ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่ ๑๒: ออกเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ออกเดินทาง

                “สบายดีแฮะ อาบน้ำอุ่นๆ หลังจากที่เสียเหงื่อเสียแรงไป” เฉาก๊วยเอ่ยด้วยความรู้สึกผ่อนคลายพลางกวักน้ำไปรินบนศีรษะธันนะ นั่นจึงทำให้เด็กชายหน้านิ่งขมวดคิ้วรำคาญ ธันนะหยิบขันตักน้ำไปราดบนศีรษะเฉาก๊วยเป็นการตอบแทน (?)

                “ทำไมถึงไม่ไปราดใส่ขนมชั้นล่ะ เห็นสนิทกันดีนี่”

                “นายทำหน้านิ่งอย่างนั้นมันน่าแกล้งอะ” เฉาก๊วยตอบอย่างขบขันก่อนจะค่อยๆ ดันกายให้จมสู่น้ำ ดินขาวมองพงสณะที่มีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม แก้มเป็นสีระเรื่อแดง เด็กชายเผ่าเย้าถามเขา

                “เป็นอะไรไปน่ะพงสณะ”

                “หึๆ นึกถึงศรีน่ะว่าถ้าเกิดเปลือยร่างจะเป็นยังไง คงน่าหม่ำเนอะ” คำตอบนั้นทำเอาดินขาวเหงื่อตกกับความหื่นของเพื่อนตน ก็ไม่แปลกหรอกที่ศรีจะเกลียดพงสณะเข้าไส้ โซค่อนยิ้มมีเลศนัยก่อนจะเอ่ย

                “โหย ไอ้พงสณะ ถ้านายหื่นขนาดนี้สนใจจะให้ฉันทำให้มั้ย?”

                “ทำอะไรน่ะ?”

                “แอบถ่ายศรีไง” คำตอบนั้นทำให้พงสณะคลี่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะถาม “ทุกอิริยาบถเลยเรอะ?”

                “ก็เกือบน่ะนะถ้าขยันหน่อย ถ้านายอยากให้ถ่ายฉันคิดเงินสองภาพเป็น ๕ บาทละกัน”

                “คิดด้วยเรอะ แกนี่มันเห็นแกเงินจริงๆ”  พงสณะเอ่ยพลางมองค้อนโซค่อนที่เห็นเงินมากกว่าเพื่อน เด็กชายผมยาวนามหว่อซีอายิ้มอย่างขันก่อนจะเอ่ย “ระวังด้วยล่ะ เดี๋ยวความแตกขึ้นมาจะเป็นเรื่อง ดีไม่ดีพวกเจ้าอาจถูกศรีจับมัดโยนให้จระเข้กิน”

                “นั่นสิครับ ผมว่าอย่าทำดีกว่า”

                รพิที่ใกล้จะหลับได้ยินพวกเขาคุยจึงลืมตาตื่นขึ้นมาพูด แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ทำเป็นไม่สนใจ เด็กชายผมสีเขียวนามเซอาห์เบี่ยงความสนใจพวกเขา ลากมือไปขยุ้มผมเฉาก๊วยก่อนจะกดศีรษะให้แนบกับก้นอ่างจนเด็กชายใต้น้ำต้องยกมือประท้วง

                “ทำอะไรของนายเนี่ยเซอาห์ เดี๋ยวฉันก็ได้กลายเป็นผีพรายพอดีหรอก!” เฉาก๊วยต่อว่าหลังจากโผล่ขึ้นมาซึ่งเขาก็ไม่ได้โกรธจริง เซอาห์จึงพิงแบบเดียวกับธันนะ

                ถ้าเกิดเราพูดได้แบบคนอื่นๆ ก็ดีน่ะสิ

                เป็นเพราะคำสาปนั่นจึงทำให้เรา---------

 

                เด็กชายสวมผ้าใส่ยางครอบศีรษะสีเทาเดินไปตามทางที่ปลูกต้นไม้อยู่รอบๆ พลางคุยกับปลายสายทางโทรศัพท์ไปด้วย

                “แกมองคนผิดหรือเปล่า ไอ้ธันนะมันจะมาที่นี่ได้ยังไง?”

                “[มาได้ยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ๆ มันมากับผู้หญิงเกล้าผมจุกเหมือนกุมารด้วยล่ะ]”

                “แฟนมันรึอย่างไร เออ แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ” เด็กชายขมวดคิ้วพลางถามไปด้วย ปลายสายตอบ “[ไม่รู้สิ เห็นว่าจะไปกรุงเทพฯ เนี่ยแหละ]”

                “อ้อ งั้นเรอะ งั้นแค่นี่นะ”

                “[บาย]”

                ติ๊ด---

                เด็กชายเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าอย่างหงุดหงิด ทำไมนะคู่แค้นอันดับ ๑ อย่างธันนะถึงต้องมาด้วย เขาหวังว่าปิดเทอมกลางภาคจะมาอย่างสบายใจแต่เจอคู่ปรับอย่างนี้ก็ไม่มีทางเลือก

                ถ้าส่งมันกลับไม่ได้ก็มีแต่ต้องกลั่นแกล้ง จะได้ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้เห็น

                หึๆ…

                งั้นไปรอที่กรุงเทพฯ เลยละกัน

 

                วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                เช้า

                “ฟี้… ฟี้…”

                เสียงกรนของบรรพตดังเบาๆ ศรีนอนโดยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะฟัง ข่มตาหลับไม่ลงแต่ไม่ใช่เพราะว่าบรรพตทำเสียงรบกวนแต่เป็นเพราะศรีนึกถึงความฝันนั้น เงาสองร่างสีดำเคลื่อนไหวพูดคุยไปมา นั่นทำให้เธอนึกถึงหนังตะลุงที่เคยไปดูในช่วงวัยอนุบาล

                ระหว่างที่นึกไปเรื่อยๆ ความมืดแห่งนิทราก็ครอบงำ…

                เด็กหญิงผมสีดำเกล้าต่ำปรากฎรอยยิ้มอันอบอุ่นให้เธอ ศรีในวัยอนุบาลยิ้มตอบพร้อมกับโผเข้ากอดอย่างรักใคร่ ซึ่งเด็กหญิงเองก็นั่งคุกเข่ากอดตอบพลางลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู ศรีคลอเคลียไปมาระหว่างนั้นเด็กหญิงเอ่ย

                “ไปดูหนังตะลุงไหมจ๊ะ”

                “หนังตะลุง… คืออะไรเหรอคะ?” คำถามนั้นช่างไร้เดียงสาจริงๆ เด็กหญิงคิดพลางยิ้มก่อนจะตอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เป็นการแสดงอย่างหนึ่งที่ใช้หนังสัตว์มาแกะเป็นลวดลายภาพตัวละครแล้วเชิดด้านในจอจ้ะ เราจะเห็นมันเป็นเหมือนเงาลางๆ น่ะ”

                “น่าสนใจจังเลยค่ะ หนูอยากไปดูจัง”

                “จ้ะ งั้นไปกันเลย”

                …หลังจากชมการแสดงหนังตะลุงจบทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความสุขกับเรื่องที่แสดง …แต่สิ่งที่ทำให้ศรีและเด็กหญิงยิ้มออกมาได้คือการที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน ขอเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

                “พี่รักหนูนะ”

                กระซิบแผ่วเบาพลางเอามือลูบศีรษะ ศรีรู้สึกง่วงนอนจึงเอนกายลงในอ้อมกอดของเด็กหญิง

                .

                .

                .

 

                ภายในห้องที่ใช้ไม้สร้างทำให้สภาพดูอบอุ่น ร่างที่จมอยู่ในนิทราหลับไหลอย่างเปี่ยมสุข แววไพรหลับตาพลางเขยิบกายเข้ากอดศรีที่หลับไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แววไพรทำเนียนลูบไล้เอวที่โค้งเว้าได้รูปของศรีอย่างเพลินๆ ลากไปลูบที่หน้าท้องแล้วค่อยๆ เคลื่อนไปบริเวณด้านบน มือสัมผัสกับบางอย่างที่กลมๆ นูนๆ อ่อนนุ่ม แววไพรติดใจจึงลงมือหนัก

                “อือ…” เสียงหวานครางออกมา เด็กหญิงสวมแว่นชะงักกลัวว่าศรีจะตื่น แต่เมื่อศรีไม่แสดงอาการอะไรออกมาแววไพรจึงทำต่อจากเมื่อกี้ มือบีบสิ่งนั้นอย่างสนุก ศรีขยุกขยิกร่าง แววไพรชะงักอีกครั้ง

                “อื้อ…” ศรีเหยียดกายอย่างเกียจคร้านก่อนลืมตาตื่น สายตาเหลือบเห็นมือขาวครอบครองหน้าอก

                “เอ่อ ศรี… ฉัน… ไม่ได้ตั้งใจนะ” เด็กหญิงสวมแว่นแก้ตัวเมื่อเธอดันกายมองดูว่ามือกำลังจับอะไร ภาพที่เห็นทำให้แก้มเธอขึ้นสีแดง

                อะ อายจัง

                “ไม่เป็นไรจ้ะ” ศรียิ้มบางๆ ให้ก่อนจะโอบกอดแววไพร ทำให้เด็กหญิงภาคเหนือหน้าแดงกว่าเดิม ได้จับหน้าอกคนที่ชอบและยังโดนกอดอีกแค่นี้วิญญาณเธอก็จะออกจากร่างแล้ว แววไพรเขยิบเข้าไปใกล้ก่อนจะหอมแก้ม

                กรี๊ด! ขอกินสักคำได้ไหมเนี่ย

                หมับ!

                มือเล็กอีกหนึ่งข้างโอบกอดศรี เธอไม่สามารถพลิกตัวไปกอดตอบได้เพราะกอดแววไพรอยู่

                “ฮึ! ลวมลามท่านพี่ศรีแต่เช้าฤๅเจ้าคะ?” ว่าวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถาม ประโยคนั้นทำให้แววไพรหน้าแดงอีก เพราะทั้งอายทั้งโกรธและขายหน้าที่เด็กอย่างว่าวเห็น

                “ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน อย่ายุ่ง” แววไพรเอ่ยอย่างโมโห “สนุกไหมล่ะที่ได้จับน่ะเจ้าคะ?”

                “อะ ---อึก”  แววไพรพูดไม่ออก ว่าวยกมุมปากยิ้มเยาะ ศรีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถาม “พอเถอะ พวกเธอสองคนมีเรื่องแคลงใจอะไรหรือเปล่า”

                “ม่ะ ไม่มีเจ้าค่ะ/น่ะ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน ศรีคลี่ยิ้มอย่างสบายใจ “ดีแล้วล่ะจ้ะ” ศรีหลับตานอนอีกครั้ง ระหว่างนั้นแววไพรและว่าวก็ส่งสายตาจิกกัน จู่ๆ มีเสียงใครบางคนพูด

                “ตื่นได้แล้วๆ” เด็กหญิงผมยาวสีม่วงนามเทสโลเอลพูดเสียงดัง ปลุกทุกคนที่เกียจคร้านให้ตื่นขึ้นมา

                แป๊งๆๆๆๆๆ

                “พอแล้วๆ” เด็กหญิงชาวสเปนนามโอฟิเลียเอ่ยอย่างงัวเงียกับเสียงที่เทสโลเอลตีไม้กับกระทะ อิฟิเลียยันกายนั่งก่อนจะบิดร่างท่อนบนไปมา

                “ไปอาบน้ำอาบท่าซะ เราต้องรีบออกเดินทางแล้ว” เสียงอรัญญิกเอ่ยก่อนร่างจะมา นางมาพร้อมกับถุงผ้าสีขาวปักลายเป็นรูปช้างขนาดใหญ่ ว่าวมองพลางถาม “นั่นถุงอะไรฤๅเจ้าคะ?”

                “อ้อ อาหารกับขนมน่ะ เราไม่มีเวลามากข้าเลยทำไว้ทานบนรถฯ” อรัญญิกตอบ ว่าวขมวดคิ้วก่อนจะมองห่ออาหารและขนมด้วยใบตองโผล่แวบๆ เลยขอบกระเป๋า เธอถาม “เยอะขนาดนั้นท่านทำไหวฤๅเจ้าคะ”

                “ไม่ไหวดอก จริงๆ ข้าจะทำคนเดียวแต่ท่านซอมีน้ำใจต่อข้าจึงช่วยทำด้วย แต่ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสียแรงมากสุดท้ายจึงต้องทำคนเดียวน่ะ”

                “ทำไมท่านมิให้ข้าทำด้วยล่ะเจ้าคะ” ว่าวถาม “พวกเจ้าพักผ่อนไม่เพียงพอ ข้าจึงให้หลับต่อไม่ปลุกให้มาช่วย พวกเจ้าเป็นเด็กต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”

                “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

                ว่าวรู้สึกตื้นตันที่อรัญญิกเป็นห่วงพวกเธอ แม้ภายนอกจะแข็งกระด้างไม่สมเป็นหญิงแต่กระนั้นลึกๆ นางก็ยังเป็นคนอ่อนโยน เอาใจใส่ผู้อื่น

                ทุกคนทยอยขึ้นรถหลังจากอาบน้ำเสร็จ ซอเอ่ยกับอรัญญิกเมื่อขึ้นรถเทียมม้าแล้ว

                “หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเหมือนยามนั้นนะ”

                “ข้าเองก็หวังเช่นนั้นเจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบพร้อมกับยิ้มก่อนจะสะบัดสายบังเหียนออกรถ

               

                “ภารกิจสืบหาผู้ลักดาบ?”

                หญิงสาวผมยาวหยักศกตรงปลาย สวมเสื้อลูกไม้มีคอตั้ง แขนเสื้อมีระบายหลายชั้นสีครีมคาดทับด้วยผ้าแพรสวมสร้อยมุกหลายเส้น นุ่งโจงกระเบน ถือพัดโบกไปมา นางมองเหล่าลูกศิษย์ร้อยมาลัยอย่างเรียบร้อย หญิงสาวผมประบ่าประดับด้วยดอกไม้สีขาวนุ่งโจงกระเบนและคาดด้วยผ้าสไบตอบ

                “ใช่เจ้าค่ะ ท่านซอและท่านอรัญญิกกำลังมุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ ---ท่านมิไปด้วยหรือเจ้าคะ?”

                “ฉันยังไปไป ขออยู่สอนศิษย์ร้อยมาลัยก่อนละกัน” หญิงสาวถือพัดตอบ “หากมิรีบไปจะเสียโอกาสนะเจ้าคะ”

                “เงินทองอะไรนั่นฉันไม่ต้องการ เหลือเฟือแล้ว ของมีค่าอย่างอื่นก็ไม่จำเป็น”

                “แต่มันจะสร้างชื่อเสียงเรียงนามให้ท่านมากขึ้น---” หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้สะบัดพัดใส่หน้าหญิงสาวเบื้องหลัง “เดี๋ยวเรื่องนั้นฉันจัดการทีหลัง”

                “จะ เจ้าค่ะ”

                หญิงสาวคาดสไบค่อยๆ เดินออกจากห้อง หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้ใช้ปลายที่ยึดผ้าพัดกรีดกระจกห้อง

                “หึๆ… ความสนุกรออยู่เบื้องหน้าแล้วจะรีบร้อนไปทำไมกันเล่า”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา