ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) บทที่ ๑๓: คู่ปรับของเด็กชายนาม ธันนะ อรุณทิพย์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๓
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
คู่ปรับของเด็กชายนาม ธันนะ อรุณทิพย์
มาถึงที่กรุงเทพฯ แล้ว แต่ยังไม่สุดในตัวเมือง กระนั้นบ้านเรือนอาคารก็ยังมีมากมาย รถเทียมม้าค่อยๆ เคลื่อนไปจอดในที่จอดรถสำหรับรถเทียมม้าหรือพาหนะอื่นๆ ที่ไม่ใช่เครื่องยนต์
อรัญญิกมองผู้เก็บเงินค่าจอดรถก่อนจะลงจากพาหนะ อรัญญิกไม่ต้องจ่ายเนื่องจากนางเป็นรองนายิกา หญิงผู้เป็นหัวหน้าในแต่ละกลุ่มของภาคตนเองจะได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเว้นก็แต่บางอย่าง อรัญญิกนึกถึงเรื่องนี้พลางยิ้มอย่างภูมิใจ การได้ตำแหน่งรองหรือเป็นนายิกามานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
หากไม่ได้ท่านซอช่วยไว้เราคงไม่ได้ตำแหน่งนั้น…
“ไปกันเถิด” ซอกล่าวพร้อมกับลงจากรถเทียมม้า อรัญญิกจึงลงตามมาด้วย ดูเหมือนพวกเด็กๆ จะรู้ตัวเมื่อรถจอดทุกคนจึงลงมาบางคนอาจจะมีเรื่องไม่พอใจกันบนรถพอลงเลยจิกกัดกันตลอด แต่ท่าทางดูขำๆ อรัญญิกจึงไม่ใส่ใจ
ซอบอกให้เด็กๆ ไปเดินเล่นกันก่อน ทุกคนจึงแยกย้ายตามสะดวก ศรี ธันนะและดินขาวไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินไปตรงสะพาน ทำให้ธันนะและศรีนึกถึงวันแรกที่ทั้งสองพบกัน …พอนึกภาพย้อนกลับไปก็รู้สึกไม่ประทับใจ
สะพานหักเพราะแรงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ (?)
“จำได้ไหมจ๊ะ วันที่เราพบกันน่ะ” ศรีเปิดปากพูดพลางเท้าแขนสองข้างกับราวสะพาน ธันนะพยักหน้าแล้วตอบ “ไม่ค่อยประทับใจเลย แรงคนหรือแรงช้างเนี่ย?”
“คนสิ! นายเนี่ยใจร้ายจังพูดดีๆ กับฉันหน่อยก็ไม่ได้”
“ก็คงเหมือนกับที่เธอพูดต่อพงสณะนั่นแหละ”
“ง่ะ นายก็งี้ทุกที อย่างน้อยฉันก็ไม่เหมือนนายนะที่ทำหน้าขรึมเย็นชาไปวันๆ” ศรีก้มหน้าลงมองเงาตนเองกับเด็กชายคู่สนทนา ใบไม้ร่วงมาแตะผิวน้ำปรากฏวงคลื่นบางๆ เธอมองภาพนั้นด้วยความเพลิดเพลิน ระหว่างนั้นธันนะก็พูดลอยๆ
“รู้สึกหิวแฮะ ไปซื้ออะไรกินกันปะ” ศรีหันไปมองก่อนจะตอบ “ไม่ล่ะ ขอโทษนะ”
“ช่างเถอะ”
เด็กชายกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักที่พูดเท็จและถามก็แค่หาเรื่องคุยแก้เบื่อก็เท่านั้นเอง ธันนะมองใบหน้าขาวเนียนของเด็กหญิงเกล้ามวยผม ผมสีดำสนิทเงางามปล่อยมาครึ่งหนึ่งยาวถึงเอว ฉากหลังมีใบไม้ปลิวลงมา เด็กชายมองภาพนั้นเหมือนโดนคำสาปอันหอมหวานให้จมปรักอยู่ในความฝันที่มิอาจตื่นขึ้นมา
“ถ้าเกิดจะกินละก็ไปกับข้าก็ได้นะ ข้าเองก็ชักจะหิวขึ้นมาน่ะ” ดินขาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปหาธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามสีเทาส่ายหน้าแล้วตอบ “จริงๆ ก็แค่อยากกินแก้เซ็งน่ะ”
“งั้นเหรอ” ดินขาวเอ่ยเบาๆ
“…”
“…”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
“นี่พวกนาย มากินปาท่องโก๋มั้ย!” มีเสียงตะโกนจากเฉาก๊วย เด็กชายยืนอยู่หน้าร้านขายนม ขนมปัง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋และอีกสารพัดตามแต่ละร้าน เด็กทั้งสามหันไปมอง ศรีตอบกลับ
“เอาจ้ะ ฉันขอปาท่องโก๋ ๕ ชิ้นนะจ๊ะ เดี๋ยวคิดเงินทีหลังนะ!”
“ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก ท่านซอเลี้ยงน่ะ!” เฉาก๊วยตอบด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ข้างๆ เขามีรพิถือถุง ดอกเข็มกับกลีบเย้ากำลังหยิบปาท่องโก๋ทานอยู่โดยกลีบเย้าเป็นคนถือถุงใส่ ศรีมองแล้วยิ้มแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนขายเป็นเด็กผู้ชาย
หือ? ขายคนเดียวเหรอ เก่งจัง
ศรีคิดด้วยความรู้สึกชื่นชม สำหรับบางคนคิดว่าเรื่องแบบนี้มันธรรมดา ระหว่างที่ศรีมองภาพนั้นธันนะก็ถาม
“ศรี ปิ่นปักผมของเธอน่ะ มันมีอะไรรึเปล่า?” ศรีกะพริบตาปริบๆ กับคำถามนั้นเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะถาม เธอตอบ “ขอโทษจ้ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ แต่พ่อเคยบอกว่ามันสำคัญมากๆ เลยล่ะ บอกเพิ่มเติมว่ามันลงอาคมชั้นสูงไว้อยู่น่ะจ้ะ” ธันนะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ กระนั้นเขาก็ยังสงสัยอยู่ดี มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ
ดูเหมือนปิ่นปักผมของศรีจะต้องมีพลังอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่งั้นชนกกับอรัญญิกไม่มองหรอก ถ้าตามนั้นก็หมายความว่าชนกและอรัญญิกต้องรู้จักปิ่นปักผมนี้แน่นอน
รัดเกล้าสีเงินฝังด้วยอัญมณีสีแดง ๓ ด้าน ปิ่นปักผมสีเงินสะท้อนแสงอาทิตย์ยามทิวา เหมือนสายน้ำที่ประกายแสง ธันนะมองอย่างเพลินๆ ก่อนที่ศรีจะพูด
“ธันนะ ดินขาว เราไปกินกันเถอะ!” พร้อมกันนั้นเธอก็ออกเดิน เด็กชายสองคนจึงตามไป ระหว่างเดินนั้นก็มีใครบางคนทักธันนะ เด็กชายสวมเสื้อกล้ามมองคนนั้นอย่างตะลึง
“ไง ธันนะ… ฉันนึกว่าแกจะอยู่บ้านเลี้ยงน้องซะอีก” เบื้องหน้าเขาทันทีทีหันไปมองคือเด็กชายสวมผ้าใส่ยางครอบศีรษะสีเทากำลังแสยะยิ้มพร้อมกับเด็กชายอีกสองคน คือเด็กชายโกนผมออกหมดสวมสร้อยสีแดงและอีกคนไว้ผมประบ่าตาตี่
ธันนะขมวดคิ้วอย่างกังวล เอาแล้วไงล่ะ นั่นมันคู่ปรับของเขานี่!
“พวกนายเป็นใครเหรอ?” ศรีถามอย่างไม่สบายใจเพราะเธอเห็นหน้าธันนะมีเหงื่อซึมออกมา ท่าทางเด็กชายทั้งสามต้องไม่ใช่พวกดีแน่
“ฉันชื่อรุกข์ ส่วนไอ้หัวไร้ผมนี่ชื่อพานร ส่วนตาตี่นี่ชื่อไศล แล้วเธอล่ะ?” เด็กชายที่ดูน่าจะเป็นหัวโจกมองเธอพลางยิ้ม “ฉันชื่อสังรศรี วีรสังฆะ”
เด็กชายนามรุกข์ยิ้มก่อนจะถามแบบแซวๆ
“เป็นแฟนธันนะเหรอ”
“ไม่ใช่จ้ะ ฉันเป็นแค่เพื่อนน่ะ!” คำตอบนั้นทำให้ธันนะจุกในอก
…ความรู้สึกนี้คืออะไรกันนะ
“ฮึ! เรามาเล่นกันหน่อยดีมั้ย” รุกข์เอ่ยอย่างมีนัยแอบแฝง ธันนะรู้ดีว่าคู่ปรับอย่างรุกข์ไม่มีทางจะเล่นกับเขาแน่
---เพราะคำว่า เล่น หมายถึง ต่อสู้---
“ไม่ล่ะ”
ฟึ่บ!
รุกข์เข้ามาล็อกคอธันนะไว้ก่อนที่ไศลจะเข้ามาชกท้องธันนะ
“อั่ก!”
ธันนะร้อง รู้สึกจุกมาก แต่ความรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายเขาชินแล้ว ---มันเป็นแบบนี้ประจำที่จะมีเพื่อนผู้ชายมาแกล้งกัน เกือบทุกวันที่เขาต้องฝืนสังขารกลับมาบ้านโดยมีน้องชายถามอย่างเป็นห่วง เด็กชายสวมเสื้อกล้ามสีเทาคุกเข่าไม่มีแรงจะยืน เมื่อกี้โดนชกเต็มแรงเลยจุกไม่น้อย
พานรอัญเชิญดาบมาถือในมือ เป็นดาบไทยธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เขากวัดแกว่งดาบไปมาก่อนจะวาดดาบลงมา
กึก!
“แกจะทำอะไร…” น้ำเสียงเย็นชานั้นแผ่ไปทั่วไขสันหลัง เด็กชายหน้าซีดทันทีมือแทบไม่ขยับเมื่อศรีจับดาบไว้ก่อน เลือดซึมหยดลงสู่พื้น ศรีจ้องเด็กชายทั้งสามอย่างไม่ละสายตา เธอชกเข้าที่หน้าของพานรส่งผลให้เขาเซไปชนกับไศล
“ถึงกับต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้เชียวเหรอ…?” เสียงที่ถามนั้นเบาหวิวแต่แฝงไปด้วยจิตสังหาร เธอเบือนสายตาไปมองจุดที่ดินขาวยืนอยู่แต่ก้ไม่พบเด็กชายเผ่าเย้า
เขาหายไปไหน?
‘หึๆ ทำไมเจ้ามิใช้ดาบนั่นล่ะ?’ เสียงแหบแห้งถามเธอ ศรีชะงักกับคำถามนั้นก่อนจะถามในใจ “ดาบอะไร?”
“ก็ปิ่นปักผมของเจ้าไงเล่า! เจ้านี่มันเขลานัก มีของดีไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์”
“ของดี?”
“เหอะ! ดาบของเจ้ามันมีฤทธิ์มาก ไม่สิ มีดาบไม่กี่ชนิดเชียวล่ะที่จะฟันมันหัก”
รอบตัวเธอกลายเป็นสีดำ ทุกสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงควันสีเทาลอยไปลอยมา เธอมองตามพลางถาม
“ปิ่นปักผม… ของฉัน… เนี่ยนะ?”
“ก็ใช่นะซี หากไม่เชื่อเจ้าลองอัญเชิญมันสิ”
“ฉันไม่เคยอัญเชิญสิ่งของหรืออะไรมาก่อน…” เธอเคยอัญเชิญแค่ให้วิญญาณมาสถิตในของแต่ไม่เคยเห็นตัวตนหรือให้มันทำงานอะไร เจ้าของเสียงที่บอกเธอหัวเราะ
“งั้น… นี่” ควันลอยไปรอบๆ ตัวเธอก่อนที่จะปรากฏตัวอักขระไทยโบราณขึ้นมา มันร้อยเรียงรอบๆ ร่างเป็นสีแดง เจ้าของเสียงกล่าว “ท่องตามนั้นเลย แม้มันจะเป็นอักขระแบบสมัยก่อนแต่ข้าคาดว่าเจ้าน่าจะอ่านออก”
ศรีหายใจเข้าลึกๆ ความคิดแล่นมั่วไปหมดไม่เป็นระบบ จะเอาไงดี…
แต่เธอก็ได้คำตอบ เธอเองก็สงสัยเหมือนกัน ดาบที่ว่าเป็นดาบแบบไหน ปากขยับท่องตามอักขระ สักพักตัวอักขระสีแดงก็รวมตัวสร้างร่างเป็นรูปดาบ มันเปล่งแสงก่อนจะไล่ร่างเป็นดาบไทยสองด้าม ข้างขวาเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีเพชรสีแดงฝังอยู่ ข้างซ้ายเป็นลายกนก เธอมองดาบอย่างตะลึง
“น่ะ นี่มัน…อะไร”
“ดาบนี้มีวิญญาณยักษ์สถิตอยู่สองด้าม เพราะฉะนั้นมันจะออกมาปกป้องเจ้าในยามคับขัน มันมีความจงรักภักดีต่อเจ้ามากเลยล่ะ”
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ไม่พูดล่ะว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ครอบครอง” ศรีถามอย่างไม่เข้าใจ เจ้าของเสียงตอบ “ต่อให้ใครครอบครองมันก็จะไม่ยอมรับใช้ เผลอๆ อาจจะสังหารด้วยซ้ำ”
“ก็แล้วไงล่ะ ทำไมต้องเป็นฉัน” ศรีถามซ้ำเมื่อเจ้าของเสียงตอบอ้อมค้อม เจ้าของเสียงหัวเราะก่อนจะตอบ “เจ้ากับมันมีสายใยเช่นนาย---บ่าวมาตั้งแต่ชาติภพก่อน แต่เพราะอะไรนั้นข้าขอไม่ตอบเจ้านะ” ควันค่อยๆ หายไปพร้อมๆ กับเสียงที่เบาลง ศรีเอ่ยยั้งไว้
“เดี๋ยวสิ! มันหมายความว่ายังไง”
“---บทจบของนิทานจะเผยความจริง---”
“?!”
ควันนั้นหายไป รอบตัวเธอกลายเป็นเหมือนเดิม ลืมตาตื่นด้วยความสงสัยว่าเธอหลับไปตอนไหน พบว่าเป็นโอฟีเลียกำลังใช้พัดสีแดงโบกไปมาให้ลมแก่เธอ ศรีกำลังนอนอยู่บนตักของเด็กหญิงชาวสเปน เธอหันไปมองรอบๆ พบว่าเพื่อนของเธอกำลังมองอยู่อย่างเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอะไรมั้ย?” โอฟีเลียถาม เธอตอบ “ไม่จ้ะ ฉันไม่เป็นไร”
“เฮ้อ! โล่งอกไปที” เด็กหญิงสวมชุดแดงกล่าวยิ้มๆ ศรีมองเด็กหญิงพลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะหมดสติไป เด็กหญิงเกล้ามวยผมพูดเสียงดัง
“ธันนะ! ธันนะเป็นอะไรหรือเปล่าโอฟีเลีย?!”
“เจ้านั่นไม่เป็นไร ดินขาวพาไปนั่งพักแล้วล่ะ ส่วนไอ้สามหัวนั่นมันนั่งกินปาท่องโก๋อยู่ น่าไม่อายเนอะ ทำร้ายคนอื่นแล้วยังอาศัยเขากินอีก!” ท่าทางของโอฟีเลียกึ่งโกรธกึ่งขัน ทำให้ศรีลอบหัวเราะเบาๆ
ธันนะไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…
เธอคิดด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของเธอ…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ