”

                “หือ? ศรีไม่เคยบอกฉันเลยนะ” ผมแปลกใจ เพราะเรื่องแบบนั้นตัวยันต์ไม่น่าจะรู้ได้ “ไม่เคยบอกแต่ถ้านายเคยสังเกตจะเห็นว่าศรียิ้มแทบไม่หุบเลยล่ะ เพราะนั่นมันแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคนให้ แล้วรายละเอียดของงานจะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจไงล่ะ”

                อึ้งเลยครับ สมแล้วที่เป็นศรี เธอเป็นคนที่อยากได้ความรักเป็นสิ่งให้ใจมากกว่าของนอกกาย เป็นผู้หญิงที่ละเอียดอ่อนเหมือนกันแฮะ

                “แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำอะไรให้ดีล่ะ?”

                “เอาเป็นพวงกุญแจก็ได้ ห้อยกระเป๋านักเรียนไปก็ดูดีนะ” ยันต์ตอบด้วยใบหน้าเรียบๆ แต่ตาฉายแววบางอย่าง ไม่ใช่ความกดดันแต่เป็นความรู้สึกพิเศษที่จะมีให้คนสำคัญ

                รึว่ามันจะเป็นพวกเดียวกับแววไพรหว่า

                “ฉันว่ามันทำยากนะ ตัวเล็กเย็บยากจะตายแถมต้องใส่ที่ห้อยด้วย ---ทำหมอนศรีจะชอบปะ?” แต่เรื่องงานประดิษฐ์ผมไม่ถนัดจริงๆ “แบบนั้นก็ใช้ได้ แต่ข้าก็ไม่รับประกันนะว่าศรีจะใช้หนุนนอน”

                “ทำไมล่ะ?” ผมถาม “เจ้าลองคิดดูสิ ศรีมันเกลียดเจ้าใช่ไหม? ถ้าศรีใช้หมอนนอนมันก็เท่ากับว่าใกล้ชิดกับเจ้านะซี” ยันต์ตอบพลางยิ้มพวงกุญแจขึ้นมาดูด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นสงบแล้วกล่าวต่อ

                “ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นผู้ชายที่ยอมลำบากเพื่อคนที่รักนะ” เธอวางมันลงก่อนจะออกห่าง เธอพูดต่อ “ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

                “อะ อ้าว! เดี๋ยวสิ!! จะไปแล้วเรอะ” ผมรีบพูดยั้งไว้เมื่อยันต์ก้าวเดิน เธอหันมาแล้วตอบ “ข้าผ่านมาเห็นเจ้าทำหน้ายุ่งยากเลยมาช่วย หมดธุระแล้วข้าก็จะไปทำอย่างอื่น” จากนั้นก็ออกจากร้าน บทจะมาก็มาน่อ

                แต่ช่างเถอะ เรื่องที่ตอนนี้ต้องคิดคือของขวัญ เอาไงเอากัน! ลองทำดูก็ไม่เสียหายนี่ ผมคิดได้ดังนั้นจึงเดินไปหาพี่เพ็ญที่กำลังวางของตรงบล็อกที่ของใกล้หมด ผมเอ่ย

                “พี่เพ็ญครับ ผมเปลี่ยนใจยังไม่ซื้อนะครับ”

                “จ้ะ ว่าแต่น้องมาซื้อไปทำอะไรเหรอ” พี่เพ็ญถามพลางยกกล่องกระดาษ ผมอ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะตอบ “ซื้อของขวัญให้เพื่อนน่ะครับ

                “ศรีใช่ไหมจ๊ะ?” คำถามนั้นทำเอาผมไปต่อไม่ถูก เขินง่ะ! “ค่ะ ครับ”

                “ฮิๆ ไม่เห็นต้องเขินเลยนี่ ดูซิน่าแดงเชียว” พี่เพ็ญที่วางกล่องกระดาษเสร็จตรงหลังเคาน์เตอร์หันมายิ้มให้ผม เธอหยิกแก้มผมแล้วพูด

                “งั้นพี่ไปจัดของต่อนะ” เธอกล่าวพร้อมกับเดินไปห้องทางขวา ผมยิ้มให้เธอก่อนจะออกจากร้าน

                หลังจากนั้นผมก็เดินหาร้านที่ขายอุปกรณ์เมื่อเจอก็เข้าไปแล้วซื้อมา จริงๆ ก็หยิบๆ ไป ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรดี ขณะที่กำลังคิดอะไรม่ออกนั้นผมก็ยืนนิ่งอยู่หน้าร้านขายอาหารตามสั่งเผอิญมองร้านที่รับวาดรูปตนเอง

                แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมา

                นึกออกแล้ว

 

                ผมเก็บตัวอยู่ในห้องพักเพื่อทำของขวัญให้ศรี ค้นหาวิธีทำในเน็ตก่อนจะเริ่มลงมือทำอย่างตั้งใจแต่พอผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแหละแทบจะเป็นลม มันไม่ง่ายเลยอะ

                หวังว่าศรีจะชอบนะ               

                .

                .

                .

                ผมรีบไปที่ห้องพักของศรีซึ่งต้องลงไปอีกชั้นหนึ่ง ผมเคาะประตูห้อง มันถูกเปิดออก คนที่เปิดคือบรรพต

                “มีอะไรฤ?” เธอด้วยเสียงเหมือนผู้ชาย ผมยิ้มแล้วตอบ “มาหาศรีน่ะ”

                “ถ้าศรีล่ะก็อยู่นอกโรงแรมน่ะ ว่าแต่เจ้ามาหาศรีทำไม?” เธอถามอย่างจับผิด ผมตอบ “ม่ะ ไม่มีอะไรหรอก ในฐานะที่ฉันเป็นว่าที่สามีศรีในอนาคตฉันก็ต้องมาถามทุกข์สุขดิบบ้างสิ” ผมกลบเกลื่อนไม่ตอบเรื่องของขวัญ บรรพตทำหน้าฉุนๆ แล้วพูด

                “ข้าว่าศรีมันจะเป็นทุกข์เพราะเจ้านั่นแหละ ไปๆ ประเดี๋ยวตรงนี้จะสกปรก” เธอว่าพร้อมกับใช้มือปัดๆ ไล่ผม

                “โห! เห็นฉันเป็นตัวอะไรเนี่ย”

                “ผ้าขี้ริ้ว”

                “แรง! เฮอะ งั้นฉันไปก่อนล่ะ” ไม่ง้ออยู่ต่อหรอก ผมเดินจากตรงนี้ก่อนจะเร่งฝีมือเท้าเร็วๆ ไม่อยากวิ่งสร้างเสียงรบกวน

                ถึงแล้ว ว่าแต่ศรีอยู่ไหนอะ ผมหันซ้ายหันขวามองหน้ามองหลัง (?) โอ๊ะ! อยู่นั่นเอง

                ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ตั้งใจจ๊ะเอ๋เธอเล่นแต่เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นภาพบาดตา ว่าวใช้ริมฝีปากจุ๊บแก้มศรี…

                อ้าก!! นั่นเนื้อของข้านะโว้ย!!! (??)

                ผมไม่รอช้าเข้าไปใช้มือแยกทั้งสองคนออกห่าง กล้าดียังไงมาแย่งคนรักคนอื่นเนี่ย ผิดศีลข้อสามนะ ว่าวหันมาทำหน้าหงุดหงิดพร้อมกับแผ่จิตสังหาร เหอะๆ ข้าไม่กลัวหรอก!

                “อ้าว มีอะไรเหรอ?” ศรีหันมาถามพลางกินขนมเบื้องสอดไส้ฝอยทอง ผมยิ้มอย่างดีใจพลางตอบ “มีของจะให้ อะ”               ผมยืนถุงผ้าเล็กๆ สีดำขอบสีชมพู เธอเคยบอกว่าชอบสองสีนี้ แต่ผมก็แอบคิดนะว่าคนแบบศรีชอบสีดำได้ยังไงกัน (ผมล่ะอย่างเกลียดเลย มืดเกิ๊น)

                “ขอบคุณนะ แต่ให้ทำไมเหรอ?” เธอเคี้ยวหงุบๆ ท่ามกลางสายตาอาฆาตของว่าว ผมไม่สนใจแล้วยิ้มให้ศรีต่อไป

                “ของขวัญไงล่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ”

                “ขอบคุณ แต่เดือนนี้ไม่ใช่วันเกิดฉันนะ” ศรีทำหน้าอย่างไม่เข้าใจ ผมหัวเราะแล้วตอบ “ถ้าเปิดเทอมแล้วฉันอาจจะไม่มีโอกาสให้เธอน่ะ”

                “อ๋อ ยังไงก็ขอบคุณนะ …พงสณะ” ใบหน้ามนปรากฏรอยยิ้มงดงาม แค่ศรียิ้มได้แบบนี้ผมก็มีความสุขแล้วแต่จะสุขยิ่งกว่าถ้าในอนาคตได้แต่งงานกับเธอ

                “นี่ ถ้าหมดธุระก็กลับไปได้แล้วนะเจ้าคะ” ว่าวเอ่ยแทรก ผมแกล้งไม่สนใจต่อไปก่อนจะเอ่ยต่อ “งั้นฉันกลับก่อนนะ”

                “อื้ม” ศรีตอบยิ้มๆ เธอจดจ้องแต่ของขวัญ ง่ะ! ไหงคนให้เธอไม่สนใจน่ะ

                ผมเดินจากตรงนั้น ใจจริงก็อยากอยู่ต่อแต่ดูท่าว่าศรีจะไม่สนใจผมเลย ช่างเถอะ คราวหน้ามาหาก็ได้ ผมกลับไปที่โรงแรม นั่งทำพวงกุญแจเหมือนวิ่งสนาม ๑๐ รอบเลย เหนื่อยชะมัด

                ผมผ่านห้องของปักเป้า หมอนั่นทำอะไรอยู่นะ ไม่เห็นออกมาเลย ด้วยความสงสัยผมจึงเปิดประตูเบาๆ เพื่อดู

                แอ๊ด……

                ร่างนั้นนอนแถบไม่กระดิก …สงสัยจะเหนื่อย ผมคิดอย่างนั้นแล้วออกจากห้อง แต่ก่อนจะพ้นขอบประตูก็ได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ ---ใครอาบน้ำหว่า อืม ธันนะ พงสณะ หว่อซีอา เซอาห์ รพิ เฉาก๊วย ขนมชั้น (ว่าแต่เจ้า ‘ก๊วยกับเจ้าชั้นมันหายไปไหนเนี่ย) และโซค่อนก็อยู่ข้างล่าง ปักเป้าก็นอนอยู่

                งั้นก็เหลือแค่คนเดียว

                “ดินขาว นายอาบน้ำเหรอ?” ผมถามเมื่อเดินมาอยู่หน้าห้องน้ำ ผู้อยู่ในนั้นตอบกลับมา “ใช่แล้วล่ะ มีอะไรฤ?”

                “เปล่าๆ แค่สงสัยว่าใครอาบอยู่” ผมตอบก่อนจะเดินออกไป

                ว้า! ไม่มีอะไรทำเลยแฮะ ผมคิดอย่างเซ็งๆ พลางเดินเพื่อลงไปข้างล่าง ---ผมผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวของเธอหยักศกสีเขียว นุ่งโจงกระเบน ตาผมเหลือบเห็นว่ามุมปากมีรอยแบบกนก ลักษณะแบบนั้นหรือว่าจะเป็นยักษ์

                ผมไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมา เพราะสมัยนี้ของมิติผกายได้มีการลงสนธิสัญญาระหว่างผู้ใช้อาคมกับ

อมุนษย์ ซึ่งยักษ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น มีกฎของยักษ์ออกมาว่าห้ามทานเนื้อมนุษย์เว้นแต่เป็นศัตรูของยักษ์ส่วนใหญ่หรือมีความผิด

                แต่เธอคนนี้ผมไม่วางใจ เพราะระหว่างที่เราสวนกันเธอยิ้มแปลกๆ ผมมั่นใจว่าเธอยิ้มให้ผม แต่รอยยิ้มนั้นมันเหมือนมีแผนอะไร

                หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นนะ…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา